X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 1 บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 8

เซียวฮูหยินเบิกบานใจได้ไม่นานนัก รอจนเฉิงสื่อกลับถึงห้อง นางก็เห็นลูกซาลาเปาบนมุมหน้าผากของสามี ครั้นไถ่ถามสาเหตุจนชัดแจ้งแล้ว โทสะก็ประดังมาทันใด จึงฉวยโถสุราที่ทำจากไม้เคลือบเงาใบหนึ่งทุบใส่มุมหน้าผากอีกด้านของเขาจนปูดเป็นซาลาเปาอีกลูก มอบให้แม่ทัพเฉิงผู้ยิ่งใหญ่ครบคู่พอดี

ค่ำนั้นเฉิงสื่อรอจนมารดาคลายโทสะแล้ว ค่อยแบกลูกซาลาเปาที่มีสัดส่วนสมดุลกันหนึ่งคู่บนหน้าผากเข้าไปในห้องของมารดาอีกครั้ง ในที่สุดความรู้สึกอันจริงแท้ผสมทักษะการแสดงซึ่งยามกลางวันไม่ได้งัดมาใช้ก็ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นอย่างดี แม่ลูกจึงคืนดีกันจนได้

ขั้นถัดมาก็คือรักษา ‘ผลการรบ’ ไว้ให้มั่นคง

ก่อนอื่นเฉิงสื่อพาสตรีสูงวัยผมขาวดอกเลาหน้าตาตรากตรำผู้หนึ่งออกมา พอเห็นอีกฝ่าย ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็พลันหลั่งน้ำตาดุจสายฝน เมื่อครั้งที่สกุลต่งยังมีฐานะดี นายท่านผู้เฒ่าต่งเคยจ้างคนงานจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นชาวนาที่มาเช่าที่นาทำกิน สตรีสูงวัยผู้นี้ก็คือบุตรสาวของลูกจ้างที่ตอนนั้นทำนาให้สกุลต่ง วิ่งเล่นเติบใหญ่ในชนบทมาด้วยกันกับฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ผูกพันกันลึกล้ำดุจพี่น้อง ต่อมาฐานะทางบ้านขัดสนขึ้นทุกวัน นายท่านผู้เฒ่าต่งจึงจำต้องให้ลูกจ้างทำนาเหล่านี้แยกย้ายกันไป

ในใจเซียวฮูหยินมีแผนการอันแยบคาย ตลอดมาระหว่างที่ติดตามสามีออกรบไปทั่วทิศ นางใส่ใจเสาะหาเครือญาติคนบ้านเดียวกันที่เมื่อแรกลี้ภัยจนกระจัดพลัดพรายไป เดิมทีหมายจะค้นหาญาติห่างๆ ของสกุลต่งมาเป็นผู้ช่วยสักหลายๆ คน ปรากฏว่าหามาหาไปล้วนไม่มีข่าวคราวใดเลย เห็นชัดว่าคนสกุลต่งล้มหายตายจากเป็นส่วนใหญ่แล้ว

สุดท้ายเป็นเพราะเฉิงสื่อทำศึกจนชื่อเสียงขจรขจายไปไกลขึ้นทุกวัน สตรีสูงวัยแซ่หูผู้นี้จึงเป็นฝ่ายเสาะหามาถึงที่เอง จะว่าไปก็บังเอิญแท้ เมื่อแรกตอนที่หูเอ่า* ผู้นี้ติดตามสามีใหม่ไปจากภูมิลำเนา ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเพิ่งจะให้กำเนิดและตั้งชื่อจริงแก่เฉิงสื่อได้ไม่นาน หากเปลี่ยนเป็นบุตรชายสกุลเฉิงคนอื่นก็ไม่แน่ว่าหูเอ่าจะกล้ามาแสดงตัวว่าเป็นคนรู้จัก

เซียวฮูหยินพลันรู้สึกว่าได้พบสินค้าหายากน่าเก็งกำไร จึงรีบให้การดูแลบุตรชายที่เจ็บหนักกับหลานชายที่ป่วยหนักของหูเอ่า ก่อนพากลับเมืองหลวงมาด้วยกัน เดิมทีเฉิงสื่อจะพาหูเอ่าออกมาทันทีที่ถึงเมืองหลวง แต่ถูกเซียวฮูหยินปรามไว้ แล้วกำหนดแผนการเป็นขั้นตอนหนึ่งสองสามสี่

‘ท่านแม่เป็นผู้ใหญ่ในบ้าน ไม่ใช่ข้าศึกที่ใต้เท้าจะไปปราบ จึงจะทุบหนึ่งค้อนลงไปโดยไม่สนว่าเจ็บหรือตาย แค่ชนะศึกได้เป็นพอ’ เซียวฮูหยินเอ่ยปนยิ้มน้อยๆ ‘ต้องค่อยเป็นค่อยไป ให้ท่านแม่ระบายไฟโทสะสิบปีนี้ออกมา สองคนแม่ลูกสลายความหมางใจระหว่างกันเสียก่อน ค่อยให้พี่สาวน้องสาวในอดีตได้พบหน้ากัน เช่นนี้น้ำหลากมาจึงจะเกิดคูคลอง** ลงแรงน้อยทว่าได้ผลมาก’

จริงดังที่คิดไว้ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงยินดีเป็นล้นพ้น กอดหูเอ่าแล้วหัวเราะปนร้องไห้ ทั้งตีเฉิงสื่อทั้งด่าทออย่างยิ้มแย้มว่าเหตุใดไม่เชิญหูเอ่าออกมาแต่แรก เฉิงสื่อรีบเอ่ยคำตอบซึ่งเรียบเรียงไว้ดิบดีแล้วออกมา “ตอนนั้นท่านแม่กำลังโกรธ หากลูกพาคนออกมา ย่อมดูคล้ายลูกทำดีหวังผล บัดนี้ท่านแม่ไม่ขุ่นเคืองลูกแล้ว ค่อยพามาให้ท่านได้รับรู้ว่าลูกเพียงต้องการจะทำให้ท่านดีใจเท่านั้น”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงฟังจบก็ยิ่งตื้นตันจริงเสียด้วย ครั้นรู้ว่าเฉิงสื่อไม่เพียงรับบุตรชายกับหลานชายสกุลหูเข้าสังกัดแล้ว ยังรั้งหูเอ่าอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเคียงกายนางด้วย นางก็พลันรู้สึกว่าบุตรชายคนโตใส่ใจนางอย่างแท้จริง

หูเอ่าได้รับความทุกข์ยากอยู่ข้างนอกมาหลายสิบปีจนเจนโลก ทั้งรู้จักกล่อมคนเตือนใจคน มีฝีมือในการจับทางความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเหนือกว่าพวกน้าสะใภ้ต่ง ด้วยเป็นความสามารถที่ฝึกฝนมาแต่ยังเยาว์ ประกอบกับนางเคยประจักษ์ในความร้ายกาจของเซียวฮูหยินมาแล้ว ย่อมจะรู้ว่าตนเองควรทำควรพูดอย่างไร

 

* เอ่า คือคำที่ใช้เรียกหญิงสูงวัยโดยทั่วไป

** น้ำหลากเกิดคูคลอง ใช้เปรียบเปรยว่าเมื่อเงื่อนไขถึงพร้อม เรื่องราวย่อมประสบผลสำเร็จ

ที่ยิ่งแยบยลคือตลอดกระบวนการนี้เซียวฮูหยินผู้แสนชาญฉลาดอยู่ในภาวะเร้นกายโดยสิ้นเชิง เพียงวุ่นอยู่กับงานเรือนและปลอบขวัญทายาทของบริวารที่บาดเจ็บล้มตาย ปล่อยให้แม่ลูกคู่นี้ได้รำพันความรู้สึกระหว่างแยกจาก เฉิงสื่อประเดี๋ยวน้ำหูน้ำตาไหลบอกเล่าถึงการศึกอันยากเข็ญ ประเดี๋ยวพรรณนาทิวทัศน์กับสิ่งที่ได้พบเจอเบื้องนอกจนน้ำลายแตกฟอง ประกอบกับมีหูเอ่าอยู่ด้านข้างคอยเป็นลูกคู่และช่วยซับน้ำตา ครู่เดียวสายสัมพันธ์ของสองแม่ลูกก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าทองคำ

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงได้ยินหูเอ่าเล่าอีกว่าการศึกแนวหน้าอเนจอนาถเยี่ยงไร มีแม่ทัพมากเท่าใดต้องแขนขาดขาด้วนตาบอดหูแหว่ง เพียงนางลูบคลำแผลเก่านานปีบนเนื้อตัวของบุตรชาย หัวใจก็แทบจะแตกสลายแล้ว คิดว่าบุตรชายยากลำบากเช่นนี้ กลับยังถูกน้าต่งที่อยู่แนวหลังขุดฐานกำแพงกอบโกยเงินทองอีก นางให้แค้นใจจนแทบอยากจะเฉือนเนื้อน้องชายมาตุ๋นให้บุตรชายกินบำรุงเดี๋ยวนี้เลย

มีหลายครั้งที่เก่อซื่อหมายจะไปใส่ไฟเรื่องเซียวฮูหยินที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ทว่าหากมิใช่เจอเฉิงสื่อกำลังเล่าเรื่องอยู่ จึงถูกสองแม่ลูกพร้อมใจกันเหลือกตาขับไล่ออกมาเพราะไม่อยากให้บุคคลที่สามมาสอดเท้า ก็คือเจอฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงดำดิ่งอยู่ในห้วงแห่งวันวานกับหูเอ่า เป็นเหตุให้ถูกด่าสาดเสียเทเสียออกมา

 

เฉิงเซ่าซางย่อมไม่รู้เรื่องราวที่แน่ชัด รู้แต่เพียงว่าท่านพ่อเฉิงดูจะอารมณ์ดียิ่งขึ้นในทุกๆ วัน จวบจนเฉิงสื่อบอกนางว่าในบ้านมีหูเอ่าเพิ่มมาอีกคน หลังจากรู้ที่มาที่ไปคร่าวๆ แล้ว เฉิงเซ่าซางก็อุทานในใจอย่างอดไม่ได้ เมื่อก่อนเซียวฮูหยินวุ่นอยู่กับการช่วยสามีต่อสู้สร้างเนื้อสร้างตัว ยึดถือการใหญ่เป็นสำคัญ ไม่มีเวลาถือสาหาความกับฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงและเก่อซื่อ แต่เมื่อเจียดมือออกมาสะสางเรื่องในบ้าน ก็เรียกได้ว่าจัดการสตรีที่ไม่รู้ความเหล่านี้ได้อยู่หมัดในไม่กี่เสี้ยวอึดใจ บดขยี้ด้วยฝีมืออันแท้จริง

วันนี้เฉิงเซ่าซางตื่นเช้ามา อาจู้ก็บอกนางพร้อมคิ้วตาที่แต้มยิ้ม ความว่าวันนี้อาหารกลางวันจะกินร่วมกันทั้งครอบครัว นางสูดกลิ่นของการเก็บกวาดสนามรบได้ในทันที

หลังจากดื่มยาเสร็จ กำลังเดินวนสามรอบอยู่ในห้อง ชิงชงฮูหยินก็ประคองชุดยาวที่ใหม่เอี่ยมหนึ่งตัวกับกล่องไม้เคลือบเงาหนึ่งใบเดินเข้ามา บนชุดผ้าต่วนแพรสีขาวแกมเหลืองนี้ปักลายกิ่งดอกเหมยสีแดงสด คอเสื้อกับแขนเสื้อกุ๊นขอบด้วยผ้าต่วนเงาวาวสีแดงชาดกว้างราวสี่นิ้วมือ เสื้อตัวในเป็นผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีขาวหิมะใหม่เอี่ยม ชุดยาวนี้หลวมกว้าง เหลียนฝางกับอาจู้ต้องลงมือสวมให้เฉิงเซ่าซางพร้อมๆ กัน ผ้าต่วนแพรปักลายอันงามประณีตพันร่างนางไปรอบแล้วรอบเล่า ก่อนจะถูกรัดด้วยสายคาดเอวพื้นสีแดงอมดำประดับชิ้นหยกกว้างสี่นิ้วมือเช่นเดียวกัน ต่อให้ไม่มีคันฉ่องที่ส่องได้ตลอดร่าง เฉิงเซ่าซางก็สัมผัสได้ถึงความวิจิตรของเครื่องแต่งกาย

จากนั้นชิงชงฮูหยินก็หวีผมให้เฉิงเซ่าซางเองกับมือ เด็กสาวหันหน้าเข้าหาคันฉ่องสำริดอันพร่าเลือน แลเห็นได้เลาๆ ว่าอีกฝ่ายเกล้ามวยวงแหวนที่น่ารักน่าเอ็นดูให้ตนหนึ่งคู่ ส่วนเรือนผมด้านหลังที่เหลือเพียงมัดรวบอย่างเรียบง่าย ตอนนี้เหลียนฝางจึงเปิดกล่องไม้เคลือบเงาใบเล็กนั้นออก ชิงชงฮูหยินหยิบไข่มุกที่ทอประกายจับตาคู่หนึ่งออกมาประดับบนมวยผมทรงวงแหวนของเฉิงเซ่าซางข้างละลูก

อาจู้เห็นแล้วมุ่นคิ้วนิดๆ “นายหญิงชิง นี่…”

ชิงชงฮูหยินยิ้มกล่าว “ไม่ต้องกลัว” จากนั้นก้มหน้าเอ่ยกับเฉิงเซ่าซางว่า “ของดีเหล่านี้นายหญิงเก็บสะสมไว้ให้แม่นางสี่นานแล้ว ในที่สุดก็ได้ใช้เสียที”

เนื่องจากเฉิงเซ่าซางอายุยังน้อย จึงเพียงใส่ต่างหูดอกติงเซียง* เส้นใยทองคำที่เบากระจุ๋มกระจิ๋ม บนข้อมือสวมกำไลลูกปัดสีแดงปะการังร้อยไหมทองคู่หนึ่ง อาจู้ตลอดจนเหลียนฝางกับเฉี่ยวกั่วพิศมองอยู่ด้านข้างหลายหนก่อนประสานเสียงชื่นชม

ขณะเดินไปบนทางระเบียง เฉิงเซ่าซางห่อร่างด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์สีเทาแซมขาวดำ สายตามองพิจารณารอบทิศอย่างแนบเนียน…ลานเรือนไม่ใหญ่จริงเสียด้วย มองปราดเดียวก็เห็นประตูกั้นแบ่งเรือนชั้นในกับชั้นนอกที่อยู่เบื้องหน้าแล้ว ในใจนางยิ่งฉงนสงสัย เห็นชุดแต่งกายของตนออกจะงามหรู เหตุใดจวนสกุลเฉิงกลับเล็กแค่นี้เล่า หรือว่าราคาบ้านเรือนที่นี่จะสูงเสียดฟ้า?

 

* ดอกติงเซียง (หรือจื่อติงเซียง) คือดอกไลแลค (Lilac) อยู่ในตระกูลมะลิ ดอกมีสีม่วง ขาว แดงแกมม่วง และม่วงอมน้ำเงิน

เดินไปยังไม่ครบห้าหกสิบก้าวก็ถึงที่พักของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง เหลียนฝางปรนนิบัติเฉิงเซ่าซางถอดรองเท้าขึ้นบันได ก่อนเปลื้องเสื้อคลุมขนสัตว์อันหนาหนักบนร่างออก ถุงเท้าขนปุยกำมะหยี่สีขาวหิมะย่ำไปบนพื้นไม้เคลือบเงาสีแดงเข้ม ยิ่งทำให้เท้าดูเล็กน่ารัก ผู้คนยุคนี้กินอาหารล้วนเป็นแบบแบ่งสำรับ แยกกันคนละหนึ่งโต๊ะเล็ก โดยจัดเรียงโต๊ะสำรับเป็นสองแถวซ้ายขวาของโถง เฉิงเซ่าซางเงยหน้ามองไป เห็นผู้อื่นล้วนมาครบแล้ว ตนมาเป็นคนสุดท้าย จึงลอบร้องในใจทันทีว่าไม่ได้การ

เป็นไปดังคาด เก่อซื่ออาสะใภ้คนดีซึ่งนั่งตำแหน่งซ้ายมือลำดับที่สามอดรนทนไม่ไหวแต่แรก ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเสียงแหลมโดยไม่รั้งรอ “ให้ตาย ผู้ใหญ่มากันหมดแล้ว รอแม่นางสี่อยู่ผู้เดียว เมื่อก่อนอาสะใภ้พร่ำสอนเจ้าว่าอย่างไร ต้องกตัญญู มีสัมมาคารวะ รู้จักมารยาท วันนี้…”

ยังไม่ทันจบคำ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางในตำแหน่งประธานก็รำคาญใจ เอ่ยตัดบทเสียงห้าว “เจ้าพูดให้น้อยๆ หน่อย ที่นี่นอกจากพวกเด็กๆ ทุกคนล้วนอาวุโสกว่าเจ้า กระทั่งพวกเรายังไม่อ้าปาก มีกงการอันใดของเจ้าด้วย!”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมีพื้นเพเป็นชาวนา พูดจาตรงไปตรงมายิ่ง เมื่อก่อนไม่ไว้หน้าเซียวฮูหยิน เพราะนางก็พูดซึ่งๆ หน้าให้ลูกสะใภ้ใหญ่ไม่มีบันไดจะลงเยี่ยงนี้เช่นกัน ตอนนั้นเก่อซื่อชอบฟังฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงด่าคนเป็นที่สุด ยามนี้คำด่ากลับตกมาบนศีรษะของตนย่อมจะไม่ค่อยสบายตัวแล้ว

อาจู้รีบพยุงเฉิงเซ่าซางหมอบคำนับผู้ใหญ่แต่ละท่าน คนแรกคือฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงซึ่งนั่งอยู่กึ่งกลางตรงที่นั่งประธาน จากนั้นเป็นน้าต่งซึ่งนั่งอยู่ถัดไปด้านข้างเล็กน้อย ตามด้วยเฉิงสื่อสามีภรรยาซึ่งนั่งแยกกันเป็นลำดับแรกทางขวามือกับซ้ายมือ ต่อมาลำดับที่สองทางขวามือคือต่งหย่งญาติผู้น้องของเฉิงสื่อ ซึ่งเฉิงเซ่าซางต้องเรียกขานว่า ‘ท่านอาต่ง’ แล้วก็ต่งหลี่ว์ซื่อภรรยาของต่งหย่งซึ่งนั่งเป็นลำดับที่สองทางซ้ายมือ ไม่รอให้เฉิงเซ่าซางคำนับเสร็จ ต่งหลี่ว์ซื่อก็คลี่ยิ้มเดินจากที่นั่งมาจับจูงเฉิงเซ่าซางลุกขึ้น “เหนียวเหนี่ยวหน้าตาน่ามองจริงเชียว ยามปกติยังไม่รู้สึก หลายวันมานี้ได้พี่สะใภ้ใหญ่ดูแลแต่งตัว ถึงกับเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย”

เฉิงเซ่าซางคำนับจนเวียนหัวตาลาย พาให้ตอบสนองไม่ทัน ผิดกับผู้อื่นซึ่งล้วนเข้าใจความหมายของต่งหลี่ว์ซื่อแล้ว เก่อซื่อจึงยืดกายขึ้น เอ่ยด้วยความไม่พอใจ “นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร หาว่าปกติข้าปฏิบัติกับแม่นางสี่ไม่ดีหรือ”

ต่งหลี่ว์ซื่อเหลือบมองเซียวฮูหยินเล็กน้อย ก่อนหันมายิ้มตอบ “พี่สะใภ้รองคิดมากไปแล้ว ข้าบอกว่าแม่นางสี่ได้พบบิดามารดาหลังพรากจากกันนาน คนเราพอดีอกดีใจ ย่อมจะกระปรี้กระเปร่า พาให้สีหน้าดูดีตามไปด้วย”

เก่อซื่อนั่งกลับลงไปอย่างกระฟัดกระเฟียด ใครจะรู้ยามที่ต่งหลี่ว์ซื่อเดินกลับที่นั่ง ยังเอ่ยต่อด้วย ‘เสียงเบา’ แบบที่ผู้อื่นสามารถได้ยินกันทั่วว่า “เด็กที่น่าสงสาร เห็นกันอยู่ว่าเป็นของดีอาภรณ์ชั้นเลิศที่บิดาตนเองอยู่ข้างนอกเสี่ยงชีวิตแลกมา ทว่าข้ามาที่นี่ทีไรกลับเห็นนางได้แต่สวมใส่สิ่งที่ผู้อื่นเลือกเหลือทิ้งไว้”

วาจานี้พอออกจากปาก เก่อซื่อกับเด็กสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งตัวตรงอยู่ท้ายโถงต่างหน้าแดงซ่าน เฉิงเซ่าซางนวดคลึงหน้าผาก คิดได้ทันทีว่า เก่อซื่อหญิงโลภนี่ต้องฮุบเอาสิ่งของที่ท่านพ่อเฉิงจะมอบให้ข้าไปเป็นแน่ ไม่รอให้เฉิงเซ่าซางคิดต่อ อาจู้ก็กดตัวนางเบาๆ ให้ก้มลงคำนับอารองเฉิงเฉิงกับเก่อซื่อตามลำดับ ทว่าเก่อซื่อถูกยั่วโมโหจนตัวสั่นพูดอันใดไม่ออกแล้ว

ท้ายโถงจัดที่นั่งไว้สามตัว เฉิงเซ่าซางนั่งตรงกลาง ขวามือก็คือเด็กสาวที่ยังหน้าแดงอยู่ผู้นั้น ซ้ายมือคือเด็กชายขาวจ้ำม่ำผู้หนึ่ง อายุเพิ่งพอจะใช้ตะเกียบได้ดี สองคนนี้ล้วนแต่งกายประดับเงินเลื่อมทองอย่างมั่งมี เด็กสาวผิวสีน้ำผึ้งอ่อนๆ คิ้วเข้มตาโต เพียงแต่ท่าทางซึมเซาไร้ชีวิตชีวา ขดร่างตัวสั่น คล้ายมีชีวิตอเนจอนาถกว่าเฉิงเซ่าซางเสียอีก

ยามนี้หญิงรับใช้อาวุโสเดินเรียงแถวเข้ามาในโถง แล้วยกอาหารจัดวางบนโต๊ะแต่ละตัว งานเลี้ยงเล็กๆ ในครอบครัวนี้มีเนื้อหมูที่ย่างจนหนังเกรียมหอมฟุ้ง ไก่เนื้อแน่นนึ่งกับหน่อไม้ฤดูเหมันต์ น้ำแกงเนื้อกวาง กับผักดองอีกสองชนิด บนโต๊ะของพวกผู้ใหญ่ยังมีสุราด้วย พวกเฉิงเซ่าซางสามคนมีเพียงนมข้าวผสมถั่วลิสงที่เพิ่งตักมาหนึ่งกา ส่งควันร้อนฉุยเคล้ากลิ่นหอมกรุ่น

น้าต่งยกจอกสองหูที่ทำจากไม้เคลือบเงาแล้วหันไปเอ่ยกับเฉิงสื่อ “สุราจอกแรกนี้น้าขอคารวะหลานชายก่อน หนนี้ปลอดภัยกลับมาได้ ล้วนอาศัยหลานชายทั้งสิ้น น้า…น้า…”

เฉิงเซ่าซางแอบมองไป เห็นน้าต่งผู้นั้นหน้าตาละม้ายฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมากทีเดียว ทั้งมีโครงร่างสูงใหญ่บึกบึนเช่นเดียวกัน เพียงแต่ดูคล้ายเร็วๆ นี้เพิ่งทำการลดน้ำหนักมาอย่างรีบด่วน เนื้อหนังตรงสองแก้มจึงหย่อนคล้อยลงมา เขากลัวเกรงเฉิงสื่อยิ่งยวด สายตาไม่ค่อยกล้าสบกับเฉิงสื่อตรงๆ พูดจาก็ตะกุกตะกัก

เก่อซื่อกะพริบตาแล้วเอ่ยปนยิ้มหยัน “ไฉนท่านน้าคล้ายได้รับความตื่นตระหนกเล่า เป็นญาติกันแท้ๆ ประหม่าถึงเพียงนี้ได้อย่างไร”

เซียวฮูหยินมองเก่อซื่อปราดหนึ่งก่อนเอ่ยเนิบๆ “คุกเป่ยจวินช่างไม่ระวังเอาเสียเลย แม้ตอบรับคำฝากฝังของใต้เท้า ชะลอการลงโทษออกไปก่อน แต่กลับโบยนักโทษที่กระทำผิดฐานเดียวกันอีกหลายคนจนตายไปต่อหน้าต่อตาท่านน้า ท่านน้าคงจะเสียขวัญแล้ว”

ทันทีที่เอ่ยวาจานี้ออกมา กระทั่งจอกสุราน้าต่งก็ถือไม่อยู่อีก อันที่จริงขณะเฉิงสื่อพาน้าต่งออกมา ระหว่างทางจงใจพาเดินผ่านห้องลงทัณฑ์แต่ละประเภท ข้างในดังระงมด้วยเสียงร้องโหยหวน ทัณฑ์ทารุณไม่ว่าจะเป็นเฆี่ยนตี เฉือนเนื้อ ขูดกระดูก ล้วนเข้าสู่สายตาตามลำดับ ทำเอาน้าต่งแข้งขาอ่อนระทวยจนหวิดจะเดินออกจากคุกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ

เก่อซื่อไม่รู้จะต่อประโยคนี้อย่างไร ต่งหลี่ว์ซื่อจึงรีบเอ่ยว่า “ยังดีที่มีใต้เท้า หาไม่ท่านพ่อสามีข้าจะต้องทนทุกข์เท่าใดก็สุดจะรู้” นางกล่าวพลางขึงตาใส่สามีซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้าม ต่งหย่งก็รีบชูจอกกล่าวขอบคุณเฉิงสื่อ

ญาติผู้น้องคนนี้ของเฉิงสื่อไม่เพียงมีนามเดียวกับต่งหย่ง* ตัวละครงิ้วที่โด่งดัง ยังมีหน้าตาเป็นเจ้าหนุ่มหน้าขาวที่พบบ่อยในบทงิ้วด้วย แววตาของเขาหลุกหลิก ผิวหน้าหย่อนคล้อย เห็นชัดว่าหมกมุ่นในสุรานารี ขณะที่เขาเอ่ยขอบคุณ ยังลอบมองเซียวฮูหยินคนงามด้วยสองหน

เฉิงเซ่าซางพลันหน้าระรื่น คิดในใจว่า สหายต่งเห็นผู้อื่นล้วนเป็นคนตาบอดหรือไรกัน เขาไม่เห็นหรือว่าลูกนัยน์ตาของท่านพ่อเฉิงโปนโตราวกับปลาตาเดียวแล้ว เพราะการยลสองหนนี้ วันรุ่งขึ้นสหายต่งจึงถูกชายไม่รู้ที่มาซ้อมหนึ่งยกจนน่วมกลางถนน นอนซมบนเตียงไปหลายเดือน นับแต่นั้นไม่เคยได้เข้าจวนสกุลเฉิงอีกเลย

เฉิงสื่อถลึงตาใส่ต่งหย่งเสร็จก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มจนเกลี้ยงในรวดเดียว “ท่านน้าควรจะพักผ่อนได้แล้ว ต่อไปเพียงดูแลไร่นาร้านค้าของทางบ้านให้ดี ใช้ชีวิตอย่างสบายอกสบายใจไปก็พอ”

น้าต่งร้อนใจยิ่ง จึงประท้วงโดยไม่รีรอ “นี่จะได้อย่างไรกัน ดังคำกล่าวว่า ‘ปราบเสือพี่น้องสู้ ออกศึกพ่อลูกรบ’ ** วาจานี้ของหลานชายเห็นน้าเป็นคนอื่นคนไกลไปแล้ว เจ้าเสี่ยงชีวิตเหนื่อยยากอยู่ข้างนอก มีหรือน้าจะพักผ่อนได้ จะอย่างไรก็ควรช่วยสนับสนุน…”

เฉิงสื่อระอาจะฟังอีกฝ่ายพูดพล่าม จึงมองไปทางฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงโดยตรง เห็นชัดว่าไม่กี่วันมานี้สองแม่ลูกสื่อสารกันราบรื่นยิ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงตบโต๊ะสำรับทันใด จากนั้นเอ่ยเสียงหนัก “จงรีบหุบปากไปซะ! เมื่อแรกที่ลูกข้าสร้างตัว ไฉนไม่ยักเห็นเจ้า ‘ปราบเสือพี่น้องสู้?’ ตอนที่ลูกข้าเสี่ยงชีวิต ไฉนไม่ยักเห็นเจ้า ‘ออกศึกพ่อลูกรบ’ เล่า เจ้าช่วยสนับสนุนให้น้อยลง ชีวิตลูกข้ายังจะง่ายขึ้นหน่อย!”

น้าต่งมองพี่สาวของตนอย่างตกตะลึง “พี่สาว ทะ…ท่าน…”

เขาเหลือบมองเฉิงสื่อสองสามีภรรยาปราดหนึ่ง อยากจะพูดออกไปเหลือเกินว่า ‘พี่สาว หากไม่มีข้าช่วยเหลือ ท่านมีหรือจะสู้ลูกสะใภ้ใหญ่ของท่านไหว’ ทว่าต่อหน้าผู้อื่นเขาจะพูดตรงๆ ได้อย่างไรกัน เขาจึงได้แต่กลอกลูกตา ก่อนเอ่ยพร้อมยิ้มตาหยี “พี่สาว ท่านเอาใจใส่น้องคนนี้ ทว่าหลานชายกับหลานสะใภ้ของข้างานยุ่งทั้งวี่วัน ยามปกติหากพี่สาวอยากฟังเรื่องน่าสนใจ ผู้ใดจะมาคุยให้ท่านฟังเล่า”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เมื่อไรข้าว่าง จะเรียกต่งหลี่ว์ซื่อหลานสะใภ้ของข้าเข้ามาพูดคุยเอง ในจวนนี้มีสตรีเป็นส่วนใหญ่ ถึงอย่างไรพวกเจ้าพ่อลูกก็เป็นบุรุษ เข้าๆ ออกๆ ย่อมไม่สะดวก ต่อไปไม่มีธุระจงมาให้น้อย” นางมองหูเอ่าที่คอยตักอาหารรับใช้อยู่ด้านข้าง ก่อนเอ่ยแก้เสียใหม่ “ทางบ้านมีธุระก็ให้ต่งหลี่ว์ซื่อมาบอกดีกว่า สรุปคือพวกเจ้าไม่ต้องมาแล้ว ตำแหน่งขุนนางของสื่อเอ๋อร์กำลังจะเลื่อนยศ พวกเราต้องมีกฎระเบียบบ้าง ย่อมไม่อาจเหมือนตอนที่อยู่ชนบท พอมีเรื่องหยุมหยิมอันใดน้าชายน้องชายก็เข้ามาเพ่นพ่านในเรือน”

น้าต่งปากอ้าลิ้นพัน จึงหันไปถลึงตาใส่ลูกสะใภ้ต่งหลี่ว์ซื่อ ก่อนด่ากราดพร้อมหน้าตาอันดุร้าย “หญิงต่ำช้า เจ้าพูดอะไรกับพี่สาวข้ากันแน่!”

ต่งหย่งเองก็ลุกยืนพรวด ถลกแขนเสื้อหมายจะไปตบหน้าภรรยา เฉิงสื่อซึ่งนั่งอยู่ข้างต่งหย่งมิได้ขยับร่าง เพียงเหยียดแขนข้างหนึ่งไปดึงต่งหย่งไว้ ไม่รู้เขาบิดแล้วกดอย่างไร แขนของต่งหย่งก็ถูกพับกดตรึงกับพื้นแล้ว จากนั้นพอเขาขยับมืออีกข้างเล็กน้อยก็ได้ยินเสียงเพียะกังวานใส เห็นใบหน้าของต่งหย่งบวมเป่งดุจหัวหมูในทันที

เฉิงสื่อเอ่ยกับต่งหย่งเสียงเย็นชา “ที่นี่คือสกุลเฉิง ไม่ถึงคราวที่เจ้าจะใช้กำลังอวดศักดา” จบคำเขาปรายตามองน้าต่งอย่างเยียบเย็นชวนสะพรึง

เฉิงเซ่าซางคิดในใจ ช่างสมเป็นแม่ลูกกันแท้ๆ สองคนนี้ด่าเป็นด่า ตบเป็นตบ ไม่มีอ้อมค้อมสักนิดเดียว

 

* ต่งหย่ง คือตัวละครจากหนึ่งในสี่สุดยอดตำนานพื้นบ้านของจีน ต่งหย่งเป็นลูกกตัญญู ขายตัวเป็นทาสเพื่อแลกค่าฝังศพบิดา ชีเซียนหนี่ว์ (เทพธิดาองค์ที่เจ็ด) ซาบซึ้งใจจึงลงจากสวรรค์มาช่วยเหลือและแต่งงานอยู่กินกับเขา ต่อมานางถูกเรียกตัวกลับสวรรค์ไป หนึ่งปีให้หลังนางจึงส่งบุตรลงมาอยู่กับต่งหย่งบนโลกมนุษย์

** ปราบเสือพี่น้องสู้ ออกศึกพ่อลูกรบ หมายถึงสามัคคีกันทำงาน จึงจะเอาชนะทุกอุปสรรค เฉกเช่นยามปราบเสือต้องบุกไปด้วยกันดุจพี่น้อง ยามออกศึกต้องร่วมใจกันดุจพ่อลูก

ผู้คนในงานเลี้ยงมีสีหน้าอาการต่างกันไป ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเมินหน้า แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและไม่ไยดี ท่านรองเฉิงเฉิงกำลังก้มหน้าไม่รู้คิดอันใดอยู่ จึงมองไม่เห็นและไม่ไยดีอย่างแท้จริง น้าต่งถูกเฉิงสื่อมองจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ต่งหลี่ว์ซื่อใช้แขนเสื้อป้องใบหน้า มุมปากกำลังโค้งขึ้นน้อยๆ เซียวฮูหยินหน้าตายราวไม่มีอันใดเกิดขึ้น ต่างจากเก่อซื่อกับผู้เยาว์สองคนที่อยู่ท้ายโถงล้วนแต่ชมดูจนปากอ้าตาค้าง

เซียวฮูหยินจิบสุราหนึ่งคำ วางจอกลงอย่างงามสง่าก่อนเอ่ย “ท่านน้ากับน้องหย่งช่างมีอำนาจใหญ่โตนัก ผู้ที่ไม่รู้อาจจะนึกไปว่าสกุลเฉิงยกให้พวกท่านเป็นผู้สั่งการแล้ว” จากนั้นนางก็หันไปเอ่ยกับต่งหลี่ว์ซื่ออย่างอ่อนโยน “ปกติท่านแม่อยู่เหงาเพียงลำพัง เจ้าหมั่นแวะมาพูดคุยเป็นเพื่อนนางมากๆ หน่อย”

น้าต่งเข้าใจแผนการของเฉิงสื่อสองสามีภรรยาแล้ว จึงรีบหมอบกับพื้นร้องห่มร้องไห้ใหญ่ “พี่สาว ท่านไม่ไยดีน้องคนนี้แล้ว ท่านลืมเลือนสิ่งที่เคยรับปากไว้ก่อนท่านพ่อจะล่วงลับแล้วหรือ ท่านยังสู้หน้าท่านพ่อได้หรือไร”

เล่ห์กลตื้นๆ มีหรือจะหลุดรอดจากการวางแผนของเซียวฮูหยินไปได้ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงถูกหูเอ่าสอนไว้แต่แรกแล้ว จึงโต้กลับไปทันที “ข้าไม่ไยดีเจ้าตรงที่ใด ทุกวันนี้ที่เจ้าสวมใส่คือผ้าดิ้นทอลายผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด ที่กินอยู่คือหมูปลาเป็ดไก่ ยามเข้าออกล้วนมีบ่าวให้เรียกใช้ ตอนที่ท่านพ่อยังอยู่ มีชีวิตที่ดีเพียงนี้เมื่อไรกัน เปรียบกับเมื่อก่อนสุขสบายกว่ามากโข ข้าจะผิดต่อท่านพ่อได้อย่างไร”

น้าต่งถึงกับพูดติดอ่าง “แต่พวกพี่สาวสวมผ้าไหมต่วนแพร ความเป็นอยู่ยิ่ง…”

“ยิ่งอะไรของเจ้า!” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงตวาดตัดบท “ชีวิตที่ดีของสกุลเฉิงทุกวันนี้ล้วนเป็นลูกข้าตะลุยกองเพลิงกองโลหิตฝ่าฟันมา เกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย เมื่อแรกหากเจ้ายอมออกแรงเสียบ้าง ตอนนี้ก็มีความเป็นอยู่เช่นนี้ได้เหมือนกัน”

น้าต่งเดือดดาลจนถึงกับน้ำตาหยด “ตัวพี่สาวเองคล้องทองประดับเงิน น้องชายกลับได้แค่ชีวิตที่ดีกว่าครอบครัวชาวนาเล็กน้อยเท่านั้นหรือ!”

เฉิงเซ่าซางฟังมาถึงตอนท้ายยิ่งสนุกสนาน คิดในใจว่า ได้แต่โทษที่จุดเริ่มต้นของพวกท่านสกุลต่งอยู่เตี้ยนัก จึงมีจุดให้พัฒนาอีกมากเหลือเกิน

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงฟาดตะเกียบไม้แล้วถลึงตาพูดประชด “ถ้าอย่างนั้นมิสู้ข้ายกคลังเก็บสิ่งของของสกุลเฉิงให้เจ้าไปครึ่งหนึ่งเสียเลย?” นางแพ้ทางไม้อ่อนไม่จำนนต่อไม้แข็ง หากน้องชายอ้อนวอนด้วยถ้อยคำอันนุ่มนวล ไม่แน่เรื่องราวอาจยังมีโอกาสพลิกผัน น่าเสียดายน้าต่งกลับใช้ผิดวิธี ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงด่ากราด “หลายปีที่ผ่านมาเจ้ากินของสกุลเฉิง ใช้ของสกุลเฉิง ตอนนี้ยังคิดจะวางอำนาจใส่คนสกุลเฉิงด้วยใช่หรือไม่! เจ้าจงแยกแยะให้ชัด เจ้าเป็นบุตรชายสกุลต่ง ข้าเป็นสะใภ้สกุลเฉิง แม้พวกเราเป็นพี่น้อง ทว่าบรรพชนต่างกันแล้ว ข้าย่อมไม่อาจเอาทั้งสกุลเฉิงไปจุนเจือเจ้ากระมัง” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงพูดจาโผงผางจะแจ้ง แต่ได้ผลดียิ่ง น้าต่งถึงกับมึนงงไปทีเดียว

เฉิงสื่อพึงพอใจกับการแสดงออกของมารดาเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าหนวดดกจึงโปรยยิ้มอ่อนโยนไปให้มารดา เฉิงเซ่าซางสะดุ้งเฮือกอย่างห้ามไม่อยู่ ต่างจากฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงที่แสนอิ่มเอมใจ เบิกบานเป็นเท่าทวี

หลังจากน้าต่งหายมึนงงก็รีบเรียบเรียงคำพูดแล้วเอ่ยเสียงนอบน้อม “ดูพี่สาวพูดเข้า ข้ามีหรือจะกล้าวางอำนาจต่อหน้าหลานชาย เพียงแต่บัดนี้หลานชายเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ข้า…ข้าจึง…” พูดๆ อยู่เขาก็สะอื้นออกมา “ข้าจึงอยากพึ่งพาบารมีสักหน่อยเท่านั้น ใครใช้ให้น้องชายของท่านไม่เอาไหนเล่า บุ๋นก็ไม่ไหว บู๊ก็ไม่ได้ ภายหน้าไม่มีหน้าจะไปพบท่านพ่อแล้วจริงๆ…” พูดมาถึงตรงนี้ น้ำตาก็ไหลลงมาโดยตรง

ครั้นเห็นน้องชายก้มหัวรับผิด ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็ชักจะหักใจไม่ค่อยลงแล้ว เซียวฮูหยินจึงยิ้มเยาะเบาๆ ก่อนเอียงกายเล็กน้อยไปเอ่ยกับต่งหลี่ว์ซื่อเสียงอ่อนโยน “วันหน้าพาเด็กๆ มาให้ข้าดูบ้างสิ ไม่เจอกันตั้งสิบปี ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไรแล้ว”

เฉิงสื่อรีบร้องรับเป็นลูกคู่ “มิผิด ถึงเวลาที่ควรเล่าเรียนก็เล่าเรียน ที่ควรหางานการก็หางานการ อย่าได้หัดเอาอย่างบิดากับปู่ของพวกเขา รู้จักแต่เกียจคร้านรักสบาย เกี่ยงงานปัดความรับผิดชอบ!”

ต่งหลี่ว์ซื่อฮึกเหิมขึ้นมาทันตา นางมีสามีมิสู้ไม่มียังดีเสียกว่า ยามนี้ความคิดจิตใจของนางล้วนทุ่มเทไปที่บุตรชายหญิงจนสิ้น มีคำพูดประโยคนี้ของเฉิงสื่อสามีภรรยา ยังมีสิ่งใดที่นางจะไม่ปฏิบัติตามเล่า

พอฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงถูกเตือนสติ ก็เอ่ยกับน้องชายทันใด “เจ้าเลิกร้องไห้เสียที อายุปาเข้าไปตั้งห้าสิบแล้ว เจ้าไม่ได้ความมาครึ่งค่อนชีวิต แก่ตัวแล้วจะพลันเปลี่ยนนิสัยได้หรือ หลานหย่งก็เช่นกัน หากมีแก่ใจจริงๆ ก็คงไม่รอจนถึงวันนี้หรอก ในเมื่อไม่เอาไหน ก็จงใช้ชีวิตอย่างซื่อตรงแบบคนไม่เอาไหนไป วันทั้งวันอย่ามัวแต่คิดจะเอาเปรียบไม่รู้จักพอ อย่าอาศัยชื่อหลานชายเจ้าไปข่มเหงผู้อื่น ประเดี๋ยวจะก่อเรื่องให้สกุลเฉิงอีก จงเร่งชี้แนะอบรมพวกเด็กๆ จะสำคัญกว่า นี่ต่างหากเรียกว่าไม่ผิดต่อท่านพ่อ!”

ชั่วขณะนี้น้าต่งไม่รู้ว่าควรจะพูดอันใดดีแล้ว

เห็นริมฝีปากน้องชายขมุบขมิบ ดูเหมือนยังไม่ยอมรับ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงจึงรีบเอ่ยย้ำ “แล้วเจ้าก็ไม่ต้องเอาคำหวานมาหลอกข้าทั้งวี่วันด้วย ราชวงศ์ก่อน…ไทเฮาอะไรสักอย่างนั่น…มิใช่คิดแต่จะเกื้อหนุนสกุลเดิมหรอกหรือ ปรากฏว่าหนุนไปหนุนมากลายเป็นเอาทั้งแผ่นดินของสกุลสามีหนุนไปให้หลานชายสกุลเดิม ใต้หล้าถึงได้โกลาหลหนัก วุ่นวายจนผู้คนตั้งเท่าไรต้องบ้านแตกสาแหรกขาด! สุดท้ายค่อยมารู้จักคำว่าเสียใจ สายไปเสียแล้ว ข้าว่านางยังจะมีหน้าอันใดลงไปยมโลก!”

เฉิงเซ่าซางตะลึงงัน…เอ่อ ยังมีไทเฮาพิสดารเช่นนี้ด้วยหรือนี่ เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินเลยเล่า เด็กสาวเพิ่งนึกได้ว่าชาติก่อนตนเป็นเด็กสายวิทย์คณิตแบบเต็มตัวจนไม่อาจจะเต็มตัวไปกว่านี้ได้อีก วิชาประวัติศาสตร์อันใด แทบดูเหมือนไม่ได้เข้าเรียนมาหลายชาติภพแล้ว

ไทเฮาที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ตนรู้จักเพียงซูสีกับบูเช็กเทียน แล้วก็ครึ่งหนึ่งของเซี่ยวจวง ต่อให้เซี่ยวจวงอยากจะยกแผ่นดินให้สกุลเดิมก็ทำไม่ได้หรอก เพราะหลานชายของนางคือคังซีเชียวนะ ส่วนซูสี หากนางยกแผ่นดินให้สกุลเดิมไป พวกชาติมหาอำนาจจะทำอย่างไรกันเล่า หรือว่าที่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงพูดถึงคือบูเช็กเทียน? เฉิงเซ่าซางก้มศีรษะมองหน้าอกตนเองด้วยความฉงน เช่นนั้นเหตุใดคอเสื้อจึงสูงแบบนี้ เนินอกไม่ได้เผยออกมาสักนิดเดียว เครื่องแต่งกายสมัยถังจะคร่ำครึเพียงนี้เชียวหรือ ต่อให้ตนยังหน้าอกแบนราบ แล้วเกลียวคลื่นซัดสูงของเซียวฮูหยินเล่า ไฉนสักเสี้ยวก็ไม่เผยเช่นกัน

เปรียบกับไทเฮาราชวงศ์ก่อนที่รนหาเคราะห์ร้ายใส่ตัว ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงรู้สึกว่าตนเองช่างรู้จักขอบเขตอันควร จึงเอ่ยอย่างแสนกระหยิ่มใจ “ยังมีสะใภ้บ้านสามของสกุลตงหลีว์ รายนั้นก็จุนเจือสกุลเดิมทั้งวี่วัน เมื่อแรกอาจารย์หวังที่พำนักอยู่กับสกุลตงหลีว์บอกว่าจะไปศึกษาเพิ่มเติมกับเทพเซียนเหยียน พาศิษย์ไปได้เพียงคนเดียว นางถึงกับแอบส่งหลานสกุลเดิมไป เฮอะ สกุลตงหลีว์อันใหญ่โตจะหาเด็กที่หัวดีสักคนไม่เจอเชียวหรือ บุตรชายสองคนของนางเองก็ออกจะเล่าเรียนเก่ง ต่อมาดีแท้ หลานสกุลเดิมของนางเล่าเรียนจนได้เป็นขุนนาง คนสกุลตงหลีว์กลับต้องเป็นฝ่ายไปประจบเอาใจ หึๆ ควรจะให้สตรีทั่วหล้าได้รับรู้จริงๆ!”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงพูดพลางจงใจชำเลืองเซียวฮูหยินปราดหนึ่ง ใครจะรู้สีหน้าของเซียวฮูหยินไม่มีสะทกสะท้าน กลับเป็นเฉิงสื่อเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “ท่านแม่พูดอันใดของท่านน่ะ” เรื่องแรกเป็นเซียวฮูหยินบอกให้เขาเล่าให้มารดาฟัง เรื่องหลังเป็นฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแสดงฝีมือออกมาเอง “หากหลานๆ ตระกูลสะใภ้มีใจรักความก้าวหน้าจริงๆ ลูกย่อมจะช่วยเหลือ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้สกุลตงหลีว์ย่ำแย่หรือไร”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงขึงตาใส่ก่อนกล่าว “นั่นเป็นเพราะพวกเขาเอาชีวิตลูกหลานเข้าเสี่ยง มารบใต้สังกัดเจ้าจนแลกได้ตำแหน่งขุนนางมา! มีหรือจะเทียบกับคนที่นั่งเป็นขุนนางสบายๆ อยู่ในห้องหนังสือได้!”

เฉิงเซ่าซางฟังอย่างออกรส หากมิใช่กลัวถูกดุด่า นางก็อยากถามจริงๆ ว่าสะใภ้ที่กินในโกยนอก* ผู้นั้นต่อมาเป็นเช่นไรแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงยิ่งพูดยิ่งมีความมั่นใจ จึงเอ่ยใส่หน้าน้าต่งไปว่า “เจ้าเลิกคิดนั่นคิดนี่เสียที หนนี้เจ้ายักยอกยุทโธปกรณ์ ก่อเรื่องให้หลานชายเจ้ามิใช่เล็กๆ ทำไม…หรือเจ้ายังอยากสร้างความเดือดร้อนให้เขาอีก รับทรัพย์เสพสุขให้เจ้ามา รับเคราะห์เสี่ยงชีวิตให้ลูกข้าไป? มีเรื่องดีเพียงนี้เสียที่ใดกัน! เจ้าเป็นบรรพชนสกุลเฉิงหรือไรถึงต้องยกถวายบูชาเจ้า!”

วาจาเอ่ยมาถึงขั้นนี้แล้ว พ่อลูกสกุลต่งย่อมไม่ต้องกล่าวอันใดอีก ทั่วโถงพลันเงียบเชียบ เหลือเพียงเสียงของต่งหย่งที่ป้องหน้าสะอื้นแผ่ว เฉิงสื่อพึงพอใจยิ่งยวด กระนั้นก็ยังหันมาเตือนพ่อลูกสกุลต่งอย่างดุดัน “หากให้ข้ารู้ว่าต่งหลี่ว์ซื่อบาดเจ็บสึกหรอตรงที่ใด ข้าจะมอบคืนให้ท่านน้ากับบุตรชายตามนั้น!”

เฉิงสื่อฆ่าฟันในทะเลโลหิตมานานปี พลังอันเหี้ยมเกรียมที่ปะทุออกมาย่อมจะมิใช่เล่นๆ เดิมทีพ่อลูกสกุลต่งก็เป็นพวกกุ้งขาอ่อน** ได้ยินเช่นนี้จึงได้แต่ขานรับเป็นพัลวัน เฉิงเซ่าซางโห่ร้องในใจว่า เยี่ยมยอด อุบายนี้อัจฉริยะโดยแท้ คำนึงถึงรอบด้าน ไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย คนทั้งในและนอกบ้านล้วนจนด้วยถ้อยคำแล้ว

เฉิงสื่อถลึงตาใส่พ่อลูกสกุลต่ง ก่อนถามย้ำเสียงหนัก “ฟังเข้าใจแล้วหรือไม่” ต่งหย่งอยู่ใกล้ กลัวแต่ว่าจะถูกซัดอีกฝ่ามือ จึงรีบพยักหน้าหงึกๆ น้าต่งช้าไปหนึ่งจังหวะก่อนจะรีบพยักหน้าเช่นกัน

“เช่นนั้นก็กินอาหารได้!” เฉิงสื่อตะโกนสั่ง พ่อลูกสกุลต่งก็ตะลีตะลานกลับที่นั่งแล้วฉวยตะเกียบไม้ขึ้นทันที อาการหนีเตลิดนี้ว่องไวยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก

คนทั้งหมดต่างพากันหยิบตะเกียบกินอาหาร ในโถงมีเพียงเก่อซื่อที่กระสับกระส่ายวุ่นวายใจ นับแต่น้าสะใภ้ต่งถูกไล่ตะเพิดออกไปเมื่อหลายวันก่อน นางก็รู้สึกตงิดๆ แล้วว่าทุกสิ่งไม่ชอบมาพากล ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงคล้ายเข้าใจและให้อภัยเซียวฮูหยินแล้ว หลายวันมานี้ยามที่แม่สามีเจอหน้าลูกสะใภ้ใหญ่ล้วนไม่เคยโมโหโทโส ไม่ว่าตนจะยุแยงเช่นไรก็มีแต่หาเรื่องเสียหน้าใส่ตัว ไม่มีผู้ใดมาแยแสตน

เก่อซื่อมองเฉิงเฉิงสามีที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม ก่อนเบนสายตาไปมองฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงตรงที่นั่งประธาน การโต้เถียงราวพายุโหมกระหน่ำเมื่อครู่นี้ตนไม่มีปัญญากระทั่งจะสอดปาก ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องยังเกี่ยวพันถึงสกุลต่ง รอยฝ่ามือที่ถูกตบเมื่อหลายวันก่อนฉาดนั้นยังคงเจ็บแปลบๆ อยู่เลย

หลังจากข่มใจแล้วข่มใจอีก จวบจนเห็นบรรยากาศผ่อนคลายลงแล้ว เก่อซื่อที่ยังคงข่มใจไม่ไหวก็ฝืนยิ้มกล่าว “ท่านแม่…”

ในใจเฉิงเซ่าซางระรื่นราวกับหนูตัวเล็กที่เริงร่า…มาแล้วๆ พวกที่สมควรจะถูกฟาดมาอีกคนแล้ว

ใครจะรู้ไม่ทันรอให้เก่อซื่อพูดต่อไป เฉิงสื่อกลับเอ่ยขึ้นมาก่อน “งานเลี้ยงวันนี้ ประการแรกเพื่อปลอบขวัญท่านน้าที่ได้รับความตระหนก ประการที่สองเพราะข้ามีเรื่องน่ายินดีจะประกาศ”

ด้วยถูกขัดจังหวะชมเรื่องสนุก เฉิงเซ่าซางจึงคิดในใจอย่างหัวเสีย เรื่องน่ายินดีอันใดกัน หรือว่าท่านจะแต่งภรรยาน้อย?

 

* กินในโกยนอก หมายถึงรับผลประโยชน์จากฝ่ายนี้ แต่กลับทุ่มเทให้ฝ่ายนั้น เฉกเช่นผู้ที่กินของคนใน แต่กลับกอบโกยแบ่งคนนอก

** กุ้งขาอ่อน ใช้เปรียบเปรยถึงคนที่เหนื่อยล้าหรืออ่อนแอจนตัวงอและแข้งขาอ่อนนิ่มเหมือนกุ้ง และยังหมายถึงคนที่หนีหายหรือถอนตัวไปเพราะกลัวที่จะต้องทำอะไรบางอย่างจนแข้งขาอ่อน

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: