บทที่ 85
หัวหน้าของเหล่าผู้รับใช้ใกล้ชิดฮองเฮาเป็นขันทีใบหน้าซูบผอมอ่อนโยนผู้หนึ่ง นามว่าเฉาเฉิง รับผิดชอบจัดการงานต่างๆ ในตำหนัก ถ่ายทอดพระบัญชา ตลอดจนดูแลเรื่องส่วนตัวและนำทางหน้ารถพระที่นั่งของฮองเฮา ดำรงตำแหน่งผู้ดูแลตำหนักฉางชิวซึ่งมียศขุนนางสูงถึงสองพันตั้นทีเดียว ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขานอกจากเหล่านางกำนัล ยังมีขันทีทั้งระดับล่างระดับกลางในสำนักราชวังอีกจำนวนมาก เพียงแต่อุปนิสัยของฮองเฮารักความสงบเงียบจริงจัง ไม่ชอบก้าวก่ายงานราชสำนัก ทั้งไม่ชอบหมั่นเรียกตัวนายหญิงตราตั้งเข้าวังมาซักถามเรื่องซุบซิบ ด้วยเหตุนี้งานของผู้ดูแลเฉาจึงสบายยิ่งยวด นอกจากดำเนินงานประจำวันในตำหนักฉางชิวอันใหญ่โต แต่ละปีก็แค่ช่วยฮองเฮาจัดงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่อลังการไม่กี่หน
แม้ฮองเฮาไม่มีสิ่งใดไม่พอใจเฉาเฉิง แต่ด้วยถือคติว่ามีเรื่องเพิ่มขึ้นมิสู้มีเรื่องน้อยลง งานหยุมหยิมของตำหนักชั้นในนางจึงมักให้คนข้างตัวจัดการ ทว่าบัดนี้ไจ๋เอ่าสูงวัยขึ้นทุกวัน กำลังกายไม่เพียงพอ ส่วนลั่วจี้ทงก็ใกล้ถึงกำหนดออกเรือนแล้ว เวลาที่จะรั้งอยู่ในตำหนักลดน้อยลงทุกที ประกอบกับฮองเฮามีประสงค์จะให้เฉิงเซ่าซางได้ฝึกตัดสินใจและเลือกใช้คน ภายใต้จังหวะ สถานที่ และบุคคลแวดล้อมที่เอื้ออำนวยเช่นนี้เอง เฉิงเซ่าซางจึงได้เริ่มเข้าไปทดแทน
แรกเริ่มอยู่ในวังเฉิงเซ่าซางใจเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะผู้คนกับสถานที่ล้วนไม่คุ้นเคย หนำซ้ำบุรุษสตรีซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตที่นี่ต่างมีฐานะทางสังคมสูงส่งเหลือเกิน ชาติก่อนตนอยู่กับเจ้ใหญ่หัวหน้ากลุ่ม หากกระทำผิด อย่างมากก็ถูกสั่งสอนหนึ่งยกหรือถูกขับออกจากห้องบิลเลียด อยู่กับคุณครู หากกระทำผิดก็แค่ถูกเทศนา ถูกสั่งเขียนหนังสือตำหนิตนเองหนึ่งฉบับ หรืออย่างมากก็ถูกติดประกาศประจานทั่วโรงเรียน ทว่าฮ่องเต้กับฮองเฮาคือบุรุษสตรีผู้มีศักดิ์สูงสุดในใต้หล้าเชียวนะ เป็นบุคคลจำพวกที่ถูกยั่วโทสะเข้าจริง มีแต่จะสั่งฆ่าแล้วปล่อยไปตามยถากรรม
ตอนนี้ความพยายามของตนได้รับการยอมรับจากบุคคลทั้งสองแล้ว ใจกลัวเกรงระแวดระวังย่อมคลายลงตามลำดับ เฉิงเซ่าซางเริ่มเผยตัวตนออกมาตามธรรมชาติ แม้มิได้เจตนาเผย ทว่าอยู่ร่วมกันเป็นประจำย่อมไม่แคล้วปรากฏร่องรอยให้เห็น นานวันเข้าทุกคนในตำหนักฉางชิวจึงรู้กันทั่วว่าแม่นางเฉิงที่ดูคล้ายอ่อนหวานบอบบางผู้นี้เป็นคนขี้แกล้งซ่อนเล่ห์อย่างแท้จริง
มีหนหนึ่งนางกำนัลสองคนวิวาทตบตีกัน ต่างกล่าวอ้างว่าอีกฝ่ายเริ่มก่อน เฉิงเซ่าซางไม่มัวพูดพร่ำ สั่งให้ทั้งสองตบตีกันให้นางดูอีกรอบ คู่กรณีสองฝ่ายหมายแสดงตัวเป็นผู้อ่อนแอ จึงแข่งกันเหยียดกำปั้นให้ช้ากว่า ลงมือให้เบากว่า จนดูคล้ายฉายภาพยนตร์ซ้ำแบบเคลื่อนไหวช้า ซ้อมรุกรับกระบวนท่าเพลงดาบ ‘สายใยพันผูก’ กับเพลงฝ่ามือ ‘ฟืนแห้งเพลิงแรง’* กันอยู่ ทำเอาเหล่านางกำนัลขันทีในตำหนักหัวเราะจนปวดท้อง
ตบตีแบบปลอมๆ กันจบ เฉิงเซ่าซางถามคู่กรณีสองฝ่ายว่าต้องการจะฟ้องร้องอีกหรือไม่ สองฝ่ายต่างยังยืนกรานขอให้เฉิงเซ่าซางทวงความเป็นธรรมแก่ฝ่ายตน เฉิงเซ่าซางจึงยิ้มตาหยี ส่งตัวพวกนางไปให้คนของเฉาเฉิงในสำนักราชวังซึ่งมีหน้าที่ลงทัณฑ์ อย่าล้อกันเล่นน่ะ นางแค่ขาดประสบการณ์ ไม่ได้โง่งมสักหน่อย ต่อให้ฮองเฮาอ่อนโยนสักเพียงใด ก็ใช่ว่าคนในตำหนักสามารถได้คืบจะเอาศอก ในสถานที่เช่นวังหลวงนี้ นางกำนัลที่วิวาทกันด้วยเรื่องส่วนตัว มิเพียงไม่ปกปิด ยังแย่งกันจะทำให้เรื่องบานปลาย นึกว่านางไม่เคยตะลุยยุทธภพสินะ!
อีกหนหนึ่งมีนางกำนัลซึ่งรับผิดชอบปลูกดอกไม้ในลานด้านนอกสองคนถกเถียงแย่งชิงแมวหลีฮวา* กัน ฝ่ายหนึ่งบอกว่าเก็บมันมาจากมุมกำแพงตำหนักแล้วดูแลอย่างละเอียดลออเช่นไร อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าเจียดแบ่งอาหารมาเลี้ยงมันอย่างลำบากเพียงใด เห็นสองฝ่ายตะเบ็งใส่กันสุดเสียง เฉิงเซ่าซางก็เอ่ยว่า “เรื่องนี้จัดการง่าย ที่พวกเจ้าสองคนพูดมาล้วนมีเหตุผลยิ่ง เช่นนี้แล้วกัน ผ่าแมวหลีฮวาตัวนี้เป็นสองซีก พวกเจ้าเอาไปคนละครึ่งเป็นอย่างไร”
นางพูดพลางเรียกให้ขันทีไปนำดาบมา แรกเริ่มนางกำนัลทั้งสองพร้อมใจกันตะลึงค้าง ไม่ทันไรฝ่ายหนึ่งก็ร่ำไห้ทรุดเข่าลง พูดเสียงรัวว่าแมวหลีฮวาตัวนั้นไม่ใช่ของตน เป็นของอีกฝ่ายจริงๆ ผิดกับนางกำนัลอีกคนที่ตั้งแต่ต้นจนจบยังคงลังเลไม่อาจกล่าววาจา
เฉิงเซ่าซางจึงเลียนอย่างท่าทางของใต้เท้าเปา เปิดศาลประกาศตัดสินอย่างน่ายำเกรง…ไม่ว่าเจ้าของเดิมเป็นผู้ใด แมวหลีฮวาตัวนั้นสมควรอยู่กับเจ้าของที่รักถนอมมันมากกว่า ศาลจะไม่รับอุทธรณ์คดีนี้อีก
ฮองเฮาใช้แววตาอันเยือกเย็นมองดูอยู่ด้านข้าง อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแผ่วเบา “เจ้ามีไหวพริบไม่หยอกทีเดียว”
เฉิงเซ่าซางคิด…มิกล้าๆ หม่อมฉันเพียงต่อยอดจากหนังสือสำหรับเด็กและเยาวชนที่เคยอ่านเท่านั้น