บทที่ 84
เฉิงเซ่าซางเป็นนักปฏิบัติผู้บอกทำเป็นทำ ในเมื่อตกลงใจแน่วแน่ว่าจะเอาใจใส่ห่วงใยหลิงปู้อี๋ นางก็แทบอยากกลายเป็นคู่สามีภรรยาที่ครองรักกับเขามาช้านานในชั่วข้ามคืนเดียว ทว่า…เฉกเช่นชาติก่อนตอนที่นางตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะขยันเล่าเรียน นับจากตั้งปณิธานจนกระทั่งผลการเรียนรุดหน้ายกระดับสำเร็จนั้น ยังคั่นกลางด้วยการสอบย่อยสี่หน สอบกลางภาคสองหน สอบปลายภาคหนึ่งหน กับข้อสอบเข้าเสมือนจริงที่สอบพร้อมกันทั้งโรงเรียนอีกหนึ่งหน
ดังนั้น…ภาพการเอาใจใส่คู่หมั้นหนแรกของนางจึงออกมาเป็นเช่นนี้…
“เดิมทีอยากเชิญท่านกลับไปกินเห็ดเยื่อไผ่ที่บ้านข้า แต่สิบวันมานี้ท่านไม่ได้พักผ่อนเต็มที่เลย ข้าส่งท่านกลับจวนก่อนดีกว่า จะได้แวะรับการชี้แนะจากฝีมือพ่อครัวในจวนท่านด้วย!”
“เช่นนั้นชื่อเสียงของเจ้าเล่า ขนบประเพณีเล่า” หลิงปู้อี๋อมยิ้มที่มุมปาก
“ให้พวกมันสลายไปกับสายลมเถิด” อย่างไรเสียก็ไม่มีทางถอนหมั้นนางอยู่แล้ว ชื่อเสียงอันใดนั่นให้ปลิวเข้าโรงไฟฟ้าพลังงานลมไปแล้วกัน
เฉิงเซ่าซางจูงหลิงปู้อี๋เดินกลับไปถึงข้างรถเล็กของนาง เชื้อเชิญเขานั่งรถด้วยไมตรีอันเร่าร้อนล้นใจ ส่วนตนเองเป็นฝ่ายขึ้นขี่ม้า
หลิงปู้อี๋ถามพร้อมความฉงนเกลื่อนใบหน้า “แล้วเหตุใดเจ้าไม่นั่งรถด้วยกันกับข้าเล่า” นี่เป็นรถขนาดสองที่นั่งไม่ใช่หรือ
“โอ๊ะ ท่านยังไม่รู้สินะ ต้องบอกว่าอาจารย์ที่กำนัลรถมาท่านนั้นไม่ประสงค์ดี ที่นั่งดูคล้ายโอ่โถง แท้จริงรองรับได้แค่ขนาดลำตัวของสตรีสองคน คราวก่อนข้ากับอาเหยานั่งด้วยกัน แออัดจนเข็มยังสอดเข้ามาไม่ได้ รูปร่างท่านใหญ่กว่าอาเหยาตั้งหนึ่งวงรอบ มีหรือจะนั่งได้สองคน” เด็กสาวตอบอย่างกระตือรือร้นจริงใจยิ่ง
สายลมเย็นวาบระลอกหนึ่งโชยพลิ้วเข้ามาในตรอก บ่าวสกุลเฉิงต่างถอยห่างไปอีกหน่อยอย่างเป็นระเบียบและเงียบเชียบยิ่งนัก
หลิงปู้อี๋เพ่งพิศเด็กสาวครู่หนึ่ง ค่อยช้อนประคองนางกลับเข้ารถเล็กไปเงียบๆ ตนเองปีนขึ้นหลังอาชาพ่วงพีตัวนั้นโดยไม่พูดอันใดทั้งสิ้น
เหล่าบ่าวสกุลเฉิงคิด…ใต้เท้าหลิงช่างมีการอบรมดี ท่วงทีเป็นสุภาพบุรุษโดยแท้!
การเริ่มต้นที่ดีคือครึ่งหนึ่งของความสำเร็จ เฉิงเซ่าซางเชื่อมั่นเช่นนี้ คนเราเกิดมาบนโลก นอกจากความรู้สู่เส้นทางการเป็นขุนนางที่นางไม่มีปัญญาจะสอดมือแล้ว ที่เหลือก็ไม่พ้นแค่เรื่องของปัจจัยสี่
จวนของหลิงปู้อี๋เป็นฮ่องเต้พระราชทานให้ สง่างามแบบโบราณ โอ่อ่าตระการตา หลังอาหารเย็นวันนี้เฉิงเซ่าซางเดินชมดูทั้งในนอกรอบหนึ่ง รู้สึกว่าความรู้อันตื้นเขินของตนไม่มีสิ่งใดจะเพิ่มลดให้แก่จวนนี้ได้ สุดท้ายจึงตั้งใจจะย้ายเพียงดอกหงหลิง* ที่ปลูกอยู่ในเรือนของตนส่วนหนึ่งมาไว้ยังเรือนชั้นในของเขา
หลิงปู้อี๋เลิกคิ้วอมยิ้ม “ข้าเป็นบุรุษอยู่ตัวคนเดียว จะเลี้ยงดอกไม้อันใดเล่า”
“อืม วีรบุรุษคิดอ่านตรงกันจริงๆ” เฉิงเซ่าซางตื่นเต้นยินดี “ความจริงข้าก็ไม่ชอบปลูกดอกไม้หรอก เพียงแต่ท่านแม่บอกว่ารอบเรือนข้ามีแต่ต้นไผ่เขียวกับไม้เลื้อยเขียว ตัดกับทุ่งบุปผาสีสดใสผืนหนึ่งจึงจะงามตา ข้าเลยเลือกดอกหงหลิงที่เลี้ยงง่ายทนทานเป็นที่สุดมาปลูกให้ หากท่านไม่ชอบ ข้าจะย้ายก้านดอกกระเทียมที่ข้าเพาะใหม่มาให้ท่านสักหลายกระถาง ไม่เพียงพร้อมตัดพร้อมกิน ยังไล่แมลงได้…ท่านว่าอย่างไรเล่า”
หลิงปู้อี๋ตอบ “…ยังคงปลูกดอกหงหลิงก็แล้วกัน”
เปรียบกับการตกแต่งในจวน เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าคือพฤติกรรมมารับมาส่งที่เพิ่งถูกฮ่องเต้ตำหนิเป็นการภายในก่อนหน้าวันหยุดวันนี้ เฉิงเซ่าซางจึงประกาศต่อหลิงปู้อี๋อย่างเคร่งขรึม ห้ามเขานอนดึกตื่นเช้ามารับส่งนางอีก
“เช่นนั้นข้าจะพบหน้าเจ้านานขึ้นหน่อยได้อย่างไร” หลิงปู้อี๋หลุบตาลง
เฉิงเซ่าซางขบคิดมาแต่แรก “ข้าจะไม่ใช้ทางลัดไปวังอุดรแล้ว ยังคงเข้าไปทางกำแพงวังทิศใต้ดีกว่า ท่านรอข้าที่หน้าประตูวังแล้วเข้าไปด้วยกันนะ หากเป็นวันที่เหล่าขุนนางประชุมใหญ่ พวกเราไปถึงตำหนักท้องพระโรงของวังทักษิณแล้วท่านก็รั้งอยู่ที่นั่น ข้าจะมุ่งต่อไปวังอุดรเอง หากเป็นวันที่เหล่าขุนนางประชุมเล็กหรือเป็นวันที่ฝ่าบาททรงไม่ออกว่าราชการ พวกเราก็มุ่งไปวังอุดรด้วยกัน…เป็นอย่างไร”
“เช่นนั้นเจ้าไม่ต้องตื่นเช้าขึ้นเกือบครึ่งชั่วยามหรือ”
เฉิงเซ่าซางโบกมืออย่างใจถึงยิ่ง “ไม่เป็นปัญหา อยู่เบื้องพระพักตร์ฮองเฮาข้าสัปหงกได้ ตอนกลางวันยังสามารถนอนเต็มที่อีกหนึ่งตื่น”
ในใจหลิงปู้อี๋ผุดรสชาติอันหวานชื่น ปากกลับกล่าวว่า “เจ้าอยู่ตำหนักฉางชิวเพื่อเรียนรู้จากฮองเฮา หากเสียการเพื่อข้า ไยมิใช่…”
เฉิงเซ่าซางดุอยู่ในใจว่าเขาได้กำไรแล้วยังทำใสซื่อ นางปั้นหน้าขรึมก่อนเอ่ย “หนึ่งใจมิอาจกระทำสองสิ่ง ข้าจะทุ่มหนึ่งใจไปที่ฮองเฮากับงานในตำหนัก หรือไม่ก็จะทุ่มหนึ่งใจมาที่ตัวท่าน ท่านเลือกเอาหนึ่งอย่างเถิด”
“เช่นนั้นเจ้ายังคงทุ่มมาที่ตัวข้าดีกว่า” หลิงปู้อี๋ตอบเสียงเบา ดวงหน้าซึ่งแต่ไรมาผนึกแข็งปานหยกเย็นถึงกับค่อยๆ ระบายสีชมพูอ่อนๆ ริ้วหนึ่ง
เฉิงเซ่าซางย่นจมูกจิ้มลิ้มใส่เขา ท่าทางน่ารักซุกซนยิ่ง