สำนักหลิ่วเยวี่ยก่อตั้งขึ้นมาด้วยสองมือของหลิ่วเยวี่ยตาทวดของหลิ่วมู่ชิง แล้วเริ่มขยายตัวกว้างขวางในมือของหลิ่วหรูเซิงตาของหลิ่วมู่ชิง หลังจากนั้นเคยตกอยู่ในมือคนชั่วเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะโชคดีถูกบิดามารดาของเขาร่วมมือกันชิงกลับมาได้
กิจการของสำนักหลิ่วเยวี่ยนั้นกระจายไปทั่วดินแดนเจียงซู นอกจากกิจการขนส่งทั้งทางบกทางน้ำ ยังมีโรงเตี๊ยมหอสุรา โรงสีข้าว ร้านยา ร้านของชำ โรงทอผ้า โรงย้อมผ้า โรงรับจำนำ เป็นต้น ความร่ำรวยมั่งคั่งนั้นยากจะคำนวณได้ รายได้ในแต่ละปีเหลือคณานับ
ทว่าจุดที่พิเศษก็คือสำนักหลิ่วเยวี่ยยึดถือธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบทอดมาตั้งแต่รุ่นตาทวดว่าร้านค้าทุกแห่งรวมไปถึงกิจการคุ้มภัยจะไม่แขวนป้ายสัญลักษณ์ของสำนักหลิ่วเยวี่ย ทั้งยังไม่บอกกล่าวกับคนภายนอกว่าอยู่ในสังกัดของสำนักหลิ่วเยวี่ยด้วย แรกเริ่มเดิมทีวิธีการนี้มีไว้เพื่อตัดความเชื่อมโยงระหว่างร้านรวงต่างๆ ป้องกันมิให้ร้านใดร้านหนึ่งเกิดเรื่องแล้วจะพลอยลากร้านอื่นไปเดือดร้อน แต่กลับคาดคิดไม่ถึงว่าในกาลต่อมา เรื่องนี้จะกลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สำนักหลิ่วเยวี่ยแตกหน่อออกผลไปไกล
ดังเช่นที่มารดาของเขาพูดไว้ แตกก้อนใหญ่ให้เป็นเศษไม่ดึงดูดสายตาคนคือหลักการพื้นฐานที่ใช้ได้ยาวนาน ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาคนนอกก็เพียงได้ยินได้ฟังว่าสำนักหลิ่วเยวี่ยมีกิจการใหญ่โต หรืออาจจะพอคาดเดาได้ว่าเรือสินค้าขนาดใหญ่บางลำเป็นของพวกเขา แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้แน่ชัดว่าสำนักหลิ่วเยวี่ยครอบครองร้านค้าอยู่กี่แห่ง และขอบเขตการค้าที่แท้จริงคือเท่าไรกันแน่
“นายน้อย หลงจู๊แซ่เฉินจากโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงรออยู่ในห้องข้างที่เรือนด้านหน้าแล้วขอรับ”
อู่เอ๋อร์เดินเข้ามารายงานในห้องหนังสือ หลิ่วมู่ชิงกำลังยืนพินิจภาพวาดหลายใบอยู่หน้าโต๊ะ พอได้ยินก็ส่งเสียงขานรับ แล้วม้วนภาพในมือเก็บเรียบร้อยก่อนจะเดินออกไป
“เอาสมุดบัญชีพวกนี้ไปด้วย” หลิ่วมู่ชิงชี้ไปที่สมุดหลายเล่มข้างโต๊ะหนังสือ
อู่เอ๋อร์เข้าไปหยิบขึ้นมาทันทีแล้วหันตัวเตรียมออกไป กลับเห็นเจ้านายหยุดฝีเท้ากะทันหัน จ้องมองสมุดบัญชีในมือเขาคล้ายคิดอะไรอยู่ อู่เอ๋อร์ถามอย่างงุนงง “นายน้อย ยังขาดอะไรอีกหรือขอรับ”
หลิ่วมู่ชิงเหลือบมองหน้าเขาแล้วพูดว่า “วางสมุดบัญชีไว้ก่อน ไปเอาชาอู่หลงขนขาวที่ห้องข้ามา แล้วไปช่วยชงที่ห้องข้าง ข้าจะเดินนำไปก่อน”
“ขอรับ” อู่เอ๋อร์วางสมุดบัญชีไว้แล้วเดินออกไปอย่างเร็ว
หลิ่วมู่ชิงจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินตรงไปที่ห้องข้าง
ตั้งแต่จำความได้ก็รู้มาตลอดว่าตนคือผู้สืบทอดรุ่นต่อไปของสำนักหลิ่วเยวี่ย
เมื่อหนึ่งปีก่อน มารดามอบกิจการหนึ่งให้เขาดูแล ตอนนั้นยังเขียนสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรว่ากิจการนี้มิได้ยกให้เขา เพียงแต่ให้เขาดูแลเท่านั้น วันข้างหน้าไม่ว่าจะขาดทุนหรือกำไรล้วนเป็นความรับผิดชอบของเขาทั้งสิ้น เมื่อสรุปงบบัญชีปลายปีหากมีกำไรเหลือ ไม่เพียงจะยกส่วนกำไรให้เขา ปีถัดไปยังจะมอบร้านอีกหนึ่งร้านให้เขาดูแลเพิ่มด้วย ถ้าเขาเก่งพอจะรวบรวมเงินตำลึงได้มากพอก็สามารถซื้อร้านต่อจากมารดาได้ แต่ถ้าหากขาดทุน บัญชีส่วนนี้ย่อมต้องมาคิดที่เขา เขาต้องหาวิธีเอาเงินคืนให้ได้ ไม่อย่างนั้นหากแค่ขาดทุนเกินมูลค่าทรัพย์สินของร้าน มารดาก็จะยึดสิทธิ์ในการดูแลร้านคืน เมื่อไรที่ร้านในมือเขาถูกยึดคืนกลับไปทั้งหมด เขาก็จะต้องเก็บข้าวของม้วนเสื่อออกจากบ้าน และห้ามบอกใครๆ ว่าตนเป็นลูกชายสำนักหลิ่วเยวี่ย เพื่อไม่ให้เป็นที่หัวเราะเยาะของผู้คน…
เรื่องขับไล่ออกจากบ้านนั้น หลิ่วมู่ชิงเชื่อสุดใจว่ามารดาพูดจริงทำจริง
“นายน้อย” หลงจู๊แซ่เฉินยืนอยู่กลางห้องข้าง พอเห็นเขาเดินมาก็ประสานมือคำนับ
หลิ่วมู่ชิงยิ้มน้อยๆ ให้เขา พอนั่งลงแล้วก็ยังเห็นเขายืนอยู่จึงเอ่ยปากว่า “หลงจู๊เฉินไม่ต้องเกร็ง เจ้าเป็นหลงจู๊เก่าแก่ของสำนักหลิ่วเยวี่ยมาสามรุ่นแล้ว ไม่ต้องมากพิธีถึงเพียงนี้หรอก”
“ขอรับๆ” อีกฝ่ายพูดติดกันสองครั้ง น้ำเสียงถือว่าพินอบพิเทา ทว่าสีหน้ากลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม
“วันนี้ที่นัดหมายมาก็ไม่มีอะไรพิเศษ คือว่าโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงอยู่ในมือข้ามาเดือนกว่าแล้ว ยังไม่ได้ถามหลงจู๊เฉินเลยว่ามีอะไรต้องการเพิ่มหรือไม่ หรือว่ามีอะไรที่อยากบอกข้าเป็นการส่วนตัว เราอาศัยโอกาสนี้มาพูดคุยกันได้” หลิ่วมู่ชิงมองเขาด้วยนัยน์ตาสองดวงที่ดำปลาบเป็นประกาย แฝงความรู้สึกกระตือรือร้นที่ไร้เดียงสาอยู่บ้าง