X
    Categories: ตื่นเสียทีจะไม่มีทายาทแล้ว!ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตื่นเสียทีจะไม่มีทายาทแล้ว! บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่สาม

ผิดจากที่จินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง นี่ถึงกับเป็นลูกสัตว์ตัวหนึ่ง ก้อนกลมอ้วนท้วนสีขาวหิมะนั้นยังมีฟันขึ้นไม่ครบเลยด้วยซ้ำ ประกอบกับมันตาโตหูแหลม หางสั้น อุ้งเท้าเจ้าเนื้อ มองไม่ออกสักนิดว่ามีที่ใดให้พรั่นพรึง

เฟิงจงเองก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “ดูเหมือนว่านี่จะเป็น…ฉยงฉีในร่างที่ยังไม่โตเต็มวัย?”

ซีกวงพลันเข้าใจกระจ่างแจ้ง “มิน่าเล่าดวงวิญญาณของฉยงฉีถึงมุดเข้าร่างนี้ ที่มันคอยป้องกันพวกเรามาตลอดก็เพื่อจะรอจังหวะเข้าร่างมาเกิดใหม่นี่เอง”

ฉยงฉีตัวจ้อยส่งเสียงร้องดังพูชือพูชือพลางโบกควงอุ้งเท้าเจ้าเนื้อ บิดตัวขยับไปมาหมายจะดิ้นให้หลุดจากแส้ ทว่าจนแล้วจนรอดก็ยังไร้ผล มันจึงชะงักไปแล้วหันมาถลึงตาใส่ซีกวงอย่างโมโหแทน อึดใจถัดมาก็ได้ยินเสียงดังปิ๊ดทีหนึ่ง มันถึงกับพ่นน้ำลายใส่หน้าของเขาแล้ว

ซีกวงหลับตาปี๋ เขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก รีบสะบัดมันไปยังเบื้องหน้าเฟิงจงทันที “จัดการตามใจเจ้าได้เลย”

เฟิงจงรับมันไว้ได้ในคราวเดียว นางเค้นเลือดที่ปลายนิ้วแล้ววาดยันต์หุ่นเวทบนหน้าผากมันอย่างว่องไว รอจนรอยเลือดเร้นหายไปแล้ว ถึงค่อยวางมันลงบนพื้น

“พูชือชือ!” ฉยงฉีตัวจ้อยส่งเสียงร้องหมายหลบหนี

เพียงเฟิงจงจรดนิ้วทำมุทรา มันก็นั่งนิ่งสงบเรียบร้อยทันตาเห็น

“หืม นี่คือวิชาอะไร ถึงกับร้ายกาจปานนี้” ซีกวงแสร้งทำเป็นมองไม่เข้าใจ

เฟิงจงคิ้วขมวดไม่ตอบคำ เห็นๆ กันอยู่ว่านางยังคงควบคุมสรรพชีวิตได้ดังเดิม แต่เหตุใดวิชาหุ่นเวทถึงใช้การกับเขาไม่ได้อยู่คนเดียวเล่า หรือเขาไม่ได้พูดโป้ปด…มหาเทพหนี่ว์วาเลือกเขาแล้วจริงๆ?

 

ฟ้ามืดแล้ว ราตรีนี้จันทร์ส่องสกาวมีดาวอยู่บางตา ทั้งยังปลอดพายุทราย เป็นคืนที่อากาศดีอย่างหาได้ยากยิ่ง

เฟิงจงไม่ได้กลับไปที่ถ้ำภูเขาอีก นางใช้กิ่งไม้สร้างเพิงพักชั่วคราวอย่างเรียบง่ายไว้ในหุบเขาแห่งนี้เลย ในที่สุดตอนนี้นางก็สามารถอาศัยอยู่ในสถานที่ซึ่งมุ่งหวังมาช้านานนี้จนได้ เพียงแต่เสียดาย…ที่เจ้าหนูหุ่นเวทกลับไม่ได้เห็นภาพนี้แล้ว

ท่ามกลางเสียงน้ำตกดังซ่าๆ นางก่อไฟที่ข้างบึงน้ำ หยิบยืมพลังเทพของซีกวงมาแตะศิลาเสกเป็นหม้อ เสร็จแล้วก็เริ่มต้มน้ำแกงผักป่า

คั่นกลางด้วยกองไฟกองนั้น ซีกวงกับเซวียนชิงนั่งแยกซ้ายขวาอยู่ตรงข้ามกับนาง ตรงกลางระหว่างพวกเขาคือฉยงฉีตัวจ้อยที่ขดร่างเป็นก้อนกลม นับแต่มันถูกจับกุมก็อาละวาดไม่เลิกรา ในที่สุดตอนนี้ก็เหนื่อยได้สักที กอดศีรษะหลับอุตุไปเรียบร้อยแล้ว

ในมือเฟิงจงกำมีดที่ทำจากกระดูกสัตว์ กำลังบรรจงเหลากิ่งไม้ที่ลอกเปลือกออกแล้วพลางเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้เงยหน้า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าคือตงจวินซีกวง?”

ซีกวงผงกศีรษะรับ “ใช่แล้ว”

“พิภพสวรรค์มีเทพเซียนออกมากมาย เหตุใดมหาเทพหนี่ว์วาต้องเจาะจงไปเข้าฝันเจ้าเล่า”

“บิดาข้าเคยบำเพ็ญตบะรับคำชี้แนะจากมหาเทพฝูซี ข้ากับมหาเทพหนี่ว์วาจึงนับว่ามีความเกี่ยวพันอยู่บ้าง” วาจานี้นับว่าเป็นความจริง ที่จริงแล้วเขาเองก็ถือกำเนิดในช่วงต้นบรรพกาล เพียงแต่ยังช้ากว่าจ่งเสิน และที่ผ่านมาก็ไม่เคยพบเจอนางกับตาตนเองมาก่อน

เฟิงจงหยุดขบคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “ข้าจำได้ว่าศิษย์ของมหาเทพฝูซีล้วนแต่เป็นสัตว์วิเศษในช่วงต้นบรรพกาล เช่นนั้นเจ้ามิใช่ทายาทของสัตว์วิเศษหรอกหรือ”

ซีกวงคลี่ยิ้มตอบ “เดิมทีเทพในช่วงต้นบรรพกาลโดยมากก็ถือกำเนิดจากสรรพสิ่งในฟ้าดินอยู่แล้ว นี่มิใช่เรื่องแปลกหายากสักหน่อย เจ้าเองก็กำเนิดออกมาจากเมล็ดพันธุ์ไม่ใช่หรือ”

เฟิงจงพลันสะอึกไปเล็กน้อย ข้อนี้นางช่างเสียเปรียบผู้อื่นนัก ใครๆ ก็ล่วงรู้ที่มาของนางกันทั้งนั้น เมื่อก่อนตอนที่พลังเทพของนางยังคงอยู่ เพียงปราดเดียวนางก็มองทะลุร่างเดิมของอีกฝ่ายแล้ว บัดนี้สูดกลิ่นในระยะใกล้ก็แค่กล้อมแกล้มจำแนกที่มาได้เท่านั้น นางไม่อาจทำใจยอมรับได้จริงๆ จึงถามเขาไปตรงๆ เสียเลย “ร่างเดิมของเจ้าคืออะไร”

ซีกวงรีบยกแขนขึ้นมากอดอก “ซักถามถึงร่างเดิมของเทพก็เท่ากับจะให้เทพเปลือยกายต่อหน้าผู้คน ข้าจะยอมถูกเจ้าเปลื้องผ้าได้อย่างไรกัน ผิดมารยาทนัก!”

หากเป็นเช่นนั้นเจ้าไม่ใช่ดูข้าจนถ้วนทั่วแล้วหรือไร! เฟิงจงหนังตากระตุก นางหักกิ่งไม้ที่เหลาดีแล้วเป็นสองท่อน จากนั้นจึงใช้เป็นตะเกียบสำหรับคีบผักป่าในหม้อน้ำแกง “ที่มหาเทพหนี่ว์วาชี้แนะให้เจ้ามาพบข้า ก็เพราะต้องการให้เจ้าช่วยข้าฟื้นฟูพลังเทพกระมัง”

ซีกวงคิดใคร่ครวญอยู่ในใจก่อนว่าเรื่องนี้จะยุ่งยากหรือไม่ จากนั้นจึงให้คำตอบแสนกำกวมแก่นาง “มหาเทพหนี่ว์วาเพียงแต่เรียกให้ข้ามาพบเจ้า จากนี้ไปทุกสิ่งก็ให้เป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิต”

“ชะตาฟ้าลิขิต?” เฟิงจงฉงนงุนงงยิ่ง แนวปฏิบัติของพวกนางที่เป็นมหาเทพบรรพกาลไม่นิยมอ้อมค้อมวกวน แต่ไรมาล้วนกล่าวตรงไปตรงมาเสมอ เหตุใดมหาเทพหนี่ว์วากลับพูดจาลึกลับซับซ้อนเสียแล้วเล่า

จู่ๆ เสียงร้องพูชือพูชือก็ดังมาจากด้านข้าง ซีกวงเบือนหน้าไปก็เห็นฉยงฉีตัวจ้อยที่อ้วนกลมดุจก้อนกลมนั้นตื่นแล้ว เห็นชัดว่าโทสะของมันยังคงไม่คลาย มันจึงปีนป่ายอยู่บนร่างของเซวียนชิง กำลังตะกุยใบหน้าเขาเพื่อระบายแค้น

เฟิงจงฉุนเฉียวทันใด โยนตะเกียบแล้วลุกพรวดเดินตรงไปหิ้วตัวมันขึ้นมาในคราวเดียว “ตัวบัดซบ เป็นเจ้าที่ทำร้ายเขาจนอยู่ในสภาพนี้ เจ้ายังกล้าบังอาจแตะต้องเขาอีก?”

“พูชือชือชือ!” ฉยงฉีโบกอุ้งเท้าหมายตะกุยใส่เฟิงจงด้วย ทว่าจนใจที่อุ้งเท้าของมันสั้นเกินกว่าจะเอื้อมถึง

“อีกประเดี๋ยวค่อยมาจัดการเจ้า!” เฟิงจงโยนฉยงฉีใส่อ้อมอกของซีกวง หลังจากทิ่มนิ้วมือของตนบนมีดกระดูกสัตว์ นางก็ใช้โลหิตนั้นสมานรอยข่วนบนใบหน้าของเซวียนชิง

ซีกวงหนีบเจ้าลูกกลมตุ้ยนุ้ยที่ไม่ยอมสงบเสงี่ยมนั้นเอาไว้ ขณะที่ดวงตาเพ่งพิศการกระทำของนาง เขาก็พลันยิ้มถาม “แม้จะเป็นเทพผู้หนึ่ง แต่ก็เหลือเพียงร่างอันกลวงเปล่าแล้ว ตอนนี้เจ้าเป็นมนุษย์ที่แม้แต่ตัวเองยังเอาชีวิตแทบไม่รอด เหตุใดต้องดูแลภาระนี้ไว้ด้วยเล่า”

เฟิงจงบีบปลายนิ้วพลางมองมาอย่างเย็นชา “วาจานี้เอ่ยเพียงครั้งนี้ก็แล้วไปเถอะ หากครั้งหน้าให้ข้าได้ยินอีก เจ้าก็ไม่ต้องมาปรากฏตัวแล้ว”

ซีกวงหุบปากอย่างว่าง่าย ในใจยังตกตะลึงไม่หาย อันที่จริงเมื่อดวงจิตกลับคืนมาครบถ้วน เขาก็เตรียมใจไว้แล้วว่าเซวียนชิงจะต้องถูกทอดทิ้ง อย่างไรก็เป็นเพียงร่างที่เหลือแต่เปลือก ทว่านางกลับเก็บร่างที่เหลือแต่เปลือกนี้เอาไว้ ทั้งยังปฏิบัติด้วยเป็นอย่างดี

ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นแค่ร่างที่ไร้ดวงจิต ถึงที่สุดแล้วผู้ที่นางปฏิบัติดีด้วยอย่างตั้งอกตั้งใจก็คือเซวียนชิงในตอนแรก…ซึ่งนั่นก็คือตัวเขาเองมิใช่หรือ

น้ำแกงผักป่าต้มได้ที่แล้วส่งกลิ่นหอมสดชื่นออกมาบางเบา เฟิงจงเดินไปจับตะเกียบ เพิ่งจะช้อนผักป่าขึ้นมาไม่ทันไร นางก็เห็นฉยงฉีในอ้อมอกของซีกวงมองมาด้วยแววตาอันมุ่งหวัง ปากพะงาบดังแจ๊บๆ

นางหลุดหัวเราะเบาๆ “เป็นอย่างไร หิวแล้วสิท่า”

สัตว์อสูรระดับฉยงฉีนี้ย่อมฟังภาษามนุษย์รู้เรื่อง พอมันได้ยินเช่นนั้นก็หัวฟัดหัวเหวี่ยง “ชือพู! ชือพู! ชือชือชือ!”

ซีกวงรู้ว่าเฟิงจงที่เป็นมนุษย์ธรรมดาย่อมฟังฉยงฉีพูดไม่เข้าใจ เขาจึงอธิบายพร้อมกับยิ้มตาหยี “มันบอกว่าบิดาจะกินเนื้อ”

“อย่างนั้นหรือ” เฟิงจงรื้อหาในหลัวสะพายหลังใบหนึ่งที่วางอยู่ข้างเท้า นั่นคือหลัวเถาวัลย์ที่ตอนแรกสะพายอยู่บนหลังของเซวียนชิง นางจำได้ว่าข้างในใส่เนื้อแห้งมาด้วยหนึ่งก้อน

และแล้วก็หาเจอจริงๆ นางจงใจถือเนื้อแห้งก้อนนั้นวนอยู่ตรงหน้าเจ้าตัวเล็กนั่นหนึ่งรอบ จึงค่อยใช้มีดกระดูกสัตว์แล่เป็นชิ้นๆ โยนลงในน้ำแกง

“ชือชือ!” น้ำลายของฉยงฉีจวนจะหกลงมาอยู่รอมร่อ มันแทบอยากโถมปรี่ไปถึงหม้อให้ได้ประเดี๋ยวนั้น จนใจที่ถูกซีกวงยุดหางไว้แล้วกระตุกมันกลับมา อุ้งเท้าจึงครูดกับพื้นทิ้งรอยลากไว้สองสาย

“อยากจะกินก็ได้นะ แต่เจ้าต้องคายเมล็ดฉยงซังออกมาก่อน แล้วข้าจะให้เจ้าได้กินจนอิ่มหนำ” เฟิงจงใช้ตะเกียบคนในหม้อ คนกระทั่งกลิ่นหอมของเนื้อฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วทิศ

ฉยงฉีเพิ่งจะเกิดใหม่สำเร็จ ร่างยังไม่เจริญวัยจึงเป็นช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุด ย่อมต้องการกินอาหารอย่างเร่งด่วน ฉยงฉีอยากกินจนทนไม่ไหวแล้ว อุ้งเท้าจึงตะกุยเปะปะ ปากก็ร้องพูชือพูชือไม่หยุด

ซีกวงช่วยอธิบายต่อ “มันบอกว่าเดิมทีขอเพียงพิทักษ์ผลฉยงซังของปีนี้เอาไว้ได้ มันก็จะสามารถเกิดใหม่ได้อย่างราบรื่น แต่เจ้ากลับมาทำลายเรื่องดีของมันครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เพียงเกือบทำร้ายจนมันไม่อาจเกิดใหม่ ยังจับกุมมันมาอีก ซ้ำตอนนี้ยังไม่ให้มันกินอาหารด้วย มันจะมีโทสะแล้วนะ!”

เฟิงจงคีบเนื้อหนึ่งชิ้นส่งเข้าปากตนเอง “สัตว์อสูรระดับนี้ตายแล้วไม่มีทางได้เกิดใหม่เป็นอันขาด เกรงว่าคงมีใครคิดการร้าย ทุ่มเททุกวิถีทางสร้างกายเนื้อขึ้นมาให้มัน หากมิใช่ถูกข้ากักกันเอาไว้ก่อน รอจนมันเติบใหญ่ย่อมจะกลายเป็นภัยต่อพิภพมนุษย์อีก ยังกล้าพูดว่าข้าทำร้ายมัน?”

ซีกวงรู้สึกว่ามีเหตุผล จึงกดทับหน้าผากยุ้ยๆ ของฉยงฉีไว้ “เลิกต่อต้านได้แล้ว จงเชื่อฟังแต่โดยดีเถิด ติดตามคนผู้นี้เจ้าก็จะมีเนื้อกินเอง”

ฉยงฉีพลันเดือดดาลอย่างมาก ชูอุ้งเท้าขึ้นคำรามลั่น “พูชือชือชือ!”

เฟิงจงขมวดคิ้ว “มันพูดว่าอะไรอีก”

ซีกวงตอบ “มันบอกว่าเมื่อก่อนบิดาคือฉยงฉียอดสัตว์ร้ายบรรพกาลเชียวนะ”

เฟิงจงเหลือกตา เห็นมันยกตนขึ้นเป็นบิดาทุกคำ นางจึงเอ่ยข่มด้วยการแทนตนเองว่ามารดาบ้าง “ชิ! เมื่อก่อนมารดาเป็นถึงจ่งเสินด้วยซ้ำ”

ฉยงฉีร้องโหวกเหวกมาเป็นชุด “พูชือชือชือชือชือชือ!”

ซีกวงถอดความให้ “แรกสุดบิดาเป็นผู้งับศีรษะของซุ่นตี้ ได้ในคำเดียว!”

เฟิงจงยัดเนื้อใส่ปากตนเองอีกชิ้น “แต่ถัดจากนั้นเจ้าก็ถูกซุ่นตี้เด็ดชีพ”

ฉยงฉีแผดเสียง “ชือ! ชือชือพูพูชือ!”

ซีกวงถอดความให้โดยไม่ตกหล่น “มารดาเจ้าสิ! บิดาขอแลกกับเจ้าแล้ว!”

“มาเลย” เฟิงจงกระดิกนิ้วเรียก ในปากยังอมเนื้อชิ้นนั้นอยู่จึงส่งผลให้แก้มกลมตุ่ย มองอย่างไรก็เป็นแม่นางน้อยที่ไร้พิษภัยต่อทั้งคนและสัตว์

ฉยงฉีไหนเลยจะเกรงกลัวนาง มันตวัดอุ้งเท้าพลางกระโจนตัวขึ้นมาดังคาด ซีกวงจึงเอียงกายวูบหนึ่ง พาให้มันร่วงตกบนร่างของเซวียนชิงโดยบังเอิญ พอตะกายลุกขึ้นได้ มันก็ระดมข่วนโดยไม่สนใจใคร

เฟิงจงหน้าบึ้งทันตาเห็น “ไหนล่ะที่เมื่อครู่ข้าสั่งเจ้าว่าห้ามแตะต้องเขา!”

ทันทีที่นางจรดนิ้วทำมุทรา ฉยงฉีก็เงื้ออุ้งเท้าเจ้าเนื้อขึ้นมาตบแก้มตนเองสองฉาดดังเพียะๆ มันถึงขั้นเห็นดาวล้มตึงแผ่หลาเลยทีเดียว ทว่าจากนั้นมันก็ยังคลานลุกขึ้นอย่างฉับไว หันหน้ามาจนตรงกับเซวียนชิง แล้วยกสองขาหน้าขึ้นอย่างพินอบพิเทา อยู่ในอิริยาบถคล้ายกำลังคารวะแล้วแข็งค้างอยู่เช่นนั้น

“จงคุกเข่าขอขมาในท่านี้แต่โดยดี!” เฟิงจงปัดๆ มือ “อย่างช้าที่สุดถึงวันพรุ่งนี้ หากเจ้ายังไม่ยอมคายเมล็ดฉยงซังออกมา ข้าก็จะชำแหละท้องของเจ้าหยิบออกมาเอง!”

เป็นครั้งแรกทีเดียวที่ซีกวงได้เห็นสัตว์อสูรที่ขึ้นชื่อว่าร้ายกาจตกอับได้ถึงเพียงนี้ มองอย่างไรก็แสนจะขบขัน แต่คิดๆ ดูแล้วเรื่องที่ดวงจิตเซวียนชิงออกจากร่างก็ทำให้มันต้องแบกหม้อดำ เช่นกัน ต้องขออภัยมันด้วยจริงๆ

ฉยงฉีสองตาเบิกค้าง หากเป็นเมื่อก่อนแม่นางน้อยเช่นนี้มันกินรวดเดียวสิบคนได้ด้วยซ้ำไป บัดนี้กระทั่งคนเดียวมันก็ไม่อาจสู้ได้แล้ว มันพลันรู้สึกห่อเหี่ยว ราวกับชีวิตสัตว์อสูรไร้ซึ่งความหวังแล้ว “ชือชือชือ…”

ซีกวงถอดความ “ฮือๆๆ…”

เฟิงจงแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา “แสร้งทำเป็นน่าสงสารไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก”

ฉยงฉียกขาหน้าค้างเติ่ง ก่อนจะหงายหลังล้มลงไปตรงๆ แล้วไม่กระดุกกระดิกอีกเลย

ซีกวงมองไปทางเฟิงจง “หิวจนเป็นลมไปแล้วล่ะ เจ้าจะฆ่ามันจริงๆ หรือ มันกลายเป็นหุ่นเวทของเจ้าไปแล้ว ฆ่าทิ้งก็น่าเสียดายแย่”

เฟิงจงทำปากยื่น สุดท้ายยังคงคีบเนื้อหนึ่งชิ้นแล้วเดินไปยัดใส่ปากของเจ้าก้อนกลมตุ้ยนุ้ย “ขู่ขวัญมันเล็กน้อยเท่านั้นเอง เมล็ดฉยงซังเปราะบางและล้ำค่ายิ่ง ขืนข้าใช้กำลังหยิบฉวยรังแต่จะก่อให้เกิดความเสียหาย ต้องให้สัตว์ผู้พิทักษ์ยินยอมคายออกมาเองถึงจะใช้การได้”

ซีกวงเอนกายนอนลงกับพื้น “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรีบหน่อยแล้ว เดิมทีผลฉยงซังก็ไม่ควรเป็นของที่อยู่ในพิภพมนุษย์ หากพิภพสวรรค์ล่วงรู้เข้าล่ะก็ ย่อมจะมาริบคืนไป นี่คือกฎสวรรค์ ต่อให้เจ้าเป็นจ่งเสินก็ไม่มีประโยชน์”

เฟิงจงคิดในใจ…แล้วเจ้าไม่ใช่คนของพิภพสวรรค์หรือไรกัน

ราตรีดึกดื่นมากแล้ว เมื่อเจ้าก้อนกลมตุ้ยนุ้ยไม่อาละวาดอีก รอบด้านก็พลันเงียบสงบลง มีเพียงเสียงน้ำตกที่คงอยู่เช่นเดิม ครั้นฟังนานเข้าก็ถึงกับช่วยขับกล่อมให้ง่วงงุน

เฟิงจงเก็บกวาดอย่างลวกๆ แล้วเอนกายลงนอน ทว่าไม่ทันไรก็ผุดลุกขึ้นนั่งอีก นางมองดูเจ้าหนูหุ่นเวทที่นั่งอยู่ ก่อนจะเบนสายตาไปมองซีกวงที่นอนแล้ว

เมื่อก่อนตอนอยู่ในถ้ำภูเขา ปกตินางจะนอนอยู่ฝั่งด้านในของกองไฟ ส่วนหุ่นเวทจะนั่งหรือนอนอยู่ฝั่งด้านนอก เหตุใดพอซีกวงมาถึงก็ยึดครองตำแหน่งของหุ่นเวทไปเสียแล้วเล่า

นางคับข้องใจอยู่พริบตาเดียวก็รู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรสักหน่อย ตงจวินผู้นี้ไม่ช้าก็จะบอกลาจากไปแล้ว ให้เขานอนไปก็แล้วกัน คิดเช่นนั้นนางก็ล้มตัวลงนอนดังเดิม

จวบจนถึงครึ่งคืนหลัง เฟิงจงพลันหนาวจนรู้สึกตัวตื่น ครั้นลุกขึ้นนั่งมองก็พบว่ากองไฟดับมอดลงแล้ว หุ่นเวทยังนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่ด้านข้าง ทว่าซีกวงที่นอนอยู่ฝั่งตรงข้ามกลับหายตัวไป นางเบือนหน้าไปอีกทางก็พบว่าฉยงฉีตัวจ้อยหายไปด้วย

เฟิงจงตื่นเต็มตาในทันที ทางหนึ่งลุกขึ้นเตรียมจะออกไปตามหาฉยงฉี อีกทางหนึ่งก็ออกคำสั่งให้หุ่นเวทติดตามนางมา ยามย่างเท้าก้าวออกไปนางก็นึกถึงวาจาที่ซีกวงเอ่ยก่อนนอน…หรือว่าเขานำตัวฉยงฉีกลับพิภพสวรรค์ไปแล้ว?

เรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ อย่างไรเขาก็เป็นถึงตงจวิน มีหรือจะฝ่าฝืนกฎสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากเขาแล้ว ที่นี่ก็ไม่มีใครอื่นที่สามารถพาตัวฉยงฉีไปได้อีก

สาวน้อยเดินมุ่งหน้าไปตามที่สัมผัสกับจิตของฉยงฉี อ้อมตามบึงน้ำจนตัดผ่านแนวพุ่มไม้ไปก็เห็นหมอกทึบกลุ่มหนึ่งอยู่เบื้องหน้ารำไร นางไม่ได้ใส่ใจ ยังคงเดินหน้าฝ่าเข้าไปในกลุ่มหมอกนั้น ทว่าหลังจากทะลุผ่านกลุ่มหมอกไปแล้ว นางก็พบว่าเบื้องหน้าสายตายังคงเป็นบึงน้ำแห่งเดิม ถัดไปข้างหน้าก็ยังคงเป็นพุ่มไม้เดิมที่ขึ้นอยู่ตรงนั้น

เฟิงจงผงะถอยหลังไปเล็กน้อย กระทั่งแผ่นหลังชนกับหุ่นเวทแล้วถึงค่อยยืนได้มั่นคง รอจนพิจารณารอบด้านอย่างละเอียด นางจึงรู้ว่าตนเองหลงกลเสียแล้ว

กระแสเสียงอันหนาวยะเยือกสายหนึ่งดังขึ้นมา “เฟิงจง?”

เฟิงจงเบือนหน้าไปตามเสียง เบื้องหลังของพุ่มไม้พลันสว่างไสวด้วยเพลิงภูตสีฟ้าดวงแล้วดวงเล่าที่กำลังเต้นระริก บุรุษผู้หนึ่งเดินเนิบช้าออกมาจากดวงไฟเหล่านั้น ร่างของเขาจากศีรษะจรดปลายเท้าล้วนห่อหุ้มอยู่ภายใต้ชุดยาวสีขาว

 

“อวี้ถู? เหตุใดเจ้าไม่อยู่ในพิภพวิญญาณของเจ้าแต่โดยดี มายังพิภพมนุษย์นี่ทำไม”

“ข้าอยากมาดูสักหน่อยว่าใครที่ชิงตัวฉยงฉีไป นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเจ้า เจ้าตื่นจากนิทราแล้วหรือนี่”

เฟิงจงแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา “ที่แท้ผู้ที่ให้ฉยงฉีมาเกิดใหม่ก็คือเจ้านี่เอง คาดว่าเถาอู้กับสัตว์อสูรตัวอื่นๆ ก็ล้วนเป็นฝีมือเจ้าปล่อยออกมาสินะ”

อวี้ถูหัวเราะเบาๆ “พิภพมนุษย์ยามนี้ปราศจากผู้คนแล้ว ผิดกับตำหนักยมโลกที่เต็มไปด้วยดวงวิญญาณที่ไม่อาจกลับชาติมาเกิดใหม่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ยกพิภพอันไพศาลแห่งนี้แก่ข้าเสียเลยเล่า”

เฟิงจงไม่ชอบใจ “เจ้าทำเยี่ยงนี้คู่ควรกับที่เป็นหมิงเสิน แล้วหรือ”

อวี้ถูไม่ตอบคำ เพียงก้าวเนิบช้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะยกมือถอดหมวกปีกกว้างที่มีระบายม่านแพรโดยรอบออก เรือนผมสีขาวทั้งศีรษะพลันแผ่สยายทิ้งตรงลงมาระพื้น ดวงหน้าที่เผยออกมาเมื่อเงยศีรษะขึ้นนั้นซีดขาวราวกระดาษ ดวงตาเปล่งประกายสีฟ้าซึ่งเจิดจ้ายิ่งกว่าเพลิงภูต

“เฟิงจง เจ้ากับข้าไม่ได้พบกันนานเท่าไรแล้ว เหตุใดเจ้าจึงมีสภาพเช่นนี้ได้ เมื่อก่อนกระทั่งจะเข้าใกล้เจ้า ข้าก็ไม่สบายตัวแล้ว ทว่าตอนนี้ข้าถึงกับสัมผัสพลังเทพของเจ้าไม่ได้เลยสักนิด เห็นทีว่าภาวะเสื่อมสลายของสามพิภพคงถูกกำหนดเป็นที่แน่นอนแล้ว ดูเอาเถอะ แม้แต่ดวงจิตของจ่งเสินยังถูกทำลายเลย”

ครานี้เปลี่ยนเป็นเฟิงจงที่นิ่งเงียบไม่ตอบคำ

“แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เจ้ากลายมาเป็นมนุษย์ ข้าก็สามารถแตะต้องเจ้าได้เสียที” อวี้ถูพลันยกมือขึ้นบีบลำคอนาง “ในที่สุดวันที่ข้ารอคอยก็มาถึงจนได้ เจ้าสามารถเข้าตำหนักยมโลกไปอยู่เคียงข้าได้ตลอดไปแล้ว”

เฟิงจงพลันรู้สึกหายใจไม่ออกจึงรีบจรดนิ้วทำมุทรา เซวียนชิงที่อยู่ด้านข้างก็หมุนกายมาพร้อมกับแทงจู่โจมอวี้ถูด้วยท่อนกระดูกสีขาวที่อยู่ในมือ

อวี้ถูยกมืออีกข้างที่ว่างอยู่ขึ้นมา เพียงเขายื่นนิ้วออกไปก็หนีบสกัดท่อนกระดูกไว้ได้ทันควัน เขาเหลือบมองผู้จู่โจมปราดหนึ่ง “ถึงกับมีเทพเป็นหุ่นเวทให้เจ้าด้วย ทำไมเล่า นี่เจ้าอยากฟื้นฟูพลังเทพมากนักหรือ”

เพียงอวี้ถูผลักเบาๆ เซวียนชิงก็ถอยหลังไป ท่อนกระดูกในมือก็พลั้งบาดถูกพวงแก้มของเฟิงจงด้วย เลือดที่ซึมจากแก้มนางหยดลงบนมือของอวี้ถูพอดี ส่งผลให้เขาต้องคลายมือผละถอยไปทันที “ที่แท้เจ้ายังมีพลังวิเศษอยู่”

เฟิงจงกุมลำคอไอโขลกอยู่พักหนึ่ง ขณะที่บาดแผลบนแก้มสมานตัวอย่างรวดเร็ว สายตานางก็กวาดไปเห็นหลังมือของเขาถูกแผดเผาจนปรากฏควันลอยขึ้นมา นางจึงไอไปพลางเอ่ยเยาะหยันไปพลาง “ข้าควบคุมการเกิด เจ้าควบคุมการตาย เดิมทีก็ต่างเส้นทางกันอยู่แล้ว ข้อนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล”

อวี้ถูหดมือข้างที่ได้รับบาดเจ็บเข้าไปในแขนเสื้อ “เช่นนั้นข้าก็ยิ่งไม่อาจปล่อยให้เจ้าได้ฉยงฉีไป รอวันหน้าเมื่อเจ้าสิ้นอายุขัย ถึงตอนนั้นเจ้าก็ต้องลงมาอยู่ร่วมกับข้าอยู่ดี”

ฉยงฉีตัวอ้วนกลมสีขาวหิมะพลันโผล่ออกมาอยู่ที่ข้างเท้าของอวี้ถู มันโบกอุ้งเท้าไปมาพลางแยกเขี้ยวยิงฟันใส่นาง

เฟิงจงตะลึงวูบ ฉยงฉีอยู่กับอวี้ถู แล้วซีกวงไปไหนเสียแล้วเล่า

อวี้ถูยื่นมืออีกข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บออกไป ฉยงฉีก็กระโดดขึ้นมาอย่างปราดเปรียว รอจนไถตัวปีนป่ายถึงบนบ่าของเขา มันค่อยถลึงตาใส่เฟิงจงด้วยท่าทีหยิ่งผยอง จากนั้นจึงยื่นหน้าไปรายงานส่งเสียงพูชือไม่ขาดปากอยู่ที่ข้างหูของอวี้ถู “พูชือพูชือ…”

“หืม? ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” อวี้ถูกวาดตามองเซวียนชิงปราดหนึ่ง ก่อนจะยิ้มแต่หน้าทว่าใจไม่ยิ้ม “เฟิงจง ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ซ้ำหุ่นเวทที่อยู่ข้างกายเจ้าก็ไร้ดวงจิตไปแล้ว ไม่มีทางจะเอาชนะดวงวิญญาณของฉยงฉีได้โดยลำพังแน่นอน หรือเจ้ายังมีผู้ช่วยอื่น?”

ภายหลังนวดคลึงลำคออยู่เป็นนานสองนาน ในที่สุดเฟิงจงก็รู้สึกค่อยยังชั่วเสียที นางส่งยิ้มให้อวี้ถูก่อนเอ่ยตอบ “มีสิ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นด้วยตาตัวเองเดี๋ยวนี้”

นางทำมุทราต่อเนื่องอย่างฉับไว พลางขยับปากท่องคาถาเสียงเบา ทันใดนั้นฉยงฉีบนบ่าของอวี้ถูก็หันขวับกลับไปกอดรัดลำคอของเขาแล้วงับใส่หนึ่งคำดังง่ำ

อวี้ถูเจ็บจนต้องครางออกมาเบาๆ คิ้วขมวดยุ่งขณะเหลือบตาไปถลึงใส่ฉยงฉี เจ้าก้อนกลมตุ้ยนุ้ยที่น่าสงสารได้แต่กะพริบตาปริบๆ ด้วยสีหน้าเฉกเช่นผู้บริสุทธิ์ มันร้องพูชือพูชือด้วยเสียงเบาจากในลำคอคล้ายกำลังพยายามชี้แจงอยู่

“นี่ก็คือผู้ช่วยของข้า ร้ายกาจหรือไม่เล่า” เฟิงจงเห็นเลือดซิบๆ ที่ข้างลำคอของเขาก็เอ่ยอย่างประหลาดใจ “ที่แท้เจ้าก็มีเลือดกับเขาเหมือนกันหรือนี่ เลือดต้องเย็นเป็นแน่”

อวี้ถูใช้ต้นแขนหนีบฉยงฉีเอาไว้ ทว่าปากของมันยังคงงับแน่นเป็นตายไม่ยอมคลายออก เขายิ้มอย่างจนใจอยู่บ้าง “ที่แท้ฉยงฉีก็กลายเป็นหุ่นเวทของเจ้าไปแล้ว ทว่าตอนนี้เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ ควบคุมหุ่นเวทธรรมดาๆ ไม่เป็นปัญหาก็จริง แต่การมีหุ่นเวทระดับนี้พร้อมกันหนึ่งคู่ เกรงว่าคงถึงขีดจำกัดของเจ้าแล้ว มิสู้ให้ข้าช่วยเจ้าจัดการทิ้งไปสักหนึ่งดีหรือไม่”

เฟิงจงรีบบังเซวียนชิงเอาไว้ด้านหลัง แต่กลับเห็นนิ้วมือของอวี้ถูที่หนีบตัวฉยงฉีอยู่ปรากฏเพลิงภูตสีฟ้าลุกไหม้ขึ้น ฉยงฉีเจ็บปวดจนร้องโหยหวนขึ้นมาทันที ตอนนี้เฟิงจงถึงค่อยเข้าใจกระจ่างแจ้ง ที่แท้เขาต้องการทำลายเมล็ดฉยงซัง นางจึงรีบออกคำสั่งให้ฉยงฉีคลายคมเขี้ยวแล้วกระโจนออกห่าง

อวี้ถูตาไวมือไวรวบตัวฉยงฉีที่กำลังจะหนีเอาไว้ได้ทันที จากนั้นเพียงสะบัดมือเบาๆ หนเดียวก็ดับเพลิงภูตบนร่างของมันได้หมดสิ้น “พอได้แล้วกระมังเฟิงจง สงบใจเป็นมนุษย์ธรรมดาไปเสียเถอะ เมล็ดฉยงซังหาใช่สิ่งที่มนุษย์พึงได้ครอบครองไม่”

เฟิงจงยังไม่ทันจะเอ่ยปาก ก็พลันได้ยินน้ำเสียงอันหนักแน่นมีพลังดังผ่านชั้นเมฆลงมา “ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์พึงจะได้ครอบครอง และยิ่งไม่ใช่สิ่งที่พิภพวิญญาณพึงจะครอบครองไว้เช่นกัน!”

อวี้ถูตะลึงไปชั่วอึดใจ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นขอบฟ้าระบายด้วยสีขาวพุงปลา สัตว์เขาเดียวตัวหนึ่งฝ่าชั้นเมฆควบตะบึงมาถึงเบื้องหน้าสายตา มันมีร่างกายคล้ายกิเลน เส้นขนดำขลับ ดวงตาที่เปี่ยมด้วยโทสะเบิกกว้าง “บังอาจนักหมิงเสิน กล้ายักยอกเมล็ดฉยงซังไว้เป็นสมบัติส่วนตัวเชียวรึ!”

อวี้ถูหว่างคิ้วย่นเข้าหากัน เขาหลุบตาลงนิดๆ “มิกล้า”

เฟิงจงมองอย่างงุนงง สัตว์เทพนี้เป็นผู้ใดกัน

สัตว์เขาเดียวกล่าวต่อ “ในเมื่อมิกล้า เหตุใดในมือเจ้าจึงมีฉยงฉีตัวหนึ่งได้เล่า สัตว์อสูรชนิดนี้ถูกซุ่นตี้สังหารไปตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว เหตุใดจึงถือกำเนิดใหม่ได้อีก ข้าตรวจพบแล้วว่าในร่างของมันมีเมล็ดฉยงซังแฝงเร้นอยู่ด้วย เรื่องนี้เจ้าจะอธิบายว่าอย่างไร”

อวี้ถูไม่ตระหนกลนลานแต่อย่างใด “ข้าเองก็แปลกใจยิ่งนัก กำลังเตรียมจะนำตัวฉยงฉีกลับสู่ตำหนักยมโลก ส่งลงนรกภูมิสิบแปดขุม ไม่ให้มันได้ผุดได้เกิดชั่วกัปกัลป์”

“ไม่ต้องแล้ว” สัตว์เขาเดียวย่างเท้ามาเบื้องหน้า “ในเมื่อท้องของมันมีเมล็ดฉยงซังอยู่ ตามกฎสวรรค์แล้ว ข้าต้องนำตัวมันกลับพิภพสวรรค์ มอบมันออกมาเถอะ”

ฉยงฉีถูกขนานนามร่วมกับฮุ่นตุ้น เถาอู้ และเทาเที่ย ว่าเป็นสี่สัตว์ร้ายบรรพกาล ความชมชอบของมันคือการกัดศีรษะของผู้เที่ยงธรรม มอบของกำนัลล้ำค่าแก่คนโฉด มันไร้สัจจะคุณธรรม เกลียดชังผู้ซื่อสัตย์ภักดี ชอบวาจาอันต่ำทราม เป็นสัตว์อสูรที่ชั่วร้ายอย่างที่สุด ทว่าสัตว์อสูรที่ชั่วร้ายยิ่งนี้กลับเป็นผู้พิทักษ์ผลฉยงซังที่ทำให้มนุษย์มีอายุขัยเสมอฟ้าได้

มนุษย์ที่เข้าใกล้ฉยงฉีด้วยหมายจะครอบครองผลฉยงซังนั้นย่อมมีแต่คนชั่ว ผู้ที่โหดเหี้ยมอยู่เดิมก็มีแต่จะยิ่งกระทำชั่วสารพัด ส่วนผู้ที่เคยมีจิตใจดีงามก็จะถูกกิเลสครอบงำจนละทิ้งมโนธรรมไปในที่สุด พิภพสวรรค์เห็นว่าหากต้นฉยงซังคงอยู่ในพิภพมนุษย์ก็รังแต่จะชักนำให้มนุษย์ละความดีไปฝักใฝ่ความชั่ว ดังนั้นจึงตรากฎสวรรค์ไว้แต่แรก…ว่าหากพบต้นฉยงซังจะต้องริบคืนสู่พิภพสวรรค์โดยไม่มีข้อยกเว้น กระทั่งเทียนตี้ผู้ปกครองทั้งสามพิภพก็ไม่อาจฝ่าฝืน

อวี้ถูปรายตามองเฟิงจงปราดหนึ่ง หลังลังเลใจชั่วครู่ ท้ายที่สุดก็ส่งตัวฉยงฉีที่อยู่ในอ้อมอกออกไป

สัตว์เขาเดียวอ้าปากพ่นหมอกขาวออกมาห่อหุ้มฉยงฉีไว้แล้วกลืนเข้าสู่ท้องในคำเดียว จากนั้นจึงเอ่ยกับอวี้ถูว่า “ยามทิวาจวนจะมาถึงแล้ว เชิญหมิงเสินรุดกลับตำหนักยมโลกไปโดยเร็วจะดีกว่า” จบคำมันก็หมุนตัวจากไป เพียงไม่นานเรือนกายก็อันตรธานไปท่ามกลางท้องนภาสีเทาสลัว ตั้งแต่ต้นจนจบคล้ายไม่เคยสังเกตเลยว่าด้านข้างยังมีมนุษย์อยู่ในเหตุการณ์ด้วยอีกหนึ่งคน

อวี้ถูชำเลืองมองเมฆสีแดงที่ขอบฟ้ายามแรกอรุณ ก่อนจะคลี่ยิ้มให้เฟิงจง “เอาเถอะ เห็นทีเจ้ากับข้าไม่ว่าใครก็ไม่อาจได้เมล็ดฉยงซังมาครองแล้ว วันนี้ลาจากกันที่นี่ ข้าก็ได้แต่หวังว่าวันหน้ายามเมื่อพบกันใหม่ เจ้าจะไม่ผมหงอกขาวผิวเหี่ยวย่นไปเสียก่อน ทว่าอีกใจหนึ่งข้าก็เฝ้ารอจะได้เห็นเจ้าในสภาพเช่นนั้นยิ่งนัก”

เฟิงจงมองอวี้ถูอย่างแค้นเคือง เขาค่อยๆ เลือนหายไปแล้ว เพลิงภูตสีฟ้าดับมอดลงทีละดวงพร้อมกับที่เขาอันตรธานไป หมอกทึบพลันสลายทันตา แสงอรุโณทัยสว่างไสว ตอนนี้นางถึงค่อยพบว่าตนเองไม่ได้เดินไปไกลเลย ตั้งแต่ต้นจนจบยังคงยืนอยู่ละแวกน้ำตกนี่เอง

ไม่ทันที่จะขบคิดให้มากความ นางรีบทำมุทรากระตุ้นพาหุ่นเวทให้ไล่ตามไปยังทิศทางที่สัตว์เขาเดียวหายลับตา แม้นางจะรู้ดีว่าทุกสิ่งอาจเป็นเพียงความพยายามที่สูญเปล่าก็ตามที

เมื่อผ่านเลยเพิงพักที่นางสร้างขึ้นเมื่อคืนไป สุดสายตาก็คือเชิงผา ระหว่างที่เดินไปนั้นก็พบว่าต้นหญ้าเริ่มบางตา มีต้นไม้ขึ้นอยู่แค่ไม่กี่ต้น คาดว่าสาเหตุคงเกี่ยวพันกับน้ำ ดังนั้นพืชพรรณที่ยิ่งอยู่ใกล้บึงน้ำตกจึงยิ่งมีชีวิตชีวา พวกที่อยู่ไกลหน่อยก็จะมีสภาพกึ่งเขียวสดกึ่งเหี่ยวเฉา ส่วนพวกที่อยู่ตรงเชิงผานั้นล้วนอยู่ในสภาพที่แห้งตายแล้ว

ทว่าตรงนี้ก็ยังมีต้นไม้ที่เปี่ยมชีวิตชีวาที่สุดอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งแตกกิ่งใบแน่นขนัดทีเดียว ยามนี้สัตว์เขาเดียวที่เดิมทีควรจะกลับพิภพสวรรค์ไปแล้วก็ยังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น ดวงตะวันที่เพิ่งลอยขึ้นฟ้าสาดแสงลอดกิ่งใบลงมาบนร่างของมัน แสงซึ่งแต้มกระจายไปทั่วนั้นยิ่งทำให้เส้นขนที่เป็นมันเงาแลดูวาววับประดุจเคลือบน้ำ

เฟิงจงคาดไม่ถึงว่านางจะไล่ตามมันทันจริงๆ นางให้หุ่นเวทรั้งอยู่ที่เดิม ก่อนจะเดินเข้าใกล้ไปอย่างระมัดระวังตามลำพัง

สัตว์เขาเดียวมีประสาทสัมผัสเฉียบไวยิ่ง เพียงชั่วพริบตาก็เห็นนางแล้ว ทว่ามันเพียงเบือนหน้ามามองปราดเดียวพร้อมพ่นลมขึ้นจมูกหนึ่งครั้งเท่านั้น

เฟิงจงตะลึงงันไปชั่วอึดใจ ก่อนจะตระหนักขึ้นได้…หรือนี่จะเป็นซีกวงจำแลงกายมาหลอกลวงอวี้ถู?

ไม่ถูกสิ อวี้ถูเป็นมหาเทพบรรพกาลเชียวนะ ไม่มีทางถูกร่างจำแลงอันเรียบง่ายตบตาได้แน่ เว้นเสียแต่ว่าเดิมทีซีกวงก็มีลักษณะเช่นนี้อยู่แล้ว

สาวน้อยคิดได้เช่นนี้ก็รีบวิ่งปรี่ไป พอถึงแล้วก็เดินวนรอบตัวสัตว์เขาเดียวไม่หยุด “จุ๊ๆ ที่แท้เจ้าก็เป็นกิเลนน้อยนี่เอง! มาๆ กิเลนน้อย รีบคายฉยงฉีออกมาให้ข้าเร็วเข้า” นางแบมือด้วยสีหน้าที่เฝ้ารอ

สัตว์เขาเดียวกลอกตาไปมาไม่แยแสนางสักนิด

เฟิงจงขมวดคิ้วมุ่น ในใจบังเกิดสังหรณ์ไม่ดีพาดผ่าน “เจ้าคงไม่นำตัวฉยงฉีกลับพิภพสวรรค์จริงๆ กระมัง”

สัตว์เขาเดียวคำรามด้วยเสียงมีพลังก่อนตอบอย่างหนักแน่น “นี่เป็นสิ่งที่สวรรค์ตรากฎเอาไว้ ข้าไม่สมควรนำตัวมันกลับพิภพสวรรค์หรือไร”

เฟิงจงพลันขุ่นเคืองจนหายใจติดขัด “แน่นักนะซีกวง! พร่ำพูดติดปากว่ามหาเทพหนี่ว์วาชี้แนะเจ้าให้มาที่นี่ แต่เจ้ากลับเป็นปรปักษ์ต่อข้าเช่นนี้ ข้าไม่ควรเชื่อถือเจ้าเลยจริงๆ!”

เหนือศีรษะพลันบังเกิดเสียงดังซ่า เมื่อเงยหน้าขึ้นตามจิตใต้สำนึก เฟิงจงก็เห็นซีกวงในอาภรณ์สีดำเรือนผมสีดำนั่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ มือข้างหนึ่งแหวกกิ่งใบกำลังมองนางพร้อมกับยิ้มตาหยี “โอ๊ะ เมล็ดพันธุ์น้อย เจ้าเรียกหาข้าหรือ”

เฟิงจงตะลึงงัน มองเขาแล้วหันไปมองสัตว์เขาเดียวอีกหน จากนั้นใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นเหยเกไปทันที “เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”

ซีกวงแกว่งเท้าไปมา “เจ้าเห็นผู้อื่นเป็นข้า ปากก็เรียกว่ากิเลนน้อยทุกคำ ตอนนี้ข้าเรียกเจ้าว่าเมล็ดพันธุ์น้อยจะเป็นไรไป”

เฟิงจงนึกไม่ถึงว่าตนเองจะทักคนผิด นางผงะถอยไปสองก้าว แววตาที่มองไปยังสัตว์เขาเดียวระแวดระวังขึ้นมาทันที

กว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้มิใช่ง่ายๆ นางจะปล่อยให้เมล็ดฉยงซังผลุบหายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้เด็ดขาด แต่ก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมเลิกราโดยง่ายแน่

ซีกวงกระโดดลงมาอย่างปราดเปรียวแล้วคลี่ยิ้มให้สัตว์เขาเดียว จากนั้นจึงจับจูงนางเดินไปทางด้านข้างหลายก้าวแล้วเอ่ยเสียงเบา “อย่ามัวแต่ตีสนิทกับสัตว์เทพทางนั้นอยู่เลย นั่นคือเซี่ยจื้อ นายของมันเป็นถึงเทพผู้คุมกฎสวรรค์เชียวนะ”

เฟิงจงพลันเข้าใจกระจ่างแจ้ง ในพิภพสวรรค์ฐานะของเทพผู้คุมกฎแม้มิใช่สูงสุด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ากฎสวรรค์แล้ว เทพเซียนล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของเทพผู้คุมกฎทั้งสิ้น เซี่ยจื้อสัตว์เทพบรรพกาลที่อยู่ข้างกายเขานี้ยังรู้ภาษามนุษย์โดยกำเนิด แยกแยะถูกผิดได้อย่างแม่นยำ สามารถตัดสินได้โดยไม่ลำเอียง มีฐานะเทียบเท่ากับผู้เป็นนาย เพียงแต่นางไม่เคยพบหน้าเซี่ยจื้อมาก่อน

เฟิงจงจับตามองเซี่ยจื้ออยู่ตลอด ด้วยกลัวว่ามันจะหนีไป นางจึงเอียงศีรษะไปใกล้ๆ ซีกวง “เจ้าสนิทกับมันหรือไม่ ไปพูดวาจาน่าฟังสักหน่อยเป็นอย่างไร”

ซีกวงเบ้ปาก “ไม่มีทางสำเร็จแน่นอน เซี่ยจื้อนี้แต่ไรมาเที่ยงธรรมไม่เอนเอียงเอาใจฝ่ายใด ไม่ว่าใครหน้าไหนไปพูดก็ไร้ประโยชน์ ไม่นานมานี้มันยังจับเทพจื่ออินผู้เป็นน้าชายส่งเข้าแดนฮุ่นตุ้นเองกับมือเลย”

เฟิงจงร้อนใจแล้ว “เช่นนั้นทำอย่างไรดีเล่า”

ประกายตาของซีกวงพลันเย็นเยียบ “มีแต่สังหารมันทิ้งแล้ว”

เฟิงจงตระหนกวูบ แส้ยาวได้ถูกเสกขึ้นในมือของเขาแล้ว ซีกวงทะยานตรงไปทันใด ฟาดเซี่ยจื้อแยกออกเป็นสองซีกในแส้เดียว หมอกขาวกลุ่มหนึ่งที่ผุดออกจากร่างของเซี่ยจื้อกลิ้งหลุนๆ มาจนถึงเบื้องหน้าสายตาของเฟิงจง เผยให้เห็นฉยงฉีที่กำลังขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่ด้านในหมอกขาว นางรีบย่อตัวลงไปอุ้มมันขึ้นมา เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นเซี่ยจื้อที่ร้องครวญครางได้แปรสภาพกลายเป็นควัน สลายไปจนไร้ร่องรอยแล้ว

“เจ้าถึงกับสังหารมันจริงๆ หรือนี่!”

ซีกวงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เพราะดวงจิตที่อยู่ในกายเนื้อของเซี่ยจื้อกำลังกลับคืนสู่ร่างของเขา

แน่นอนว่านี่มิใช่สัตว์เทพของเทพผู้คุมกฎตัวจริง แต่เป็นเพียงร่างแบ่งภาคที่เขาสร้างขึ้นชั่วคราวเท่านั้น

เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ภายในหุบเขาซึ่งแต่เดิมเป็นปกติดีพลันปกคลุมไปด้วยไอชื้นเย็น อีกทั้งไอชื้นเย็นนั้นยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อึดใจถัดมาฉยงฉีก็สะดุ้งตื่น เส้นขนของมันชี้ชันขณะเดินงุ่นง่านอยู่ข้างกองไฟเงียบๆ ท่าทางดูกระสับกระส่ายยิ่ง จากนั้นมันก็พลันไล่ตามไอชื้นเย็นนั้นจนวิ่งออกไปไกล

หากเป็นการหลบหนีธรรมดา ซีกวงย่อมไม่แยแสแม้แต่น้อย มีวิชาหุ่นเวทของเฟิงจงอยู่ ฉยงฉีไม่มีทางหนีพ้นแน่ เกรงว่าเมื่อถูกจับกลับมาแล้วมันยังจะต้องคุกเข่าเพิ่มอีกรอบเสียด้วยซ้ำ ทว่าสถานการณ์ในตอนนั้นชอบกลนัก ซีกวงจึงลุกขึ้นแล้วแอบติดตามไป ไม่นานก็พบภูตไพรกลุ่มหนึ่งที่มารับฉยงฉี นั่นคือสมุนของหมิงเสินอวี้ถู

ซีกวงรำคาญความยุ่งยาก ทั้งไม่อยากประมือกับอวี้ถูโดยตรง จึงคิดอาศัยกฎสวรรค์ไปชิงตัวฉยงฉีกลับคืนมา เพียงแต่การสร้างร่างแบ่งภาคลอกเลียนเป็นผู้อื่นนั้นไม่ง่ายเลย ทั้งยังง่ายที่จะเผยพิรุธออกมา และการเลียนแบบร่างมนุษย์นั้นก็ยิ่งยากแสนยาก เขาจึงได้แต่สร้างร่างสัตว์เทพของเทพผู้คุมกฎเพื่อมาแก้ไขเหตุคับขันนี้ก่อน

ร่างสัตว์ที่เร่งสร้างขึ้นอย่างฉุกละหุกนี้ไม่อาจดำรงอยู่ได้นานนัก อย่าว่าแต่หวดมันหนึ่งแส้เลย คาดว่าหากเสียเวลากับอวี้ถูนานกว่านี้อีกสักนิด ความก็คงแตกไปแล้ว

ถึงอย่างไรร่างพหุภาคของเขาก็ไม่อาจเทียบกับมหาเทพฝูซีในอดีตได้ ว่ากันว่ามหาเทพฝูซีสามารถควบคุมร่างแบ่งภาคได้สูงสุดถึงสิบสองภาคในเวลาเดียวกัน ทั้งสามารถหยิบฉวยทุกสรรพสิ่งมาสร้างเป็นร่างแบ่งภาคได้ทุกที่ทุกเวลา ต่างจากเขาในยามนี้ที่ควบคุมได้เพียงห้าภาคเท่านั้น

กระทั่งดวงจิตกลับเข้าร่างโดยสมบูรณ์แล้ว ซีกวงเพิ่งระบายลมหายใจก็ได้ยินเฟิงจงเอ่ยขึ้นที่ด้านหลัง “เจ้าทำเช่นนี้ไม่แคล้วบุ่มบ่ามเกินไป คราวนี้ไม่เท่ากับละเมิดกฎสวรรค์เสียเองหรือ”

เขาหมุนกายมาถอนหายใจยาว “ข้าทำทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อช่วยให้เจ้าได้เมล็ดฉยงซังมาหรือไร ข้าทำเพื่อเจ้า กระทั่งสัตว์เทพของเทพผู้คุ้มกฎยังสังหารได้ แต่เมื่อครู่เจ้ากลับคลางแคลงในตัวข้าเสียนี่”

เฟิงจงจึงกลัดกลุ้มอยู่ในใจ…เดิมทีอวี้ถูเป็นฝ่ายที่ไร้เหตุผลก่อน ตอนนี้พวกนางก็กลายเป็นไร้เหตุผลไปด้วยแล้ว

แผนเฉพาะหน้าในยามนี้จึงมีแต่ฟื้นฟูพลังเทพโดยเร็ว บางทีอาจยังคืนชีพให้เซี่ยจื้อได้ หนึ่งวันบนสวรรค์เท่ากับหนึ่งปีบนพิภพเบื้องล่าง เทพผู้คุมกฎน่าจะไม่พบเห็นเร็วปานนั้น นางยังพอมีเวลาอยู่

ขบคิดมาถึงตรงนี้เฟิงจงก็ไม่อาจทนรอได้ต่อไป จับฉยงฉีที่อยู่ในมือชูขึ้นมาตรงหน้า บังเอิญเห็นมันกำลังมองนางอยู่พอดี ทันทีที่สบกับสายตานาง มันก็รีบหลับตาแสร้งทำเป็นหลับต่อ

“ยังกล้าเสแสร้งอีกหรือ” เฟิงจงที่มีไฟสุมอกกำลังไร้ที่ระบายอยู่พอดี มือข้างหนึ่งจึงหิ้วหลังคอของมันไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ฉวยมีดกระดูกสัตว์ออกมา “ทางถอยของเจ้าขาดสะบั้นแล้ว จงคายเมล็ดฉยงซังออกมาเสีย แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า เจ้าเลือกเอาเองก็แล้วกัน!”

“ชือ!” ฉยงฉีพยายามต่อต้านสุดกำลังด้วยการตวัดอุ้งเท้าและวาดขาสั้นๆ ของมันไปมา

เฟิงจงจึงประชันกับฉยงฉีด้วยการทาบมีดกระดูกสัตว์ลงบนหนังท้องของมันอย่างแนบชิด ร่างมันสั่นเทิ้มขึ้นทันตาเห็น ในที่สุดก็คอตกเลิกดิ้นรนขัดขืน มันชำเลืองตามองเฟิงจงก่อนจะสูดหายใจเข้าสองหนดังฮึบๆ ช่วงท้องของมันพลันพองนูนสูงเด่น จากนั้นมุกวาวกลมเกลี้ยงสีแดงเพลิงเม็ดหนึ่งที่ถูกคายออกมาก็กลิ้งหลุนๆ ตกลงบนพื้น

ซีกวงเห็นแล้วก็รีบเก็บเมล็ดฉยงซังขึ้นมายัดใส่เข้าปากเฟิงจงในทันที

สาวน้อยไม่ทันตั้งตัวจึงสำลักอย่างหนัก นางโยนฉยงฉีทิ้งไปแล้วใช้สองมือกุมลำคอไว้ หลังจากนางเซถอยติดกันไปหลายก้าว ถึงค่อยเงยหน้าถลึงตาจ้องเขาอย่างพูดไม่ออก

ซีกวงเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะเอ่ยปาก “รีบกินลงไปเถิด จะได้ไม่ถูกคนนอกมาแย่งชิงไปอีก เป็นอย่างไรเมล็ดพันธุ์น้อย ข้าดีต่อเจ้ากระมัง”

“โอ้ก…” เฟิงจงอาเจียนออกมาแล้ว

“ยังดีที่ไม่ได้อาเจียนเอาเมล็ดฉยงซังที่เพิ่งกลืนลงไปออกมาด้วย” ซีกวงจุปากพลางใช้มือข้างหนึ่งหิ้วฉยงฉีที่ซึมเซาอยู่ด้านข้างขึ้นมา ส่วนมืออีกข้างก็ลูบหลังให้เฟิงจง บนร่างของนางเปื้อนปราณอิน ของอวี้ถู เพียงถูกซีกวงลูบไม่กี่หน ปราณอินพวกนั้นก็สลายไปหมดสิ้น

เฟิงจงปัดมือของเขาออกห่าง เห็นแก่ที่เขาล่วงเกินเทพผู้คุมกฎเพื่อช่วยนาง ต่อให้นางมีโทสะก็ระเบิดไม่ออกแล้ว ทว่านางเพิ่งจะยืดกายตรงเท่านั้น เมล็ดฉยงซังที่กลืนลงไปก็แผดเผาอยู่ในท้องดั่งอัคคีกองหนึ่ง นางกุมท้องน้อยไว้ ร้องครางได้เพียงคำเดียวก็ล้มคะมำกับพื้นหมดสติไป

ซีกวงกำลังขยี้ศีรษะที่ก้มต่ำของเฟิงจง พอเห็นเช่นนั้นก็สะดุ้งจนตัวโยน โอ๊ะ! เมื่อครู่ข้าไม่ได้ลงมือหนักถึงเพียงนั้นนี่นา!

 

(ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้)

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: