หลิ่วมู่ชิงกวาดตาดูรอบๆ คนในขบวนหากมิใช่กำลังกินดื่มก็นอนหลับอุตุ เขาทอดสายตามองไปไกลกว่านั้นก็เห็นภาพป่าทึบไกลสุดลูกหูลูกตา เขาดื่มน้ำไปเกินครึ่งกาแล้วหันไปบอกอู่เอ๋อร์ว่า “ข้าจะไปดูข้างหน้าหน่อย”
“ข้ากับลิ่วเอ๋อร์จะไปด้วย” ว่าพลางโบกมือให้ลิ่วเอ๋อร์
หลิ่วมู่ชิงส่ายศีรษะ “พวกเจ้าเฝ้าอยู่ข้างรถนั่นล่ะ ดูแลสินค้าชุดนั้นให้ดี ข้าไปดูครู่เดียวก็มา”
“แต่ว่า…” อู่เอ๋อร์ก้าวตามเจ้านายไปติดๆ
“พอที เลิกตามตลอดได้แล้ว หรือว่าแค่ข้าจะไปเวจ เจ้าก็จะตามไปด้วย” เขายิ้มอ่อนโยน เผยให้เห็นฟันขาวสะอาด แล้วโบกมือเป็นสัญญาณให้อู่เอ๋อร์ไปเฝ้ารถม้า
อู่เอ๋อร์ยังคงไม่อาจวางใจ แต่ก็ทำได้เพียงเฝ้ามองนายน้อยเดินไปทางป่า เขากับลิ่วเอ๋อร์เป็นบ่าวรับใช้ที่หัวหน้าสำนักหลิ่วเยวี่ยทั้งสามีภรรยาอบรมสั่งสอนมาด้วยตัวเอง หากจะบอกว่าเป็นบ่าวรับใช้ สู้บอกว่าเป็นมือซ้ายมือขวาที่หัวหน้าสำนักหลิ่วเยวี่ยคัดเลือกมาให้นายน้อยจะเหมาะกว่า พวกเขาคนหนึ่งถนัดบุ๋น อีกคนหนึ่งชำนาญบู๊ กล่าวว่าคัดเลือกมาจากหนึ่งในพันคนก็ไม่เกินไปนัก
ตั้งแต่เล็กๆ อู่เอ๋อร์ก็อ่านบทกวีคล่องแคล่วทั้งยังคิดคำนวณเชี่ยวชาญ ส่วนลิ่วเอ๋อร์ก็เป็นยอดฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้มาแต่กำเนิด ใช้อาวุธได้หลากหลายประเภท หากตั้งใจต่อสู้ขึ้นมา นายน้อยคงมิอาจสู้ได้ แน่นอนว่าฝีไม้ลายมือของอู่เอ๋อร์ก็ใช่จะอ่อนด้อย ถึงแม้จะเทียบนายน้อยกับลิ่วเอ๋อร์ไม่ได้ แต่ก็เป็นคนมีฝีมือในระดับใกล้เคียงกัน ดังนั้นก่อนออกเดินทางครั้งนี้ หัวหน้าสำนักจึงแอบสั่งเป็นการส่วนตัวว่าห้ามทั้งสองคนออกห่างจากนายน้อยแม้แต่ครึ่งก้าว จักต้องรักษาความปลอดภัยของนายน้อยให้จงได้
“นายน้อยล่ะ ข้าขยับที่ทางบนรถม้าไว้แล้ว ให้เขาไปงีบหลับพักผ่อนได้” ลิ่วเอ๋อร์เดินเข้ามาถาม พอเห็นอู่เอ๋อร์ยื่นมือชี้ไปยังเงาร่างสูงโปร่งที่เดินไกลออกไปในป่าก็อดเดือดดาลไม่ได้ “เหตุใดเจ้าถึงปล่อยให้นายน้อยเดินไปคนเดียวเล่า?!”
“นายน้อยบอกว่าจะไปเวจ ให้พวกเราเฝ้าสินค้าเอาไว้ให้ดีก็พอ” อู่เอ๋อร์ตอบ สินค้าชุดนี้ขนส่งยากลำบากจริงๆ นายน้อยคอยดูแลอย่างระวังมาตลอดทาง ขนาดฝนตกคนยังไม่ไปหลบฝน แต่กลับเป็นห่วงว่าสินค้าบนรถจะเปียกชื้น ใครๆ ก็ดูออกว่าเขาไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดขึ้นแม้แต่นิดเดียว
“สินค้าจะสำคัญกว่านายน้อยได้ยังไง! ไม่ได้การ เขาเดินไปไกลขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ข้าจะตามไปดู” ลิ่วเอ๋อร์กระชับดาบยาววิ่งตามไปทางดงป่า
“เป็นห่วงถึงเพียงนี้เชียวรึ กลัวว่านายน้อยจะถูกเสือกินหรือไร” ชายกลางคนที่เสนอให้หลิ่วมู่ชิงพักเมื่อครู่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ถ่มน้ำลายออกมาทีหนึ่ง ถามอู่เอ๋อร์ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
อู่เอ๋อร์เหลือบมองเขาทีหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์
คนผู้นี้แซ่จางชื่อว่าเถี่ย เป็นหัวหน้าใหญ่ของกิจการคุ้มภัย อยู่ต่อหน้าหลิ่วมู่ชิงก็พินอบพิเทา เอ่ยเรียกนายน้อยอย่างนั้นนายน้อยอย่างนี้ แต่พออยู่ลับหลังกลับคอยจงใจเหน็บแนมเสมอ อู่เอ๋อร์เดินทางมาครั้งนี้ก็รู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจนานแล้ว
“นายน้อยวิชาดาบล้ำเลิศ ถึงจะมีเสือจริงๆ ก็ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก ที่กลัวก็กลัวคนซุ่มโจมตีมากกว่า ข้าว่านะ ความชั่วร้ายในใจคนยังน่ากลัวกว่าเสือมากนัก” อู่เอ๋อร์ตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
จางเถี่ยคลุกคลีอยู่ในยุทธภพมานานหลายปี พบเจอผู้คนมาหลากหลาย มิได้เห็นถ้อยคำประชดประชันของอู่เอ๋อร์อยู่ในสายตาเลย ฟังจบก็เพียงแต่หัวเราะด่าว่า “เจ้าลูกกระต่าย”
อู่เอ๋อร์ยิ่งโมโหกว่าเดิม คนในกิจการคุ้มภัยมักเรียกพวกเขาว่าลูกกระต่ายเป็นประจำ แค่แซวเขากับลิ่วเอ๋อร์ก็ยังไม่เท่าไร แต่ไฉนแม้แต่นายน้อยก็ยังถูกหัวเราะเยาะไปด้วยเล่า! ติดที่การเดินทางไกลครั้งนี้จะไม่พึ่งมือคุ้มภัยอย่างพวกเขาก็ไม่ได้ ช่างน่าอึดอัดเสียนี่กระไร! โชคดีที่พ้นแนวป่านี้ไปก็จะเข้าสู่เขตเจียงซูแล้ว ถึงตอนนั้นก็จะมีคนของสำนักหลิ่วเยวี่ยมาช่วยตลอดทาง ไม่ต้องคอยเฝ้ามองสีหน้าของคนพวกนี้อีก