อวี้ถูปรายตามองเฟิงจงปราดหนึ่ง หลังลังเลใจชั่วครู่ ท้ายที่สุดก็ส่งตัวฉยงฉีที่อยู่ในอ้อมอกออกไป
สัตว์เขาเดียวอ้าปากพ่นหมอกขาวออกมาห่อหุ้มฉยงฉีไว้แล้วกลืนเข้าสู่ท้องในคำเดียว จากนั้นจึงเอ่ยกับอวี้ถูว่า “ยามทิวาจวนจะมาถึงแล้ว เชิญหมิงเสินรุดกลับตำหนักยมโลกไปโดยเร็วจะดีกว่า” จบคำมันก็หมุนตัวจากไป เพียงไม่นานเรือนกายก็อันตรธานไปท่ามกลางท้องนภาสีเทาสลัว ตั้งแต่ต้นจนจบคล้ายไม่เคยสังเกตเลยว่าด้านข้างยังมีมนุษย์อยู่ในเหตุการณ์ด้วยอีกหนึ่งคน
อวี้ถูชำเลืองมองเมฆสีแดงที่ขอบฟ้ายามแรกอรุณ ก่อนจะคลี่ยิ้มให้เฟิงจง “เอาเถอะ เห็นทีเจ้ากับข้าไม่ว่าใครก็ไม่อาจได้เมล็ดฉยงซังมาครองแล้ว วันนี้ลาจากกันที่นี่ ข้าก็ได้แต่หวังว่าวันหน้ายามเมื่อพบกันใหม่ เจ้าจะไม่ผมหงอกขาวผิวเหี่ยวย่นไปเสียก่อน ทว่าอีกใจหนึ่งข้าก็เฝ้ารอจะได้เห็นเจ้าในสภาพเช่นนั้นยิ่งนัก”
เฟิงจงมองอวี้ถูอย่างแค้นเคือง เขาค่อยๆ เลือนหายไปแล้ว เพลิงภูตสีฟ้าดับมอดลงทีละดวงพร้อมกับที่เขาอันตรธานไป หมอกทึบพลันสลายทันตา แสงอรุโณทัยสว่างไสว ตอนนี้นางถึงค่อยพบว่าตนเองไม่ได้เดินไปไกลเลย ตั้งแต่ต้นจนจบยังคงยืนอยู่ละแวกน้ำตกนี่เอง
ไม่ทันที่จะขบคิดให้มากความ นางรีบทำมุทรากระตุ้นพาหุ่นเวทให้ไล่ตามไปยังทิศทางที่สัตว์เขาเดียวหายลับตา แม้นางจะรู้ดีว่าทุกสิ่งอาจเป็นเพียงความพยายามที่สูญเปล่าก็ตามที
เมื่อผ่านเลยเพิงพักที่นางสร้างขึ้นเมื่อคืนไป สุดสายตาก็คือเชิงผา ระหว่างที่เดินไปนั้นก็พบว่าต้นหญ้าเริ่มบางตา มีต้นไม้ขึ้นอยู่แค่ไม่กี่ต้น คาดว่าสาเหตุคงเกี่ยวพันกับน้ำ ดังนั้นพืชพรรณที่ยิ่งอยู่ใกล้บึงน้ำตกจึงยิ่งมีชีวิตชีวา พวกที่อยู่ไกลหน่อยก็จะมีสภาพกึ่งเขียวสดกึ่งเหี่ยวเฉา ส่วนพวกที่อยู่ตรงเชิงผานั้นล้วนอยู่ในสภาพที่แห้งตายแล้ว
ทว่าตรงนี้ก็ยังมีต้นไม้ที่เปี่ยมชีวิตชีวาที่สุดอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งแตกกิ่งใบแน่นขนัดทีเดียว ยามนี้สัตว์เขาเดียวที่เดิมทีควรจะกลับพิภพสวรรค์ไปแล้วก็ยังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น ดวงตะวันที่เพิ่งลอยขึ้นฟ้าสาดแสงลอดกิ่งใบลงมาบนร่างของมัน แสงซึ่งแต้มกระจายไปทั่วนั้นยิ่งทำให้เส้นขนที่เป็นมันเงาแลดูวาววับประดุจเคลือบน้ำ
เฟิงจงคาดไม่ถึงว่านางจะไล่ตามมันทันจริงๆ นางให้หุ่นเวทรั้งอยู่ที่เดิม ก่อนจะเดินเข้าใกล้ไปอย่างระมัดระวังตามลำพัง
สัตว์เขาเดียวมีประสาทสัมผัสเฉียบไวยิ่ง เพียงชั่วพริบตาก็เห็นนางแล้ว ทว่ามันเพียงเบือนหน้ามามองปราดเดียวพร้อมพ่นลมขึ้นจมูกหนึ่งครั้งเท่านั้น
เฟิงจงตะลึงงันไปชั่วอึดใจ ก่อนจะตระหนักขึ้นได้…หรือนี่จะเป็นซีกวงจำแลงกายมาหลอกลวงอวี้ถู?
ไม่ถูกสิ อวี้ถูเป็นมหาเทพบรรพกาลเชียวนะ ไม่มีทางถูกร่างจำแลงอันเรียบง่ายตบตาได้แน่ เว้นเสียแต่ว่าเดิมทีซีกวงก็มีลักษณะเช่นนี้อยู่แล้ว
สาวน้อยคิดได้เช่นนี้ก็รีบวิ่งปรี่ไป พอถึงแล้วก็เดินวนรอบตัวสัตว์เขาเดียวไม่หยุด “จุ๊ๆ ที่แท้เจ้าก็เป็นกิเลนน้อยนี่เอง! มาๆ กิเลนน้อย รีบคายฉยงฉีออกมาให้ข้าเร็วเข้า” นางแบมือด้วยสีหน้าที่เฝ้ารอ