บทที่ 124
“หากเป็นเรื่องแค่นี้ท่านพ่อข้าคงไม่พูดกับข้าเป็นพิเศษ”
ฉินเจ่าเอ๋อร์มองไปรอบๆ ก่อนลุกเดินมานั่งข้างกายเฉินวั่งซู ป้องหูนางพลางกระซิบ “ท่านพ่อข้าบอกว่าหมู่นี้ฝ่าบาทมีพระราชดำริจะแต่งตั้งบรรดาศักดิ์แก่องค์ชาย จึงได้เรียกขุนนางใหญ่หลายคนไปหารือถึงเรื่องนี้ นอกจากองค์ชายสี่กับองค์ชายแปด องค์ชายที่เหลือล้วนแต่งงานหมดแล้ว เกรงว่าคงต้องออกมาทำงาน องค์ชายสี่น่าจะไปชายแดนไม่ได้แล้ว แม้จะยังไม่เคยเปิดเผย แต่ฝ่าบาทได้ให้เขาสอดมือดูแลเรื่องเกลือเหล็กอย่างเงียบๆ แล้ว”
เฉินวั่งซูได้ยินแล้วก็ลอบตกใจกับตนเอง นางมองฉินเจ่าเอ๋อร์อย่างลึกซึ้งครู่หนึ่ง
หากมิใช่ในสมุดนั้นของเหยียนเจวี๋ยไม่มีชื่อคนสกุลฉินอยู่ เฉินวั่งซูก็แทบจะคิดแล้วว่าฉินเจ่าเอ๋อร์เป็นผู้ช่วยแสนเก่งกาจที่เหยียนเจวี๋ยหาตัวมาไว้นานแล้ว ยามนี้ประหนึ่งว่ามีคนบอกเรื่องที่ควรบอกให้นางฟังทั้งหมดผ่านปากของฉินเจ่าเอ๋อร์อย่างไรอย่างนั้น
มิน่าเมื่อก่อนเฉินสี่หลิงถึงสามารถส่งสินค้าห้าลำเรือออกไปได้ง่ายดาย แต่ครั้งนี้กลับต้องขาดทุนเป็นครั้งแรก นี่หมายถึงอะไร ย่อมหมายถึงว่าทิศทางลมในราชสำนักเปลี่ยนไปแล้ว ฐานะพระชายาองค์ชายสามของนางไม่ได้ใช้ได้ง่ายดายเท่าเมื่อก่อนแล้ว
ความจริงเฉินวั่งซูก็คาดเดาไว้เช่นนี้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
สินค้าห้าลำเรือ หากมิได้เป็นการค้าที่ได้กำไรสูงโดยแทบไม่ต้องลงทุนก็ไม่มีค่าพอให้เฉินสี่หลิงยอมเสี่ยงโดยสิ้นเชิง
หากเป็นพวกผ้าไหมใบชาธรรมดาทั่วไป ขนส่งอย่างเปิดเผยก็หมดเรื่องแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เถ้าแก่โจว หากเป็นพวกวัวม้าอาวุธเหล็ก นั่นเป็นยุทธปัจจัย ความเสี่ยงสูงเกินไป หากถูกตรวจสอบได้ก็จะถูกสงสัยว่าสมคบคิดกับศัตรูทรยศต่อบ้านเมือง มีเพียงเกลือเถื่อนที่เป็นการค้าอันไร้ต้นทุนอย่างแท้จริง
ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าคือต่อให้เรื่องนี้ถูกคนตรวจสอบได้จริงๆ ก็ไม่ถึงขั้นสั่นคลอนรากฐานของจวนองค์ชายสาม
ราชสำนักนี้เน่าเฟะตั้งแต่รากแล้ว ชนชั้นสูงที่ทำเรื่องทำนองนี้มีไม่รู้ตั้งเท่าไร ไม่ได้มีเขาเพียงผู้เดียว
“น่าเสียดายแล้ว แคว้นต้าเฉินของเราอุตส่าห์มีผู้ที่ออกรบได้ทั้งที” เฉินวั่งซูสะท้อนใจอยู่บ้าง
ฉินเจ่าเอ๋อร์ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง แต่กลับไม่ได้พูดเรื่องสงครามต่อ นางกล่าวเพียงว่า “บรรดาคนที่หากินในเส้นทางเหล่านั้นล้วนลำบากกันทั้งนั้น ได้ยินว่าไม่กี่วันก่อนองค์ชายสี่ออกเรือลาดตระเวน แล้วถูกคนลอบปลงพระชนม์เข้า เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ ทว่าพี่น้องที่ติดตามข้างกายเขาตายไปหลายคน ข้าไม่ได้ว่านะ แต่อยู่ที่ชายแดนมีฮู่กั๋วกงคุ้มครอง อยู่ที่นี่มีผู้ใต้บังคับบัญชาเพียงไม่กี่คนกลับไม่ประเมินกำลังตนเอง ยังไม่ทันรับตำแหน่งใหม่อย่างเป็นทางการเลยก็ทำไฟเผาก้นตนเองก่อนแล้ว ยุคสมัยนี้การหาบุรุษที่มีหัวสมองสักคนเป็นเรื่องไม่ง่ายเลยจริงๆ”
เฉินวั่งซูกลั้นไม่อยู่ หลุดหัวเราะพรืดออกมาทันที
คุณหนูฉินเจ้าขา หากท่านไปพูดเช่นนี้ข้างนอก คุณชายทั่วทั้งเมืองหลินอันคงได้พากันม้วนแขนเสื้อต่อยท่านแล้ว
“เฮ้อ…ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ไม่ได้เกี่ยวกับพวกเราเสียหน่อย ท่านรีบชิมปูนี้เร็ว เย็นแล้วจะไม่อร่อย ว่าแต่…ข้าเห็นท่านยังดูเป็น…หญิงสาวไม่ประสีประสา หรือว่าเหยียนเจวี๋ยจะใช้การไม่ได้”
ฉินเจ่าเอ๋อร์พูดพลางฉีกปูตัวหนึ่งออกเป็นสองชิ้น ถลกแขนเสื้อลวกๆ แล้วเริ่มจิ้มน้ำส้มสายชูกิน
เฉินวั่งซูยังไม่ทันกลืนเนื้อปูในปากก็ถูกทำให้สำลักจนไอโขลกๆ ขึ้นมาในทันใด นางไออยู่ครู่ใหญ่เสียจนหน้าแดง “ท่านยังเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน พูดเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร”
แย่จริง! ดวงตาท่านเป็นเครื่องตรวจจับหรือไร แม้แต่เรื่องนี้ยังมองออกได้
ฉินเจ่าเอ๋อร์กะพริบตา “ช่วยไม่ได้ จวนข้านอกจากพวกที่อัปลักษณ์จนกระเดือกไม่ลงจริงๆ ที่เหลือล้วนเป็นสาวใช้อุ่นเตียงของท่านพ่อข้าหมดแล้ว ตอนข้ายังเล็ก เวลาเบื่อๆ ก็จะไปนั่งดูในลานเรือน มีคนที่ไม่ได้ถูกท่านพ่อข้านำมาเป็นสาวใช้อุ่นเตียงผ่านมาผู้หนึ่ง ข้าจะให้รางวัลตนเองด้วยการกินลูกพลับหนึ่งลูก สุดท้ายท่านลองทายดูว่าเป็นอย่างไร”
“เป็นอย่างไรหรือ”
ฉินเจ่าเอ๋อร์ชูนิ้วขึ้นสามนิ้วด้วยท่าทางหัวเสีย “ลูกพลับเต็มต้น ข้าได้กินไปแค่สามลูก เพราะคนหนึ่งหน้าตาดี แต่หน้าเหมือนท่านย่าข้า ท่านพ่อข้าไม่กล้าเอาเข้าปาก คนหนึ่งผิวพรรณเข้มเป็นพิเศษ ผู้อื่นออกมาจากท้องนางกลับเหมือนออกมาจากอ่างหมึก ส่วนคนที่สามนั้น…จิ๊ๆ เป็นแม่ครัว มีหน้าที่แกะเปลือกถั่วอยู่ในครัว ท่านพ่อข้ากินถั่วไม่ได้ ด้วยเหตุนี้พอเห็นนางจึงไม่กล้าข้องเกี่ยว เหยียนเจวี๋ยของท่านไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าท่านพ่อข้า แต่ถึงกับไม่ได้…ท่านเองก็อย่าได้เก็บไปใส่ใจ ใช้การไม่ได้ก็ใช้การไม่ได้ เขาจะได้ไม่ไปหาเศษหาเลยข้างนอกจนทำให้ท่านหงุดหงิดใจ”
เฉินวั่งซูอ้าปากพะงาบ ไม่รู้จริงๆ ว่าควรแก้ตัวแทนเหยียนเจวี๋ยอย่างไรดี สุดท้ายนางจึงพยักหน้าเห็นด้วยเสียเลย “ก็จริง ถึงอย่างไรหน้าตาดีก็ใช้ได้แล้ว”
ฉินเจ่าเอ๋อร์ตบบ่าเฉินวั่งซูด้วยความเห็นใจ “ไม่เป็นไร พวกเรามีเงิน วันหน้ายังมีคนอีกมากอยากมาคุกเข่าแทบเท้าเรียกเราว่ามารดา แย่งชิงกันถือธงโยนกระถางหามโลงศพพวกเราไปส่งยังสุสาน! อีกอย่างเขาก็อายุยังน้อย ยังรักษาได้!”
ปากเฉินวั่งซูอ้าแล้วอ้าอีก หุบแล้วหุบอีก แววตาวูบไหว คิดถึงอะไรได้ก็พยักหน้า
ฉินเจ่าเอ๋อร์เห็นนางน่ารักว่าง่ายปานนี้ก็ยิ่งปวดใจ สั่งให้คนนึ่งปูมาอีกเข่ง รับปากว่าคราวหน้าจะมอบเข็มที่เข้าชุดกับหน้าไม้เล็กนั้นให้เฉินวั่งซูอีกหนึ่งกล่อง เสร็จแล้วถึงตัดสินใจออกจากหอกวนไห่นี้
นางเดินมาถึงหน้าประตูหอก็ชะแง้แลมองไปรอบๆ เล็กน้อย เห็นว่าไม่มีองค์ชายแปดที่มักชอบแสร้งทำเป็นบังเอิญมาเจอก็ให้โล่งอก โบกมือให้เฉินวั่งซู “ข้ากลับก่อนแล้ว หากท่านไปบ้านท่านลุงใหญ่ของท่าน อย่าลืมส่งเทียบมาให้ข้าด้วย จะต้องส่งมาสามฉบับติดเพื่อแสดงว่าเป็นเหตุการณ์เร่งด่วน ท่านพ่อข้าถึงจะยอมให้ข้าไปได้”
เฉินวั่งซูแย้มยิ้มพลางตอบรับ “เร็วๆ นี้ในหมู่บ้านของข้าส่งเกาลัดมาให้จำนวนมาก ประเดี๋ยวจะส่งไปให้ท่านจำนวนหนึ่ง อีกทั้งเมื่อตอนดอกกุ้ยออกดอก ไป๋ฉือบ่มสุราดอกกุ้ยไว้ ข้าคิดว่าท่านน่าจะชอบดื่ม จึงตั้งใจเตรียมไว้ให้ท่านสองไห”
ฉินเจ่าเอ๋อร์ได้ฟังก็ตาสว่างวาบ “ยังมีดอกกุ้ยตากแห้งอีกหรือไม่ หากมีข้าขอด้วยตะกร้าหนึ่ง อยากกินรากบัวยัดไส้ข้าวเหนียวผสมดอกกุ้ยแล้ว มารดาเลี้ยงข้าทำอะไรได้ไม่ดีสักอย่าง แค่ตากดอกกุ้ยข้างในก็ยังมีทราย สีก็ผิดเพี้ยนไปเช่นกัน เห็นแล้วน่ากลุ้มใจ”
“รู้แล้ว คราวหน้าหากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินอันใด ท่านก็ให้คนมาตามตัวข้าได้เลย”
ฉินเจ่าเอ๋อร์มองความคิดในใจนางได้ปรุโปร่งในแวบเดียว “ท่านอยากเห็นเรื่องน่าขันของข้าล่ะสิ”
เฉินวั่งซูโบกมือและก้าวขึ้นรถม้า นางมีหรือจะได้เห็นเรื่องน่าขันของฉินเจ่าเอ๋อร์ ด้วยฉินเจ่าเอ๋อร์ล้วนเป็นฝ่ายทำให้ผู้อื่นกลายเป็นเรื่องน่าขันชัดๆ
“ไปหออิ๋นชุ่ย” เฉินวั่งซูเอ่ยสั่ง
มู่จิ่นกระโดดขึ้นรถม้าตาม ก่อนถามด้วยความสงสัย “คุณหนูจะไปหออิ๋นชุ่ยด้วยเหตุใดกันเจ้าคะ กั๋วกงน้อยมีหอฝูเป่า เดือนนี้มิใช่เพิ่งนำสมุดรายการมาให้ท่านเลือกเครื่องประดับไปจำนวนมากเองหรือ เมื่อก่อนท่านไม่ชอบเครื่องประดับของหออิ๋นชุ่ย รังเกียจว่าพวกมันดูไม่หรูหราสง่าผ่าเผยมิใช่หรือเจ้าคะ”
เฉินวั่งซูเท้าคางมองนอกหน้าต่าง “ไม่หรูหราสง่าผ่าเผยก็มีข้อดี ข้าคิดว่าไปวันนี้น่าจะได้บังเอิญเจอกับคนที่ควรเจอ”
มู่จิ่นไม่เข้าใจ แต่เห็นเฉินวั่งซูไม่อธิบายก็เกาศีรษะแล้วเลิกถาม
เฉินวั่งซูกระตุกมุมปาก ความผิดบาปนั้นเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ยัดมันให้แพะอย่างเกามู่เฉิงกับองค์ชายเจ็ด
เพียงไม่นานก็มาถึงหออิ๋นชุ่ย เฉินวั่งซูลงรถม้ามาก็เหลือบเห็นรถม้าที่มีตราสกุลเกาจอดอยู่ด้านข้างตามที่คาดไว้
“เซี่ยนจู่เป็นแขกผู้สูงส่งโดยแท้ ในหอของพวกเรามีปิ่นคู่ออกใหม่ชุดหนึ่ง ให้ความรู้สึกสูงส่งเกินไป มีคนขอดูมากยิ่ง แต่กลับไม่มีใครกล้าซื้อไปใช้แม้แต่ผู้เดียว เดิมผู้น้อยไม่เข้าใจ วันนี้ได้เห็นเซี่ยนจู่ถึงได้กระจ่าง อันว่ากระบี่เทพเลือกเจ้านาย ของล้ำค่ารอผู้มีชะตาต้องกัน ปิ่นนั้นกำลังรอเซี่ยนจู่อยู่นั่นเอง”
เฉินวั่งซูแย้มยิ้มอ่อนโยน “เจ้ากล่าวเช่นนี้ หากข้าไม่ดูเสียหน่อยคงจะเป็นการไม่สมควรแล้ว”
นางเพิ่งจะพูดจบเกามู่เฉิงก็พุ่งตัวมาจับมือนางไว้ แล้วลากนางเข้าไปในห้องส่วนตัวที่อยู่ด้านข้าง
บทที่ 125
เฉินวั่งซูมองมือน้อยขาวผ่องอ่อนนุ่มบนข้อมือตนเอง ค่อนข้างจะตื่นเต้นอยู่ลึกๆ
ก่อนหน้านี้นางเก็บตัวถึงสามเดือนเพื่อเหยียนเจวี๋ย เหมือนกับถูกบีบให้พักการถ่ายละครสามเดือน สนิมขึ้นไปทั่วทั้งตัว ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดกรอบแกรบยังพอว่า อารมณ์บนใบหน้านั้นยังกำลังร่ำร้องบอกให้นางรีบแสดงละครให้ไวอีกด้วย!
ตัวนางนั้นไม่ได้แสดงหนึ่งวันก็กินข้าวไม่อร่อยแล้ว!
นี่อะไร โอกาสมาแล้ว แม้เกามู่เฉิงจะเข้ากองถ่ายละครมาพร้อมเงินทุน ฝีมือการแสดงต่ำสุดๆ แต่เรื่องมาถึงบัดนี้เฉินวั่งซูก็ไม่มีเวลาให้สนใจอะไรมากมายปานนั้นแล้ว
นางหายใจเข้าลึกๆ เปล่งเสียงอุทาน โบกผ้าเช็ดหน้าน้อยไปมา “ว้าย! พระชายาองค์ชายเจ็ด นี่ทรงทำอะไร”
ผู้ที่มายังหออิ๋นชุ่ยนี้ได้ถ้าไม่ใช่พวกมีเงินก็เป็นพวกมีเวลาว่าง พอได้ยินว่ามีเรื่องกันหูของแต่ละคนก็ตั้งเสียอย่างกับเสาอากาศ ดวงตากลอกมองมาอย่างว่องไว เพียงแต่ทุกคนล้วนถูกปิดประตูใส่หน้าดังปัง
เฉินวั่งซูมีสีหน้าหวาดหวั่นลนลาน ท่าทางเหมือนลูกแกะถูกคนลักพาตัว ดวงตากลับสำรวจดูสภาพภายในห้องอย่างละเอียด
ผู้ที่นั่งบนที่นั่งหลักนั้นคือเกาฮูหยิน มารดาบังเกิดเกล้าของเกามู่เฉิงกับเกาอี้เสียง
เทียบกับท่าทางข่มคนของนางในครั้งแรกที่ได้เห็นที่จวนฮู่กั๋วกง ครั้งนี้ทั้งตัวคนดูซีดเซียวลงมาก แม้แต่น้ำมันใส่ผมก็ไม่ได้ทา ตรงจอนผมมีลูกผมกระจุยกระจาย ใต้ตาดำเป็นวง สภาพเหมือนไม่ได้นอนทั้งคืน
เฉินวั่งซูยืนนิ่งแล้วก็สะบัดมือของเกามู่เฉิงออก ก่อนกุมตรงจุดที่ตนเองถูกจับไว้ด้วยสีหน้าเจ็บปวด “เกาฮูหยิน พวกเราไม่มีความแค้นต่อกัน ไม่เคยไปมาหาสู่กัน เหตุใดจึงทำเรื่องเสียเกียรติเช่นนี้ออกมาต่อหน้าผู้คนมากมาย หากไม่มีธุระอะไร โปรดอภัยด้วยที่ข้าเฉินวั่งซูต้องขอตัวไปก่อน อีกประเดี๋ยวสามีข้ายังจะมาที่นี่เพื่อรับข้ากลับไปด้วยกัน”
นางเป็นคนห่วงเกียรติ แต่เหยียนเจวี๋ยไม่ใช่ เฉินวั่งซูโยนเสาค้ำทะเลตงไห่ ด้วยอาการตัวสั่นงันงก ท่าทางเหมือนเป็นดอกฝอยทองพืชกาฝากกำลังบอกว่า ‘ข้ามีสามีเป็นที่พึ่งพิง’
เกาฮูหยินเองก็ตกใจมากเช่นกัน “มู่เฉิง เจ้าลากเซี่ยนจู่เข้ามาด้วยเหตุใด”
เกามู่เฉิงเบ้าตาแดง “ท่านแม่ ท่านอย่าถูกนางหลอก พวกคนแซ่เฉินมีคนใดเป็นคนดีบ้าง ยามนี้ท่านพี่ถูกจับขังคุก ท่านปู่นิ่งเงียบ ข้าไปหาคนที่จวนองค์ชายสาม เฉินสี่หลิงถึงกับเปลี่ยนโฉมหน้า ทำพูดวกวนบอกปัดพวกเรา ท่านแม่ ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ พวกเขาต้องการสละท่านพี่ทิ้งเพื่อปกป้ององค์ชายสาม เพื่อปกป้องเกียรติยศของสกุลเกา! มิเช่นนั้นอาหญิงที่อยู่ในวังมีหรือจะมาล้มป่วยเอาพอดิบพอดีในเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้
ท่านพี่มิได้มีปณิธานยิ่งใหญ่ แล้วทั้งหมดทำเพื่อใครกันเล่า ข้ารู้สึกไม่คุ้มค่าแทนเขาจริงๆ ชนเผ่าอะไรนั่นฆ่าทิ้งแล้วก็แล้วไปสิ ถึงกับต้องการให้พี่ชายข้าชดใช้พวกเขาด้วยชีวิต! บุรุษสกุลเกามีไม่น้อย พวกเขาจะมีพี่ชายข้าหรือไม่ก็ไม่ต่างกัน แต่ว่าท่านแม่ ท่านมีบุตรชายเพียงผู้เดียว ข้าเองก็มีพี่ชายแท้ๆ อยู่เพียงคนเดียว ปกติข้าคิดว่าข้าแซ่เกา มีอะไรให้ต้องกลัว! ท่านแม่ แต่วันนี้ข้านับว่าได้เห็นจนสิ้นแล้วว่าอะไรเรียกว่าท่าทีพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ”
เฉินวั่งซูเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ ใช้พัดบังไว้ครึ่งหน้า ท่าทางราวกับบอกว่า ‘เรื่องนี้ข้าฟังได้หรือ’ “นี่พระชายาองค์ชายเจ็ดกำลังตรัสอะไร”
เกามู่เฉิงได้ยินแล้วก็โทสะพุ่งสูงสามจั้ง “ก็คดีฆ่าสตรีแปดนางอะไรนั่นมิใช่หรือ นั่นเป็นแม่สามีเจ้าต้องการทำร้ายเหยียนเจวี๋ย เกี่ยวอะไรกับพี่ชายข้าด้วย จะต้องเป็นเพราะพวกเจ้าสั่งให้เจ้าเมืองจางสืบสาวราวเรื่องไม่ยอมเลิกรา เหยียนเจวี๋ยถึงได้เคยไปที่ว่าการ มีคนเห็นเขาแล้ว เจ้าจงลากเหยียนเจวี๋ยไปกราบทูลฝ่าบาทว่าพวกเจ้าไม่ติดใจเอาความเรื่องนี้แล้วเดี๋ยวนี้เลย”
เฉินวั่งซูมองเกามู่เฉิงด้วยสีหน้าแววตาประหนึ่งมองคนโง่ ทำเอาอีกฝ่ายโกรธจนผมแทบตั้งเลยทีเดียว
คราวนี้มิใช่เสแสร้ง…
ข้ารู้ว่าเกามู่เฉิงถูกสกุลเกาตามใจจนเสียนิสัยแล้ว แต่คิดไม่ถึงแม้แต่น้อยนิดว่าจะตามใจจนทำให้เสียสมองไปด้วย!
เฉินวั่งซูคิดแล้วก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แทบจะเอาตัวแนบประตู นางคิดเล็กน้อยก่อนกล่าวเสียงเบา
“เรื่องของราชสำนัก ข้าเป็นเพียงสตรีนางหนึ่งย่อมจะไม่ทราบเรื่องราวอันใด เรื่องวันนั้นคลี่คลายไปนานแล้ว ส่วนมูลเหตุนั้นคิดว่าเกาฮูหยินท่านน่าจะกระจ่างแจ้งดีที่สุด เหยียนเจวี๋ยไปที่ว่าการก็ด้วยต้องไปลงนามประทับลายนิ้วมือในคดีเก่า ถือเป็นการยุติคดี ข้าเพียงได้ยินข่าวว่าเมื่อคืนแม่ทัพเกาถูกจับตัว แต่รายละเอียดแน่ชัดก็เพิ่งจะได้ทราบจากวาจาพระชายาองค์ชายเจ็ดเมื่อครู่นี้”
นางพูดพลางแววตาวูบไหว กัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “พี่หญิงมีเมตตาอารีเสมอมา แม่ทัพเกากับองค์ชายสามเป็นสหายที่สนิทที่สุด หากแม่ทัพเกาต้องการ พวกเขาย่อมจะช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง คงมิใช่ว่ามีความเข้าใจผิดอะไรในเรื่องนี้กันกระมัง”
เกามู่เฉิงเห็นนางพูดมีเหตุมีผลจริงจัง ท่าทางเหมือนว่าพวกตนคนแซ่เฉินสูงใหญ่ อกผายไหล่ผึ่ง ดูเหมือนนอบน้อมถ่อมตัว อันที่จริงความหยิ่งยโสนั้นแทบจะบินออกมาแล้ว
นางนึกถึงเรื่องที่ช่วงที่ผ่านมานี้เวลาได้ยินคนในจวนซุบซิบนินทามักยกเอานางกับเฉินวั่งซูมาเปรียบเทียบกัน
กระทั่งคนเก็บของเสียนั่นยังรู้สึกว่าเฉินวั่งซูเป็นคุณหนูผู้สุภาพอ่อนโยนจากตระกูลขุนนางใหญ่ ย่อมจะรู้จักคำนึงถึงภาพรวม แม้แต่ถังขับถ่ายก็ยังหอม! ยามนี้นางโทสะอัดแน่นเต็มท้อง…นางอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง กลับมองเห็นเฉินวั่งซูมองดูท้องฟ้านอกหน้าต่าง ก่อนคารวะเกาฮูหยินด้วยท่าทางวิตกกังวล
“พระชายาองค์ชายเจ็ดร้อนพระทัยวั่งซูเข้าใจดี เพียงแต่เรื่องนี้หม่อมฉันช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ สกุลเฉินของหม่อมฉันแยกบ้านกันนานแล้ว หม่อมฉันเองก็พูดอะไรกับทางฝั่งพี่หญิงได้ไม่มาก แต่กระนั้นคิดว่าต่อให้คิดเพื่อเป็นการดีต่อชื่อเสียงก็ทำแล้ว ทางองค์ชายสามคงจะไม่ทอดทิ้งไม่ดูดำดูดีแม่ทัพเกาอย่างส่งเดชแน่นอน เมื่อครู่นี้วั่งซูเข้ามาด้วยอาการตื่นตกใจเกินไป คนมากมายล้วนเห็นกันแล้ว หากฮูหยินรั้งข้าไว้นาน เกรงว่าจะเสื่อมเสียเกียรติได้”
เกาฮูหยินถลึงตาใส่เกามู่เฉิงทีหนึ่งด้วยความหงุดหงิด นางอ้าปากเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งอยู่บ้าง “เป็นมู่เฉิงกระทำการไม่ยั้งคิดเอง เรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับท่านจริงๆ หวังว่าท่านจะไม่ถือสา”
เฉินวั่งซูพยักหน้า มองสีท้องฟ้าเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากประตูไปทันที
ครั้นนางออกไปแล้วเกามู่เฉิงก็กระทืบเท้า “ท่านแม่ ท่านปล่อยนางไปได้อย่างไร นางผู้นี้ร้ายกาจยิ่งนัก ฝ่าบาททรงเห็นเหยียนเจวี๋ยเป็นดั่งบุตรชายแท้ๆ เขาไปช่วยกราบทูลได้แน่นอน อีกทั้งนางก็เป็นเซี่ยนจู่ นับถือไทเฮาเป็นมารดา อาหญิงทั้งสองในวังล้วนไม่สนใจ กลับเป็นท่านบอกว่าต้องการใช้เรื่องเกี้ยวเป็นข้ออ้างเข้าวังไปขอร้องไทเฮา เฉินวั่งซูนางยังเป็นน้องสาวของเฉินสี่หลิงอีกด้วย ไม่ว่าทางใดถ้ามีนางอยู่จะต้องใช้ประโยชน์ได้แน่นอน”
เกาฮูหยินมุ่นคิ้ว มองเกามู่เฉิงปราดหนึ่งด้วยสายตาหมดหวัง “นี่เจ้ายึดติดเกินไปแล้ว แค่เพราะองค์ชายเจ็ดพึงพระทัยในตัวนาง เจ้าก็ถือสาไม่วางวาย! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง อย่าเปลืองเวลาอีกเลย ข้าทำเวรทำกรรมอะไรมากันแน่ถึงได้คลอดเด็กไม่รู้ความอย่างพวกเจ้าสองคนออกมา เจ้ายังเป็นคนสกุลเกา หากแม้แต่สถานการณ์แค่นี้ยังมองได้ไม่ชัด ก็ชวนให้ข้าผิดหวังเหลือเกินแล้ว” เกาฮูหยินพูดจบก็กวักมือเรียกมามาที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าไปจับตาดูเฉินวั่งซู นางดูเหมือนจะมีเรื่องอะไร”
เกามู่เฉิงได้ยินแล้วก็รีบวิ่งมาจับแขนเสื้อของเกาฮูหยินไว้แล้วสะบัดไปมา “ท่านแม่ ท่านดูสิ นี่มิใช่มีประโยชน์หรือเจ้าคะ”
เกาฮูหยินถอนหายใจ “ระหว่างที่รอเกี้ยวถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรทำ บางทีแมวตาบอดอาจจะบังเอิญเจอหนูตายหาโอกาสพ้นวิกฤตอะไรพบได้พอดีก็เป็นได้ มิเช่นนั้นคราวนี้พี่ชายเจ้าคงรอดยากแล้วจริงๆ”
ไม้ปลุกสติของใต้เท้าจางทุบหัวเขาเข้าอย่างจังแล้ว หากอัครมหาเสนาบดีเกาไม่ช่วยปกป้องเขา ปล่อยให้จวนองค์ชายสามโยนบาปตามสบาย เช่นนั้นเกาอี้เสียงเข้าคุกแล้วก็หมดสิทธิ์จะออกมาได้อีก
ทว่าต้องทำอย่างไรถึงจะบีบให้คนเหล่านั้นจำต้องปกป้องเขา
เกาฮูหยินยังรู้สึกสับสนงุนงงอยู่บ้าง
บทที่ 126
พอเฉินวั่งซูเดินพ้นประตูห้องก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาของคนทั้งหลายในทันที
ทว่านางกลับทำเหมือนไม่เห็น เดินตรงไปหยุดเบื้องหน้าหญิงสาวที่ต้อนรับนางก่อนหน้านี้ “ปิ่นคู่นั้น วันนี้คงไม่ดูแล้ว ช่อบุปผาประดับมุกบนศีรษะเจ้าคู่นี้เหมาะกับเจ้ามาก ดูสะอาด อีกทั้งอ่อนโยน เพียงแต่ถ้าเปลี่ยนมุกเม็ดตรงกลางให้ใหญ่ขึ้นอีกหน่อยจะยิ่งงามกว่านี้” เฉินวั่งซูว่าแล้วก็ล้วงไข่มุกสีขาวเม็ดหนึ่งในแขนเสื้อมายื่นให้หญิงสาวนางนั้น “ให้เจ้า เจ้าชื่อว่าอะไร”
หญิงสาวนางนั้นหน้าแดงในทันใด “บ่าวชื่อว่าตงจูเจ้าค่ะ”
นางกำมุกเม็ดนั้นไว้ จวบจนเฉินวั่งซูเดินออกจากหออิ๋นชุ่ยไปแล้วนางก็ยังเหม่อลอยไม่ได้สติกลับมา
จากนั้นนางก็มองไข่มุกในมือ หากภรรยาของคุณชายเหยียนเป็นบุรุษจะดีมากเพียงไร…
เฉินวั่งซูใช้หางตาเหลือบมองคนที่ตามหลังมา ยกมุมปากขึ้นน้อยๆ เดินเข้าร้านน้ำชาฝั่งตรงข้ามด้วยฝีเท้ารวดเร็วแผ่วเบา เดินไปพลางยังมองซ้ายแลขวาไปพลาง
มามาชราที่สะกดรอยตามนางหัวใจกระดอนขึ้นมาอยู่ที่คอแล้ว เนื่องจากหวิดจะถูกคนจับได้อยู่หลายหน
เฉินวั่งซูผู้นี้ระแวดระวังปานนี้ หากมิใช่ลอบพบชายอื่นก็จะต้องมีความลับน่าตกใจอะไรอยู่แน่ๆ
เฉินวั่งซูเล่นแมวจับหนูหนำใจแล้วก็เดินเข้าห้องส่วนตัวด้วยท่าทางตกประหม่า นางประมาณเวลา คิดว่าคนที่เกาฮูหยินส่งมาน่าจะเข้าไปในห้องส่วนตัวที่ติดกันและกำลังรอจะลอบฟังแล้วถึงได้หยิบกาน้ำชาบนโต๊ะมารินให้เฉินเจาบ่าวชายที่คอยวิ่งทำธุระให้นางซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถ้วยหนึ่ง
เฉินเจามือสั่น ตกใจจนเกือบทำถ้วยชาตกใส่ ‘กระโปรง’ ตนเอง ปล่อยให้คุณหนูรินน้ำให้เขาใช้ได้เสียที่ใดกัน!
แต่ครั้นก้มหน้าลงเห็นกระโปรงนั้นก็ทำท่าจะร้องไห้ออกมา
เขาเป็นบุรุษอกสามศอก เอ่อ…ไม่ถึงสามศอกก็ต้องใกล้เคียง คุณหนูกลับต้องการให้เขาแต่งตัวเป็นบ่าวหญิงสูงวัย และยังให้สวมงอบด้วย
สิ่งที่ชวนให้คนอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตาที่สุดคือตรงหน้าอกยังต้องยัดหมั่นโถวไว้สองลูกด้วย นั่นเป็นของที่มารดาเขาทำมาให้ คิดว่าขณะบังคับรถม้าถ้าเกิดหิวก็จะได้นำออกมากิน แต่ตอนนี้เขาไม่อยากกินมันอีกต่อไปแล้ว
เฉินวั่งซูวางกาน้ำชาลงอย่างแรง ก่อนจะทำมือเป็นสัญญาณว่าห้ามส่งเสียง
“เซี่ยนจู่ ท่านอย่าทำให้บ่าวลำบากใจอีกเลยเจ้าค่ะ บ่าวเป็นมามาที่ติดตามคุณหนูใหญ่เฉินบ้านรองออกเรือน ไม่สามารถทำเรื่องที่ไม่ดีต่อนางได้เป็นอันขาด เป็นเพราะว่าสมัยโน้นเซี่ยนจู่เคยมีบุญคุณต่อบ่าว บ่าวจึงได้ออกมาคุย”
เฉินเจาได้ยินแล้วก็ยกมือปิดปากตนเอง
เขาไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียว ผู้ที่พูดคำเหล่านี้คือเฉินวั่งซู
เฉินวั่งซูขยิบตาให้เขา ไม่ต้องพูดว่าในใจปลอดโปร่งโล่งสบายมากเพียงไร
คิดถึงตอนโน้น นางเคยแสดงละครชีวประวัติของสตรีคนดัง แสดงตั้งแต่วัยสาวไปถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ความสามารถทำนองนี้เดิมทีนางลืมไปสิ้นแล้ว โชคดีที่ได้ยินเจ้าเมืองจางสำแดงฝีมือถึงได้นึกขึ้นได้ นี่ก็ทันเวลาได้ใช้พอดี
“เจ้าเอาอายุมาข่มให้น้อยๆ หน่อย หากมิใช่เพราะยายแก่อย่างเจ้าแค่กรอกน้ำเมาไม่กี่จอกก็ออกมาเที่ยวพูดไปเรื่อยแล้ว เรื่องนี้มีหรือจะแพร่มาถึงหูข้า พี่หญิงกับข้าอยู่กันคนละบ้านแล้ว ปิดประตูทำอะไรข้าย่อมจะยุ่งเกี่ยวไม่ได้” เฉินวั่งซูพูดพลางลงน้ำเสียงหนักขึ้นหลายส่วน “แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของสกุลเฉิน ข้าไม่ยุ่งไม่ได้ คนแซ่โจวนั่นบัดนี้หาผลประโยชน์จากลู่ทางไม่ซื่อโดยเฉพาะ จะเป็นคนดีอะไรได้ สินค้าห้าลำเรือ? นี่คือต้องการเงินไม่ต้องการชีวิตแล้วใช่หรือไม่”
เฉินวั่งซูเบี่ยงตัวเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนเสียงอีกรอบ หนึ่งคนแสดงสองบทบาท คราวนี้เริ่มแสดงเป็นมามาผู้นั้น
“คุณ…คุณ…คุณหนูรอง ท่านก็ทราบหมดแล้ว คุณหนูของพวกบ่าวก็ลำบากเช่นกัน นางเองก็อกสั่นขวัญแขวน แต่องค์ชายต้องการเงินก้อนใหญ่ นางจึงไม่มีหนทางอื่นแล้ว…บ่าวเตือนนาง นางก็ไม่ฟัง คราวก่อนเรือห้าลำถูกจับไปสองลำ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะต้องเกิดเรื่องในไม่ช้าก็เร็ว”
เฉินวั่งซูตบโต๊ะดังปัง “เจ้ากลับไปบอกนางให้หยุดทันที มิเช่นนั้นก็อย่าตำหนิที่ข้าต้องขอให้ในตระกูลเปิดศาลบรรพชนแล้วลบชื่อนางทิ้งไป สกุลเฉินมีกฎเคร่งครัดมากเพียงไร เจ้าเป็นบ่าวที่เกิดในจวนย่อมจะกระจ่างแจ้งดีที่สุด!”
ไม่เพียงเฉินเจา แม้แต่มู่จิ่นก็ยังมองจนปากอ้าตาค้าง
หากคุณหนูของนางไปยืนใต้สะพานก็สามารถเปิดการแสดงได้ด้วยตัวคนเดียวแล้ว!
“คุณหนูรอง…บ่าวรับรองเจ้าค่ะ…” เฉินวั่งซูพูดพลางมองเฉินเจาปราดหนึ่ง
เฉินเจาก็ขยับปากเป็นคำว่า ‘คืนนี้’
“บ่าวรับรองเจ้าค่ะว่าคืนนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย จะไม่มีครั้งต่อไปเป็นอันขาด คนพวกนั้นมิใช่คนที่คุยง่าย ครั้งนี้ตกลงกันเรียบร้อย พวกเขาจะเอาเรือมารับสินค้าแล้ว บ่าวขอรับรองแทนคุณหนูของบ่าวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน”
จากนั้นน้ำเสียงเฉินวั่งซูก็อ่อนลงหลายส่วน “เจ้าพูดเองก็จำที่พูดด้วย สลักเกียรติของสกุลเฉินไว้ในสมอง หากให้ข้าจับได้ว่ามีเรื่องที่ผิดต่อบรรพบุรุษอะไรอีก จะไม่อภัยให้เป็นอันขาด!”
“บ่าวทราบแล้ว! บ่าวขอตัวกลับแล้วเจ้าค่ะ!” เฉินวั่งซูพูดจบก็มองเฉินเจาปราดหนึ่ง
เฉินเจาสวมงอบให้เรียบร้อยพลางดันหมั่นโถวตรงหน้าอกตนเองเล็กน้อยด้วยท่าทางไม่เป็นธรรมชาติ พยายามไม่ให้พวกมันตกลงไปที่สะดือ ก่อนซอยเท้าเดินบิดไปบิดมาตามอย่างมามาชรา เร่งฝีเท้าเดินลงด้านล่าง แล้วหายลับไปกลางตรอกเล็กทันที
เฉินวั่งซูหยิบขนมมาชิ้นหนึ่งแล้วหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง เป็นไปตามคาด พอเฉินเจาจากไปมามาชราที่มาลอบฟังผู้นั้นก็ออกจากร้านน้ำชาไปยังหออิ๋นชุ่ยในทันใด
นางยกมุมปากน้อยๆ “มีละครสนุกให้ดูแล้ว”
มู่จิ่นกลับมองเฉินวั่งซูหลายอึดใจด้วยท่าทางเหมือนอยากพูดบางอย่าง ท้ายที่สุดก็ทนไม่ไหว “คุณหนู ตัวอักษรเฉินสองตัวไม่สามารถเขียนด้วยขีดเดียวได้ บ้านรองตกที่นั่งลำบากแล้ว…พวกเรา…”
เฉินวั่งซูส่ายหน้า “บ้านรองเน่าเฟะมานานแล้ว มิเช่นนั้นด้วยนิสัยของท่านย่า หากยอมให้พวกเขาชิงตำแหน่งประมุขตระกูลไปได้ เหตุใดจึงต้องแยกบ้านตั้งแต่อพยพลงมาเจียงหนาน พูดถึงที่สุดแล้วก็มิใช่คนบนเส้นทางเดียวกันเท่านั้นเอง”
อีกประการหนึ่งเฉินสี่หลิงเป็นบุตรสาวที่แต่งออกไปแล้ว หากนางกระทำความผิดแล้วเกี่ยวอันใดกับสกุลเฉินเสียที่ใด!
องค์ชายสามดูเหมือนจะเป็นคนดีใจบุญ ลับหลังกลับสั่งให้เกาอี้เสียงและหลิวเจาหยางทำเรื่องที่ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ถึงเพียงนี้ คนที่เป็นผู้โดดเด่นที่สุดในการชิงตำแหน่งรัชทายาทกลับมาขายเกลือเถื่อนเสียเอง เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย จิตใจดำมืดไปหมดแล้ว
เจ้าหนูน้ำเต้าที่เน่าเฟะย่อมต้องโยนทิ้งโดยปราศจากความลังเล
“ทว่าคุณหนูเจ้าคะ สกุลเกากับจวนองค์ชายสามเป็นพวกเดียวกัน ไม่แน่ว่าพวกเขาจะไม่รู้เรื่องนี้ ต่อให้พวกเราบอกพวกเขาไปแล้วอย่างไรเล่า พวกเขาก็คงจะไม่ป่าวประกาศออกไปอยู่ดี เพราะหากองค์ชายสามล้มลง สกุลเกาก็ไม่ได้ประโยชน์ใด”
เฉินวั่งซูยกนิ้วหัวแม่มือให้มู่จิ่น “ไม่เลวนี่นา หมู่นี้เจ้าคิดเรื่องต่างๆ ได้มากกว่าเมื่อก่อนแล้ว”
นางพูดพลางมองไปยังหออิ๋นชุ่ยที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “สกุลเกากับองค์ชายสามเป็นพวกเดียวกันจริง มิหนำซ้ำความสัมพันธ์ทางผลประโยชน์ก็แน่นแฟ้นยิ่งกว่าที่พวกเราคิดไว้ คำพูดเมื่อครู่ข้าเองก็ได้ยินแล้ว อัครมหาเสนาบดีเกายอมสละเกาอี้เสียงเพื่อตำแหน่งรัชทายาทขององค์ชายสาม”
สกุลเกาจะต้องตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะให้เกาอี้เสียงซัดทอดคนที่เกิดวันที่สิบห้าเดือนเก้าคนอื่น เพื่อกันองค์ชายสามออกจากเรื่องนี้อย่างหมดจด
เฉินวั่งซูคิดว่าถ้านางเป็นที่ปรึกษาของทางองค์ชายสามก็คงจะหารือได้ผลลัพธ์เช่นนี้ออกมาเช่นกัน
คนแซ่เกาไม่ได้มีแค่เกาอี้เสียงผู้เดียว แต่องค์ชายสามมีเพียงหนึ่งเดียว
องค์ชายสามกับสกุลเกาไม่เพียงจะไม่ยื่นมือช่วยเหลือ ยังถึงขนาดจะยอมเจ็บแค้นใจ จัดการลงโทษญาติพี่น้อง ปกป้องความเป็นธรรมเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของพวกเขาอีกด้วย
“ทว่ามีจุดหนึ่งที่เจ้าคิดผิดไป เกาฮูหยินกับเกามู่เฉิงบัดนี้มิใช่คนสกุลเกา…พวกนางเป็นเพียงญาติที่กำลังร้อนใจแทบคลั่งของเกาอี้เสียงเท่านั้น”
มู่จิ่นแจ้งใจในฉับพลัน “เพราะฉะนั้นเกาฮูหยินย่อมจะนำเรื่องนี้ไปขู่พวกเขา ให้พวกเขาช่วยเกาอี้เสียง มิเช่นนั้นก็จะเปิดโปงเรื่องเกลือเถื่อน แต่เมื่อเป็นเช่นนี้จะมิกลายเป็นว่าพวกเราช่วยมารร้ายฆ่าคนตนนั้นหรือเจ้าคะ”
เฉินวั่งซูกระตุกมุมปากก่อนส่ายหน้า “เกาอี้เสียงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 ส.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.