ทว่ากากน้ำตาลชนิดนี้เก็บรักษาไม่ง่าย เฉิงเซ่าซางจึงฉวยช่วงฤดูคิมหันต์นี้ระดมใช้เสียเลย ประเดี๋ยวใช้ทำนมตุ๋น ประเดี๋ยวใช้ทำวุ้นนมหวาน ประเดี๋ยวใช้ทำขนมน้ำตาลขาว** ซึ่งฉบับของเฉิงเซ่าซางไม่ขาวแต่อย่างใด นางจึงได้แต่แบมืออย่างจนใจ ไม่เพียงเท่านี้นางยังทำขนมอบหนึ่งหนในครัวท้ายตำหนักฉางชิวด้วย กลิ่นนมอันหอมหวานละมุนละไมจนหลอมละลายจิตวิญญาณได้ชนิดนั้นฟุ้งกำจายออกไปไกลหลายหลี่ แทบจะชักนำให้ขุนนางหลายท่านที่ตอนนั้นประชุมอยู่ในสำนักราชเลขาธิการตามกลิ่นมาทีเดียว
เดิมฮองเฮามีอาการไอเล็กน้อยช่วงฤดูคิมหันต์ ครั้นได้รับการบำรุงดูแลครบครันเช่นนี้ นอกจากจะหายจากอาการไอแล้ว สีหน้ายังแดงเปล่งปลั่งขึ้นมากโข ไจ๋เอ่าเห็นแล้วปีติเป็นล้นพ้น จึงให้ความสนิทสนมกับเฉิงเซ่าซางยิ่งกว่าเดิม เรื่องส่วนตัวบางอย่างที่ไม่เคยมอบหมายกระทั่งกับลั่วจี้ทง กลับยินดีจะกำชับฝากฝังเฉิงเซ่าซาง
สถานที่ที่มีผู้คนอยู่ย่อมจะมีสังคม และย่อมจะมีคนจุ้นจ้านไปกระซิบกระซาบถึงข้างตัวลั่วจี้ทง “พี่สาว แต่เล็กมาท่านอยู่ตำหนักฉางชิวปรนนิบัติฮองเฮา นางเพิ่งจะมาได้กี่วัน ก็ข้ามหน้าไปอยู่บนศีรษะของท่านแล้ว”
ลั่วจี้ทงกลับประคองเต้าทึงข้าวโพดถั่วแดงพร้อมกับคลี่ยิ้มจนตาหยี “ก่อนย่างเข้าฤดูเหมันต์ ข้าก็ต้องเดินทางไปแต่งงานที่แดนพายัพแล้ว ทว่าสำหรับนาง วังหลวงกลับเป็นบ้านสามีของนางครึ่งหนึ่ง ยามนี้แค่แสดงความกตัญญูต่อแม่สามีที่อยู่ในวังล่วงหน้า ข้ากับนางไม่เหมือนกันแต่อย่างใด”
ต่อมาเรื่องนี้ถ่ายทอดมาถึงหูของเฉิงเซ่าซาง พาให้นางอุทานอย่างอดไม่ได้ “พี่จี้ทงมีหัวใจกระจ่างดวงตาสว่างโดยแท้” ดูสิ กระทั่งแม่นางน้อยเบื้องล่างยังตีกันไม่สำเร็จ วังหลวงแห่งนี้ช่างสงบสันติ ไร้ลมไร้คลื่นจริงเสียด้วย
ฮองเฮายิ้มกล่าว “หากนางถูกยั่วยุง่ายดายเพียงนี้ จะอยู่ในวังนานเท่านี้ได้อย่างไร”
“คนช่างยุเหล่านั้น ฮองเฮาทรงไม่คิดจะเอาความหรือเพคะ” เฉิงเซ่าซางขมวดคิ้ว
ฮองเฮาสั่นศีรษะ “น้ำใสไร้มัจฉา*** วังหลวงนี้เงียบเหงา ย่อมไม่อาจถึงขั้นห้ามพวกนางพูดจากระมัง”
เฉิงเซ่าซางลอบส่ายหน้า
มีบางเรื่องเฉิงเซ่าซางส่ายหน้าปล่อยผ่านไปได้ ทว่ามีบางเรื่องนางไม่แคล้วต้องพูดมากสักประโยค
นับแต่ครั้งแรกที่นางถวายอาหารแด่ฮองเฮา ต่อให้ฮองเฮาไม่เก็บส่วนของฮ่องเต้ไว้ ก็ต้องส่งส่วนหนึ่งไปที่ตำหนักเยวี่ยเฟย ในใจเฉิงเซ่าซางให้วิตกยิ่ง แต่ไรมาอาหารเกิดการใช้เล่ห์สกปรกได้ง่ายที่สุด วันหน้าหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นจะทำเช่นไรกันเล่า
ฮองเฮาตอบเรียบๆ “นางไม่ทำหรอก และนางก็รู้ด้วยว่าข้าจะไม่ทำแน่”
เฉิงเซ่าซางเพ่งมองสีหน้ามั่นอกมั่นใจของฮองเฮา จากนั้นไม่เอ่ยถึงอีก
เมื่อล่วงถึงปลายฤดูคิมหันต์ เฉิงเซ่าซางใช้กากน้ำตาลส่วนสุดท้ายทำข้าวเหนียวเปียกถั่วเปลือกแข็งที่ให้รสสัมผัสอันละมุนลิ้นถวายฮ่องเต้หนึ่งโถ ฮ่องเต้กินแล้วผงกศีรษะติดๆ กัน ก่อนถอนใจกล่าว “เซ่าซาง เจ้าช่างมีจิตใจละเอียดอ่อนฝีมือประณีต น่าเสียดาย วิธีทำน้ำตาลนี้ไม่เหมาะจะให้คนทั่วแคว้นเรียนรู้เอาอย่าง อย่าให้เผยแพร่ออกไปจะเป็นการดีกว่า ของเลิศรสไม่ว่าผู้ใดล้วนชื่นชอบ ทว่าใต้หล้ามีกำลังคนกับทรัพยากรอยู่เพียงเท่านี้ หากของหวานจำพวกนี้เป็นที่นิยมของตระกูลใหญ่ในวงกว้าง ทุกบ้านทุกช่องก็จะแห่กันไปปลูกอ้อย เลิกปลูกธัญพืช ทั้งที่ข้างนอกยังคงมีผู้ที่อดอยากเจียนตายอยู่”
เฉิงเซ่าซางย่อมรู้ว่านี่หมายความเช่นไร นางจึงขานรับอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเข้าใจความหมายของพระองค์ ขุมกำลังของแคว้นมีอยู่เพียงเท่านี้ ย่อมต้องใช้กับจุดที่เหมาะควร”
“เช่นนั้นจุดใดคือจุดที่เหมาะควรเล่า” ฮ่องเต้จงใจยั่วเย้าแม่นางน้อย ส่งผลให้ฮองเฮาขึงตาใส่หนึ่งที
เฉิงเซ่าซางตอบเสียงกังวาน “ย่อมเป็นธัญพืช ม้า และเครื่องเหล็ก” นางอดไม่ได้ต้องทำปากยู่ “ฝ่าบาทเพคะ ฮองเฮาทรงสอนหม่อมฉันอ่านตำรา ‘อภิปรายว่าด้วยเกลือและเหล็ก’ แล้ว ยังมีอันใดสักอย่างของใต้เท้าจย่าอี้ผู้นั้นด้วย เอ่อ ดูเหมือนหม่อมฉันจะลืมชื่อตำราม้วนนั้นไปแล้ว แต่ว่าหม่อมฉันเคยอ่านมาจริงแท้แน่นอนนะเพคะ”
ฮ่องเต้ไม่รู้สึกว่าเป็นการล่วงเกินเบื้องสูงแต่อย่างใด ตรงข้ามยังลูบเคราหัวเราะร่วนดังฮ่าๆ