ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 4 บทที่ 84 – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 4 บทที่ 84

4 of 4หน้าถัดไป

ใบหน้าเฉิงเซ่าซางแม้แสร้งปั้นปึ่ง ทว่าในใจเคารพยกย่องฮ่องเต้กับฮองเฮาคู่นี้ยิ่งยวด ในฐานะผู้มีศักดิ์สูงสุดแห่งแคว้น มีหรืออยากกินสิ่งใดจะไม่อาจได้กินสิ่งนั้น เพียงแต่สองพระองค์ทำตนเป็นแบบอย่าง ใช้ความมัธยัสถ์มาควบคุมผลักดันตระกูลขุนนางผู้มีอำนาจทั้งหลายก็เท่านั้นเอง

ความจริงในยุคหลังมีอยู่ราชวงศ์หนึ่งซึ่งขึ้นชื่อด้านความมั่งคั่ง สามารถทำเครื่องเคลือบ ‘สีฟ้าหลังฝน’ อันวิจิตรหาใดเปรียบ มีวิธีปรุงผสมกลิ่นกำยานเป็นเอกเหนือทุกราชวงศ์ รวมถึงมีการเตะลูกหนังกับการละเล่นต่างๆ หลากหลายครบครัน…ทว่าน่าเสียดาย เจ้าเหนือหัวกับขุนนางในราชวงศ์นั้นไม่ได้ใช้ขุมกำลังของแคว้นไปกับปัจจัยสู่ความเจริญของบ้านเมืองอย่างเกลือ เหล็ก เสบียง และม้า ทำผิดต่อราษฎรผู้ขยันหมั่นเพียรมากความสามารถ และทำผิดต่อแม่ทัพพลทหารผู้เปี่ยมด้วยเลือดอันหาญกล้าร้อนแรง

ตามความเห็นอันตื้นเขินของนาง ท่วงทำนองหลักในการปกครองของราชวงศ์นั้นก็คือการติดสินบน ใช้ทรัพย์สินกับเกียรติยศติดสินบนทั้งบนล่างในนอก ติดสินบนข้าศึก ทำให้ราชสำนักได้รับสันติสุขชั่วครั้งชั่วคราว ติดสินบนขุนนาง เพื่อแลกมาซึ่งการยกย่องของกลุ่มขุนนางบุ๋นที่มีต่อเจ้าเหนือหัวกับราชวงศ์

เมื่อถึงห้วงคับขันที่ข้าศึกบุกประชิดกำแพงเมือง เจ้าเหนือหัวกับขุนนางกลุ่มนี้ถึงกับติดสินบนครั้งใหญ่ โดยปล้นชิงบุตรสาวชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ใช้น้ำตาเลือดกับเรือนร่างของพวกนางไปติดสินบนข้าศึกต่างเผ่าอันป่าเถื่อนด้อยอารยะ ที่ตลกร้ายคือสุดท้ายภรรยากับบุตรสาวของเจ้าเหนือหัวกับขุนนางกลุ่มนี้แม้เดินไปบนอีกเส้นทางหนึ่ง ทว่ากลับลงเอยไม่ต่างกันเลย*

ไม่รู้ใครเป็นผู้กล่าวไว้…ความพยายามกับหยาดเหงื่อจะไม่พูดโป้ปด

เฉิงเซ่าซางทุ่มเทแรงใจแรงกาย ขยับทั้งมือทั้งสมองเช่นนี้แล้ว มิเพียงชื่อเสียงอันดีงามค่อยๆ กลบลบชื่อเสียงความพยศหยาบคายเมื่อแรกเริ่ม ฮ่องเต้เห็นอยู่ในสายตาก็พึงพอใจ สะบัดมือกำนัลเหรียญห้าจูที่หลอมขึ้นใหม่จำนวนห้าหมื่นเหรียญให้นางไว้ใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด ยังรับสั่งชมเชยด้วยว่านาง ‘กตัญญูประเปรียว จัดการได้เข้าที’ ทั้งถือโอกาสนี้กำนัลศักดินาสองร้อยครัวเรือนให้หลิงปู้อี๋ด้วย

เฉิงเซ่าซางไม่ชอบใจแล้ว นางอดกลั้นอยู่ครึ่งค่อนวัน หลังอาหารค่ำขณะนั่งใต้ทางระเบียงร่วมกับฮองเฮาและคอยหลิงปู้อี๋ไปด้วยนั้น ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ต้องงึมงำออกมา “ชมหม่อมฉันก็ชมหม่อมฉันสิ เกี่ยวอันใดกับใต้เท้าหลิงเล่า”

ฮองเฮาหลุดยิ้ม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงที่นุ่มเบา “ของเขามิใช่ของเจ้าด้วยหรือไร เจ้าน่ะ แค่นี้ก็ต้องคิดเล็กคิดน้อย ไม่แน่ว่าสองร้อยครัวเรือนนี้อาจเป็นค่าเคี่ยวน้ำตาลที่ฝ่าบาททรงมอบให้เจ้าก็เป็นได้”

เฉิงเซ่าซางหัวเราะคิกออกมา แล้วพลันกล่าวเสียงห่อเหี่ยว “เฮ้อ เมื่อก่อนนะเพคะ ไม่ว่าจะได้รับคำชมหรือก่อเรื่องแล้วถูกตำหนิ นั่นล้วนเป็นเรื่องของตัวหม่อมฉันเอง ทว่าเดี๋ยวนี้…หม่อมฉันพูดได้ดี ทำได้ดี นั่นคือหน้าตาของใต้เท้าหลิง หากหม่อมฉันประพฤติไม่เหมาะสม นั่นคือทำให้ใต้เท้าหลิงขายหน้า เช่นนั้นตัวหม่อมฉันเองเล่า ตัวหม่อมฉันเองไปอยู่ที่ใดแล้วเพคะ” เด็กสาวตัวน้อยทำสีหน้าแบบผู้ใหญ่ พูดน้ำเสียงสะทกสะท้อนใจ

ฮองเฮาหุบยิ้ม นิ่งมองเฉิงเซ่าซางครู่หนึ่งค่อยเอ่ยตอบ “นี่เรียกว่าเจ้าดันทุรัง หากยึดตามที่เจ้าว่ามา เหล่าแม่ทัพกับขุนนางที่ปรึกษาใต้อาณัติของฝ่าบาทต่างก็ไม่มีที่ทางของตนเองแล้วน่ะสิ วางแผนได้ดี รบชนะศึกแล้ว นั่นคือการขยายดินแดนเพื่อฝ่าบาท หาได้เกี่ยวข้องกับพวกเขาไม่ กลับกันหากวางแผนพลาดพ่ายศึก นั่นล้วนเป็นความผิดของฝ่าบาทหรืออย่างไร นับแต่โบราณมาใต้ผืนฟ้าประดับดาวอันไร้ขอบเขตนี้ แม่ทัพที่ปรึกษาผู้วางกลยุทธ์อันลือลั่นก้มมองใต้หล้าอย่างทระนงเหล่านั้น นามของพวกเขาก็พร่างพรายอยู่ท่ามกลางห้วงดาราอันสุกสกาวนี้เช่นกัน”

เฉิงเซ่าซางเงยหน้าขึ้นช้าๆ เบิกตาโตทอดมองไปเบื้องนอกชายคา

“เมื่อก่อนเจ้าโดดเดี่ยวเกินไป คิดแต่ว่าเกิดเองดับเอง มีเกียรติเองอัปยศเอง ทว่าทำเช่นนี้ไม่ได้ เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะไกล่เกลี่ย เรียนรู้ว่าภูเขาลูกนี้ทางไม่เปิด ก็ไปเปิดทางบนภูเขาลูกอื่น แม้ภายหน้าเจ้าไม่อาจทำตามความตั้งใจเดิม ติดตามคุณชายสกุลโหลวผู้นั้นไปยังขุนเขาลำน้ำที่อยู่ไกล ทว่า ณ เมืองริมแม่น้ำลั่วเหอซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งใต้หล้านี้ เจ้าจะไม่อาจเป็นตัวของเจ้าเองแล้วหรือ”

เฉิงเซ่าซางประดุจได้รับการเปิดหน้าต่างแห่งความสว่างออกบานหนึ่ง บนท้องนภาสีครามซึ่งหม่นเข้มขึ้นตามลำดับนั้นคลับคล้ายปรากฏแต้มดาวเพิ่มขึ้นหลายดวง แม้แสงจะอ่อนยิ่งจางยิ่ง แต่ถึงอย่างไรพวกมันก็ดำรงคงอยู่

“ฮองเฮาเพคะ พระองค์ตรัสได้ดีจริงเชียว” นางหันกลับมาผลิยิ้มอันงดงาม เฉกสายลมเย็นสบายโชยไล้เนินเขา

ฮองเฮาแลเห็นรอยยิ้มนี้แล้ว จิตใจก็ปลอดโปร่งตาม

เฉิงเซ่าซางแหงนมองขอบฟ้า คิดในใจว่าพฤติกรรมของหญิงช่างคับแค้นหน้าบูดง่ายขี้บ่นคนเดิมนั้นน่าขันถึงเพียงใด ว่ากันถึงที่สุดแล้วนางก็แค่เปลี่ยนสาขาวิชาใหม่ ต่อให้เป็นชาติก่อน รับรองได้หรือว่าวันหน้านางจะหางานตรงกับสาขาที่เรียนมาอย่างแน่นอน

ตอนนี้นางเพียงแต่เปลี่ยนจากขอบเขตงานวิจัยสายวิทย์ไปอยู่คณะโภชนาการพ่วงบริหารงานเรือนเท่านั้นเอง น้ำพักน้ำแรงไม่แบ่งแยกถูกแพง อาชีพไม่มีสูงต่ำ ที่ใดต้องการก็ใส่ความมุมานะไปที่นั่น นางก็คือนาง แค่เปลี่ยนสาขาวิชาใหม่ นางก็จะไม่ใช่นางแล้วหรือ นั่นช่างน่าขันเสียเหลือเกิน

 

* ดอกหงหลิง (红菱) หมายถึงดอกของต้นกระจับแดง พืชน้ำซึ่งออกดอกสีขาวหรือสีแดง ออกผลเป็นรูปทรงคล้ายเขาควายสีแดงม่วง

* กลิ่นอายควันไฟ หมายถึงควันไฟประกอบอาหาร และยังใช้สื่อถึงชีวิตปุถุชน

* พบเจอใคร แบ่งให้ครึ่งหนึ่ง หมายถึงแบ่งผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งของตนให้ผู้ที่ผ่านทางมาพบเห็น มีที่มาจากธรรมเนียมการล่าสัตว์ของชาวเอ้อหลุนชุน โดยขณะที่ล่าได้สัตว์มา หากบังเอิญมีอีกคนมาพบเห็น จะต้องแบ่งให้อีกฝ่ายไปครึ่งหนึ่ง นอกจากเป็นการซื้อน้ำใจ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันแล้ว ยังป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายคิดร้าย ใช้กำลังแย่งชิง

** สือมี่ (น้ำผึ้งหิน) คือน้ำอ้อยที่ตากแดดจนแข็งตัวเป็นก้อน

*** ซีอวี้ (แดนตะวันตก) คือดินแดนทางตะวันตกของด่านอวี้เหมินและด่านหยางกวนในสมัยราชวงศ์ฮั่น ปัจจุบันคือบริเวณเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางใต้ของเทือกเขาเทียนซาน (เทียนซานหนานลู่) เรื่อยไปจนถึงทางตะวันตกของที่ราบสูงปามีร์ รวมถึงแถบเอเชียกลาง เอเชียตะวันตก และอินเดีย

* กั่วถัง คือน้ำตาลฟรักโทส หรู่ถัง คือน้ำตาลแล็กโทส

** ขนมน้ำตาลขาว คือขนมที่นึ่งจากแป้งข้าวเจ้ากับน้ำตาลทรายขาว เนื้อขนมเป็นสีขาวมีรูพรุน ในที่นี้น้ำตาลของเฉิงเซ่าซางยังไม่บริสุทธิ์พอ ขนมจึงไม่ออกมาเป็นสีขาว

*** น้ำใสไร้มัจฉา เปรียบเปรยว่าเข้มงวดกับผู้อื่นเกินไป จะไม่มีใครคบหาด้วย เหมือนน้ำที่ใสเกินไป ปลาก็ไม่อาจอยู่รอด

* ในที่นี้ผู้เขียนกล่าวถึงเหตุการณ์ในราชวงศ์ซ่งเหนือรัชศกจิ้งคัง ซึ่งเป็นปีแรกและปีสุดท้ายในรัชสมัยของซ่งชินจง และเป็นปีสิ้นสุดของราชวงศ์ซ่งเหนือ เมื่อทัพจิน (กิมก๊ก) ตีไคเฟิงเมืองหลวงของราชวงศ์ซ่งเหนือแตก ซ่งฮุยจงกับซ่งชินจงฮ่องเต้สององค์สุดท้ายล้วนถูกทัพจินจับเป็นเชลย

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 .. 66 เวลา 12.00 .

4 of 4หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com