คิ้วกระบี่พลิ้วเฉียงเจียนจรดจอน นัยน์ตาปานดาราฉาย จมูกโด่งดุจสันเขา ท่วงทีสง่างาม เห็นอยู่ว่าบนดวงหน้าประดับยิ้ม ทั่วร่างกลับปกคลุมด้วยไอหนาวให้ความรู้สึกอันเปลี่ยวร้างโรยรา เขาดูหนุ่มแน่นยิ่ง หนุ่มแน่นกว่าที่นางคิดภาพไว้มากจริงๆ เดิมนางนึกว่าผู้ที่มีขั้นยศใกล้เคียงกับท่านลุงวั่นเช่นนี้ อายุไม่น่าจะน้อยไปได้ ตอนนี้ดูแล้วคงพอๆ กับหยวนเซิ่นเท่านั้น
หลิงปู้อี๋เห็นใบหน้าเด็กสาวฉาบไปด้วยความตื่นตัวกลัวเกรงก็คลี่ยิ้มให้บางๆ “เมื่อครู่คำพูดของข้ากับวั่นโหว เจ้าได้ยินกี่ประโยคหรือ”
เฉิงเซ่าซางหัวใจเย็นวาบ คนผู้นี้ค้นพบว่านางซ่อนตัวอยู่ใต้สะพานจริงเสียด้วย! นางเพียรรักษาความเยือกเย็นพลางตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงใจที่สุดในชีวิต “เพียงแค่สองประโยค เกี่ยวกับที่ท่านถามท่านลุงวั่นว่าขาหายดีแล้วหรือไม่ อย่างอื่นไม่มีแล้ว ไม่มีจริงๆ!”
หลิงปู้อี๋เพ่งพิศนาง ขณะเดียวกันก็ใช้มือข้างหนึ่งดึงโกลนม้า มืออีกข้างจับข้อเท้านางสอดเข้าไปช้าๆ
รูปโฉมของเด็กสาวบอบบางอ่อนเยาว์ ประดุจนกน้อยที่งามหวานกระจุ๋มกระจิ๋ม แม้ห่อหุ้มด้วยรองเท้าขี่ม้าที่สูงจรดหัวเข่า เขาก็ยังกุมข้อเท้านางได้รอบ จากนั้นกระชับฝ่ามือของเขาช้าๆ “ผิวน้ำแข็งยังไม่ละลาย เจ้าไปอยู่ใต้สะพานทำอันใด”
เฉิงเซ่าซางรู้สึกได้ว่าข้อเท้าถูกกุมไว้แน่น นางพรั่นพรึงสุดแสน ราวกำลังตกอยู่ในปากของสัตว์ร้าย ฟันอันใหญ่โตคมกริบของมันจะฉีกกัดเนื้อหนังนางในอึดใจถัดไปแล้ว
นางตอบเสียงสั่น “ข้ากำลังดูสะพานอยู่ จริงๆ นะ ข้ากำลังดูแท่งไม้ที่ใต้สะพานว่าประกอบกันอย่างไร ท่านต้องเชื่อข้า นี่เป็นความจริง!” นางรู้ว่าคำพูดนี้ฟังดูเฉไฉไปสักหน่อย จะมีคนโบราณสักกี่คนเข้าใจถึงจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ด้านวิศวะกันเล่า ทว่าคำพูดนี้เป็นความจริงทุกประโยคเลยนะ ชาตินี้นางอุตส่าห์จริงใจอย่างหาได้ยากถึงเพียงนี้แล้ว!
หลิงปู้อี๋เพ่งพินิจเด็กสาวอยู่เนิ่นนาน เขาพลันนึกถึงงานโคมไฟในราตรีนั้น เปลวไฟจรัสแสง สีสันวิจิตรดั่งถักทอ เด็กสาวที่งดงามปานเสี้ยวจันทร์ก็แหงนดวงหน้าที่เปี่ยมความสนใจใคร่รู้มองพิจารณาโคมม้าหมุนแต่ละดวงซึ่งมีรูปแบบแตกต่างกันตาไม่กะพริบ
เขาผลิยิ้มน้อยๆ “เจ้าอาจจะไม่เชื่อ อันที่จริงข้าเชื่อคำพูดของเจ้าแล้ว”
เฉิงเซ่าซาง…ท่านเดาถูกทีเดียว เพราะข้าไม่เชื่อจริงๆ
ทันทีที่ความพรั่นพรึงเมื่อแรกสุดผ่านพ้นไป สมองของเฉิงเซ่าซางก็เริ่มหมุนติ้ว…นางควรจะตะโกนขอความช่วยเหลือหรือไม่ หลังจากขอความช่วยเหลือแล้ว ผู้ที่รุดมาตามเสียงจะฝ่าองครักษ์สวมเกราะพกอาวุธกลุ่มนั้นเข้ามาได้ก่อนที่หลิงปู้อี๋จะบีบคอนางตายหรือไม่
ส่วนเหตุใดหลิงปู้อี๋จะต้องบีบคอนางตายนั้น นางเองก็ไม่รู้ ทว่าคิดอ่านในทางที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนย่อมจะไม่ผิด
ขณะที่ในสมองนางมีแต่ความคิดฟุ้งซ่าน ใครจะรู้หลิงปู้อี๋กลับไม่พูดไม่จา เดินวกกลับมาอีกด้านสอดเท้าอีกข้างของนางใส่โกลนม้าแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป ครู่เดียวองครักษ์กลุ่มนั้นก็พากันจากไปไม่มีเหลือ
ทรายเหลืองในสนามฝึกม้าฟุ้งขึ้นเล็กน้อย ปะปนกับใบไม้แห้งสองสามใบซึ่งปลิวมาจากลานที่อยู่ไกล รอบทิศเงียบสงัดประหนึ่งเมื่อครู่ไม่มีอันใดเคยเกิดขึ้น เฉิงเซ่าซางนิ่งค้างอยู่เป็นนาน จวบจนเจ้าม้าน้อยเพศเมียที่อารมณ์เย็นตัวนี้เตะดินทรายอย่างหมดความอดทน นางถึงได้สติคืนมา
น่าเสียดายจริงๆ นางชื่นชอบจวนสกุลวั่นออกเพียงนี้ ที่นี่ไม่มีหัวหน้าเซียวคอยควบคุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไม่มีบุตรชายหลานชายซึ่งจะเกิดข่าวลือในเชิงชู้สาวได้ง่ายๆ ทั้งยังมีหมวยสิบสามที่เข้าขาถูกคอ ทำตามอำเภอใจเป็นเพื่อนนาง ทุกวันผ่านไปอย่างอิสระสบายใจ เดิมทีนางอยากจะพำนักอยู่ที่นี่นานอีกสักหน่อย ทว่าตอนนี้นางรู้สึกว่ายังคงกลับบ้านจะเป็นการดีที่สุด
เฉิงเซ่าซางปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก กระตุ้นม้าเดินเหยาะๆ วนรอบสนามไปอย่างเชื่องช้า
คลุกคลีในย่านการค้ามานานปี ข้อดีสูงสุดคือทำให้นางบังเกิดสัญชาตญาณเฉกเช่นสัตว์ตัวน้อยที่รู้จักแสวงประโยชน์เลี่ยงภัยโดยไม่ต้องให้ใครสอน
หยวนเซิ่นตอแยไม่ง่าย ทว่าพบหน้าหลายคราจนคุ้นเคยแล้วยังสามารถตอแยได้เป็นครั้งคราว
ต่างจากหลิงปู้อี๋ที่ไม่อาจตอแยด้วยเป็นอันขาด ขืนไปตอแยจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ ได้แต่เกรงใจ เกรงใจ แล้วก็เกรงใจเท่านั้น
ขบคิดอยู่ครึ่งวัน เฉิงเซ่าซางก็พลันฉงนขึ้นมา พูดจากใจเลยว่าหลิงปู้อี๋เป็นบุรุษหล่อเหลาอันดับหนึ่งที่นางเคยพบมาจวบจนบัดนี้ กล่าวได้ว่ามีรูปโฉมถึงขั้นล่มเมือง ตัวนางเองก็ไม่มีดวงชะตาเป็นแม่ชีเสียหน่อย ไฉนเมื่อครู่ใบหน้านางจึงไม่ปรากฏแววหวั่นไหวสักนิดเลยเล่า
จวบจนวนในสนามเป็นรอบที่เก้า เฉิงเซ่าซางลูบคลำใบหน้าตนเองค่อยตระหนักได้ทันใด ที่แท้ชั่วขณะนี้นางยังคงหน้าตึงเป็นหัวหมูอยู่ นั่นยังจะมีสีหน้าหวั่นไหวอันใดได้เล่า!
* ‘ท่านปฏิบัติต่อข้าเฉกเสาหลักแห่งแคว้น ข้าย่อมปฏิบัติเฉกเสาหลักแห่งแคว้นตอบแทนท่าน’ มีที่มาจากบันทึกประวัติศาสตร์สื่อจี้ หมายถึงอุทิศตัวเพื่อตอบแทนผู้ที่เห็นคุณค่าของตน
* ข้าวแปดสมบัติ เป็นของหวานชนิดหนึ่ง ทำจากข้าวเหนียวนึ่งผสมน้ำมันหมู น้ำตาล กับเครื่องแปดอย่าง ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น เช่น ลูกบัว พุทราแดง ถั่วกวน เนื้อลำไยอบแห้ง ลูกเกด เมล็ดถั่วต่างๆ
* ปี้อั้น เป็นบุตรลำดับที่เจ็ดของมังกร รูปลักษณ์คล้ายพยัคฆ์ ชอบช่วยผู้คนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม พูดผดุงความยุติธรรม แยกแยะผิดถูกได้ชัดแจ้ง จึงใช้เป็นสัญลักษณ์ของที่คุมขัง มักมีรูปปั้นหรือรูปวาดของปี้อั้นอยู่หน้าประตูคุก รวมถึงสองข้างของโถงที่ว่าการ
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนพฤศจิกายน 65)