ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 4 บทที่ 86
“แต่พี่ชายข้ากลับไม่ชอบเขา บอกว่าต้องดูอีกหน่อย เพราะเหตุใดกัน! เพราะเหตุใดกัน!” จู่ๆ สีหน้าฮั่วจวินหวาก็พลุ่งพล่านฟั่นเฟือน นางลุกพรวดขึ้น “ข้าจะไปถกเหตุผลกับพี่ชาย เพราะเหตุใดคนที่ข้าชมชอบ เขากลับไม่ยอมให้ข้าแต่งด้วย ก็ข้าจะแต่ง ข้าจะแต่ง พี่ชายๆ ท่านอยู่ที่ใด” ชุยโย่วกับอาเอ่าต่างแตกตื่น รีบไปฉุดรั้งฮั่วจวินหวา
ฮั่วจวินหวาออกแรงดิ้นรน ร้องตะเบ็งเสียงลั่น “พี่ชายๆ ท่านออกมาสิ มีคนจับข้าไว้ ไม่ยอมให้ข้าไปหาท่าน! พี่ชาย…พี่ชาย…” นางพลันชะงักกึก ใบหน้าฉายแววพรั่นพรึงประหนึ่งพบเจอมารปีศาจ เสียงแหบพร่านั้นราวแผดร้องออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ “ไม่! พี่ชายตายแล้ว! เขาตายไปแล้ว!”
ต่อให้เฉิงเซ่าซางใจกล้าเสมอมา ก็ยังถูกเสียงกรีดร้องชวนสะพรึงปานภูตผีนี้สะท้านขวัญจนตัวโยน กระถดไปชิดติดข้างกายหลิงปู้อี๋ทันที
ฮั่วจวินหวาน้ำตานองหน้า ร้องตะโกนด้วยสติอันพร่าเลือน “พี่ชายตายแล้ว ตายไปแล้ว…ข้าเห็นศีรษะของเขาถูกเสียบอยู่บนด้ามธง ยังมีพี่สะใภ้ ยังมีพวกหลานสาวหลานชายก็ล้วนตายกันหมด ศพแต่ละศพทอดร่างอยู่ตรงนั้น อาซู่น้อย…นางกำลังจะออกเรือนแล้วแท้ๆ สวรรค์ ข้าแต่สวรรค์ ข้าจะไปหาพวกเขา ข้าจะไปหาพวกเขา…”
อาเอ่ากอดรั้งนางไว้แน่น ชุยโย่วคุกเข่าข้างกายนาง หลั่งน้ำตาโดยไร้เสียง
เมื่อพลันเหลือบไปเห็นหลิงปู้อี๋ที่นั่งคุกเข่าอยู่อีกด้านหนึ่ง ฮั่วจวินหวาก็พึมพำว่า “เจ้าคือ…เจ้าคือหลิงอี้…”
นางคล้ายมองเห็นรูปโฉมอันหล่อเหลาในวัยหนุ่มของอดีตสามีจากบนดวงหน้าของหลิงปู้อี๋ เพียงเสี้ยวอึดใจสองตานางก็สุมเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพุ่งปรี่มาทันใด “เจ้าทรยศข้า! เหตุใดไม่ไปตายเสีย! พี่ชายข้าตายแล้ว เหตุใดเจ้าไม่ไปตายอีก! ไปตายเสีย เจ้าจงไปตายเสีย…”
ขณะเอ่ย นิ้วมืออันแหลมคมก็ยื่นมา หมายจะตะกุยใบหน้าของหลิงปู้อี๋ หลิงปู้อี๋จึงลุกพรวดเหยียดแขนขวาออก ใช้สันมือตีใส่หลังคอของมารดาบังเกิดเกล้าเบาๆ ส่งผลให้ฮั่วจวินหวาทรุดระทวยลงไป
หลิงปู้อี๋ช้อนอุ้มนางขึ้น อาเอ่าซับน้ำตาเดินนำทางอยู่เบื้องหน้า เฉิงเซ่าซางกับชุยโย่วที่ยังทึ่มทื่อเดินตามอยู่เบื้องหลัง หลิงปู้อี๋วางฮั่วจวินหวาบนเตียงของห้องชั้นในแล้ว เขาก็นั่งข้างเตียงนิ่งมองครู่หนึ่ง ค่อยกำชับอาเอ่าว่าดูแลมารดาของเขาให้ดี
ชุยโย่วยังคงสะอึกสะอื้นเป็นห้วงๆ ตบแขนหลิงปู้อี๋เบาๆ พลางเอ่ย “เจ้ากลับไปก่อนเถิด คราวก่อนก็เป็นเช่นนี้ เห็นเจ้าทีไรนางมักนึกถึงบิดาเจ้า พวกเจ้าแม่ลูกยังคงพบกันให้น้อยจะดีกว่า วันหน้ามีเวลาว่างไปดื่มสุราที่จวนข้านะ พาว่าที่ภรรยาเจ้าไปด้วย ข้าเก็บสิ่งของสำหรับให้พวกเจ้าใช้ในพิธีแต่งงาน ข้าจะรั้งอยู่ที่นี่อีกสักพัก รอจนนางฟื้นมา ข้าพูดกล่อมสองสามประโยค ไม่แน่นางอาจกลับมาเบิกบานอีกครา” จบคำเขาเดินสองสามก้าวไปฟุบกับขอบเตียงของฮั่วจวินหวา ดวงตาเพ่งพิศคนบนเตียงไม่ละวาง
หลิงปู้อี๋มองดูสองคนที่อยู่บนเตียงกับข้างเตียงนั้นพักใหญ่ ค่อยจับจูงเฉิงเซ่าซางเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ
พวกเขากินอาหารกลางวันที่โถงหน้าของเรือน ให้คนและม้าได้พักผ่อนเล็กน้อย จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็เร่งออกเดินทางกันอีกครา ระหว่างทางขากลับ หนุ่มสาวสองคนนั่งนิ่งไร้ถ้อยคำ
ในใจเฉิงเซ่าซางเองก็ว้าวุ่นยิ่งนัก ผ่านไปเนิ่นนานกว่าจะเอ่ยเสียงค่อย “ถือว่าข้าแพ้ ท่านไม่ต้องลาหยุดกับฮองเฮาแทนข้าหรอก”
รันทดเกินไปแล้ว แม้จะหมดปัญหาระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ไป เพราะอีกฝ่ายยังคงรั้งอยู่ในห้วงความทรงจำของคุณหนูใหญ่สกุลฮั่วในวัยสาวอันไร้ทุกข์ไร้โศก ไหนเลยจะนับลูกสะใภ้คนนี้ ทว่านี่มันรันทดหดหู่เกินไปจริงๆ สองคนแม่ลูกถึงกับไม่อาจพบกันบ่อยครั้งได้!
หลิงปู้อี๋ลูบสัมผัสพวงแก้มที่เย็นนิดๆ ของนาง ฉวยเสื้อคลุมจากที่นั่งของตนมาห่มบนร่างเล็ก ก่อนโอบนางมาแนบชิดอ้อมอก
“แล้ว…ชุยโหวฮูหยินเล่า” เฉิงเซ่าซางพลันฉุกคิดได้เรื่องหนึ่ง แม้ฮั่วจวินหวาสติฟั่นเฟือนน่าเวทนายิ่ง ทว่าหากสามีของตนมีท่าทางหัวปักหัวปำเยี่ยงนี้ ภรรยาคนใดกันจะทานทนไหว อย่าให้ประเดี๋ยวมีการบุกตบตีมือที่สามถึงเรือนดอกซิ่ง จนขึ้นพาดหัวข่าวของเมืองหลวงแล้วกัน
หลิงปู้อี๋รู้ความคิดในใจนาง จึงตอบปนยิ้มน้อยๆ “นานหลายปีหลังจากท่านแม่ข้าออกเรือนไป ในที่สุดชุยโหวก็ถูกมารดาผู้เฒ่าบังคับแต่งงาน มีบุตรชายรวมสองคน ตอนที่ให้กำเนิดบุตรชายคนรองนี้เอง ชุยโหวฮูหยินจากไปด้วยภาวะคลอดยาก เดิมทีมารดาผู้เฒ่ายังต้องการให้ชุยโหวแต่งภรรยาคนที่สอง ทว่าไม่นานให้หลังท่านแม่ข้าหย่าขาดกับท่านพ่อพอดี ชุยโหวจึงยืนกรานเป็นตายไม่ยอมแต่งงานใหม่ ครองตนเป็นพ่อม่ายมาจนปัจจุบัน”
เฉิงเซ่าซางทอดถอนใจยาว “ตัดสินคนแต่เปลือกนอกไม่ถูกต้องจริงๆ เสียด้วย ชุยโหวแม้ด้อยรูปโฉม ทว่าความรู้สึกสัตย์ซื่อ หัวใจจริงแท้ น้ำใจอันลึกล้ำนี้…กระทั่งทองคำหมื่นชั่งยังยากจะแลกเปลี่ยนได้”
หลิงปู้อี๋ขานดังอืมเบาๆ หนเดียว
ความคิดของเฉิงเซ่าซางกระตุกวูบ นึกได้ว่าผู้ที่ ‘ความรู้สึกไม่สัตย์ซื่อ หัวใจไม่จริงแท้’ ก็คือบิดาบังเกิดเกล้าของหลิงปู้อี๋นั่นเอง ไม่เหมาะที่นางจะพูดอันใดต่อไปแล้ว จึงทำเพียงเอ่ยปลอบประโลมเขา “ท่านอย่ากังวลใจไปเลย ฮั่วฮูหยินไม่รู้จักข้าสักหน่อย ไม่รู้จักคนทั้งบ้านข้าด้วย ไว้ข้าจะสวมรอยเป็นญาติไส้แห้งที่มาขอเงิน หมั่นมาเยี่ยมมารดาของท่านเอง…เอ่อ มารดาของท่านคงจะไม่ทุบตีญาติไส้แห้งกระมัง”
หลิงปู้อี๋หลุดหัวเราะ ลูบเรือนผมอันอ่อนนุ่มบนศีรษะนาง “หยุดทุกสิบวัน เจ้ายังบ่นว่านอนไม่พอ จะมีเวลามาเยี่ยมแม่ข้าได้อย่างไร รอไว้หลังแต่งงานเถิด ถึงตอนนั้นฝ่าบาทคงไม่ทรงจับเจ้าไปเล่าเรียนที่ตำหนักฉางชิวอีกหรอก ภายหน้าวันคืนของพวกเรา…จะมีอีกยาวนานนัก”
สุ้มเสียงของเขาค่อยๆ เคลื่อนห่าง ตามสายตาที่ทอดสู่ทิศไกล เพียงแลเห็นหมู่บ้านเบื้องหน้าปรากฏควันไฟหุงต้มลอยอ้อยอิ่ง หมอกขาวปกคลุมเหนือภูเขาสีเขียวแกมดำ ประดุจอยู่ในห้วงฝัน
เฉิงเซ่าซางเคยชินที่จะนอนกลางวันนานแล้ว ประกอบกับยามนี้นางทั้งเหนื่อยทั้งง่วง จึงงีบหลับซบอ้อมอกของหลิงปู้อี๋ ข้างหูนางคือเสียงหัวใจเต้นอันหนักแน่นมีพลัง ให้ความรู้สึกอ่อนโยนปลอดภัย ดุจเดียวกับเสียงตีแผ่วๆ บนผ้าห่อตัวทารกยามที่คุณย่ากล่อมให้นางหลับใหล
ไม่นานนักนางก็ม่อยหลับไป
* ถุงสุรากระสอบข้าว ใช้เปรียบเปรยถึงผู้ที่ไร้ความสามารถและสติปัญญา เก่งแต่กรอกสุราอาหารลงท้อง
** กลทัพปริศนา หมายถึงวิธีลวงข้าศึก ทำให้ข้าศึกวินิจฉัยผิดพลาดเพื่อคว้าชัยชนะที่มากกว่า
* ‘มีเพียงสตรีกับคนถ่อยที่อยู่ร่วมด้วยยาก’ เป็นคำกล่าวของข่งจื่อที่มุ่งเตือนสติผู้เป็นเจ้าคนนายคนว่าการอยู่ร่วมกับสตรีข้างกาย (โดยหมายรวมถึงบริวารที่ถือตนว่าเป็นคนโปรด) และคนถ่อยนั้นจะต้องรักษาระยะห่างที่พอเหมาะ หากใกล้ชิดไปก็ง่ายที่อีกฝ่ายจะลามปามจนเสียกฎระเบียบ ทว่าห่างเหินไปก็ง่ายที่อีกฝ่ายจะเคืองแค้น
* ซิ่ง คือแอปปริคอต เป็นพืชตระกูลเดียวกับต้นเหมย (ต้นบ๊วย) ดอกสีขาว อาจมีสีชมพูหรือสีแดงแซม เกสรสีเหลือง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.