ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 2 บทที่ 35
เฉิงเซ่าซางเพิ่งกินอาหารเช้าเสร็จ พี่ชายทั้งสามของนางก็มาถึงพร้อมหน้า
ขณะที่เฉิงหย่งกล่าวขออภัยต่อฮูหยินผู้เฒ่าวั่นด้วยความจริงใจ บอกว่าครอบครัวตนสร้างความยุ่งยากแก่สกุลวั่น เฉิงซ่งก็ดึงตัววั่นชีชีมาถึงตรงหน้าวั่นฮูหยิน บอกเล่าข่าวลือที่ได้ฟังมาจากท้องถนนข้างนอก เย้าให้พวกนางผลิยิ้มไม่หุบ ฝ่ายเฉิงเซ่ากงนำของกินเล่นเต็มหนึ่งห่อมาให้เฉิงเซ่าซาง กับยันต์ที่เขาวาดเองและเพิ่งบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แทนน้องสาวฝาแฝดหนึ่งแผ่น บอกให้นางหนุนนอน ดูว่าจะพลิกดวงที่ไม่ดีในช่วงนี้ได้หรือไม่
พร้อมกันนี้พวกเขายังนำสัมภาระเช่นเสื้อผ้าเครื่องใช้ประจำตัวมาให้เฉิงเซ่าซางด้วย และแจ้งว่าเซียวฮูหยินอนุญาตโดยนัยให้นางพำนักที่จวนสกุลวั่นได้หลายวัน ส่วนแผ่นไม้เหล่านั้นพักไว้ชั่วคราว กลับไปแล้วค่อยๆ ลงโทษคัด
นับแต่นั้นแม้กระทั่งความวิตกสุดท้ายก็ไม่มีอีก เฉิงเซ่าซางพำนักอยู่ที่นี่อย่างสบายอกสบายใจ นอกจากแผลหายช้าไปสักหน่อย วันเวลาที่จวนสกุลวั่นก็กล่าวได้ว่าสมบูรณ์พร้อม ทุกวันกินร่วมห้องนอนร่วมเตียงกับวั่นชีชี มีอาภรณ์แพรลายวิจิตร อาหารเลิศรสล้ำค่า กับการปรนเปรอจนเลยเถิดหลากรูปแบบ แม้แต่จะล้างเท้าก็ยังมีสาวใช้สี่ห้าคนแยกกันนวดคลึงนิ้วเท้าทั้งสิบของนาง
วั่นชีชียังสอนนางแข่งเดินหมาก ปาธนูลงเหยือก ทอยลูกเต๋า…บางครั้งผู้เล่นไม่พอ วั่นชีชียังลากอนุกับหญิงรับใช้อาวุโสหลายคนของวั่นซงไป่มาร่วมด้วย คนทั้งหมดสรวลเสเฮฮา หัวเราะครื้นเครงไม่ขาด บางคราเดิมพันจนร้อนใจใช้อารมณ์ ยังต้องตามวั่นฮูหยินมาเป็นผู้ตัดสิน บรรยากาศครอบครัวกลมเกลียวยิ่งยวด
“แม่เล็กหลายคนนี้ของพี่ชีชีเข้ากับท่านป้าวั่นได้ดียิ่ง”
นับแต่มาถึงโลกใบใหม่นี้ เฉิงเซ่าซางก็ลอบคาดหวังมาตลอดว่าจะได้ชมการขับเคี่ยวระหว่างภรรยากับอนุในยุคโบราณแบบต้นตำรับขนานแท้และดั้งเดิมสักครั้ง น่าเสียดายสกุลเฉิงไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘อนุ’ ดำรงอยู่เลย
“เจ้าจะรู้อันใด ท่านแม่ข้าดีต่อพวกนางไม่รู้เท่าไร สิ่งใดกินดีดื่มดีล้วนยกมอบให้ เพียงมุ่งหวังว่าพวกนางจะมีผู้สืบสกุลให้ท่านพ่อ น่าเสียดายหนอ ตอนที่ข้ายังเด็ก บรรดาแม่เล็กยังพอจะมีความฮึกเหิม บัดนี้แต่ละคนกลับทดท้อกันหมดแล้ว” วั่นชีชีส่ายหน้า แสดงความรู้สึกผิดหวังต่อความสามารถเฉพาะทางและความกระตือรือร้นที่จะใฝ่หาความก้าวหน้าของบรรดาแม่เล็ก
ถอนหายใจจบวั่นชีชีก็คว้าตัวเฉิงเซ่าซางไปเล่นสนุกต่อ
หากมิใช่ผิวน้ำแข็งไม่มั่นคง นางยังอยากจูงเฉิงเซ่าซางไปละเล่นบนน้ำแข็งกันด้วยซ้ำ นอกจากขโมยสุราสะสมของวั่นซงไป่มาร่วมดื่มกันหนึ่งไหจนเด็กสาวทั้งสองเมาพับ นางยังเตรียมไก่ห้าสีตัวผู้ไว้หลายตัว ตั้งใจว่ารอจนใบหน้าเฉิงเซ่าซางไม่ใช่หัวหมูแล้วจะพาอีกฝ่ายไปเปิดหูเปิดตาที่สนามไก่ชนในตลาด
เด็กสาวสองคนเล่นสนุกอย่างเริงรื่นชื่นบาน ผิดกับวั่นฮูหยินที่อยากจะร่ำไห้ทว่าไร้น้ำตา หวั่นใจว่ารอจนเฉิงเซ่าซางกลับบ้านไป เซียวฮูหยินจะค้นพบว่าบุตรสาวซึ่งเดิมทีแม้ดื้อรั้นแต่ก็ไม่รู้เดียงสาใดๆ เพียงมาพำนักระยะสั้นที่สกุลวั่นเที่ยวเดียว ยามหวนคืนสกุลเฉิงกลับแตกฉานทุกด้านทั้งกินดื่มเที่ยวเล่นเสียแล้ว
เวลานี้เฉิงเซ่าซางในฐานะผู้มีจิตวิญญาณของผู้ใหญ่ซึ่งรู้จักยับยั้งชั่งใจตนเองก็แสดงข้อดีออกมา ภายหลังใช้ชีวิตสุขสำราญอย่างเลอะเลือนไปหลายวัน นางพลันขอแผ่นไม้ พู่กัน และน้ำหมึกจากวั่นชีชี เริ่มกลับมาอ่านตำราคัดอักษรวันละสองชั่วยาม ยืนกรานว่าจะต้องเล่าเรียนจบค่อยเล่นสนุกได้ อักษรโบราณที่เพิ่งเรียนรู้มา ความทรงจำยังไม่ตราตรึง จะปล่อยให้ลืมไปไม่ได้เชียว
แรกเริ่มวั่นชีชียังคิดจะฝืนดึงเฉิงเซ่าซางออกไปเล่นด้วยกัน ทว่าต่อต้านถ้อยคำอันทรงพลังไม่ขาดตอนของเฉิงเซ่าซางไม่ไหว
“ใต้หล้านี้มีสหายอยู่สองจำพวก พวกหนึ่งเรียกว่าคบกันที่เนื้อสุรา ยามปกติร่วมกินดื่มเที่ยวเล่น ยามคับขันไร้ประโยชน์แม้เพียงนิด อีกพวกหนึ่งเรียกว่าคบกันที่หัวใจ เห็นสหายมีเรื่องทุกข์ร้อน สามารถสละตนเคียงข้างได้”
เพื่อคำว่า ‘คบกันที่หัวใจ’ วั่นชีชีจึงได้แต่สละตนร่วมเล่าเรียนเคียงข้างเฉิงเซ่าซาง
วั่นฮูหยินไม่คิดร่ำไห้แล้ว นางรีบแสดงความเห็นต่อแม่สามี ความว่านายท่านผู้เฒ่ารู้ซึ้งปรุโปร่ง ก้มพินิจจากมุมสูง มองการณ์ได้ยาวไกล มีพรสวรรค์เหนือสามัญ เป็นผู้มากความสามารถที่ฟ้าประทานลงมาโดยแท้…จากนั้นนางก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าวั่นไล่ออกมาอย่างหมดความอดทน
เพียงแต่เฉิงเซ่าซางก็มียามที่อยู่ลำพังเช่นกัน
วั่นฮูหยินแม้ไม่นับว่าคบหาผู้คนกว้างขวาง แต่ก็จำเป็นต้องพาวั่นชีชีออกไปร่วมสังสรรค์บ่อยครั้ง ถึงช่วงเวลานี้เฉิงเซ่าซางจะเดินเตร็ดเตร่เรื่อยเปื่อยไปทั่วจวน สำรวจสิ่งปลูกสร้างแบบโบราณโดยรอบด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในจำนวนนี้สิ่งที่เรียกความสนใจของนางมากที่สุดคือสะพานไม้เล็กๆ แห่งหนึ่ง
สะพานเล็กทรงโค้งนี้กว้างเพียงจั้งเศษ ยาวเจ็ดแปดจั้ง โก่งสูงดุจรุ้งกินน้ำตัวหนึ่ง โครงสร้างเป็นไม้ทั้งหมด ไม่มีตะปูเหล็กหรือหมุดสำริดแม้สักตัว ล้วนอาศัยทักษะอันสูงส่งกับการคำนวณอันแม่นยำของช่างไม้ ใช้ไม้ที่ยาวสั้นกว้างแคบต่างกันไปพาดคานกันและกันทั้งบนล่างซ้ายขวา สลับเป็นชั้นๆ จนสำเร็จ
มีหนหนึ่งหลังสนทนาสัพเพเหระกับพ่อบ้านจวนสกุลวั่น เฉิงเซ่าซางค่อยรู้ว่าในคดีที่ก่อนหน้านี้สกุลปู้ทรยศหลบหนี สะพานไม้เล็กๆ แห่งนี้เคยถูกทหารที่มาค้นจวนโจมตี ปัจจุบันจึงให้ความรู้สึกง่อนแง่น ทว่าตัวสะพานฝีมือประณีตยิ่ง มิใช่ช่างไม้ทั่วไปเคาะๆ ตอกๆ เล็กน้อยก็จะซ่อมแซมได้ พ่อบ้านบอกว่ามีแต่ต้องรื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่เท่านั้น
เฉิงเซ่าซางลอบอุทานว่าน่าเสียดาย วันนี้ขณะพักกลางวันตามลำพัง นางพลันผุดประกายความคิด บังเกิดความกระตือรือร้นใฝ่รู้ จึงรีบคลุมเสื้อลุกขึ้น สั่งให้บ่าวรับใช้ถอยไป ตนเองไปถึงสะพานแห่งนั้นแล้วปีนลงไปตรวจดูข้างใต้อย่างระมัดระวัง ลำธารน้อยใต้สะพานมีความลึกไม่ถึงครึ่งฉื่อ กระแสน้ำใต้ผิวน้ำแข็งชั้นบางๆ ไหลเอื่อย แลเห็นหินหลากสีที่คลุมอยู่ก้นธารได้รำไร คาดว่าเดิมทีสะพานกับธารน้ำนี้คงมีไว้เพื่อชมทัศนียภาพ
เฉิงเซ่าซางขดร่าง เอวงอหลังงุ้ม เพียรแหงนหน้ายกมือสัมผัสจุดเชื่อมต่อสำคัญหลายจุดนั้น ผ่านไปพักใหญ่นางก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ไม่ต้องเปลืองแรงหาช่างไม้มารื้อถอนหรอก ขอเพียงชักแท่งไม้เล็กๆ ออกไม่กี่แท่ง ไม่นานนักสะพานไม้นี้ก็จะพังครืนลงมาเอง หากจะสร้างใหม่ก็ง่ายยิ่ง เพราะนางสามารถวาดภาพโครงสร้างสะพานนี้ตามแบบเดิมได้ทุกกระเบียดแล้ว!
ขณะนึกถึงจุดที่ชวนให้กระหยิ่มยิ้มย่อง เฉิงเซ่าซางพลันได้ยินเสียงฝีเท้าแว่วมาจากริมฝั่งเหนือศีรษะ นางตระหนักได้ทันทีว่ามีคนจำนวนมากกำลังเดินมุ่งมาทางนี้ นางรู้สึกกระอักกระอ่วนที่ตนมาเป็นแขกในบ้านผู้อื่น แต่กลับเกาะอยู่ใต้สะพานคลำนู่นนี่จนเปรอะดินโคลนไปทั้งตัว นี่จะเป็นนิสัยอันพิลึกพิลั่นเพียงใดในสายตาของคนโบราณ คิดแล้วนางจึงไม่ออกไปเสียเลย ตั้งใจว่ารอคนเหล่านั้นจากไปก่อนค่อยปีนขึ้นไป
คนกลุ่มนั้นเดินพลางพูดพลาง ย่างก้าวแช่มช้า เสียงสนทนาเคลื่อนจากระยะไกลเข้ามาใกล้ ที่ดังนำมาก็คือเสียงหัวเราะอันเปิดเผยของวั่นซงไป่
“ใต้เท้าหลิงเอ่ยเรื่องขบขันแล้ว ในชีวิตของผู้แซ่วั่นโปรดปรานหญิงงามกับทรัพย์สินเป็นที่สุด ผู้ใดไม่รู้บ้าง พวกรูปภาพเช่นนี้ข้าดูเป็นเสียเมื่อไร ไม่มีๆ ไม่มีเด็ดขาด ฮ่าๆๆ…”
จากนั้นเป็นเสียงอันเนิบเบาเรียบเย็นของชายหนุ่มผู้หนึ่ง “ในเมื่อวั่นโหวบอกว่าไม่มี เช่นนั้นก็น่าจะไม่มี เพียงแต่เมื่อวานข้าได้ยินวั่นโหวกับใต้เท้าหวังนัดหมายเตะลูกหนัง คาดว่าอาการบาดเจ็บที่ขาคงจะหายสนิทแล้ว”
เสียงฝีเท้าจากริมฝั่งพลันหยุดชะงัก เพียงได้ยินวั่นซงไป่หัวเราะแห้งๆ สองสามที เฉิงเซ่าซางฟังออกว่าเสียงหัวเราะนี้ไม่ค่อยจริงใจนัก
หน้าผากนางผุดเหงื่อซึมทันใด ในใจร้องตะโกนว่า พวกท่านรีบๆ ไปให้พ้นเลยนะ ข้าไม่อยากจะได้ยินอันใดที่ไม่ควรฟัง! ขามีอะไรเล่า ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นขาหายดีแล้วนึกอยากเตะลูกหนังหรือไร!
ยังดีที่คนกลุ่มนี้หยุดยืนเพียงครู่เดียวก็ย่างเท้าออกเดินต่อ ครานี้ฝีก้าวถี่รัว จากไปอย่างรวดเร็ว เฉิงเซ่าซางเพียงได้ยินคำพูดของท่านลุงวั่นรางๆ ว่า “ใต้เท้าหลิงเชิญตามข้ามา…” ถ้อยคำที่เหลือล้วนแผ่วเบาจนไม่อาจได้ยินอีก
รอจนพวกเขาจากไปไกลลิบ เฉิงเซ่าซางค่อยปีนขึ้นมาจากใต้สะพานอย่างว่องไว ปัดๆ ดินโคลนบนร่าง แล้วรีบเผ่นกลับห้องไปทำลายหลักฐาน
ผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญไปหนึ่งหนเช่นนี้ เฉิงเซ่าซางย่อมนอนกลางวันไม่หลับแล้ว นางล้างหน้าหวีผมเสร็จจึงเปลี่ยนมาสวมชุดขี่ม้าแบบแขนเสื้อพับทบ คู่กับกระโปรงบานรัดกระชับช่วงเอว เตรียมตัวไปสนามฝึกม้าทบทวนทักษะการขี่ม้าที่หมวยสิบสามเพิ่งจะสอนเสียเลย
บ่าวเก่าแก่ผู้ดูแลคอกม้าจูงม้าเพศเมียตัวเล็กอุปนิสัยอ่อนโยนตัวหนึ่งซึ่งพักนี้เฉิงเซ่าซางขี่จนคุ้นเคยแล้วมาให้นางอย่างรอบคอบยิ่ง ทั้งเปลี่ยนอานม้าที่งามพริ้งใหม่เอี่ยมให้อีกด้วย เฉิงเซ่าซางพินิจชื่นชมหมุดสำริดบนโกลนม้าอันประณีตเงาวับนั้นรอบหนึ่ง ก่อนจูงม้าไปเองอย่างเบิกบานใจโดยไม่ให้บ่าวเก่าแก่ผู้นั้นติดตามมา
สนามฝึกม้าที่ลานด้านหลังของจวนสกุลวั่นไม่ใหญ่โต วิเคราะห์จากพุงพลุ้ยๆ ของท่านลุงวั่นแล้ว ผู้มาใช้งานที่นี่คงจะไม่เยอะนัก เฉิงเซ่าซางจูงม้ามาหยุดในสนาม เท้าซ้ายเหยียบโกลนส่งร่างขึ้นกลางอากาศแล้วนั่งลงบนอานได้อย่างมั่นคง ท่วงท่าก็งดงามตรงตามหลักเกณฑ์ ร่างกายนี้แม้ภายนอกคล้ายลูกเจี๊ยบที่เปราะบางไปสักหน่อย ทว่าแขนขาประสานงานกันได้ไม่เลวทีเดียว ขณะที่เฉิงเซ่าซางกำลังลำพอง ใครจะรู้ว่านางเพิ่งนั่งลงไป กลับรู้สึกว่าท่าจะไม่ดีเสียแล้ว
ที่แท้อานใหม่นี้ยังไม่ได้ปรับความยาวสายหนังของโกลนตามความยาวช่วงขาของเฉิงเซ่าซาง ต่อเมื่อนางนั่งลงบนอาน จึงค่อยพบว่าสองเท้าเหยียบโกลนไม่ถึง
นี่คือข้อผิดพลาดเล็กๆ ที่ผู้เริ่มเรียนมักจะพลั้งเผลอ