ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 4 บทที่ 84
“ส่วนยามเย็นก็ดูว่าท่านงานยุ่งหรือไม่ หากท่านงานยุ่ง ข้าจะกลับบ้านช้าหน่อย อาหารค่ำพวกเราขอกินที่ตำหนักฉางชิวเอาแล้วกัน กินเสร็จก็ค่อยๆ กลับบ้าน ถือเป็นการย่อยอาหารออกกำลังกายไปในตัว แต่หากท่านงานไม่ยุ่งก็ไปกินที่บ้านข้า” เช่นนี้ฮ่องเต้น่าจะพึงพอใจแล้วกระมัง เพื่อแสดงออกซึ่งความจริงใจ นางทุ่มแบบจัดเต็มเลยนะ
“ขอกินกับฝ่าบาทก็ได้ ในตำหนักของฝ่าบาทมีพ่อครัวสองคน ฝีมือเป็นเลิศ” หลิงปู้อี๋ ‘เกาะบิดากิน’ ชนิดไม่เกรงใจเลย
เอ่ยถึงเรื่องกิน ในใจเฉิงเซ่าซางให้สว่างสดใส
ตกค่ำกลับถึงจวนสกุลเฉิง นางรีบให้อาจู้ค้นโถตุ๋นดินเผาดำใบเล็กที่นางหาช่างฝีมือในอำเภอหวาทำขึ้นเป็นพิเศษใบนั้น ขัดล้างจนสะอาด ผึ่งไว้ใต้แสงจันทร์ แล้วอบแห้งเตรียมไว้ใช้งาน ตามที่นางสังเกต ทักษะการปรุงอาหารในยุคนี้ยังไม่หลากหลายเท่ายุคหลัง ผู้คนส่วนใหญ่นับการปิ้งย่างและทอดด้วยน้ำมันน้อยเป็นอาหารเลิศรส นับเนื้อสัตว์อาหารคาวเป็นสิ่งมีค่า ทว่าเช่นนี้ไม่ดีต่อสุขภาพแต่อย่างใด
ข้อเท็จจริงพิสูจน์ชัด อาหารยังคงเป็นประเภทต้มนึ่งจะดีต่อสุขภาพมากกว่า ดังนั้นภายใต้การแทรกแซงของนาง ต่อให้แบกรับความไม่พอใจอย่างรุนแรงของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง อาหารการกินประจำวันของจวนสกุลเฉิงก็ได้เพิ่มเติมพืชผัก น้ำแกง กับอาหารประเภทต้มเข้ามาจำนวนมากแล้ว
คนทางใต้ทำน้ำแกงมีลูกเล่นสารพัดอย่าง แตกฉานโดยไม่ต้องมีอาจารย์ ไม่ว่าสิ่งใดในภูเขาในทุ่งนา ในแม่น้ำในลำธาร เฉิงเซ่าซางล้วนจับใส่น้ำแกงได้ทั้งสิ้น
นับจากนั้นมาเฉิงเซ่าซางพยายามใช้ถุงนวมห่อหุ้มน้ำแกงหนึ่งโถมาให้หลิงปู้อี๋ที่หน้าประตูวังในยามเช้าของทุกวัน บางคราน้ำแกงกินแรงสิ้นเปลืองเวลามากเกินไป นางได้แต่ใช้ตะกร้าไม้ไผ่ใบเล็กหิ้ววัตถุดิบที่จัดการเสร็จแล้วเข้าวังมา ขอเตาดินแดงใบย่อมจากไจ๋เอ่า ตั้งวางโถดินเผาดำอันเล็กประณีตเงาวับของตนไว้บนนั้น แล้วเริ่มตุ๋นน้ำแกงดังกลุกๆ…เคราะห์ดีนี่เป็นวังหลวงที่ไร้การแก่งแย่งชิงดี ทั้งฮองเฮายังมีอำนาจควบคุมตำหนักฉางชิวอย่างเบ็ดเสร็จ หาไม่ถึงตีเฉิงเซ่าซางให้ตายนางก็ไม่กล้าตุ๋นน้ำแกงที่นี่หรอก
บ้างเป็นยามเที่ยงวัน บ้างเป็นยามเย็น เมื่อหลิงปู้อี๋มาถึงตำหนักฉางชิว จะแลเห็นเด็กสาวตัวน้อยที่นั่งเฝ้าโถตุ๋นน้ำแกงอยู่ใต้ทางระเบียง ถูกไฟจากเตาฉายสะท้อนจนพวงแก้มแดงเรื่อ ผุดเม็ดเหงื่อที่เล็กละเอียดดุจใช้ผงมุกเติมลายบุปผาประดับบนดวงหน้า จากนั้นส่งยิ้มมาให้เขาตั้งแต่ไกล
ชั่วพริบตาเดียวเขาก็พลันเข้าใจกระจ่างแล้ว คำว่า ‘กลิ่นอายควันไฟ’* ที่บิดาบุญธรรมเอ่ยถึงบ่อยครั้งนั้นหมายความเช่นไร
เฉกเช่นวัยเด็กที่ครูสูงวัยท่านนั้นเคยกล่าวไว้ เฉิงเซ่าซางเป็นคนที่มีทั้งความใจเด็ดและแน่วแน่ เดิมทีนางระอางานครัวอันพิรี้พิไรชนิดนี้เป็นที่สุด ทว่าบัดนี้เมื่อตั้งใจจะบุกตะลุยภารกิจอันท้าทายนี้ กลับสามารถทุ่มเทพลังใจกับสติปัญญาอย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ว่าจะสรรพคุณล้างปอด ชุ่มคอ บำรุงสายตา แก้ร้อนใน หรือเสริมพลัง ตลอดจนหัวใจตับม้ามของหลิงปู้อี๋ล้วนถูกนางบำรุงจนถ้วนทั่วหนึ่งรอบ เว้นก็แต่ไม่กล้าบำรุงไตเสริมธาตุหยางให้เท่านั้น
ไม่นานนักนางก็ค้นพบว่าตอนนี้สิ่งที่หลิงปู้อี๋ชื่นชอบที่สุดคือน้ำแกงขิงซอยลูกชิ้นปลา…กระบวนการเริ่มจากขูดเนื้อปลาสด ถอนกำจัดก้าง สับเนื้อให้ละเอียดแล้วปั้นเป็นลูกชิ้นปลาลูกเล็กๆ ต้มในน้ำแกงใส ตกแต่งด้วยขิงซอยสีเหลืองกับผักซอยสีมรกต ให้รสอ่อนอร่อยกลมกล่อม
เห็นพักนี้เด็กสาวขยันขันแข็ง ฮองเฮาถึงกับบังเกิดความอิจฉาเล็กๆ อย่างหาได้ยาก จึงเอ่ยหยอกเย้า “สงสัยว่างานข้าจะสำเร็จจนถอนตัวได้แล้วกระมัง บัดนี้ทั่ววังล้วนกล่าวขวัญถึงชื่อเสียงความเป็นกุลสตรีของเจ้า”
“จริงหรือเพคะ ทุกคนล้วนพูดว่าหม่อมฉันเป็น ‘กุลสตรี’?” เฉิงเซ่าซางตื่นเต้นยินดีอย่างบอกไม่ถูก นึกไม่ถึงเลย นึกไม่ถึงจริงๆ
ฮองเฮาแสร้งขึงตากล่าว “กับว่าที่สามีนั้นเป็นกุลสตรีแล้ว ทว่าชื่อเสียงด้านกตัญญูยังคงไม่ปรากฏ!”
เฉิงเซ่าซางกังขา “หม่อมฉัน…ไม่กตัญญูที่ใดกัน บิดามารดาของหม่อมฉันมาฟ้องร้องกับฮองเฮาหรือเพคะ”
“หมายถึงข้ากับฝ่าบาท ใจกตัญญูของเจ้าเล่า!” ฮองเฮาปั้นหน้าบึ้งตึง
เฉิงเซ่าซางเข้าใจเสียที ก็คือ ‘พบเจอใคร แบ่งให้ครึ่งหนึ่ง’* กฎของผู้ร่วมเส้นทาง ทุกคนล้วนเข้าใจ ทำตามกฎเป็นใช้ได้
เมื่อก่อนเพื่อให้กระทำการได้รอบคอบ ภาชนะทั้งหมดเฉิงเซ่าซางล้วนจัดเก็บอย่างถี่ถ้วน ปริมาณวัตถุดิบก็จัดมาแม่นยำชนิดหลิงปู้อี๋กินได้หมดในครั้งเดียว ให้อิ่มท้องสามสี่ส่วนเป็นพอ ทว่ายามนี้จะต้องปรับเปลี่ยนเสียแล้ว
ไม่เหมือนกับหลิงปู้อี๋ ฮองเฮาชอบรสสัมผัสที่ออกหวานหนึบนุ่ม เฉิงเซ่าซางจึงจำต้องหันมาค้นคว้าเรื่องของหวานเพิ่ม น่าแค้นที่ยุคนี้ไม่มีน้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาลกรวดที่มีความเข้มข้นสูง นางเคยใช้น้ำตาลจากต้นอ่อนข้าวสาลีใส่ลงน้ำแกง น่าเสียดายที่ยังแทรกแซมด้วยรสอื่น อีกทั้งระดับความหวานก็ไม่เพียงพอ
เมืองในมณฑลโดยรอบพอจะมีต้นอ้อยปลูกกระจายตัวอยู่ สามารถคั้นเป็นน้ำอ้อยให้ผู้คนดื่มได้ ในตลาดก็มีขายสือมี่** ที่แพร่หลายมาจากแดนซีอวี้*** เพียงแต่สิ่งแรกไม่อาจใช้ปรุงอาหาร สิ่งหลังเฉิงเซ่าซางเห็นว่าทั้งมีราคาสูง ทั้งมีกลิ่นเจือปนที่ฉุนแรง ประกอบกับนี่เป็นยุคที่ไม่มีน้ำกรดเข้มข้นสูงสำหรับแยกส่วนประกอบของน้ำตาล นางจึงได้แต่ซื้ออ้อยหรือน้ำอ้อยมาเอง จากนั้นเคี่ยวครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อสกัดผลึกน้ำตาลออกมา ด้วยมีพื้นฐานความรู้ทางเคมีอยู่ กระบวนการย่อมจะเลี่ยงข้อผิดพลาดได้มากมาย เพียงแต่สิ้นเปลืองฟืนยิ่งยวดและเคี่ยวกรำคนเหลือเกิน
จวบจนหีบเงินสำหรับใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดใกล้จะเห็นก้นหีบ ควันฟืนในจวนสกุลเฉิงค่อยเบาบางลง เฉิงเซ่าซางได้รับกากน้ำตาลที่มีความหวานเพียงพอเสียที นอกจากสามารถทำของกินเล่นประเภทที่ใช้กั่วถังกับหรู่ถัง* ซึ่งส่งผลให้เฉิงจู้น้อยกับเฉิงโอวน้อยดวงตาวิบวับดั่งดวงดาว และสามารถทำยำผักผลไม้ ซึ่งส่งผลให้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมองนางรื่นตาแล้ว ยังสามารถทำของว่างรสหวานแบบน้ำใสน้ำข้นได้หลากชนิด