X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักลูบคมองครักษ์สวมรอย

ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 55-56

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 55

เหล่าขุนนางโค้งคำนับก่อนจะถอยออกไปตามลำดับตำแหน่ง เมื่อออกมาแล้ว เฉินอิ๋นมองลู่เหิง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นทันใด สายตาดุจใบมีด จางจิ้งกง หลี่สือ และเก๋อเหล่าอีกหลายคนทำเป็นมองไม่เห็น จางจิ้งกงเอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ผู้บัญชาการลู่ช่างเป็นลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือโดยแท้ แม้แต่ผู้ร้องทุกข์ยังไม่ทันได้เห็นก็กล้าบอกว่าสามารถไขคดีได้ภายในสามวัน ทำให้ข้าผู้เฒ่าได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง”

ลู่เหิงยิ้มให้จางจิ้งกง เอ่ยอย่างถ่อมตน “ทำให้ราชเลขาธิการขบขันแล้ว”

จางจิ้งกงเป็นบัณฑิต แม้จะสะใจในคราวเคราะห์ของผู้อื่นก็กระทำอย่างสุภาพสำรวม หลี่สือ ซย่าเหวินจิ่น เหยียนเหวย และคนอื่นๆ ข้างหลังแม้มิได้อยู่ฝ่ายเดียวกับจางจิ้งกง แต่เวลานี้ต่างพร้อมใจกันประสานมือยืนมองอยู่ด้านข้างนิ่งๆ

นี่ล่ะคือราชสำนักต้าหมิง ขุนนางฝ่ายพลเรือนกับขุนนางฝ่ายทหารขับเคี่ยวกัน ในกลุ่มขุนนางฝ่ายทหารองครักษ์เสื้อแพรกับชนชั้นสูงประชันขันแข่งกัน จากนั้นภายในของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรและกลุ่มชนชั้นสูงก็ห้ำหั่นกันเองอีก ขุนนางฝ่ายพลเรือนก็เช่นเดียวกัน ชาติกำเนิด ทะเบียนครัวเรือน และอาจารย์ที่แตกต่างกันล้วนทำให้พวกเขาอยู่คนละพรรคคนละฝ่ายในแวดวงขุนนาง นี่ทำให้ราชสำนักมีหลายฝั่งหลายฝ่าย แต่ละฝ่ายแก่งแย่งชิงดี คิดจะทำเรื่องหนึ่งอย่างจริงๆ จังๆ มีไม่กี่คนที่ยอมช่วยเหลือเจ้า แต่จะต้องมีคนมากมายรอจับผิดเจ้าแน่นอน

ครั้งนี้ลู่เหิงฉีกหน้าเฉินอิ๋นโดยสมบูรณ์ มิใช่เขาตายก็คือเฉินอิ๋นม้วย ลู่เหิงไม่คาดหวังแม้แต่น้อยว่าเฉินอิ๋นจะปรานีเขา กระนั้นนอกจากองครักษ์เสื้อแพรแล้วก็ยังมีสายตาไม่หวังดีอีกมากมายคอยจ้องตาเป็นมัน รอดูลู่เหิงเพลี่ยงพล้ำ

ต้องโทษลู่เหิงที่ช่วงนี้ทำตัวโดดเด่นเกินไปจริงๆ เดือนสิบสองปีที่แล้วเขากวาดล้างต้นกล้าที่สภาขุนนางเตรียมไว้ทิ้งไปเกือบทั้งหมด แม้แต่ราชเลขาธิการหยางอิ้งหนิงยังถูกเขาลากลงจากเก้าอี้ แม้ผู้ร้องเรียนจะเป็นจางจิ้งกง แต่ดาบลู่เหิงเป็นคนยื่นขึ้นไป ขุนนางฝ่ายพลเรือนเวลาจดจำหนี้แค้น ไม่มีทางลืมเขาไปได้

ปีนี้เขาก็เคลื่อนไหวครั้งใหญ่ตั้งแต่ต้นปีอีก เรื่องที่ลู่เหิงเข้าวังสืบคดีผีหลอกในวังบูรพามีไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ แต่เรื่องที่เขาตรวจสอบพี่น้องสกุลจางจนทำให้ชางกั๋วกงและเจี้ยนชางโหวถูกถอดบรรดาศักดิ์กลับเป็นเรื่องที่ชาวเมืองรู้กันทั่ว ฮ่องเต้จดจำความดีความชอบของเขาไว้ในใจ แต่คนอื่นๆ นั้นไม่แน่

บัดนี้ลู่เหิงเป็นฝ่ายกระโดดออกมาขันอาสา ทั้งยังประกาศถ้อยคำรับรอง รับปากว่าจะไขคดีให้ได้ภายในสามวัน ขุนนางในตำหนักแทบอยากจะวิ่งออกไปจุดประทัดเฉลิมฉลอง โอกาสอันดีถึงเพียงนี้พวกเขาจะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร

ลู่เหิงรู้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยอัดอั้นอยากจะเล่นงานเขานานแล้ว คดีนี้สืบไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่ลาภยศสรรเสริญได้มาไม่ง่ายอยู่แล้ว ในโลกของเขามีแต่จุดสูงสุดและความตายเท่านั้น ไม่มีพื้นที่ตรงกลาง

ลู่เหิงไม่คิดที่จะเสียเวลา เขาคำนับราชบัณฑิตทั้งหลายพลางขอตัว “ข้ารับคำสั่งจากฝ่าบาทให้ไขคดีนี้ เวลากระชั้นชิด มิอาจอยู่พูดคุยกับทุกท่านได้อีก เก๋อเหล่าทุกท่านค่อยๆ เดิน ข้าขอตัวก่อน”

ลู่เหิงประสานมือ เขาหันไปหาเฉินอิ๋น ยังคงเอ่ยอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน “ผู้บัญชาการสูงสุดเฉิน ผู้น้อยขอลา”

ลู่เหิงพูดจบก็หันกายจากไป ไม่สนใจว่าคนข้างหลังจะพูดถึงเขาอย่างไร เขาความจำดี จดจำได้ว่าเสียงร้องขอความเป็นธรรมดังมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้จึงรุดไปยังกำแพงทิศตะวันตกของพระตำหนักชั่วคราวโดยเร็วที่สุด หลังจากนั้นเพิ่งจะหักเลี้ยว แววตาของชายหนุ่มก็เยียบเย็นทันใด

ทหารที่สวมชุดเกราะจำนวนมากล้อมอยู่ด้านหน้า ครั้นมองผ่านขาและเกราะเหล็กที่เบียดเสียดกันอยู่มากมายก็เห็นสตรีสองคนมีผ้าขาวยัดปาก ถูกเชือกมัดไว้กับพื้น กำลังตัวสั่นงันงกและขดตัวเป็นก้อนกลม ผู้นำของทหารเหล่านี้ก็คือฟู่ถิงโจว

หากไม่เพราะสถานการณ์ไม่เหมาะสม ลู่เหิงก็อยากจะหัวเราะออกมาจริงๆ หมู่นี้เขากับฟู่ถิงโจวสร้างเวรสร้างกรรมอะไรต่อกันนักหนา ไฉนจึงพบกันอีกครั้งไวปานนี้ ขุนนางทหารที่ตามเสด็จมีตั้งมากมาย แต่คนที่จับกุมชาวบ้านได้กลับเป็นอีกฝ่าย

ฟู่ถิงโจวได้ยินเสียงและหันไปมอง ครั้นเห็นลู่เหิงสีหน้าก็เยียบเย็นแข็งกร้าว ลู่เหิงเดินเข้าไปใกล้ กวาดตามองหญิงชาวบ้านด้านหลังทหาร ยิ้มพลางพูดว่า “เจิ้นหย่วนโหว ไม่ได้พบกันเสียนาน เมื่อครู่ตอนอยู่ในพระตำหนักชั่วคราวฮ่องเต้ทรงได้ยินคนร้องตะโกนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงส่งข้ามาดู ข้าก็คิดว่าใครกันที่ตอบสนองไวถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็เป็นเจิ้นหย่วนโหวนี่เอง”

วันนี้ฟู่ถิงโจวเปิดเผยจุดยืนของตนกับอู่ติ้งโหวอย่างชัดเจนแล้ว เขาอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากกลับไปอยู่ในห้องจึงเดินตรวจตรากำแพงพระตำหนัก ระหว่างที่ขบคิดไปเรื่อยเปื่อยพลันได้ยินเสียงคนตะโกนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ฟู่ถิงโจวจึงรีบรุดมายังต้นเสียงและจับกุมชาวบ้านสองคนได้

พระตำหนักชั่วคราวแม้มีการคุ้มกันแน่นหนา แต่ก่อสร้างขึ้นอย่างฉุกละหุก ประกอบกับมีผู้คนมากหน้าหลายตา ยากที่จะกันฝูงชนออกไปได้โดยสิ้นเชิง ทำให้ชาวบ้านสองคนนี้แฝงตัวเข้ามาได้ โชคดีที่ฟู่ถิงโจวรุดมาทันเวลา พวกนางร้องตะโกนเพียงหนเดียวก็ถูกจับกุมทันที ฟู่ถิงโจวคิดว่าเสียงคงลอยไปไม่ถึงพระตำหนัก ไม่คิดว่าฮ่องเต้กลับได้ยิน

ดูจากท่าทางของลู่เหิง เรื่องนี้คงจะมอบหมายให้เขาแล้ว ฟู่ถิงโจวสีหน้าไม่เปลี่ยน “ข้าทำตามหน้าที่เท่านั้น ผู้บัญชาการลู่ไม่อยู่ข้างกายฝ่าบาทคอยรักษาความปลอดภัย มาที่นี่ทำอะไร”

ลู่เหิงแสดงป้ายห้อยเอวขององครักษ์เสื้อแพรให้อีกฝ่ายดู พยักหน้านิดๆ พลางชี้แจง “ฝ่าบาททรงห่วงใยราษฎร สั่งให้ข้าสืบคดีไม่เป็นธรรมนี้ให้กระจ่าง ขอบคุณเจิ้นหย่วนโหวที่ช่วยเหลือ ข้าขอพาตัวคนไปก่อน”

ลู่เหิงพูดพลางส่งสัญญาณให้องครักษ์เสื้อแพรข้างหลังพาตัวหญิงชาวบ้านสองคนนั้นไป ฟู่ถิงโจวหรี่ตา พลันเอ่ยว่า “ผู้บัญชาการลู่จะทำคดีอย่างไร ข้าไม่คิดที่จะก้าวก่าย แต่ผู้บัญชาการลู่รู้ได้อย่างไรว่าพวกนางร้องตะโกนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็จะมีเรื่องที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจริงๆ หากพวกนางเพียงแต่อาศัยเรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อเข้าใกล้พระตำหนักชั่วคราว หมายจะลอบปองร้ายฮ่องเต้จะทำอย่างไร”

ลู่เหิงรู้อยู่แล้วว่าฟู่ถิงโจวต้องมาลูกไม้นี้ หากเป็นผู้อื่น ลู่เหิงจะพาตัวคนไปเสียอย่าง ผู้ใดยังจะกล้าโต้แย้ง ทว่าฟู่ถิงโจวไม่เหมือนกัน ความบาดหมางระหว่างพวกเขามิได้จำกัดอยู่เพียงแค่เรื่องในราชสำนักอีกแล้ว เดือนสามลู่เหิงลักพาตัวหวังเหยียนชิงไปอย่างเปิดเผย สวมรอยเป็นพี่ชายนางแทนฟู่ถิงโจวต่อหน้าต่อตาอีกฝ่าย หลังจากนั้นก็ทำลายแผนการเข้าใกล้หวังเหยียนชิงของฟู่ถิงโจวอีกหลายต่อหลายครั้ง บัดนี้ฟู่ถิงโจวต้องแค้นเขาเข้ากระดูกดำแล้วแน่นอน จะยอมให้เขาพาตัวคนไปได้อย่างไร

ฟู่ถิงโจวไม่อยากละทิ้งโอกาสอันดีที่สวรรค์ประทานให้ครั้งนี้จริงๆ เหตุการณ์ที่ชาวบ้านสองคนวิ่งเข้ามาร้องตะโกนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง อีกทั้งยังบังเอิญที่ลู่เหิงเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าฟู่ถิงโจวจะจับจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้ แล้วจะยอมมอบเดิมพันออกไปได้อย่างไร เขาต้องคิดบัญชีกับลู่เหิงสักตั้ง

หากสามารถฉวยโอกาสนี้แลกตัวหวังเหยียนชิงกลับคืนมา…นั่นก็ยิ่งดี

ลู่เหิงเก็บป้ายคำสั่ง รอยยิ้มบนริมฝีปากไม่เปลี่ยนไป ดวงตากลับสาดประกายเยียบเย็นออกมารางๆ “เจิ้นหย่วนโหว นี่เป็นรับสั่งของฝ่าบาท เจ้าจะขัดขืนรับสั่งหรือ”

ฟู่ถิงโจวไม่สะทกสะท้าน เขาประสานสายตากับลู่เหิงอย่างเย็นชา เอ่ยอย่างท้าทาย “การรักษาความปลอดภัยของพระตำหนักชั่วคราวก็เป็นรับสั่งของฝ่าบาทเช่นเดียวกัน คำพูดนี้ของผู้บัญชาการลู่ข้ามิกล้าเห็นด้วย ขออภัยที่ไม่อาจทำตาม”

ลู่เหิงประกาศถ้อยคำรับรองต่อหน้าทุกคนว่าจะไขคดีให้ได้ภายในสามวัน เขาไม่มีเวลามายื้อยุดกับฟู่ถิงโจวที่นี่ เขากวาดสายตามองไปข้างหลังแวบหนึ่งก่อนพูด “ในเมื่อเจิ้นหย่วนโหวไม่เชื่อ มิสู้ร่วมสอบสวนสองคนนี้พร้อมกับข้า พวกนางใช่มีเหตุไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ แค่ฟังดูก็รู้ เจิ้นหย่วนโหวเห็นว่าอย่างไร”

ฟู่ถิงโจวขบคิดดูแล้วเห็นด้วย เขาสามารถคุมตัวคนไว้ข่มขู่อีกฝ่าย แต่ไม่สามารถขัดขวางการทำคดีของลู่เหิงได้จริงๆ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นรับสั่งของฮ่องเต้ หากวันหน้าเจ้าคนบ้าลู่เหิงผู้นี้คลี่คลายคดีไม่สำเร็จแล้วแว้งกัดเขา ฟู่ถิงโจวย่อมเดือดร้อนด้วยเช่นกัน ดังนั้นมิสู้ตามไปดูว่าลู่เหิงคิดจะทำสิ่งใดกันแน่

สองฝ่ายต่างถอยคนละก้าว บรรลุความตกลงร่วมกันชั่วคราว ทว่าฟู่ถิงโจวยังคงไม่ยอมมอบคนให้ เขาสั่งให้ทหารของห้ากองกำลังพิทักษ์นคราคุมตัวสตรีสองคนเดินไปข้างหน้า ลู่เหิงไม่อยากเสียเวลาจึงตามเขาไป ขณะพวกเขากำลังจะออกเดินทาง เจ้าเมืองเว่ยฮุยก็พาคนสนิทหลายคนวิ่งเข้ามา หอบหายใจพลางตะโกน “ผู้บัญชาการลู่โปรดหยุดก่อน!”

ลู่เหิงหันกลับไป เจ้าเมืองเฉิงหยุดตรงหน้าเขา ซับเหงื่อบนหน้าผากไม่หยุด พูดอย่างหายใจไม่ค่อยทัน “ใต้เท้าลู่ ต้องโทษที่ผู้น้อยปกครองไม่ดี รบกวนความสงบของฝ่าบาท ผู้น้อยมิกล้าให้ใต้เท้าลู่ต้องเหน็ดเหนื่อย สองคนนี้มอบให้ผู้น้อยเป็นคนสอบสวนเองเถอะ ผู้น้อยจะต้องสืบให้กระจ่างชัดแน่นอน ไม่ทำให้ใต้เท้าลู่รายงานผลล่าช้าเป็นแน่”

เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงหน้าที่การงานของลู่เหิง เขาจะปล่อยให้ผู้อื่นรับผิดชอบได้อย่างไร ลู่เหิงตอบเสียงเรียบ “เจ้าเมืองเฉิงปกครองราษฎรมากมายจะล่วงรู้ทุกเรื่องได้อย่างไร เจ้าเมืองเฉิงไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เรื่องนี้ข้าสืบเองดีกว่า”

เจ้าเมืองเฉิงยังคงไม่ยอม พูดติดๆ กันว่า “มิกล้ารบกวนๆ”

หากเป็นยามปกติลู่เหิงจะสืบคดีสักคดีย่อมไม่มีทางฟังว่าผู้อื่นจะยินยอมหรือไม่ แต่ที่นี่คือเว่ยฮุย หากขุนนางท้องถิ่นไม่ให้ความร่วมมือ เขาก็ไม่มีทางสืบหาต้นสายปลายเหตุได้ภายในเวลาสามวัน ลู่เหิงคิดในใจ ถึงอย่างไรก็มีฟู่ถิงโจวเพิ่มมาคนหนึ่งแล้ว เพิ่มอีกสักคนก็ไม่เสียหาย จึงเอ่ยว่า “ข้ากำลังจะไปสอบปากคำผู้ร้องทุกข์ที่ห้องกับเจิ้นหย่วนโหว ในเมื่อเจ้าเมืองเฉิงไม่วางใจก็ไปด้วยกันเถิด”

เจ้าเมืองเฉิงฟังถึงตรงนี้ก็รู้แล้วว่าไม่สามารถขัดขวางการเข้ามาแทรกแซงขององครักษ์เสื้อแพร ได้แต่จำใจเห็นด้วย

ฮ่องเต้เสด็จประพาสแดนใต้พาคนมาหนึ่งหมื่นห้าพันกว่าคน ทหารทั่วไปตั้งค่ายพักแรมอยู่ด้านนอก ขุนนางและข้าราชบริพารที่ติดตามมาด้วยเข้าพักในพระตำหนักชั่วคราว ยามนี้เป็นเวลาสนธยา พระตำหนักชั่วคราวมีรถม้าวิ่งเข้าวิ่งออกพลุกพล่านวุ่นวาย การหาห้องว่างสอบสวนผู้ต้องสงสัยหาใช่เรื่องยาก ลู่เหิงเดินนำเข้าไปก่อน ฟู่ถิงโจวกวาดตามองรอบด้าน ไม่เห็นหลุมพรางใดๆ จึงก้าวตามเข้าไปอย่างระมัดระวัง

เจ้าเมืองเฉิงซับเหงื่อ เดินตามหลังทั้งสองคน

เรือนหลังนี้อยู่ห่างไกลผู้คน ไกลจากพื้นที่พักผ่อนของฮ่องเต้มาก คนที่พักอยู่ที่นี่ฐานะก็ไม่สูงนัก ดังนั้นห้องหับจึงเก็บกวาดอย่างขอไปที หลายจุดยังมีฝุ่นเกาะอยู่ ตัวเรือนยาวสามห้อง กลางห้องโถงแขวนอักษรและภาพวาด ด้านล่างตั้งโต๊ะเก้าอี้ไม้หวงฮวาหลีไว้หนึ่งชุด มองออกว่าเพิ่งซื้อหามาใหม่ ซ้ายขวาสองฝั่งมีม่านทิ้งตัวลงมา ม่านกองอยู่บนพื้น ด้านหลังเป็นฉากบังตาที่เอียงกระเท่เร่

ฟู่ถิงโจวเข้ามาแล้วขมวดคิ้ว แต่อย่างน้อยที่นี่ก็อยู่ห่างไกลจากผู้คนและเงียบสงบเหมาะแก่การสอบปากคำ ฟู่ถิงโจวได้แต่อดทนชั่วคราว ลู่เหิงนั่งลงตรงกลางห้องโถงโดยไม่ลังเล ฟู่ถิงโจวตวัดสายตามองเขาปราดหนึ่ง มิได้เอ่ยอะไร นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งขวามือ เจ้าเมืองเฉิงนั่งตามอย่างระมัดระวัง

รอจนใต้เท้าทั้งหลายนั่งลงแล้ว ทหารจึงผลักตัวแม่สามีกับลูกสะใภ้ที่ถูกมัดตัวเป็นขนมจ้างเข้ามา ทหารคุมตัวพวกเขาให้คุกเข่าลงในห้องโถง จากนั้นก็ดึงผ้าขาวที่ยัดปากออก ปกติพวกนางหรือจะเคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ ยามนี้ต่างก็ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก

ลู่เหิงกวาดตามองไปยังทั้งสองคนเงียบๆ สตรีสองนางนี้หนึ่งเฒ่าหนึ่งเยาว์ คนหนึ่งอายุราวสี่สิบ อีกคนหนึ่งอายุยี่สิบกว่าๆ ดูจากอายุก็สมเป็นแม่สามีกับลูกสะใภ้ หญิงเฒ่านางนั้นสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบสีฟ้า บนศีรษะโพกด้วยผ้าสีน้ำเงินเข้ม บนใบหน้ามีรอยย่นกระจายอยู่ นิ้วมือและข้อนิ้วหยาบใหญ่ ปลายนิ้วมีรอยแตกสีดำ สตรีที่อ่อนเยาว์สวมเสื้อผ้าสีสดใสกว่าฮูหยินเฒ่า บนศีรษะเสียบปิ่นไม้ ผิวพรรณตึงกระชับ แต่บริเวณโหนกแก้มมีผิวที่แห้งกร้านวงเล็กๆ นิ้วมือ ใบหน้า และลำคอเป็นสีเดียวกัน

ดูจากการแต่งกายล้วนเป็นชาวนา สีผิวก็สอดคล้องกับหญิงชาวนาที่ตากแดดตากลมเป็นเวลาหลายปี ลู่เหิงถาม “พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงบุกเข้ามาในพระตำหนักชั่วคราวโดยพลการ”

หญิงสูงวัยแม้จะไม่รู้จักบุคคลตรงหน้า แต่ดูจากการแต่งกายและท่วงทีของพวกเขาเกรงว่าล้วนเป็นขุนนางระดับสูงที่พวกนางมิอาจล่วงเกินได้ นางกล้าๆ กลัวๆ โขกศีรษะตอบ “ข้าน้อยคารวะใต้เท้า สามีของข้าน้อยแซ่หลิว คนในหมู่บ้านล้วนเรียกข้าน้อยว่า ‘หลิวต้าเหนียง’ บ้านอยู่ที่หมู่บ้านเหอกู่อำเภอฉี ข้าน้อยไม่มีเจตนาอื่นอย่างแน่นอน แต่สามีและบุตรชายของข้าน้อยหายตัวไป ข้าน้อยจนปัญญาแล้วจริงๆ ได้ยินคนบอกว่าฝ่าบาทกับฮองเฮาจะเสด็จผ่านมาทางนี้ จึงบังอาจมาเรียกร้องความเป็นธรรมที่นี่เจ้าค่ะ”

เจ้าเมืองเฉิงฟังแล้วโทสะพวยพุ่ง “สามีกับบุตรชายเจ้าหายตัวไปก็ไปตามหาเอาข้างนอกโน่นสิ ใครให้พวกเจ้าขวัญกล้ามาล่วงเกินฝ่าบาทที่นี่”

หลิวต้าเหนียงถูกเจ้าเมืองเฉิงตำหนิ ตกใจจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ลูกสะใภ้ของนางห่อตัวอยู่ข้างหลัง ตัวสั่นไม่หยุด ลู่เหิงกวาดตามองไปเบื้องล่างเล็กน้อย “ฝ่าบาททรงรักใคร่ราษฎรประหนึ่งบุตร ได้ยินพวกเจ้ามาเรียกร้องความเป็นธรรมก็ทรงห่วงใยยิ่งจึงส่งข้ามาสอบถาม พวกเจ้ามีเรื่องทุกข์ใจอันใด ตอนนี้สามารถเอ่ยออกมาตรงๆ ได้ ข้าตรวจสอบดูแล้วหากเป็นความจริงจะนำความไปกราบทูลฝ่าบาท แต่หากพวกเจ้ากล้าปิดบังล่ะก็…”

ลู่เหิงมิได้เอ่ยคำพูดที่เหลือ ทว่าหลิวต้าเหนียงเข้าใจความหมายต่อจากนั้นทั้งหมด ว่าไปก็แปลก ในบรรดาขุนนางเหล่านี้ ขุนนางฝั่งขวามือที่รูปร่างท้วมหน่อยถลึงตาใส่พวกนางอย่างดุดัน ดูจากสายตาแทบอยากจะพุ่งเข้ามาฉีกกระชากพวกนางเป็นชิ้นๆ บุรุษอีกคนเงียบขรึมพูดน้อย สีหน้าแข็งกระด้างเย็นชา แค่เห็นก็ชวนให้คนหวาดหวั่น มีเพียงบุคคลที่นั่งอยู่ตรงกลางที่ผิวพรรณขาวกระจ่าง รูปโฉมหล่อเหลา อีกทั้งปากยังอมยิ้มอยู่เสมอ ดูแล้วเป็นมิตรมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงหลิวต้าเหนียงกลับกลัวเขามากที่สุด

หลิวต้าเหนียงสั่นสะท้านในใจ รีบพยักหน้าหงึกๆ “ข้าน้อยมิกล้าพูดเหลวไหล ข้าน้อยกับลูกสะใภ้เดินทางมาที่นี่อย่างยากลำบากก็เพื่อขอความกระจ่างแจ้ง ไม่กล้าหลอกลวงใต้เท้าทุกท่านอย่างแน่นอน”

ลู่เหิงเอ่ยเสียงเรียบ “ใช่ความจริงหรือไม่ข้าจะตรวจสอบเอง หากได้รับความไม่เป็นธรรมจริง ข้าจะต้องมีคำชี้แจงให้พวกเจ้าแน่นอน ตอนนี้พวกเจ้าเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นมาให้ละเอียด”

หลิวต้าเหนียงสูดหายใจลึก เล่าอย่างตะกุกตะกัก “เดือนสี่ปีนี้ ผู้ใหญ่บ้านมาแจ้งแต่ละครัวเรือนบอกว่าฮ่องเต้กับฮองเฮาที่อยู่ในวังจะทรงเดินทางผ่านมาบริเวณนี้ นายอำเภอต้องการให้แต่ละบ้านส่งชายฉกรรจ์ออกมาสองคน ไปช่วยสร้างพระตำหนักชั่วคราวในเมือง บ้านพวกเรามีบุรุษอยู่แค่สองคน พวกเขาพ่อลูกล้วนตามคนในหมู่บ้านไป ปกติงานในท้องนาข้ากับลูกสะใภ้สามารถรับมือได้ แต่เห็นว่าใกล้จะเก็บเกี่ยวพืชผลแล้ว พวกเราแม่สามีกับลูกสะใภ้ตั้งตารอทุกวันทุกคืน รออย่างไรก็ไม่เห็นพวกเขากลับมาเสียที นี่ก็ล่วงเข้าเดือนเจ็ดแล้ว ฮ่องเต้กับฮองเฮาใกล้จะทรงเดินทางมาถึง แต่เหตุใดพระตำหนักชั่วคราวกลับยังสร้างไม่เสร็จ พวกเราเข้าไปสอบถามในหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเช่นกัน ภายหลังผู้ใหญ่บ้านพาพวกเราเข้าไปที่ตัวอำเภอ ไปสอบถามอยู่หลายหน นายอำเภอถึงบอกว่าชายฉกรรจ์จากหมู่บ้านเหอกู่เจอพายุฝนระหว่างทาง ถูกกระแสน้ำพัดพาไป ชายฉกรรจ์ทั้งหมู่บ้านไม่มีใครรอดชีวิตสักคน”

ลู่เหิงฟังถึงตรงนี้ก็ปรายตามองไปยังเจ้าเมืองเฉิงเงียบๆ “เจ้าเมืองเฉิง มีเรื่องเช่นนี้หรือไม่”

เจ้าเมืองเฉิงสีหน้าย่ำแย่ รีบตอบว่า “ฮ่องเต้เสด็จประพาสแดนใต้เป็นเรื่องใหญ่ เว่ยฮุยโชคดีที่ได้รับเสด็จ ย่อมต้องตระเตรียมพระตำหนักชั่วคราวให้ดี ข้าเกรงว่างานก่อสร้างจะทำไม่ทัน ดังนั้นจึงเกณฑ์แรงงานจากทั่วทุกพื้นที่มาช่วย แต่เว่ยฮุยมีภัยธรรมชาติและแผ่นดินไหวไม่หยุดหย่อนตั้งแต่โบราณกาลแล้ว ก่อนหน้านี้ฝนตกหนัก หลายพื้นที่มีน้ำป่าไหลหลาก กลุ่มของพวกเขาบังเอิญเจอกับน้ำป่าพอดี นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”

ลู่เหิงถาม “ไม่มีผู้รอดชีวิตเลยหรือ”

กล้ามเนื้อบนใบหน้าเจ้าเมืองเฉิงกระตุกนิดๆ เหงื่อบนหน้าผากซึมออกมาอีกครั้ง “ผู้น้อยมิทราบ…ใต้เท้าลู่โปรดอภัย ผู้น้อยจะสั่งให้คนไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้ขอรับ”

ลู่เหิงโบกมือห้าม “ไม่ต้องแล้ว ในเมื่อไม่มีคนกลับมา คิดว่าทั้งคณะน่าจะเคราะห์ร้ายมากกว่าดี”

เขาพูดพลางหันไปมองแม่สามีกับลูกสะใภ้คู่นั้น “สามีของพวกเจ้าเดินทางออกจากบ้านแล้วมิได้กลับมา ข้าเข้าใจความเจ็บปวดและความโศกเศร้าของพวกเจ้า แต่ภัยธรรมชาติไร้ความปรานี หาใช่สิ่งที่มนุษย์สามารถควบคุมได้ไม่ เหตุใดพวกเจ้าจึงบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเล่า”

หลิวต้าเหนียงเห็นใต้เท้าท่านนี้ตัดสินไปตามสถานการณ์จริง วาจายังนับว่าเป็นมิตรจึงทำใจกล้าพูดต่อ “ใต้เท้า ท่านไม่รู้อะไร เหล่าหลิวบ้านข้าเวลาว่างงานจากท้องนาจะไปถ่อเรือหาปลาในแม่น้ำ คุ้นเคยกับแม่น้ำเป็นอย่างดี บุตรชายข้าก็อยู่ในน้ำมาตั้งแต่เล็ก ว่ายน้ำเก่งเป็นพิเศษ สามารถว่ายไปกลับในแม่น้ำได้หนึ่งรอบ แล้วพวกเขาพ่อลูกจะถูกกระแสน้ำพัดพาไปได้อย่างไร”

เจ้าเมืองเฉิงได้ยินดังนั้นก็ตวาดเสียงขุ่น “สตรีผมยาวความรู้สั้นโง่เขลาสิ้นดี! น้ำป่าเปลี่ยนแปลงยากคาดเดา แค่พริบตาก็ซัดคนจมหายไปได้แล้ว ต่อให้ว่ายน้ำเก่งเพียงใดจะช่วยอะไรได้”

ลูกสะใภ้หลิวซื่อได้ยินดังนั้นก็แย้งเสียงค่อย “ท่านพ่อหาเลี้ยงชีพบนแม่น้ำ เวลาออกเรือระมัดระวังอย่างมาก เตือนพวกเราอยู่เสมอว่าก่อนออกจากบ้านต้องดูดินฟ้าอากาศ หากฝนตกหนักเขาไม่มีทางเข้าใกล้แม่น้ำเป็นอันขาด”

“โง่เง่า!” เจ้าเมืองเฉิงเดือดดาล สะบัดแขนเสื้อร้องด่า “การเกณฑ์ไพร่พลจะเหมือนยามปกติได้อย่างไร ตอนนั้นในขบวนไม่ได้มีแค่ครอบครัวพวกเจ้า ไปหรือไม่ไปพวกเขามีสิทธิ์ตัดสินใจได้อย่างนั้นหรือ”

หลิวต้าเหนียงพูด “นายอำเภอก็พูดเช่นนี้เหมือนกัน กลับมาที่หมู่บ้านแล้วผู้ใหญ่บ้านปลอบข้าให้ทำใจ นี่น่าจะเป็นเหตุไม่คาดคิด พวกเราแม่สามีกับลูกสะใภ้เดิมทียอมรับชะตาแล้ว ทว่าตั้งแต่พวกเขาพ่อลูกหายสาบสูญไป เหยี่ยวล่าปลา* ที่เลี้ยงไว้ที่บ้านก็หายไปด้วย สองวันก่อนเหยี่ยวล่าปลาบินกลับมากะทันหัน กรงเล็บมีแถบผ้าชิ้นหนึ่งผูกอยู่ ข้ารู้สึกว่าแถบผ้าชิ้นนี้คุ้นตาจึงปลดมาดู สุดท้ายพบว่าเป็นเสื้อผ้าของบุตรชายข้า บนนั้นใช้เลือดเขียนว่า ‘ช่วยด้วย’ ”

เจ้าเมืองเฉิงสูดหายใจเบาๆ สีหน้าเก็บกลั้นอารมณ์ ไม่พูดอะไรอีก ลู่เหิงฟังถึงตรงนี้ก็เอ่ยปาก “ของเล่า”

“อยู่นี่เจ้าค่ะ” หลิวต้าเหนียงรีบพลิกเสื้อผ้า หยิบเศษผ้าเปื้อนเลือดชิ้นหนึ่งออกมาจากสายคาดเอว ทหารรับของไปและยื่นให้ลู่เหิง ลู่เหิงรับมาพลิกดู มองปราดเดียวก็มั่นใจว่าบนนั้นเป็นเลือดคน เขาเหลือบตาขึ้นนิดๆ จ้องหลิวต้าเหนียงพลางถาม “เรื่องผ้าชิ้นนี้มีใครรู้บ้าง”

“มีแต่พวกเราแม่ลูกสองคน” หลิวต้าเหนียงรีบตอบ “เดิมทีพวกเราอยากไปแจ้งความกับนายอำเภอ แต่คนของที่ว่าการแค่เห็นพวกเราก็ไล่ตะเพิด บอกว่าคนหายตัวไปเพราะน้ำป่า ห้ามไม่ให้พวกเรามารบกวนนายอำเภออีก พวกเราอ้อนวอนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายพวกเราหมดหนทางแล้วจริงๆ จึงวิ่งมาที่นอกพระตำหนักชั่วคราว อยากลองดูว่าจะเรียกร้องความเป็นธรรมได้หรือไม่”

ลู่เหิงส่งผ้าให้คนของตนเอง ส่งสัญญาณให้พวกเขาเก็บรักษาให้ดี จากนั้นก็มองไปยังเจ้าเมืองเฉิง เจ้าเมืองเฉิงใบหน้าซีดเผือด เหงื่อเย็นไหลรินไม่หยุด ยืนนั่งไม่เป็นสุข

“เจ้าเมืองเฉิง” ลู่เหิงพูดเนิบช้า “นี่มันเรื่องอะไรกัน ท่านรู้หรือไม่”

เจ้าเมืองเฉิงอ้าปากแต่กลับพูดไม่ออก เห็นได้ชัดว่าไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย ลู่เหิงไม่อยากเสียเวลากับเขาจึงเอ่ยว่า “ใต้เท้าเฉิง เรื่องนี้เห็นทีจะมีลับลมคมใน อาจจะไม่ใช่คดีคนหายทั่วไป ประเดี๋ยวรบกวนใต้เท้าเฉิงส่งทะเบียนครัวเรือนกับบันทึกประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ของหมู่บ้านเหอกู่มาให้ข้าที ยังมีคดีคนหายในช่วงสามปีมานี้ รวบรวมมาให้หมด”

เจ้าเมืองเฉิงรับคำ ไหนเลยจะกล้าพูดมากอีก ลู่เหิงซักถามเบื้องต้นเสร็จแล้ว จากนี้ต้องตรวจสอบว่าคำให้การของสองคนนี้เป็นจริงหรือเท็จจึงจะจัดการขั้นตอนต่อไปได้ เขาสั่งองครักษ์เสื้อแพรอย่างเป็นธรรมชาติ “พาตัวพวกนางไปคุมขัง ห้ามผู้ใดเข้าใกล้เด็ดขาด”

องครักษ์เสื้อแพรกำลังจะรับคำ ฟู่ถิงโจวกลับหัวเราะ ขัดคำพูดของลู่เหิงอย่างไม่ไว้หน้า “สองคนนี้พูดจาฉะฉานชัดเจนอาจจะไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปจริงๆ ไม่แน่พวกนางอาจเป็นคนร้ายปลอมตัวมา ผู้บัญชาการลู่ต้องตรวจดูเอกสาร เกรงว่าคงไม่มีเวลาเฝ้าระวังนักโทษ ตามความเห็นข้า สองคนนี้ยังคงให้กองกำลังพิทักษ์นคราคุมขังต่อไปจะดีกว่ากระมัง”

ห้ากองกำลังพิทักษ์นคราดูแลรักษาความปลอดภัยของนครหลวง คำพูดของฟู่ถิงโจวนับว่าชอบด้วยเหตุผล ตอนนี้เบาะแสสำคัญของลู่เหิงก็คือสองคนนี้ จุดอ่อนใหญ่ถึงเพียงนี้ฟู่ถิงโจวจะยอมส่งกลับคืนไปได้อย่างไร

สีหน้าของลู่เหิงฉายแววขุ่นเคือง เขาตบเท้าแขนเก้าอี้ มองฟู่ถิงโจวด้วยสายตาเย็นชา “เจิ้นหย่วนโหว เจ้ากักตัวพยานขององครักษ์เสื้อแพรไว้ มีจุดประสงค์ใดกันแน่”

แม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นได้ยินคำพูดพวกนี้แล้วลมแทบจับ พวกนางคิดเพียงว่านี่คือขุนนางใหญ่ที่มาจากนครหลวง คิดไม่ถึงว่าคนหนึ่งจะเป็นท่านโหว อีกคนหนึ่งจะเป็นองครักษ์เสื้อแพร มิน่าเจ้าเมืองถึงได้นั่งตัวลีบอยู่ด้านข้างด้วยท่าทีระมัดระวัง

ใต้เท้าลู่ทะเลาะกับเจิ้นหย่วนโหวแล้ว เจ้าเมืองเฉิงพลันเงียบกริบ เกรงว่าหากไม่ระวังตนจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย

ผู้อื่นกลัวลู่เหิง ฟู่ถิงโจวกลับไม่กลัว เขาแค่นเสียงเช่นกัน น้ำเสียงเยียบเย็น พูดอย่างไม่เปิดโอกาสให้ต่อรอง “ข้าแค่รักษาความปลอดภัยของพระตำหนักชั่วคราวเท่านั้น หรือว่าเพื่อสืบคดีนี้ ผู้บัญชาการลู่จะปล่อยให้ฝ่าบาททรงต้องตกอยู่ในอันตรายโดยไม่สนใจ”

“ดี!” ลู่เหิงผุดลุกจากเก้าอี้ มองฟู่ถิงโจวอย่างผู้ที่เหนือกว่า “วันนี้ต่อหน้าพยานมากมาย เดิมทีพวกนางเป็นพยานของข้า แต่เจิ้นหย่วนโหวยืนกรานจะคุมตัวไว้เสียเอง เจิ้นหย่วนโหวต้องเฝ้าระวังให้ดีล่ะ คนอยู่กับเจ้า หากเกิดความผิดพลาดอะไร ทำให้ข้ามิอาจสืบคดีต่อไปได้ ข้าจะไปชี้แจงเหตุผลเบื้องพระพักตร์”

ฟู่ถิงโจวนิ่งอึ้งไป ตระหนักได้ทันที เจ้าคนผู้นี้จงใจชัดๆ! ลู่เหิงจงใจปัดความรับผิดชอบให้เขา หากคดีสืบจนกระจ่างแจ้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าย่อมเป็นความดีความชอบของลู่เหิง แต่หากคดีคลี่คลายไม่ได้ หรือแม่สามีกับลูกสะใภ้คู่นี้ตายไป เช่นนั้นลู่เหิงก็จะผลักความรับผิดชอบทั้งหมดมาที่เขา

ใครให้ฟู่ถิงโจวยึดตัวพยานของผู้อื่นเอาไว้…

ฟู่ถิงโจวกำเท้าแขนแน่นด้วยความโมโห แต่แล้วก็สงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว คนอยู่ในมือเขา ลู่เหิงไม่อาจสอบสวนและไม่อาจลงทัณฑ์ วิธีการขององครักษ์เสื้อแพรล้วนมิอาจนำมาใช้ได้ ฟู่ถิงโจวไม่เชื่อหรอกว่าอาศัยแค่การอ่านเอกสารลู่เหิงจะคลี่คลายคดีได้ ช้าเร็วลู่เหิงก็ต้องมาขอร้องตน ฟู่ถิงโจวจะรอให้ถึงวันนั้น

ทว่าถูกลู่เหิงตลบหลังเช่นนี้ ฟู่ถิงโจวยังคงเดือดดาลยิ่งนัก เขาตีหน้าเย็นชาพลางลุกขึ้น แม้แต่คำพูดตามมารยาทก็คร้านจะเอ่ย ตวาดเสียงเย็นว่า “ไป!” ก่อนจะพาคนของห้ากองกำลังพิทักษ์นคราจากไป เจ้าเมืองเฉิงไม่กล้าอยู่กับลู่เหิงตามลำพัง ฉวยโอกาสนี้จากไปเช่นกัน

รอจนสองคนนั้นออกไปแล้ว ใบหน้าของลู่เหิงก็ผุดรอยยิ้มช้าๆ ต้องขอบคุณฟู่ถิงโจวที่ช่วยเขาแก้ปัญหาไปหนึ่งเปลาะ

ภายในขององครักษ์เสื้อแพรหาใช่ถังเหล็กไม่ ในหน่วยองครักษ์เสื้อแพรเองก็มีหลายฝั่งหลายฝ่าย ลู่เหิงสามารถป้องกันผู้อื่นได้ แต่กลับมิอาจขัดขวางคนข้างใน เขาเพิ่งจะล่วงเกินเฉินอิ๋นไปอย่างรุนแรง เขากลัวว่าเฉินอิ๋นจะวางกำลังคนไว้ในกลุ่มองครักษ์เสื้อแพรและฆ่าปิดปากแม่สามีกับลูกสะใภ้คู่นี้ หลังจากนั้นต่อให้ลู่เหิงสามารถไขคดีได้ก็ต้องมีความผิดติดอยู่ในใจของฮ่องเต้โทษฐานทำงานบกพร่อง

ดังนั้นลู่เหิงจึงจงใจยั่วโทสะฟู่ถิงโจวทำให้ฟู่ถิงโจวมาคุมตัวคน หลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดปัญหาใด ลู่เหิงล้วนสามารถผลักภาระไปให้ฟู่ถิงโจวได้เสมอ

ลู่เหิงขุดหลุมพรางล่อฟู่ถิงโจวลงไปได้ จิตใจพลันเบิกบาน ในที่สุดความอัดอั้นเมื่อตอนกลางวันบรรเทาลงไปบ้าง แต่สีหน้าของผู้ใต้บังคับบัญชากลับฉายแววลำบากใจ เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล “ผู้บัญชาการ คนอยู่ในมือเจิ้นหย่วนโหว แม้แต่คำให้การยังไม่อาจบันทึกได้ ครานี้จะทำอย่างไรดีขอรับ”

“ไม่เป็นไร” ลู่เหิงเอ่ยเสียงเรียบ “พวกเจ้าตามเฉิงโยวไห่ไปเอาเอกสาร ขอเพียงเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องจงขนมาให้หมด อย่าให้พวกเขาเล่นลูกไม้ได้”

ผู้ใต้บังคับบัญชากุมหมัดรับคำ เสียงฝีเท้ากระฉับกระเฉงเป็นระเบียบดังขึ้น ไม่นานคนก็จากไปหมด รอจนรอบด้านปราศจากผู้คนแล้ว ลู่เหิงจึงเดินเข้าไปในห้องทิศตะวันออกอย่างไม่รีบร้อน อ้อมฉากบังตาไปแล้วเอ่ยถาม “ชิงชิง เป็นอย่างไรบ้าง”

บทที่ 56

สถานที่สอบปากคำลู่เหิงเป็นคนกำหนด หลังออกจากตำหนักที่ประทับของฮ่องเต้เขาก็ส่งคนไปตามหวังเหยียนชิงมาทันที แต่เขาโชคไม่ดีที่พบกับฟู่ถิงโจวและเจ้าเมืองเฉิงเข้า ระหว่างทางลู่เหิงจึงเปลี่ยนใจกะทันหัน ลอบส่งข่าวให้หวังเหยียนชิง บอกให้นางไปหลบหลังฉากบังตาก่อนที่พวกเขาจะไปถึง

ตอนนี้เป็นยามโพล้เพล้ แสงสนธยาสลัวมัว ประกอบกับเรือนหลังนี้ทึบทึม ไม่มีคนอาศัยอยู่นานแล้ว การซ่อนคนคนหนึ่งมิใช่เรื่องยาก แต่อย่างไรเสียข้างนอกก็มีข้าราชสำนักนั่งอยู่ถึงสองคน ในจำนวนนั้นยังรวมถึงคู่ปรับของเขาฟู่ถิงโจวด้วย หวังเหยียนชิงเกรงว่าจะทำให้สองคนนั้นรู้ตัว ทั้งลมหายใจและการเคลื่อนไหวล้วนผ่อนให้เบาลงอีกสามส่วน เนื่องจากมีข้อจำกัดมากเกินไปทำให้นางไม่มีเวลาสังเกตสีหน้าอาการคนมากนัก

หวังเหยียนชิงส่ายหน้าเล็กน้อย “อยู่ห่างเกินไป ข้ามองเห็นไม่ค่อยชัด แต่ท่าทีของพวกนางดูไม่เหมือนคนที่ได้รับการฝึกฝนมาโดยเฉพาะ”

ลู่เหิงก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ตอนสอบปากคำเขาสังเกตมือของแม่สามีลูกสะใภ้คู่นั้นตลอด ข้อนิ้วของพวกนางมีขนาดใหญ่ ฝ่ามือหยาบกระด้าง นิ้วมือยังมีรอยแตกด้วย ผู้ฝึกยุทธ์ก็มีหนังด้านเช่นกัน แต่ตำแหน่งของการจับดาบกับเครื่องมือทำไร่ไถนาไม่เหมือนกัน หนังด้านที่เกิดขึ้นก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หากดูแต่ภายนอกก็มองไม่เห็นร่องรอยการปลอมแปลงของสองคนนี้

ลู่เหิงเชื่อชั่วคราวว่าพวกนางมาร้องทุกข์จริงๆ เขามองท้องฟ้าข้างนอกแวบหนึ่ง “ที่นี่มีคนเข้าๆ ออกๆ อาจมีคนกลับมาได้ทุกเมื่อ ไปกันเถอะ พวกเรากลับไปแล้วค่อยคุยกัน”

หวังเหยียนชิงพยักหน้า นางไม่พลาดคำพูดประโยคที่ว่า ‘อาจมีคนกลับมาได้ทุกเมื่อ’ ของลู่เหิง เขาพูดเช่นนี้ คนที่ว่าน่าจะหมายถึงฟู่ถิงโจวหรือเจ้าเมืองเฉิง ทว่าเจ้าเมืองเฉิงเป็นขุนนางขั้นสี่เท่านั้น ต่อให้เห็นลู่เหิงซ่อนคนนอกไว้ในเรือนก็ไม่กล้าป่าวประกาศออกไป เช่นนั้นคนที่ลู่เหิงกังวลก็ต้องเป็นฟู่ถิงโจวเท่านั้น

น่าประหลาดนัก เหตุใดพี่รองจึงไม่อยากให้ฟู่ถิงโจวเห็นนางเล่า แม้การนึกเช่นนี้จะหน้าไม่อายทีเดียว แต่ตอนนี้ฟู่ถิงโจวยังลุ่มหลงนางอยู่ ต่อให้เจอนางก็ไม่มีทางไปฟ้องเบื้องบน พี่รองกังวลเรื่องใดอยู่กันแน่

ตั้งแต่นางพบกับฟู่ถิงโจว เรื่องที่อธิบายไม่ได้ก็มีมากขึ้นทุกที หวังเหยียนชิงมิได้ส่งเสียง เพียงเดินตามลู่เหิงกลับไปยังที่พักของพวกเขาในพระตำหนักชั่วคราวเงียบๆ การเสด็จประพาสแดนใต้ทุกอย่างล้วนจัดการอย่างเรียบง่าย แม้แต่หวังเหยียนชิงยังถูกยัดเข้ามาในขบวนอย่างลับๆ นางจะพาสาวใช้ติดตามมาด้วยมากเกินไปไม่ได้จึงพาแค่หลิงซีออกมาเท่านั้น

หลิงซีเห็นหวังเหยียนชิงกับลู่เหิงกลับมาก็ไม่เอ่ยถามอะไรทั้งสิ้น เปลี่ยนชาร้อนให้พวกเขาแล้วก็ปิดประตูจากไปอย่างคล่องแคล่ว หวังเหยียนชิงเคยชินกับการปฏิบัติเช่นนี้ของอีกฝ่ายแล้ว ไม่รู้สึกว่าผิดปกติแต่อย่างใด นางไม่มีเวลามาดื่มน้ำชา ขยับเข้าไปใกล้แล้วถาม “พี่รอง นี่มันเรื่องอะไรหรือ”

นางนั่งรถม้ามาทั้งวันไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เหยียบพื้นดิน ยังไม่ทันจัดเก็บสัมภาระให้ดี จู่ๆ ก็มีคนมาบอกว่าผู้บัญชาการเรียกนางไปพบ หวังเหยียนชิงยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็ถูกพาไปนั่งหลังฉากบังตาสีซีดที่เต็มไปด้วยฝุ่น หลังจากนั้นลู่เหิง ฟู่ถิงโจว และขุนนางอีกคนที่นางไม่รู้จักก็เดินเข้ามาแล้ว

ลู่เหิงเอนกายพิงพนักเก้าอี้ พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ก็อย่างที่เจ้าได้ยิน มีคนวิ่งมานอกพระตำหนักชั่วคราวร้องตะโกนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ฝ่าบาททรงได้ยินเข้าจึงมีรับสั่งให้ข้าไขคดีภายในสามวัน”

“ภายในสามวัน?” หวังเหยียนชิงฟังแล้วตื่นตระหนก “เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่นเช่นนี้”

นิ้วมือเรียวยาวของลู่เหิงเคาะเท้าแขนพลางพูดเนิบช้า “ข้าเป็นคนเสนอเองต่างหาก”

หวังเหยียนชิงพูดไม่ออกทันใด นางมองลู่เหิง ไม่เข้าใจเลยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่

ลู่เหิงไม่คิดจะอธิบายเพิ่มเติม “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แก้ปัญหาเรื่องคดีก่อนเถอะ เจ้าว่าแถบผ้าที่เขียนคำว่า ‘ช่วยด้วย’ เป็นของจริงหรือไม่”

สิ่งที่อยู่บนแถบผ้าชิ้นนั้นเป็นเลือดคนมิผิด แต่ใช่ว่าจะเป็นเลือดของบุตรชายสกุลหลิวเสมอไป หากแม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวต้องการเรียกร้องความสนใจจึงจงใจทำให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โตเล่า หวังเหยียนชิงขบคิดดูแล้วส่ายหน้าอย่างจริงใจ “เรื่องที่รับรู้มีน้อยเกินไป ข้าไม่อาจวินิจฉัยได้ แต่ข้ามักรู้สึกว่ามีหลายเรื่องที่หลิวต้าเหนียงมิได้พูดออกมา”

“ใช่” ลู่เหิงไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ “ข้าก็รู้สึกได้เช่นกัน ดูเหมือนพวกนางจะหวาดกลัวมาก เวลาพูดก็ดูอึกๆ อักๆ คลุมเครือไม่ชัดเจน”

“พวกนางหวาดกลัวก็เป็นเรื่องปกติ” หวังเหยียนชิงพูด “พวกท่านสามคนร่วมกันสอบสวนพวกนางเช่นนี้ ชาวบ้านคนใดบ้างเล่าจะไม่กลัว อีกทั้งในจำนวนนี้ยังมีเจ้าเมืองที่เป็นขุนนางท้องถิ่น พวกนางมีความกังวลในใจก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา”

ลู่เหิงจนปัญญากับเรื่องนี้ เขาเชี่ยวชาญการทำให้คนหวาดกลัว แต่จะใกล้ชิดกับผู้อื่นอย่างไร เรื่องนี้กลับไม่มีอยู่ในบทเรียนขององครักษ์เสื้อแพร ลู่เหิงพูด “หากให้เจ้าถาม มั่นใจหรือไม่ว่าจะแยกแยะจริงเท็จได้”

หวังเหยียนชิงตรึกตรองครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ผงกศีรษะช้าๆ “น่าจะได้ แต่ข้าต้องพบสองคนนี้ตามลำพัง ดีที่สุดคือต้องไม่มีขุนนางและทหารอยู่ด้วย”

หากคนอยู่กับองครักษ์เสื้อแพร นี่เป็นเรื่องที่จัดการได้อย่างง่ายดาย แต่คนกลับถูกฟู่ถิงโจวพาตัวไป ลู่เหิงลอบสบถในใจ ทว่าสีหน้ายังคงสุขุมเยือกเย็น “ไม่มีปัญหา ข้าจัดการเอง”

ฤดูคิมหันต์กลางวันยาวนาน ไอร้อนปกคลุมผืนแผ่นดิน กระทั่งในอากาศยังคล้ายเจือไอหมอกขมุกขมัวสีเทาชั้นหนึ่ง ทหารเดินทางไกลมาทั้งวัน กลางคืนยังต้องเดินตรวจตราที่นี่ ต่างเหน็ดเหนื่อยจนยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด แต่เรื่องที่เจิ้นหย่วนโหวสั่งพวกเขาไม่กล้าละเลย ทหารกองหนึ่งเดินลาดตระเวนตามแนวกำแพง จู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งตาไว เห็นชายฉกรรจ์หลายคนเดินมาทางนี้

ชุดขององครักษ์เสื้อแพรแม้อยู่ห่างไกลเป็นหลี่ก็ยังสามารถแยกแยะได้ เหล่าทหารตื่นตัวทันใด ขวางทางไว้พลางถามเสียงดัง “ผู้มาเป็นใคร!”

องครักษ์เสื้อแพรที่เป็นหัวหน้าแสดงป้ายห้อยเอวของตนเอง “ใต้เท้าลู่เกรงว่าจะเกิดความผิดพลาดกับพยานจึงสั่งให้พวกเรามาตรวจสอบ”

ทหารลาดตระเวนเป็นคนของห้ากองกำลังพิทักษ์นครา ไม่รับฟังเหตุผลนี้ขององครักษ์เสื้อแพร “เจิ้นหย่วนโหวมีคำสั่ง หากไม่มีหลักฐานแทนตัวจากเขา ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้าไป”

องครักษ์เสื้อแพรหมดความอดทน อดขึ้นเสียงดังไม่ได้ “ก็แค่ไปดูพยานเท่านั้น พวกเจ้าบ่ายเบี่ยงสารพัดเช่นนี้ ใช่มีจุดประสงค์แอบแฝงหรือไม่”

ฤดูคิมหันต์อากาศร้อนระอุ คนสองฝ่ายเมื่อพูดจาไม่เข้าหูก็ทะเลาะกัน ทหารที่เฝ้าประตูใหญ่ชะเง้อคอมองไปข้างหน้าไม่หยุด แม้จะร้อนใจแต่ก็มิกล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการ เวลานี้เองสตรีสองคนในชุดชาววังเดินเข้ามา ทหารสายตามองไปข้างหน้า แต่กลับไม่ลืมขวางผู้มาเยือนไว้ “ใครกัน”

นางกำนัลยอบกายคารวะตามธรรมเนียมชาววังอย่างเรียบร้อย เป็นฝ่ายเปิดกล่องไม้ในมือ “พวกเรามาส่งอาหาร”

ทหารกวาดตามองทั้งสองคน พวกนางสวมชุดชาววังทั่วไป เอวมีป้ายห้อย ดูไม่คุ้นหน้า แต่พวกเขาเป็นขุนนางภายนอก ไม่รู้จักนางกำนัลก็เป็นเรื่องปกติ ทหารสังเกตเห็นว่าขอบป้ายห้อยเอวของพวกนางถูกเสียดสีจนเรียบ เสื้อผ้าเก่าอยู่บ้าง ชายกระโปรงยังเปื้อนเศษดินเหมือนผ่านการเดินทางมานาน

กล่าวโดยรวม นี่คือนางกำนัลสองคนที่ดูปกติมาก สิ่งเดียวที่ไม่ปกติคือรูปโฉมของพวกนางโดดเด่นเกินไป โดยเฉพาะคนหลัง นางก้มหน้าตลอดเวลา แต่หน้าผากที่เผยออกมาขาวปานหิมะ รูปร่างก็สูงโปร่งอรชร สตรีเช่นนี้อยู่ในวังจะเป็นเพียงคนส่งอาหารอย่างนั้นหรือ

สายตาของทหารเจือแววเคลือบแคลง เขาตรวจสอบกล่องอาหาร ภายในกล่องนอกจากกับข้าวง่ายๆ สองจานและข้าวสองถ้วยแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก นางกำนัลเป็นฝ่ายหยิบเข็มเงินออกมา ทดสอบพิษในอาหารทุกจานต่อหน้าทหาร นางชูมือขึ้นนิ่งๆ ผ่านไปเนิ่นนานเข็มเงินมิได้เปลี่ยนสี สายตาของทหารจับอยู่ที่ทั้งสองคน นางกำนัลพลันประหม่า น้ำเสียงแข็งทื่อเล็กน้อย “นายท่าน พวกเราเป็นนางกำนัลจากฝ่ายห้องเครื่อง ได้รับคำสั่งให้มาส่งอาหาร…”

เสื้อผ้าฤดูร้อนบางเบา ไม่อาจซ่อนดาบกระบี่ได้ ทหารพิจารณาอยู่หลายครั้ง เมื่อมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติ เขาคิดในใจ เขาคงคิดมากเกินไปกระมัง บางทีดินกับน้ำในวังอาจจะบำรุงร่างกายได้ เมื่อคิดเช่นนี้จึงเก็บดาบแล้วปล่อยให้พวกนางเข้าไป

นางกำนัลปิดฝากล่องอาหารลงดังเดิม ยอบกายคารวะตามธรรมเนียมชาววัง จากนั้นก็ซอยเท้าเดินเข้าไปในประตูใหญ่ สตรีอีกคนเดินตามหลังสหายนางกำนัลไป นางหลุบตา ท่าทางสงบเสงี่ยมสำรวม รอจนประตูปิดลง หลิงซีจึงลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอก นางยื่นกล่องอาหารใส่มือหวังเหยียนชิงพลางพูด “แม่นาง ข้าจะคอยดูต้นทางอยู่ตรงนี้ ท่านรีบไปรีบกลับเถอะ”

หวังเหยียนชิงพยักหน้า นางรู้ว่าเวลากระชั้นจึงไม่เสียเวลาอีก ก้าวเร็วๆ ไปที่ห้องขัง ประตูห้องถูกเปิดผลัวะ คนข้างในตกใจสะดุ้ง รีบหันกลับมา

หวังเหยียนชิงยืนอยู่หน้าประตู ยอบกายเอ่ยว่า “ข้าเป็นนางกำนัลกองปรุงอาหารของฝ่ายห้องเครื่อง รับคำสั่งนำอาหารมาให้ทั้งสองท่าน”

ได้ยินว่าเป็นคนส่งอาหาร แม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวก็โล่งอก จากนั้นก็ถูมืออย่างประหม่าเล็กน้อย “ที่แท้เป็นผู้สูงศักดิ์จากในวัง…พวกเรากินอะไรง่ายๆ ก็พอ จะให้ท่านลำบากนำข้าวมาส่งได้อย่างไร”

หวังเหยียนชิงเม้มปากยิ้ม “ข้าเป็นเพียงนางกำนัลคนหนึ่ง ท่านไม่ต้องเรียกข้าว่าผู้สูงศักดิ์หรอก ทั้งสองท่านจะกินข้าวตอนนี้เลยหรือไม่”

แม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวหิวมาทั้งวัน หน้าอกแทบจะแนบติดกับแผ่นหลังแล้ว ได้ยินคำนี้ก็พยักหน้าถี่ๆ ลูกสะใภ้สกุลหลิวเป็นฝ่ายก้าวเข้ามารับกล่องอาหารจากมือหวังเหยียนชิง หลิวต้าเหนียงพูดอย่างลำบากใจอยู่บ้าง “ยายแก่ข้าไม่คิดไม่ฝันว่าชาตินี้ยังจะได้เจอคนในวังด้วย ช่างงดงามประหนึ่งคนในภาพปีใหม่จริงๆ ไม่ใช่สิ ภาพปีใหม่ไหนเลยจะงามเท่ากับท่าน…ตายแล้ว ระวัง!”

ลูกสะใภ้สกุลหลิวมารับกล่องอาหาร สองคนไม่รู้ว่าใครรับส่งไม่ดี หวังเหยียนชิงปล่อยมือ แต่ลูกสะใภ้สกุลหลิวยังไม่ทันได้รับไว้ นางก็รีบช้อนมือออกไปตามจิตใต้สำนึก ทว่ายังคงคว้าไว้ไม่ทัน กล่องอาหารหล่นลงบนพื้นดังเคร้ง น้ำแกงข้างในสาดกระจายเต็มพื้น

ใบหน้าลูกสะใภ้สกุลหลิวแดงเถือกไปถึงลำคอทันใด รีบคุกเข่าลงเก็บอาหาร “ข้าขออภัย ต้องโทษที่ข้ามือไม้ซุ่มซ่าม ไม่ได้รับให้ดี…”

“ไม่เป็นไร” หวังเหยียนชิงยกชายกระโปรงย่อตัวลง เก็บกวาดเศษอาหารบนพื้น “ข้าไม่ระวังเอง อาหารพวกนี้ตกลงบนพื้นแล้ว กินไม่ได้แล้วล่ะ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนส่งมาให้ใหม่อีกชุด”

หลิวต้าเหนียงมองข้าวเม็ดสีขาวบนพื้น เอ่ยด้วยความเสียดาย “ไหนเลยต้องส่งมาใหม่อีกชุดเล่า เปื้อนดินเล็กน้อยเท่านั้นเอง ปัดๆ หน่อยก็กินได้แล้ว”

“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” หวังเหยียนชิงว่า “บนพื้นสกปรกถึงเพียงนั้น จะให้ท่านทั้งสองกินได้อย่างไร พวกท่านรอสักครู่ อีกประเดี๋ยวอาหารก็มาส่งแล้ว”

หลิวต้าเหนียงทำท่าจะพูดแล้วเงียบไป สุดท้ายก็หุบปากอย่างเก้อกระดาก ความจริงนางรู้สึกว่ากินได้จริงๆ ข้าวที่ดีถึงเพียงนี้เปื้อนดินนิดเดียวก็จะโยนทิ้ง สิ้นเปลืองของกินโดยแท้ แต่คนในวังพิถีพิถัน หลิวต้าเหนียงไม่กล้าพูดมาก ได้แต่คล้อยตามอีกฝ่าย

ลูกสะใภ้สกุลหลิวทำอาหารหกรู้สึกละอายใจยิ่งนัก นางคุกเข่าอยู่กับพื้นพร้อมเก็บเศษกระเบื้องให้ดี ทั้งยังเช็ดน้ำแกงกับเศษอาหารบนพื้นจนสะอาด หวังเหยียนชิงเก็บเศษซากทั้งหมดลงในกล่องอาหารและปิดฝาเงียบๆ

ความจริงการทำกล่องอาหารหล่นมิอาจโทษลูกสะใภ้สกุลหลิวได้ เป็นหวังเหยียนชิงจงใจคลายมือทำให้อีกฝ่ายรับไม่ทัน

ความตกใจเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา เป็นสีหน้าอารมณ์ที่ปกปิดได้ยากที่สุด เนื่องจากความคาดไม่ถึงมักจะหมายถึงการเผชิญภยันตราย ดังนั้นในชั่วเวลานั้นทุกคนจะเผยตัวตนที่แท้จริงที่สุดของตนเองออกมา จังหวะที่กล่องอาหารร่วงลงไปกะทันหัน ลูกสะใภ้สกุลหลิวนิ่งงันชั่วขณะก่อนจะเอื้อมมือไปคว้า ได้ยินเสียงชามกระเบื้องตกแตก ใบหน้านางฉายความหวาดกลัวและความรู้สึกผิดอย่างรวดเร็ว รีบคุกเข่าลงเก็บเศษอาหาร การกระทำของนางคล่องแคล่วมากเหมือนคนที่ทำงานบ้านจนคุ้นชิน หาได้เหมือนผู้ฝึกยุทธ์ไม่

ท่าทางเสียดายของหลิวต้าเหนียงก็ไม่เหมือนเสแสร้งเช่นกัน ตอนที่นางพูดกับหวังเหยียนชิง สายตาจ้องเม็ดข้าวบนพื้นตลอดเวลา พอได้ยินว่าหวังเหยียนชิงจะโยนอาหารทิ้ง คิ้วของนางลู่ลง เปลือกตายับย่น สองปากเม้มแน่น เห็นได้ชัดว่าอยากจะแย้งแต่ฝืนสะกดไว้

หากเป็นคนร้ายหรือว่าสายสืบ พอเห็นของร่วงหล่นท่าทีตอบสนองแรกน่าจะเป็นท่าทีระมัดระวังตัว ไม่ควรจะมีความรู้สึกผิด ลูกสะใภ้สกุลหลิวเห็นอาหารเกลื่อนกระจายก็คุกเข่าลงเก็บกวาดทันใด เปิดเผยแผ่นหลังทั้งหมดตรงหน้าหวังเหยียนชิง หวังเหยียนชิงขยับเข้าไปใกล้นางกะทันหัน กล้ามเนื้อบนตัวนางก็ไม่เครียดเกร็ง

ดูจากหลายๆ อย่างแล้ว นี่เป็นแม่สามีกับลูกสะใภ้ชาวนาคู่หนึ่งอย่างแท้จริง เมื่อแน่ใจในฐานะแล้ว เรื่องราวต่อจากนี้ก็ง่ายดาย

แม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวไม่รู้ธรรมเนียมในวัง หวังเหยียนชิงอ้างว่ารออาหารมาส่งใหม่และถือโอกาสรั้งอยู่ที่นี่ นางพูด “ต้องขออภัยจริงๆ ทำให้พวกท่านต้องรอนานกว่าเดิม”

หลิวต้าเหนียงเห็นสตรีที่งามปานเทพธิดาผู้นี้ไม่รังเกียจที่พวกนางหยาบกระด้าง ทั้งยังพูดคุยกับพวกนางอย่างอ่อนโยน ไหนเลยจะยอมรับคำขออภัยของอีกฝ่าย “เรื่องแค่นี้จะเป็นไรไป ปกติเวลาพวกเราไปทำนา เวลามักล่วงเลยถึงยามซวีกว่าจะได้กินข้าว บางครั้งงานในท้องนายังทำไม่เสร็จ กินข้าวยามไฮ่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ บัดนี้พวกเราไม่ต้องทำอะไร แม้แต่ข้าวยังต้องรบกวนพวกท่านเอามาให้ พวกเราต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขออภัย”

หวังเหยียนชิงยิ้มตอบ “ท่านทั้งสองไม่โทษข้าก็ดีแล้ว คิดว่าอาหารคงต้องรออีกสักพัก พวกท่านนั่งลงพูดคุยเถอะ”

หวังเหยียนชิงพูดเช่นนี้ แต่ความจริงในใจนางรู้ดีว่าอาหารจะไม่มีทางมาส่ง นางแอบแฝงตัวเข้ามาในนี้ จะทิ้งร่องรอยไว้ไม่ได้เด็ดขาด อาหารมื้อนี้ที่นางนำเข้ามาแม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวต้องไม่ได้กินอยู่แล้ว รอให้หวังเหยียนชิงจากไป นางกำนัลขันทีตัวจริงจึงจะนำอาหารมาส่ง

ชาวชนบทไม่มีพิธีรีตองถึงเพียงนั้น แม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวเห็นหวังเหยียนชิงเชื้อเชิญพวกนางนั่งอย่างเป็นมิตรก็นั่งลงจริงๆ หวังเหยียนชิงแสร้งทำทีสนอกสนใจเรื่องในท้องนา เป็นฝ่ายถามเรื่องการเพาะปลูก

เดิมทีหวังเหยียนชิงเป็นผู้สูงศักดิ์ในวัง ทั้งห่างไกลและน่ากลัวในความคิดของแม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิว บัดนี้นางขอคำชี้แนะ ฐานะจึงต่ำลงโดยปริยาย หลิวต้าเหนียงไม่คิดว่าคนในวังจะมีเรื่องที่สู้นางไม่ได้ด้วย ในใจฮึกเหิม คุยจ้อไม่หยุดทันที

สองตาของหวังเหยียนชิงจ้องมองหลิวต้าเหนียงอย่างจริงจัง ยิ้มน้อยๆ ทั้งผงกศีรษะเป็นครั้งคราว พูดคุยกันไม่กี่คำนางก็สามารถหลอกถามสถานการณ์ในครอบครัว ทะเบียนครัวเรือน และอายุของหลิวต้าเหนียงได้ทั้งหมด ลูกสะใภ้สกุลหลิวเห็นแม่สามีคุยจ้อไม่หยุด รู้สึกประดักประเดิดอยู่บ้าง แอบกระตุกแขนเสื้อหลิวต้าเหนียง “ท่านแม่ แม่นางท่านนี้ไม่แน่อาจไม่เคยจับดินมาก่อนด้วยซ้ำ ท่านพูดเรื่องพวกนี้ ผู้อื่นจะทนฟังได้อย่างไร”

“ใช่ที่ใดกัน” หวังเหยียนชิงยิ้มตอบ “ความจริงข้าก็เติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านเหมือนกัน สมัยเด็กๆ ตอนท่านย่าไปทำนา ข้าก็รออยู่บนคันนา จะไม่เคยเห็นดินได้อย่างไร”

ความจริงหวังเหยียนชิงจดจำเรื่องพวกนี้ไม่ได้ เพียงอาศัยการฟังมาจากลู่เหิงทั้งสิ้น หวังเหยียนชิงอดรู้สึกเสียใจมิได้ นางบ้านแตกสาแหรกขาด สูญเสียบิดามารดาและผู้เป็นย่าไปตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ตอนนี้แม้กระทั่งใบหน้าของท่านย่านางก็นึกไม่ออก หากท่านย่าของนางยังอยู่บนโลกใบนี้ก็น่าจะมีลักษณะเหมือนท่านยายตรงหน้าที่ผ่านลมผ่านฝนมามากแต่ยังคงยืนหยัดไม่ย่อท้อกระมัง

หวังเหยียนชิงลอบถอนหายใจ นางได้รับความไว้วางใจจากแม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวแล้วจึงค่อยๆ แตะเรื่องคดี “ท่านป้า ข้าได้ยินมาว่าวันนี้ท่านมาเรียกร้องความเป็นธรรม เรื่องราวเป็นอย่างไรหรือ”

หลิวต้าเหนียงฟังแล้ว คิ้วที่เดิมทีชี้ขึ้นลู่ลงทันใด ถอนหายใจหนักๆ “ใช่ ตาแก่กับบุตรชายข้า ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย”

หวังเหยียนชิงถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

“พวกเขาถูกราชสำนักเรียกตัวไปสร้างพระตำหนักชั่วคราวในเดือนสี่ เดือนหกชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านข้างๆ ทยอยกลับมากันหมดแล้ว มีแต่พวกเขาที่ไม่มีข่าวคราว ข้ารอแล้วรอเล่า ครั้นเห็นว่าย่างเข้าเดือนเจ็ดแล้ว ยังคงไม่มีข่าว ข้าจึงไปสอบถามในที่ว่าการอำเภอ ตอนแรกคนของที่ว่าการไม่ยอมพูด ไล่ตะเพิดพวกเราออกมา ภายหลังข้าชักชวนคนในหมู่บ้านไปด้วยกัน คนของทางการไม่ออกมา พวกเราก็จะนั่งรออยู่หน้าประตู นายอำเภอเห็นว่าไล่พวกเราไปไม่ได้จึงบอกว่าบุรุษในหมู่บ้านเหอกู่เจอน้ำป่าระหว่างเดินทางไปใช้แรงงาน ถูกสายน้ำพัดพาไป”

ตอนเอ่ยคำพูดพวกนี้ดวงตาของหลิวต้าเหนียงไร้ประกาย รอยย่นตรงมุมปากตกลงมา เป็นท่าทีของคนที่ด้านชาและนิ่งสงบ หวังเหยียนชิงขบคิดก่อนถาม “พวกเขาถูกน้ำป่าพัดพาไประหว่างเดินทางไปยังที่หมาย ราชสำนักเกณฑ์พลเดือนสี่ เหตุใดที่ว่าการอำเภอเพิ่งจะแจ้งข่าวพวกท่านในเดือนเจ็ดเล่า”

“ข้าก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้เหมือนกัน ถึงได้รู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้ถูกน้ำพัดพาไป” หลิวต้าเหนียงว่า “ภายหลังผู้ใหญ่บ้านมาหาพวกเราทีละครอบครัว บอกว่าทางอำเภอแจกเงินช่วยเหลืองานศพ ให้แต่ละบ้านส่งคนไปรับเงินที่ศาลาว่าการประจำอำเภอ รับเงินแล้วก็อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ข้าไม่เชื่อว่าบุตรชายข้าจะตายไปเช่นนี้ จึงไม่ได้ไปเอาเงิน”

หวังเหยียนชิงถาม “คนอื่นๆ ในหมู่บ้านล้วนไปรับเงิน?”

“ก็ใช่น่ะสิ” หลิวต้าเหนียงถอนหายใจหนักๆ “ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป คนก็ตายไปแล้ว ยังจะยึดติดไม่ปล่อยวางไปไย พวกเขาต่างก็ว่าข้าถูกภูตผีครอบงำจิตใจ แต่พวกเขาไหนเลยจะรู้ ทุกคืนพอหลับตาลงข้าจะเห็นบุตรชายข้ากำลังลำบาก ข้าเลี้ยงดูเขามาอย่างยากเย็นจนเติบใหญ่ เพิ่งจะแต่งภรรยาให้เขา แล้วจะส่งเขาจากไปอย่างไม่ชัดเจนเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ต่อให้เจอน้ำป่าจริง ถึงอย่างไรก็ต้องมีศพกระมัง”

ลูกสะใภ้สกุลหลิวเงียบงัน ก้มหน้านั่งอยู่ข้างกายแม่สามี แสงสว่างข้างนอกมืดลงทีละชั้น พวกนางนั่งอยู่ข้างโต๊ะไม้ ดูเหมือนรูปปั้นในศาลเจ้าชุมชน นิ่งเงียบและเก่าคร่ำคร่า หวังเหยียนชิงตรึกตรองครู่หนึ่งก่อนถาม “ทุกหมู่บ้านล้วนต้องถูกเกณฑ์ไพร่พลหรือ”

“ใช่”

“นอกจากหมู่บ้านเหอกู่ ยังมีคนในพื้นที่อื่นประสบเหตุการณ์เช่นนี้หรือไม่”

“ไม่เคยได้ยิน” หลิวต้าเหนียงตอบด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “คนของพวกเขากลับมานานแล้ว แต่หมู่บ้านพวกเราไม่มีข่าวคราวเลย ข้าถึงได้รู้สึกประหลาดใจ ข้าไปร้องทุกข์ในที่ว่าการอำเภอ นายอำเภอด่าว่าข้าเสียสติ ภายหลังก็ไม่อนุญาตให้ข้าเข้าประตู ภายหลังเหยี่ยวล่าปลาบ้านพวกเราบินกลับมา ในที่สุดข้าก็มีหลักฐาน แต่ไม่สามารถเข้าไปในที่ว่าการอำเภอได้ แต่ก่อนข้าเคยได้ยินคนมาร้องงิ้วหน้าหมู่บ้าน บอกว่าหากได้รับความไม่เป็นธรรมและนายอำเภอไม่สนใจ เดินทางเข้านครหลวงไปร้องทุกข์ก็จะประสบความสำเร็จ ข้าไม่รู้ว่านครหลวงอยู่ที่ใด จึงลองมาหาเจ้าเมือง แต่ในเว่ยฮุยข้าไม่คุ้นที่คุ้นทางและไม่รู้จักผู้คน ข้าเฝ้าอยู่ข้างนอกสามวัน แม้แต่ประตูจวนยังเข้าไปไม่ได้”

ลูกสะใภ้สกุลหลิวฟังถึงตรงนี้ พูดเสริมว่า “เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ท่านพ่อและสามีข้า ท่านแม่ต้องลำบากไม่น้อยเลยจริงๆ ตอนนางไปร้องทุกข์ที่ว่าการอำเภอ นายอำเภอเกือบจะลงทัณฑ์นางอยู่แล้ว ข้าต้องอ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่า นายอำเภอจึงจะยอมละเว้น ข้าดึงตัวท่านแม่ออกมา หลังจากนั้นพวกเราก็ไม่กล้าไปที่ที่ว่าการอำเภออีก ดังนั้นจึงเดินทางมาเว่ยฮุย แต่เจ้าเมืองยุ่งกับการรับเสด็จ แม้แต่ประตูที่ว่าการยังไม่ยอมให้พวกเราเข้าใกล้ด้วยซ้ำ พวกเราอยู่ในเมืองเว่ยฮุยสามวัน ครั้นเห็นว่าค่าเดินทางถูกใช้ไปหมดแล้ว ท่านแม่ไม่ยินยอมกลับไปมือเปล่าเช่นนี้ จึงทุ่มสุดชีวิตลองมาเสี่ยงดวงที่พระตำหนักชั่วคราวสักครั้ง”

บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย ฮ่องเต้ได้ยินเข้าจริงๆ หวังเหยียนชิงรู้สึกทอดถอนใจแทนแม่สามีกับลูกสะใภ้ที่อาภัพคู่นี้ แต่แล้วนางพลันตระหนักถึงความผิดปกติ เงยหน้าทันใด ดวงตาสาดประกายคมกล้า “พวกท่านบอกว่าพวกท่านไปร้องขอความเป็นธรรมในที่ว่าการอำเภอก่อน ภายหลังจึงเห็นเหยี่ยวล่าปลา ตอนนั้นยังไม่มีหลักฐานอันใด เหตุใดพวกท่านจึงคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขามิใช่อุบัติเหตุเล่า”

แววตาของหวังเหยียนชิงในตอนนี้กับนางกำนัลที่อ่อนโยนจิตใจดีงามเมื่อครู่แตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน หลิวต้าเหนียงจมอยู่กับภวังค์ความคิดของตนเอง ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ นางเลียริมฝีปาก ต่อสู้กับตนเองครู่หนึ่ง ก่อนจะกดเสียงเบาพูด “ความจริงมิใช่แค่เหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากครั้งนี้เท่านั้น ก่อนเกณฑ์ไพร่พลก็เคยมีคนออกจากบ้านแล้วหายตัวไปอย่างลึกลับ อีกทั้งก่อนหน้านี้ตอนกลางคืนยังเคยมีเสียงดังครึกโครมลอยมาจากบนภูเขา คนอื่นๆ บอกว่าเป็นแผ่นดินไหว แต่ตาแก่บ้านข้าบอกว่าไม่ใช่ หากแผ่นดินไหวจริง ปลาในแม่น้ำจะต้องหนีแน่ ตอนนั้นข้ามิได้ใส่ใจ ใครจะรู้ว่าผ่านไปไม่นานคนของทางอำเภอจะมาเกณฑ์ชายฉกรรจ์ คนในหมู่บ้านไม่มีใครกลับมาสักคนเดียว ข้ายิ่งคิดยิ่งรู้สึกผิดปกติ นี่จะเรียกว่าภัยธรรมชาติได้อย่างไร จะต้องเป็นฝีมือคนอย่างแน่นอน!”

คำชี้แจงที่หลิวต้าเหนียงเปิดเผยออกมามีประโยชน์มาก หวังเหยียนชิงกำลังจะถามต่อ เสียงเคาะประตูพลันลอยมาจากข้างหลัง เสียงของหลิงซีดังขึ้นหลังบานประตู น้ำเสียงตึงเครียดเล็กน้อย “ได้เวลาแล้ว พวกเราต้องไปแล้วล่ะ”

แม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวถึงได้รู้ว่าข้างนอกยังมีนางกำนัลอีกคนหนึ่ง พวกนางลุกขึ้นอย่างวางตัวไม่ถูก รีบขออภัย หวังเหยียนชิงรู้ว่าเหตุการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลง นางห้ามแม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวไว้พลางพูด “เป็นความผิดของข้าเอง พอได้พูดคุยก็ลืมเวลา พวกเรามีระเบียบของวังอยู่ ต้องรีบกลับแล้ว ท่านทั้งสองหยุดตรงนี้เถอะ ไม่ต้องไปส่ง”

หลิวต้าเหนียงฟังแล้วไม่กล้าขวางอีก หวังเหยียนชิงถือกล่องอาหารเดินออกมา หลิงซีเห็นนางแล้วกดเสียงเบาพูด “แม่นาง ประเดี๋ยวไม่ต้องพูดอะไร เพียงเดินไปตามทางที่ไม่มีแสงไฟ”

หวังเหยียนชิงพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ หลิงซีกับหวังเหยียนชิงออกจากประตู ทหารที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเห็นพวกนางออกมาก็ขมวดคิ้วถาม “เหตุใดจึงเข้าไปนานถึงเพียงนั้น”

หลิงซีก้มหน้าหลุบตาตอบ “กูกูควบคุมเข้มงวด พวกเราต้องรอให้พวกนางกินเสร็จและเก็บกล่องอาหารกลับไปด้วย”

ทหารไม่รู้กฎระเบียบภายในวัง ฟังแล้วจับผิดอะไรไม่ได้จึงปล่อยให้พวกนางผ่านไป หวังเหยียนชิงก้มหน้าก้าวเดินฉับๆ ข้างหน้าก็เป็นหัวเลี้ยวแล้ว จู่ๆ เสียงฝีเท้าเป็นระเบียบทรงพลังก็ดังขึ้นข้างหลัง หลิงซีหัวใจหดเกร็ง รีบสลับมาอยู่ข้างหลังหวังเหยียนชิง บดบังเงาร่างของนางไว้

ทั้งสองอ้อมผ่านมุมกำแพงไปได้อย่างปลอดภัย หลิงซีไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพวกนางถูกจับได้หรือไม่ ได้แต่เร่งหวังเหยียนชิงให้รีบเดิน หวังเหยียนชิงไม่โต้แย้งใดๆ เอ่ยคำพูดเพียงประโยคเดียว “ประเดี๋ยวอย่าลืมส่งอาหารไปให้พวกนางด้วย”

หลิงซีผงกศีรษะ “ผู้บัญชาการจะจัดการเองเจ้าค่ะ”

ฟู่ถิงโจวรู้สึกว่าลู่เหิงไม่มีทางอยู่นิ่งเช่นนี้แน่ ตามคาด ช่วงที่ท้องฟ้ากำลังจะมืดแต่ยังไม่มืด มีคนมารายงานว่าองครักษ์เสื้อแพรหลายคนมาหาเรื่องที่หน้าประตู ฟู่ถิงโจวรุดมาตรวจสอบด้วยตนเอง ตอนเขาเข้าใกล้คลับคล้ายมองเห็นสตรีสองคนเดินผ่านมุมกำแพงไป

ต่อให้เงาร่างของสตรีผู้นั้นปรากฏให้เห็นเพียงชั่วอึดใจเดียว ฟู่ถิงโจวก็ยังจดจำได้ นั่นคือชิงชิง

ฟู่ถิงโจวมิได้ส่งเสียง หลังจากเขามาถึง องครักษ์เสื้อแพรที่ก่อเรื่องก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ฟู่ถิงโจวผลักประตูเข้าไปในห้อง หลิวต้าเหนียงเห็นว่าเป็นเขา รีบดึงลูกสะใภ้ให้คุกเข่าลง

“ข้าน้อยคารวะท่านโหว”

พวกนางคุกเข่าอยู่บนพื้น คำนับด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ความสนใจของชายหนุ่มไม่ได้อยู่ที่แม่สามีกับลูกสะใภ้คู่นี้เลย เขายืนเอามือไพล่หลัง สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมเสี้ยวหนึ่งที่ยังไม่สลายหายไป

กลิ่นหอมจางๆ นี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เนื่องจากเดาได้แต่แรกอยู่แล้ว ฟู่ถิงโจวถึงขั้นไม่รู้สึกประหลาดใจด้วยซ้ำ เอ่ยถามแม่สามีกับลูกสะใภ้บนพื้นคู่นั้น “เมื่อครู่ใครมาที่นี่”

หลิวต้าเหนียงตัวสั่นงันงก “เป็นนางกำนัลที่มาส่งอาหารท่านหนึ่ง…ไม่ เป็นสองท่าน”

“นางหน้าตาเป็นอย่างไร”

คำถามนี้ทำเอาหลิวต้าเหนียงชะงัก นางย่นใบหน้าขณะบรรยาย “รูปร่างค่อนข้างสูง คนทั้งขาวทั้งผอม ใบหน้างดงามเป็นพิเศษ”

ฟู่ถิงโจวพยักหน้านิดๆ แล้วถามต่อ “นางคุยอะไรกับพวกเจ้าบ้าง”

“แค่ถามถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวัน…” หลิวต้าเหนียงประหม่า “หรือว่านั่นมิใช่นางกำนัล”

หากลู่เหิงก่อเรื่อง ฟู่ถิงโจวไม่มีทางปรานีแน่ แต่เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับชิงชิง เขาไม่อยากเปิดเผยฐานะของชิงชิง จึงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เป็นนางกำนัล ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่มาตรวจสอบดูเท่านั้น”

หลิวต้าเหนียงส่งเสียงอ้อคำหนึ่ง รอยย่นบนใบหน้าคลายออก ฟู่ถิงโจวกวาดตามองพวกนางเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังออกไป หลังจากประตูปิดลง เขากำชับทหารที่เฝ้ายาม “เฝ้าไว้ให้ดี อย่าให้ใครเข้าใกล้พวกนางอีก”

ทหารรับคำอย่างแข็งขัน พูดจบแล้วกลับเห็นเจิ้นหย่วนโหวไม่ขยับ ทหารเริ่มจะวิตก หรือว่าเมื่อครู่เขาทำอะไรผิดพลาดไป

ขณะที่ทหารตกใจจนเหงื่อเย็นผุดซึม ฟู่ถิงโจวเอ่ยปาก “ครั้งหน้าหากนางกำนัลสองคนนั้นมาส่งอาหารอีก…”

เขาพูดได้ครึ่งหนึ่งก็หยุด สุดท้ายก็สั่นศีรษะ “นางไม่มีทางมาอีกแล้ว ช่างเถอะ ปฏิบัติหน้าที่ให้ดี”

เจิ้นหย่วนโหวทิ้งคำพูดอันแปลกประหลาดไว้ แล้วก็ไม่พูดต่ออย่างน่าประหลาด ทหารไม่เข้าใจ ได้แต่รับคำอย่างงุนงง

ฟู่ถิงโจวย่ำราตรีกลับที่พักของตนเอง อากาศในเดือนเจ็ดประหนึ่งลังถึง บนพื้นระอุไปด้วยไอร้อนจากใต้ดิน ฟู่ถิงโจวเดินอยู่ในพระตำหนักชั่วคราวที่การรักษาความปลอดภัยวุ่นวายขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ความคิดเลือนรางอย่างหนึ่งผุดขึ้นในใจ

เขาพอจะรู้แล้วว่าต้องช่วยชิงชิงกลับมาอย่างไร

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: