เดินไปยังไม่ครบห้าหกสิบก้าวก็ถึงที่พักของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง เหลียนฝางปรนนิบัติเฉิงเซ่าซางถอดรองเท้าขึ้นบันได ก่อนเปลื้องเสื้อคลุมขนสัตว์อันหนาหนักบนร่างออก ถุงเท้าขนปุยกำมะหยี่สีขาวหิมะย่ำไปบนพื้นไม้เคลือบเงาสีแดงเข้ม ยิ่งทำให้เท้าดูเล็กน่ารัก ผู้คนยุคนี้กินอาหารล้วนเป็นแบบแบ่งสำรับ แยกกันคนละหนึ่งโต๊ะเล็ก โดยจัดเรียงโต๊ะสำรับเป็นสองแถวซ้ายขวาของโถง เฉิงเซ่าซางเงยหน้ามองไป เห็นผู้อื่นล้วนมาครบแล้ว ตนมาเป็นคนสุดท้าย จึงลอบร้องในใจทันทีว่าไม่ได้การ
เป็นไปดังคาด เก่อซื่ออาสะใภ้คนดีซึ่งนั่งตำแหน่งซ้ายมือลำดับที่สามอดรนทนไม่ไหวแต่แรก ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเสียงแหลมโดยไม่รั้งรอ “ให้ตาย ผู้ใหญ่มากันหมดแล้ว รอแม่นางสี่อยู่ผู้เดียว เมื่อก่อนอาสะใภ้พร่ำสอนเจ้าว่าอย่างไร ต้องกตัญญู มีสัมมาคารวะ รู้จักมารยาท วันนี้…”
ยังไม่ทันจบคำ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางในตำแหน่งประธานก็รำคาญใจ เอ่ยตัดบทเสียงห้าว “เจ้าพูดให้น้อยๆ หน่อย ที่นี่นอกจากพวกเด็กๆ ทุกคนล้วนอาวุโสกว่าเจ้า กระทั่งพวกเรายังไม่อ้าปาก มีกงการอันใดของเจ้าด้วย!”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมีพื้นเพเป็นชาวนา พูดจาตรงไปตรงมายิ่ง เมื่อก่อนไม่ไว้หน้าเซียวฮูหยิน เพราะนางก็พูดซึ่งๆ หน้าให้ลูกสะใภ้ใหญ่ไม่มีบันไดจะลงเยี่ยงนี้เช่นกัน ตอนนั้นเก่อซื่อชอบฟังฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงด่าคนเป็นที่สุด ยามนี้คำด่ากลับตกมาบนศีรษะของตนย่อมจะไม่ค่อยสบายตัวแล้ว
อาจู้รีบพยุงเฉิงเซ่าซางหมอบคำนับผู้ใหญ่แต่ละท่าน คนแรกคือฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงซึ่งนั่งอยู่กึ่งกลางตรงที่นั่งประธาน จากนั้นเป็นน้าต่งซึ่งนั่งอยู่ถัดไปด้านข้างเล็กน้อย ตามด้วยเฉิงสื่อสามีภรรยาซึ่งนั่งแยกกันเป็นลำดับแรกทางขวามือกับซ้ายมือ ต่อมาลำดับที่สองทางขวามือคือต่งหย่งญาติผู้น้องของเฉิงสื่อ ซึ่งเฉิงเซ่าซางต้องเรียกขานว่า ‘ท่านอาต่ง’ แล้วก็ต่งหลี่ว์ซื่อภรรยาของต่งหย่งซึ่งนั่งเป็นลำดับที่สองทางซ้ายมือ ไม่รอให้เฉิงเซ่าซางคำนับเสร็จ ต่งหลี่ว์ซื่อก็คลี่ยิ้มเดินจากที่นั่งมาจับจูงเฉิงเซ่าซางลุกขึ้น “เหนียวเหนี่ยวหน้าตาน่ามองจริงเชียว ยามปกติยังไม่รู้สึก หลายวันมานี้ได้พี่สะใภ้ใหญ่ดูแลแต่งตัว ถึงกับเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย”
เฉิงเซ่าซางคำนับจนเวียนหัวตาลาย พาให้ตอบสนองไม่ทัน ผิดกับผู้อื่นซึ่งล้วนเข้าใจความหมายของต่งหลี่ว์ซื่อแล้ว เก่อซื่อจึงยืดกายขึ้น เอ่ยด้วยความไม่พอใจ “นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร หาว่าปกติข้าปฏิบัติกับแม่นางสี่ไม่ดีหรือ”
ต่งหลี่ว์ซื่อเหลือบมองเซียวฮูหยินเล็กน้อย ก่อนหันมายิ้มตอบ “พี่สะใภ้รองคิดมากไปแล้ว ข้าบอกว่าแม่นางสี่ได้พบบิดามารดาหลังพรากจากกันนาน คนเราพอดีอกดีใจ ย่อมจะกระปรี้กระเปร่า พาให้สีหน้าดูดีตามไปด้วย”
เก่อซื่อนั่งกลับลงไปอย่างกระฟัดกระเฟียด ใครจะรู้ยามที่ต่งหลี่ว์ซื่อเดินกลับที่นั่ง ยังเอ่ยต่อด้วย ‘เสียงเบา’ แบบที่ผู้อื่นสามารถได้ยินกันทั่วว่า “เด็กที่น่าสงสาร เห็นกันอยู่ว่าเป็นของดีอาภรณ์ชั้นเลิศที่บิดาตนเองอยู่ข้างนอกเสี่ยงชีวิตแลกมา ทว่าข้ามาที่นี่ทีไรกลับเห็นนางได้แต่สวมใส่สิ่งที่ผู้อื่นเลือกเหลือทิ้งไว้”
วาจานี้พอออกจากปาก เก่อซื่อกับเด็กสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งตัวตรงอยู่ท้ายโถงต่างหน้าแดงซ่าน เฉิงเซ่าซางนวดคลึงหน้าผาก คิดได้ทันทีว่า เก่อซื่อหญิงโลภนี่ต้องฮุบเอาสิ่งของที่ท่านพ่อเฉิงจะมอบให้ข้าไปเป็นแน่ ไม่รอให้เฉิงเซ่าซางคิดต่อ อาจู้ก็กดตัวนางเบาๆ ให้ก้มลงคำนับอารองเฉิงเฉิงกับเก่อซื่อตามลำดับ ทว่าเก่อซื่อถูกยั่วโมโหจนตัวสั่นพูดอันใดไม่ออกแล้ว
ท้ายโถงจัดที่นั่งไว้สามตัว เฉิงเซ่าซางนั่งตรงกลาง ขวามือก็คือเด็กสาวที่ยังหน้าแดงอยู่ผู้นั้น ซ้ายมือคือเด็กชายขาวจ้ำม่ำผู้หนึ่ง อายุเพิ่งพอจะใช้ตะเกียบได้ดี สองคนนี้ล้วนแต่งกายประดับเงินเลื่อมทองอย่างมั่งมี เด็กสาวผิวสีน้ำผึ้งอ่อนๆ คิ้วเข้มตาโต เพียงแต่ท่าทางซึมเซาไร้ชีวิตชีวา ขดร่างตัวสั่น คล้ายมีชีวิตอเนจอนาถกว่าเฉิงเซ่าซางเสียอีก
ยามนี้หญิงรับใช้อาวุโสเดินเรียงแถวเข้ามาในโถง แล้วยกอาหารจัดวางบนโต๊ะแต่ละตัว งานเลี้ยงเล็กๆ ในครอบครัวนี้มีเนื้อหมูที่ย่างจนหนังเกรียมหอมฟุ้ง ไก่เนื้อแน่นนึ่งกับหน่อไม้ฤดูเหมันต์ น้ำแกงเนื้อกวาง กับผักดองอีกสองชนิด บนโต๊ะของพวกผู้ใหญ่ยังมีสุราด้วย พวกเฉิงเซ่าซางสามคนมีเพียงนมข้าวผสมถั่วลิสงที่เพิ่งตักมาหนึ่งกา ส่งควันร้อนฉุยเคล้ากลิ่นหอมกรุ่น
น้าต่งยกจอกสองหูที่ทำจากไม้เคลือบเงาแล้วหันไปเอ่ยกับเฉิงสื่อ “สุราจอกแรกนี้น้าขอคารวะหลานชายก่อน หนนี้ปลอดภัยกลับมาได้ ล้วนอาศัยหลานชายทั้งสิ้น น้า…น้า…”
เฉิงเซ่าซางแอบมองไป เห็นน้าต่งผู้นั้นหน้าตาละม้ายฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมากทีเดียว ทั้งมีโครงร่างสูงใหญ่บึกบึนเช่นเดียวกัน เพียงแต่ดูคล้ายเร็วๆ นี้เพิ่งทำการลดน้ำหนักมาอย่างรีบด่วน เนื้อหนังตรงสองแก้มจึงหย่อนคล้อยลงมา เขากลัวเกรงเฉิงสื่อยิ่งยวด สายตาไม่ค่อยกล้าสบกับเฉิงสื่อตรงๆ พูดจาก็ตะกุกตะกัก