บทที่ 1
นี่คือสิ่งปลูกสร้างชั้นเดียวที่ก่อขึ้นด้วยอิฐดินดิบหลังหนึ่ง ทั้งหลังเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านยาวถูกแบ่งออกเป็นสามห้องเท่าๆ กัน ห้องตรงกลางคือโถงรับแขกควบห้องกินอาหารยามมีคนมาก ส่วนห้องอีกสองฟากคือห้องพัก อวี๋ไฉ่หลิงพำนักอยู่ในห้องทิศตะวันออกนี่เอง ห้องพักนี้แสนจะเรียบง่าย ผนังที่ฉาบด้วยดินเหลืองถูกขัดจนเกลี้ยงเกลาสะอาดตา บนพื้นมีเตาไฟทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่หนึ่งเตา ดูเหมือนจะก่อขึ้นจากดินสำหรับปั้นเครื่องดินเผา รูปลักษณ์ภายนอกเรียบง่ายแบบโบราณทว่าให้ความอบอุ่นใช้ได้ทีเดียว ทว่าสิ่งถัดไป…ต่อให้อวี๋ไฉ่หลิงเยือกเย็นเสมอมาก็ยังคงตกใจจนหวิดจะเป็นลม…
ในห้องไม่มีโครงเตียง รวมถึงม้านั่งและเก้าอี้ มีเพียงกระดานไม้เคลือบเงาเรียงตัวอยู่บนพื้นซึ่งยกขึ้นราวขั้นบันไดขั้นหนึ่ง ชิดฝั่งด้านในของห้อง ซ้ำกินพื้นที่ห้องไปถึงหนึ่งในสามส่วน บนนั้นปูฟูกกับผ้าห่มไว้หนึ่งชั้นสำหรับเป็นเครื่องนอน ด้านข้างมีเบาะนุ่นทรงกลมขนาดเล็กไม่กี่ใบทำหน้าที่แทนเก้าอี้ กับโต๊ะเตี้ยทรงสี่เหลี่ยมเล็กๆ อีกหนึ่งตัวสำหรับกินอาหารดื่มน้ำ อวี๋ไฉ่หลิงเคยดูภาพยนตร์เก่าหลายเรื่องของอากิระ คูโรซาวะ* รู้สึกว่านี่ช่างคล้ายกับโครงสร้างของห้องแบบญี่ปุ่นในยุคโบราณอันแร้นแค้น
เมื่อสิบกว่าวันก่อนตอนที่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมา นอกจากศีรษะปวดจนแทบระเบิดแล้ว อื่นใดคือเธอยังถูกข้อสันนิษฐานนี้ทำเอาขวัญหนีจนสลบไปอีกรอบ แค้นใจจนแทบอยากจะตายซ้ำอีกหน ความจริงตำบลเล็กๆ ในเจียงหนาน** บ้านเดิมของเธอที่แสนห่างไกลความเจริญนั้นตั้งอยู่ใจกลางที่ลุ่มซึ่งมีภูเขาปิดล้อม ส่งผลให้ร้อยหลี่* ต่างสำเนียง พันหลี่ต่างภาษา คนที่นั่นเคยเจอปีศาจญี่ปุ่น*** ที่ดั้นด้นบุกป่าฝ่าดงเข้ามารวมแค่สองคน อีกทั้งได้คนหนุ่มสาวที่ต่อมาไปทำงานในเมืองใหญ่ข้างนอกกลับบ้านมาเล่าถึง ทุกคนจึงค่อยรู้ว่ารูปพรรณสัณฐานกับเครื่องแต่งกายแบบนั้นคือปีศาจญี่ปุ่น ผู้ใหญ่บ้านผู้เฒ่าถึงกับร่ายยาวอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น ก่อนสั่งลูกบ้านทั้งหลายว่าถ้าต่อไปเจออีกจะต้องใส่ยาเบื่อหนูลงในมันเทศและหัวไชโป๊ที่มอบให้ปีศาจญี่ปุ่นจึงจะถูกต้อง น่าเสียดายที่ไม่เคยมีปีศาจญี่ปุ่นเข้ามาอีกเลย ยาเบื่อหนูจึงเป็นอันอดใช้ไป
จวบจนหลังก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน รัฐบาลขุดเปิดภูเขา สร้างถนน ต่อสะพาน เจาะอุโมงค์อย่างกว้างขวาง บ้านเดิมของเธอจึงค่อยๆ พัฒนาเป็นตำบลเล็กๆ เพียงแห่งเดียวใจกลางหมู่บ้านภูเขาทั้งสี่ทิศ
“คุณหนู ควรดื่มยาได้แล้วเจ้าค่ะ” สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งถือถาดไม้เนื้อหยาบทรงสี่เหลี่ยมใบหนึ่งเข้ามาในห้อง ก่อนหมุนตัวไปเอ่ยกับเด็กหญิงข้างกายซึ่งยังยกม่านผ้าฝ้ายอันหนักอึ้งค้างไว้ “อาเหมย ปล่อยม่านลงได้แล้ว ข้างนอกหนาว”
อวี๋ไฉ่หลิงรีบดึงสติคืนมา ‘นั่ง’ ตัวตรงให้เรียบร้อย อันที่จริงคือการคุกเข่าให้เรียบร้อยต่างหาก สตรีวัยกลางคนผู้นั้นวางถาดสี่เหลี่ยมลงบนโต๊ะเตี้ย บนถาดมีชามกระเบื้องสองใบหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก ในชามใหญ่เป็นยาต้มร้อนฉุย ส่วนในชามเล็กเป็นผลไม้แช่อิ่มสามเสี้ยว อวี๋ไฉ่หลิงยกชามกระเบื้องขึ้นดื่มเงียบๆ จนหมดในรวดเดียว พาให้รสขมเฝื่อนท่วมท้นช่องปากในทันที มันช่างกลืนยากยิ่งกว่ายาฆ่าแมลงเสียอีก แน่นอนว่าเธอไม่เคยกินยาฆ่าแมลงหรอกนะ
จากนั้นเธอก็หยิบผลไม้แช่อิ่มที่มีเกล็ดน้ำตาลขึ้นมาอมช้าๆ พลางมองพิจารณาสตรีวัยกลางคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงข้ามกัน อีกฝ่ายเคยบอกให้อวี๋ไฉ่หลิงเรียกว่า ‘จู้’ แม้อวี๋ไฉ่หลิงไม่เคยชินที่จะเรียกใครด้วยคำคำเดียว เพราะนี่ทำให้เธอนึกถึงคำเรียกประจำเวลาเถ้าแก่เนี้ยร้านทำผมครบวงจรในตัวตำบลใช้เรียกอ้อนคู่ขาซึ่งมีนับไม่ถ้วน แต่ช่วยไม่ได้ที่ตอนนี้เธอไม่รู้ธรรมเนียมของที่นี่ จึงไม่กล้าเรียกอย่างอื่นส่งเดช วันก่อนเธอเพิ่งจะได้ยินอาเหมยเล่าว่าเด็กน้อยที่อยู่บ้านติดกันทางฝั่งซ้ายฝันร้ายพูดจาเหลวไหล แล้วถูกผู้ทำพิธีหญิงจับกรอกยาอาคมไปหนึ่งกา หวิดจะตายไปครึ่งชีวิตก็ว่าได้ ดังนั้นเธอจึงได้แต่เรียกอ้อมแอ้มไปตามที่สตรีวัยกลางคนผู้นี้บอก ใครจะรู้ว่าต่อมาค่อยค้นพบว่าสามารถเรียก ‘อาจู้’ ได้เช่นกัน
* อากิระ คูโรซาวะ (ค.ศ. 1910-1998) เป็นผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง และนักเขียนบทภาพยนตร์ชื่อดังชาวญี่ปุ่น
** เจียงหนาน คือคำเรียกที่ราบลุ่มทางทิศใต้ของแม่น้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง) ปัจจุบันคือทางใต้ของมณฑลเจียงซู อันฮุย และด้านเหนือของมณฑลเจ้อเจียง
* หลี่ (ลี้) หมายถึงหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร
*** ปีศาจญี่ปุ่น เป็นคำเรียกแสดงความเจ็บแค้นที่ชาวจีนมีต่อชาวญี่ปุ่นและทหารญี่ปุ่นในช่วงที่รุกรานจีน