บทที่ห้า
แดนฮุ่นตุ้นตั้งอยู่ชายขอบของพิภพทั้งสาม แต่ละพิภพจะมีทางเข้าแดนฮุ่นตุ้นที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งทางเข้าระหว่างพิภพมนุษย์กับแดนฮุ่นตุ้นตั้งอยู่บริเวณสุดเขตประจิม
หากเฟิงจงเดินไปเอง เกรงว่าเวลาสามถึงห้าปีก็ยังไม่แน่ว่าจะไปถึง ทว่าสำหรับเทพเซียนแล้วนี่กลับเป็นเรื่องชั่วดีดนิ้วมือเท่านั้น ทันทีที่อำลาหลงต้ากับหลงเอ้อร์ ซีกวงก็เรียกก้อนเมฆมา แล้วนำพาหนึ่งมนุษย์กับหนึ่งสัตว์อสูรเหาะเหินไปอย่างรวดเร็ว
ณ สุดเขตประจิมมีขุนเขาสูง มีเขาลูกหนึ่งที่เป็นช่องผาขาดซึ่งถูกเรียกว่าผาตัดชีพ ที่นั่นก็คือที่ตั้งของทางเข้าสู่แดนฮุ่นตุ้น ซีกวงขี่เมฆร่อนลงบนยอดผาขาด ก่อนจะเอ่ยขึ้นหนึ่งประโยค “ถึงแล้ว”
กาลก่อนเฟิงจงนึกไม่ออกว่านางเคยเข้าสู่แดนฮุ่นตุ้นจากทางพิภพมนุษย์ หรือต่อให้เคยเข้าไปนางก็จดจำไม่ได้แล้ว ตอนนี้นางจึงยังสับสนมึนงงอยู่ “นี่ถึงแล้วหรือ”
ซีกวงจับฉยงฉียัดใส่อ้อมอกของนางแล้วกำชับหนึ่งประโยค “อุ้มมันให้แน่นล่ะ” จบคำเขาก็ยื่นมือมาโอบนางเข้าสู่อ้อมกอด จากนั้นพลันเหินร่างกระโดดลงจากช่องผาขาด
ข้างหูเฟิงจงมีเสียงลมดังอื้ออึง ซีกวงกอดนางกระชับแนบแน่น ทางหนึ่งนางหลับตาตั้งสติ ด้วยกลัวว่าหากเขาคลายมือจากนางแม้เพียงนิด นางก็มีโอกาสที่จะถูกความเร็วระดับนี้เหวี่ยงกระเด็นจนหาศพไม่พบ อีกทางหนึ่งนางก็กระชับวงแขนให้แน่นยิ่งขึ้น ป้องกันไม่ให้ฉยงฉีในอ้อมอกถูกเหวี่ยงหลุดออกไป
ชั่วครู่ให้หลังนางก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสารพัด ทั้งเทพ สัตว์เทพ สัตว์อสูร เซียน และปีศาจล้วนมีอยู่ครบถ้วน ความเร็วในการร่วงลงก็เริ่มผ่อนช้าลง เมื่อเฟิงจงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ซีกวงในอาภรณ์สีดำปลิวไสวก็โอบนางลอยพลิ้วลงสู่พื้นแล้ว
เบื้องหน้ามีเพียงไอหมอกเทาสลัวลอยอยู่ทั่วบริเวณ ซีกวงกล่าว “จากที่นี่เดินตรงไปก็เป็นแดนฮุ่นตุ้นแล้ว ความจริงพื้นที่ของแดนฮุ่นตุ้นยังกว้างใหญ่ยิ่งกว่าพิภพมนุษย์เสียอีก การไปทะเลเขี้ยวพิโรธจึงไม่ใช่ใกล้ๆ เลย”
แท้จริงแล้วระยะทางใกล้ไกลนั้นมิใช่ปัญหา เป็นอันตรายจากเส้นทางเหล่านั้นต่างหากที่จะทำให้พวกเขาเสียเวลามากที่สุด
เฟิงจงเดินไปหยุดมองอยู่ที่เบื้องหน้าไอหมอก “เกรงว่าแดนฮุ่นตุ้นในตอนนี้กับในภาพความทรงจำตอนนั้นของข้าคงจะแตกต่างกันมากแล้ว หากมีอะไรที่ต้องระมัดระวัง เจ้าก็แจ้งข้าแต่เนิ่นๆ ด้วย”
“ไม่ว่าอะไรก็ต้องระมัดระวังทั้งนั้นล่ะ” ซีกวงหัวเราะก่อนจะแหวกไอหมอกเดินนำเข้าไป
ฉยงฉีชื่นชอบกลิ่นอายปีศาจร้ายเข้มข้นที่อยู่ภายในแดนฮุ่นตุ้น มันจึงขยุกขยิกอยู่ในอ้อมอกของเฟิงจง แสดงอาการอดใจรอไม่ไหวอยู่บ้าง เฟิงจงกดศีรษะของมันไว้พลางเดินตามหลังซีกวงเข้าสู่ไอหมอกนั้นไปติดๆ ยามที่เพิ่งจะทะลุผ่านเข้ามา ดวงตานางก็ถูกแสงสว่างเบื้องหน้าทำให้ตาพร่าลายแล้ว นางยกมือขึ้นบังไว้ถึงค่อยๆ ปรับสายตาได้
ครั้นมองไปอีกหน นางก็ต้องตื่นตะลึงกับทิวทัศน์เบื้องหน้าอันงดงามจับตานั้น ยามอรุณรุ่งเมฆเจ็ดสีลอยอยู่กลางเวหา สายหมอกลอยปกคลุมทั่วบรรพตเซียน ต้นหญ้างอกงาม นกขมิ้นโบยบิน เผยสีสันแห่งฤดูวสันต์ทั่วท้องทุ่ง เมื่อเดินมุ่งหน้าต่อไป เบื้องหน้าสายตาก็ปรากฏธารน้ำเพิ่มมาอีกสาย น้ำในลำธารใสกระจ่างจนเห็นก้นบึ้ง ทั้งอวลฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของน้ำอมฤต
เฟิงจงโยนฉยงฉีทิ้งไปแล้วค้อมกายวักน้ำขึ้นมา ส่งผลให้ผิวน้ำกระเพื่อมไหว ยามเมื่อผิวน้ำคืนสู่ความเรียบสงบก็ฉายสะท้อนเงาร่างของนางออกมา…ศีรษะงามได้รูป คิ้วโค้งเรียวยาว เรือนร่างอรชร…ถึงกับเป็นรูปโฉมของนางยามเจริญวัยแล้ว
ซีกวงเดินไปไม่กี่ก้าวก็พบว่าเฟิงจงไม่ได้ติดตามมาด้วย เขาหันหน้าไปมองจึงเห็นนางนั่งยองกับพื้นในอาการเหม่อลอย ส่วนฉยงฉีที่อยู่ข้างๆ ก็กำลังแยกเขี้ยวใส่นาง ท่าทางดูกระสับกระส่ายยิ่ง
ไอมารในที่แห่งนี้ส่งผลต่อสัญชาตญาณเดิมของสัตว์อสูร เดิมทีร่างของเฟิงจงที่เปี่ยมด้วยปราณชีวิตก็เป็นอาหารที่สัตว์อสูรปรารถนาจะกลืนกินลงท้องเป็นที่สุดอยู่แล้ว ด้วยกังวลว่าฉยงฉีจะหุนหันทำอะไรลงไป ซีกวงจึงเดินไปแตะเบาๆ กลางหน้าผากของมันเพื่อถ่ายเทปราณบริสุทธิ์เข้าไปหนึ่งสาย ผลลัพธ์เป็นดังคาด ฉยงฉีสงบเสงี่ยมขึ้นมากทีเดียว
ตอนนี้เองแขนเสื้อของซีกวงพลันถูกยุดไว้ เขาหันขวับไปก็เห็นเฟิงจงยืนขึ้นแล้ว สองตาของนางเคลิบเคลิ้ม รอยยิ้มละมุนละไม มือข้างหนึ่งยุดแขนเสื้อของเขาไว้พลางแอบอิงเข้ามาช้าๆ
ซีกวงตกตะลึง “เจ้าเป็นอะไรไป”
เฟิงจงเขย่งปลายเท้าเบาๆ ร่างครึ่งซีกพักพิงอยู่บนเรือนกายของเทพหนุ่ม นางไล้นิ้วมือไปบนใบหน้าของเขา ก่อนจะลูบสัมผัสริมฝีปากของเขาทีละนิด รอยยิ้มของสาวน้อยแฝงอารมณ์หวามไหวถึงสามส่วน “อย่างไรกัน หรือเจ้าไม่ได้คิดอะไรกับข้าแม้แต่น้อย?”
ซีกวงพลันกระอักกระอ่วน จะหัวเราะก็มิใช่ ร้องไห้ก็ไม่เชิง
ปกติมนุษย์ทั่วไปไม่มีทางเข้าสู่แดนฮุ่นตุ้นได้แน่ เพราะแปดในสิบส่วนล้วนร่วงลงมาตายตั้งแต่นอกปากทางเข้าแล้ว หรือต่อให้เคราะห์ดีรอดชีวิตมาได้ พอผ่านปากทางเข้ามาก็จะจมอยู่ในอาคมมายาไม่อาจคืนสติได้อยู่ดี ทั้งที่บอกนางแล้วว่าต้องระมัดระวังในทุกเรื่อง ไฉนนางยังคงถูกเล่นงานได้เล่า
หว่างคิ้วของเฟิงจงปรากฏไอมารรวมตัวอยู่รางๆ รอยยิ้มบนดวงหน้านางยิ่งเย้ายวนหยาดเยิ้ม ผิดกับรูปโฉมที่ยังดูอ่อนเยาว์ไร้เดียงสา กระนั้นความต่างเช่นนี้ก็ยังแฝงไว้ซึ่งเสน่ห์อันตรึงจิตพรากวิญญาณอย่างหนึ่ง ยากนักที่ซีกวงจะได้เห็นนางมีท่าทีเช่นนี้ เขาหักใจเรียกสตินางกลับมาไม่ได้จริงๆ จึงทำเพียงเก็บงำอมยิ้มไว้พลางถอยไปเบื้องหลังกระทั่งแผ่นหลังชิดกับหินผา ทว่านางยังคงตามติดเขาไม่ห่างสักก้าว ทั้งกอดเกาะแนบแน่นยิ่งขึ้นด้วย
“เจ้าจะไปไหน…หืม?” สาวน้อยถามเสียงนุ่มละมุน ขณะที่มือขยุ้มสาบเสื้อของซีกวงไว้
ซีกวงถอนหายใจ ตัดสินใจแล้วว่าควรเรียกสตินางดีกว่า ขณะที่เขาเพิ่งจะยกมือขึ้นหมายขจัดไอมารที่หว่างคิ้วให้นาง ปลายนิ้วของเขาก็พลันถูกนางยึดกุมเอาไว้ก่อน
ในที่สุดเฟิงจงก็สลัดหลุดจากอาคมมายา ภาพแดนเซียนอันงามตระการตานั้นเลือนหายไปทันใด นางเหลียวมองรอบด้านก่อนจะพบเพียงท้องนภาสีมืดหม่น ตรงหน้าเป็นหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีต้นหญ้างอกเงยสักนิด ครั้นมองดูเบื้องหน้าสายตาอีกครา นางค่อยตระหนักได้ว่าใบหน้าของซีกวงอยู่ใกล้จนสัมผัสลมหายใจได้ แผ่นหลังของเขาชนกับหินผา สาบเสื้อก็ถูกแหวกเปิดนิดๆ ส่วนนางกำลังเขย่งปลายเท้าซบอยู่บนร่างของเขา มือข้างหนึ่งเกาะไหล่กว้าง ส่วนมืออีกข้างกำลังกุมนิ้วมือของเขาอยู่
“นี่เจ้าคิดจะทำอะไร” นางรีบคลายมือออกแล้วผละถอยหลังไปสองก้าว
เฮอะ นางถึงกับผลักความผิดมาให้ข้าเชียวหรือนี่ ซีกวงยืดกายตรง จัดสาบเสื้อให้เข้าที่ก่อนจะเบือนหน้าไปนิดๆ “ช่างเถอะ โทษข้าคนเดียวก็แล้วกัน เรื่องในวันนี้ข้าจะไม่ตำหนิเจ้าหรอก” จบคำตาของเขาก็ปรายไปทางนางแวบหนึ่งก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปเงียบๆ
เฟิงจงอับจนถ้อยคำ ขณะที่นางตกอยู่ในอาคมมายาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของจิ้งจอกแล้ว เมื่อดูจากการตอบสนองของเขาเมื่อครู่นี้…บางทีอาคมที่เล่นงานนางอาจจะเป็นวิชาจิ้งจอกพราวเสน่ห์
ช่างน่าตายนัก ตอนที่ฉยงฉีเดินมาก็ยังมองนางซ้ำสองหนด้วยแววตาชอบกล ทั้งส่งเสียงพูชือพูชือเหมือนกำลังเยาะหยัน แล้วเดินส่ายก้นไล่ตามซีกวงไป
เฟิงจงได้แต่กระแอมแก้เก้อ เดินตามไปพลาง เหลือบมองซีกวงที่อยู่ด้านหน้าเป็นระยะไปพลาง เขาไม่ได้เหลียวหลังมา เพียงผ่อนฝีเท้าให้ช้ากว่าเดิมเล็กน้อย
“เกรงว่าที่นี่จะมีเซียนจิ้งจอกที่ยากตอแยอยู่ผู้หนึ่ง” เฟิงจงฉวยโอกาสนี้เปรยขึ้น
ซีกวงกลั้นหัวเราะไว้ ฝีเท้าไม่ได้หยุดชะงัก “เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องชี้แจงก็ได้ ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ได้ตำหนิเจ้า”
เฟิงจงเงียบเสียงไปทันใด เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่ความผิดของนางสักหน่อย แต่เหตุใดพอเห็นเขามีท่าทีไม่ถือสาเช่นนี้ นางกลับยิ่งรู้สึกผิดบาปเล่า
เดินไปอีกสักพักก็ออกจากหุบเขามาในที่สุด สีท้องฟ้าดูสว่างตาขึ้นบ้างแล้ว แดนฮุ่นตุ้นแห่งนี้ปราศจากแสงตะวันและไร้ซึ่งรัตติกาล ครึ้มสลัวเช่นนี้ตลอดทั้งวัน แม้ว่ามีหมู่เมฆ แต่ตัวเมฆก็มีสีแดงเลือดปนอยู่ ดูแล้วให้รู้สึกไม่สบายตาสบายใจนัก
ตลอดรายทางมองเห็นยอดเขาเป็นทิวเทือก เบื้องบนปกคลุมด้วยต้นไม้อัปลักษณ์ที่ดูบิดๆ เบี้ยวๆ เบื้องล่างแม้มีธารน้ำไหลริน ทว่าน้ำในลำธารก็แสนจะขุ่น สภาพอากาศก็แปลกพิกลไม่แพ้กัน บางครั้งลมกระโชกพัดโหมมาหอบหนึ่ง แต่ชั่วพริบตาเดียวก็สลายหายไปสิ้นแล้ว
“พวกเราจะเดินกันไปอย่างนี้น่ะหรือ” เฟิงจงถามขึ้น ทะเลเขี้ยวพิโรธตั้งอยู่ที่สุดขอบของแดนฮุ่นตุ้น ลำพังเดินเท้าไปจะต้องเดินถึงปีใดกัน
ซีกวงหันมามองนางแล้วกอดอกไว้ทันที “ให้ข้าได้ฟื้นฟูจิตใจสักนิดก่อนสิ ตอนนี้ข้ายังไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้เจ้าเลย”
“ข้าทำอะไรกับเจ้าหรือ ถึงทำให้เจ้ากลัวข้าถึงขั้นนี้ได้”
“อย่าเอ่ยถึงเลย อย่าเอ่ยถึงดีกว่า ล้วนผ่านไปหมดแล้ว ข้าไม่ตำหนิเจ้าหรอก…จริงๆ นะ” ซีกวงทอดถอนใจไม่เลิกรา
เฟิงจงหงุดหงิดเป็นการใหญ่ ข้าจับตัวเจ้าจิ้งจอกนั่นได้เมื่อไรจะต้องถลกหนังมันอย่างแน่นอน!
ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีลมกระโชกกวาดมาอีกหอบหนึ่ง เฟิงจงพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันเข้มข้นของไอมาร นางจึงรีบร้องเรียกซีกวงไว้ ครั้นหันหน้ามองไปบนยอดเขาทางขวามือก็พบสัตว์อสูรลักษณะคล้ายเสือดาวเผือกหนึ่งฝูงราวห้าหกตัวกระโจนลงมา กรงเล็บยาวอันคมกริบของพวกมันครูดผ่านหินภูเขาจนบังเกิดเสียงก้องกังวาน ประหนึ่งว่านั่นคือกรงเล็บเหล็กกล้าอย่างไรอย่างนั้น
ฉยงฉีกระโดดไปมาอยู่บนพื้นในอาการคึกคักยิ่ง คงเพราะรู้สึกว่าเสือดาวที่โผล่พรวดฝูงนี้กำลังจะส่งเนื้อมาให้มันถึงที่แล้ว
ทว่าซีกวงกลับเสกแส้ยาวออกมาตวัดม้วนฉยงฉีไว้แล้วโยนตัวมันเข้าสู่อ้อมอกของเฟิงจง จากนั้นก็โอบพานางทะยานร่างขึ้นด้านบนทันที “ยุ่งยากเกินไป สลัดพวกมันทิ้งไปเลยจะดีกว่า”
หา? เนื้อที่กำลังจะถึงปากพลันหลุดลอยไปเสียแล้ว ฉยงฉีร้องพูพูอย่างผิดหวัง หูลู่ลงทันใด
เฟิงจงปรายตามองมือของซีกวงที่โอบตัวนางอยู่ “จิตใจเจ้าฟื้นฟูแล้วกระมัง”
“ใช่แล้ว” ซีกวงเอ่ยปนยิ้ม “บังเอิญยิ่งนัก พอสัตว์อสูรพวกนี้ปรากฏตัว จิตใจข้าก็ฟื้นฟูพอดี”
เฟิงจงประท้วงอยู่ในใจ ชิ! แปดในสิบส่วนเจ้าหนูนี่ต้องกลั่นแกล้งข้าอยู่เป็นแน่
สัตว์อสูรที่อยู่เบื้องหลังยังคงไล่กวดมาไม่เลิกรา ซีกวงจึงพลิกมือใช้แส้กวาดซัดฝุ่นทรายออกไปหนึ่งระลอก ก่อนจะรีบเร่งความเร็วขึ้นตอนที่พวกมันยังถูกสกัด
ทันใดนั้นสีท้องฟ้าเบื้องหน้าก็พลันสว่างจ้า เฟิงจงแหงนหน้าขึ้นมองก็พบว่าเหนือแผ่นฟ้ามีเมฆขาวหนาทึบลอยวนอยู่กลุ่มหนึ่ง เมฆสีขาวบริสุทธิ์ปานหิมะกลุ่มนั้นหมุนไม่หยุดดุจกระแสน้ำวน แสงสว่างเจิดจ้าก็เปล่งออกมาจากภายในกลุ่มเมฆนี้นี่เอง
ซีกวงพาเฟิงจงร่อนลงบนยอดเขาที่อยู่ข้างเคียง เมื่อมองไปเบื้องหลังก็พบว่าสัตว์อสูรเหล่านั้นถอยหนีไปหมดสิ้นแล้ว
“นั่นคือทางเข้าสู่แดนฮุ่นตุ้นจากพิภพสวรรค์ มีเมฆมงคลปกคลุมอยู่ สัตว์อสูรจึงไม่กล้าเข้าใกล้” ซีกวงหยิบกล่องหุ้มแพรใบเล็กกะทัดรัดออกมาจากแขนเสื้อ เปิดฝากล่องแล้วค้นหาจนพบขนแผงคอม้าสีขาวหิมะเส้นหนึ่ง เขาหยิบมันออกมาเป่าลมใส่เบาๆ ขนเส้นนั้นก็กลายร่างเป็นอาชาเหินสีขาวหิมะตัวหนึ่งร่อนลงมาตรงหน้าในชั่วพริบตา
หูแหลมของฉยงฉีตั้งขึ้นทันใด มันโห่ร้องดีอกดีใจเตรียมจะปรี่เข้าใส่อาชาตัวนั้น ทว่ากลับถูกซีกวงใช้หนึ่งนิ้วกดยันหน้าผากไว้เสียก่อน “นี่ไม่ใช่ม้าที่จะให้เจ้ากิน หากข้าต้องใช้พลังเทพรุดเดินทางไปตลอด เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเหนื่อยมากเพียงใด ต่อจากนี้ให้มันเป็นพาหนะแทนก็แล้วกัน”
“โอ๊ะ ซุกซ่อนของวิเศษไว้นี่เอง เหตุใดไม่เอาออกมาตั้งแต่แรกเสียเลยเล่า” เฟิงจงเหลือบมองกล่องหุ้มแพรในมือของเขา
“เจ้านึกว่าข้ากลับภูเขาฝูเฟิงทั้งที แล้วจะหยิบมาแค่ถุงฟ้าดินใบเดียวหรือ” ซีกวงโอ้อวดไม่ทันจบก็เงยหน้าจับจ้องบนฟ้าไม่วางตา
เฟิงจงมองตามสายตาของเขาไป “เป็นอะไร หรือเจ้ายังมีของวิเศษที่อยากกลับไปเอาที่พิภพสวรรค์?”
ซีกวงไม่ได้เอ่ยวาจา สายตาจับจ้องไปยังเมฆขาวตรงทางเข้าพิภพสวรรค์ที่พลันหมุนวนด้วยความเร็วสูง ในใจเขากระตุกวูบ…คงไม่บังเอิญถึงขั้นมาเจอกับเทพเซียนที่กระทำผิดแล้วถูกส่งตัวเข้ามาพอดีหรอกกระมัง
เขาเพิ่งจะคิดจบก็เห็นทางเข้านั้นเปิดกว้าง ปรากฏการณ์อันเป็นมงคลพลันปรากฏ พร้อมกันนั้นกิเลนเขาเดียวตัวหนึ่งก็พุ่งทะยานออกมาแผดเสียงคำราม แล้วโยนร่างปางตายร่างหนึ่งที่คาบไว้ในปากทิ้งลงมา
ปากหาเรื่องแท้ๆ เชียว กระทั่งพูดอะไรในใจก็ยังอุตส่าห์เจออย่างนั้นได้อีก! ซีกวงรีบดึงตัวเฟิงจงไปหลบหลังหินผาใหญ่ ทว่ายังคงสายไปก้าวหนึ่ง
เฟิงจงเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง “นั่นเซี่ยจื้อหรือ มันตายไปแล้วไม่ใช่หรือไร”
“ก็นั่นน่ะสิ ที่แท้มันยังไม่ตายหรือนี่” ซีกวงตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ช่างเจ้าเล่ห์นัก ข้าต้องถูกมันตบตาเป็นแน่แท้”
วันนั้นเพื่อรับมือกับหมิงเสินถึงได้มีการแบ่งภาคเกิดขึ้น ยามนี้เขาจึงได้แต่กลบเกลื่อนต่อไปเท่านั้น
เฟิงจงพลันโล่งอก “เซี่ยจื้อเป็นสัตว์แห่งความเที่ยงธรรม มันไม่ตายก็เป็นโชคดียิ่ง เพียงแต่เจ้าจะทำอย่างไรดีเล่า เกรงว่าเทพผู้คุมกฎคงรู้เรื่องที่เจ้าทำลงไปแล้ว”
นางเพิ่งพูดขาดคำ เสียงของเซี่ยจื้อก็ดังขึ้นที่เบื้องหน้าหินผา “เป็นตงจวินอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่”
ซีกวงรู้อยู่แล้วว่าไม่อาจหลบพ้น เซี่ยจื้อเป็นถึงยอดฝีมือในการจับกุมเทพเซียน มันย่อมไวต่อกลิ่นอายของเทพเซียนเป็นพิเศษอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับในแดนฮุ่นตุ้นที่คลุ้งไปด้วยไอมารแห่งนี้ กลิ่นอายของเทพเซียนยิ่งจะถูกตรวจพบได้ง่ายขึ้น เขาลอบวางข่ายอาคมหนึ่งชั้นไว้บนร่างของเฟิงจงเพื่ออำพรางกลิ่นอายของนาง
เซี่ยจื้อกล่าวขึ้นอีก “วันก่อนท่านเทพชิงหลีฟ้องว่าท่านลักลอบกลั่นเมฆโปรยฝนในพิภพมนุษย์ หากตงจวินอยู่ที่นี่จริง ท่านจะปรากฏตัวแล้วตามข้ากลับพิภพสวรรค์ไปพบท่านเทพผู้คุมกฎได้หรือไม่”
ซีกวงอับจนปัญญา นึกแล้วเชียวว่าเจ้าชิงหลีนั่นจะไม่ปล่อยให้ข้าได้อยู่ดีมีสุข กระทั่งเรื่องไม่สำคัญก็คิดจะเล่นงานข้าให้ได้ ช่างเป็นนกที่น่ารำคาญยิ่งนัก
เฟิงจงเข้าใจทันทีว่าเป็นเรื่องราวใด นางจึงพูดเสียงอ่อย “เป็นข้าทำร้ายเจ้าจริงๆ ทำให้เจ้าเดือดร้อนมีความผิดเพิ่มมาอีกเรื่องแล้ว”
ซีกวงตั้งมือขึ้นเพื่อบอกให้นางเงียบเสียง ก่อนจะยัดกล่องหุ้มแพรใบนั้นใส่มือนาง “เมื่อก่อนเจ้าก็เป็นเทพ สิ่งของในนี้ย่อมใช้เป็นแน่นอน ข้าจะไม่สอนเจ้าใช้ทีละชิ้นแล้ว กล่องนี้เจ้าจงพกไว้ป้องกันตัว เดินทางมุ่งหน้าจากที่นี่ไปไม่เกินสามสิบหลี่ ก็จะมีผู้มาช่วยเหลือเจ้าแล้ว เจ้าแจ้งชื่อข้าออกไปเป็นใช้ได้”
เฟิงจงรับกล่องใบนั้นมา “แล้วเจ้าล่ะ”
“ข้าจะกลับพิภพสวรรค์ไปชี้แจงข้อเท็จจริงต่อเทพผู้คุมกฎ เขาตัดสินทุกเรื่องด้วยความเที่ยงธรรมเสมอมา คาดว่าเมื่อรู้ถึงเหตุและผลแล้วคงจะไม่ลงโทษข้ารุนแรงนัก เจ้าวางใจได้”
ละเมิดกฎสวรรค์มีหรือจะลงทัณฑ์สถานเบาได้ เฟิงจงยุดแขนเสื้อของเขาไว้ “ข้าจะตามไปกับเจ้าด้วย ต้นเหตุของความผิดอยู่ที่ข้า จะให้เจ้ารับโทษเพราะข้าได้อย่างไรกัน”
ซีกวงปัดมือของนางออก “เจ้ารีบไปนำของวิเศษกลับมาโดยเร็วจะดีกว่า หรือว่าเจ้าไม่อยากฟื้นฟูพลังเทพแล้ว?”
เฟิงจงลังเลอยู่บ้าง การที่นางเก็บซ่อนของวิเศษไว้ที่นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นช่วงชิงไป แน่นอนว่าได้มาอยู่ในมือเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี
ซีกวงฉวยโอกาสนี้อุ้มเฟิงจงขึ้นนั่งบนอาชาเหิน เขายกมือตบสะโพกอาชาเหินครั้งหนึ่ง มันก็ยกเท้าห้อตะบึงไปทางด้านหลัง
ฉยงฉีเห็นว่าจะออกเดินทางต่อแล้ว มันจึงกระโดดอย่างคึกคักร่าเริงขึ้นไปเกาะกระเด้งกระดอนอยู่บนหางของอาชาเหิน ม้าวิเศษพอพุ่งตัวออกจากขอบผาก็สยายสองปีกทะยานขึ้นฟ้าโดยไร้เสียง
เฟิงจงรีบหันกลับไปมอง ซีกวงเดินเนิบนาบอ้อมหินผาใหญ่ออกไปแล้ว เขาเดินตรงไปหาเซี่ยจื้อ อาภรณ์สีดำที่พัดพลิ้วล้อลมค่อยๆ กลายเป็นเพียงจุดเล็กกระทั่งมองไม่เห็น
อาชาเหินมีความเร็วยิ่งยวด ระยะทางสามสิบลี้จึงใช้เวลาแค่ไม่เท่าไร
เมื่อกดร่างอาชาเหินให้ลดระดับลงเล็กน้อย เฟิงจงก็กอดคอมันไว้พลางกวาดตามองเบื้องล่างอย่างละเอียด เพื่อค้นหาผู้ที่ซีกวงบอกว่าจะมาสนับสนุนนาง ทว่าตลอดทางที่ผ่านมากลับพบเห็นแต่ยอดเขาสูงๆ ต่ำๆ เท่านั้น
“พูชือ!” ฉยงฉีพลันส่งเสียงร้อง ก่อนจะปีนป่ายจากส่วนหางขึ้นมาบนหลังอาชาเหินแล้วใช้อุ้งเท้าเกาเอวนางทีหนึ่ง
เฟิงจงเอื้อมมือไปคว้าตัวมันมาด้านหน้าแล้วสั่งสอนหนึ่งประโยค “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะมาร้องหิวนะ!”
“ชือ! พูชือชือชือพูชือ!” มารดาเจ้าสิ! บิดากำลังจะพูดเรื่องสำคัญกับเจ้าต่างหากเล่า!
ฉยงฉีจับหูเกาแก้มของมันด้วยความร้อนใจ เห็นเฟิงจงยังคงไม่ตื่นตัวระแวงระวังก็พาให้มันอารมณ์เสียจนต้องกระโดดย่ำบนหลังอาชาเหินไปสองทีแล้วล้มตัวลง พ่นลมขึ้นจมูกอย่างหมดอาลัยตายอยาก “พู…ชือพูพูชือชือ…”
เฮ้อ!…นายพรานชุดดำหายไปไหนแล้ว หากไม่มีเขาเกรงว่าคงไม่ไหว…
“เจ้าเป็นอะไรของเจ้ากันแน่”
ฉยงฉีกระโดดพรวดขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่อาจทำใจยอมรับได้ ครานี้มันใช้อุ้งเท้าดึงแขนของนางไปด้านหลังอย่างไม่ลดละ พอเฟิงจงหันหน้าไปด้านหลังก็ต้องตื่นตกใจอย่างมาก รีบกดตัวมันพร้อมกับหมอบร่างของตนลงทันที
ลูกธนูคมกริบดอกหนึ่งแหวกอากาศมาถึงพร้อมเสียงหวีดหวิวอันแหลมเล็ก มันแฉลบถากแผ่นหลังของเฟิงจงไป นางรู้สึกเจ็บแปลบที่แผ่นหลัง คาดว่าอาภรณ์สวรรค์คงถูกกรีดขาดเป็นรูแล้ว
ครั้นก้มหน้ามองลงไปก็พบเงาดำทะมึนหลายสายเคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางดงไม้เบื้องล่าง ความเร็วของเงาเหล่านั้นเทียบเคียงกับอาชาเหินได้ทีเดียว พร้อมกันนั้นนางก็ได้ยินเสียงหนึ่งตะโกนก้อง “หาพบแล้ว! ไต้อ๋อง กล่าวไม่ผิดเลย มีมนุษย์ผู้หนึ่งบุกรุกเข้ามาจริงๆ”
เฟิงจงกระทุ้งท้องม้าทันใด ส่งผลให้สองปีกของอาชาเหินพลันกระพือขึ้นสูง
เบื้องล่างยิงลูกธนูขึ้นมาอีกดอก นางรีบเบี่ยงกายหลบหลีก ไม่ทันคิดว่าลูกธนูดอกนั้นจะพุ่งเป้ามายังอาชาเหิน จึงยิงถูกท้องของมันตรงๆ
อาชาเหินแผดเสียงร้องโหยหวนก่อนจะสลายไปในชั่วพริบตา ใต้ร่างของเฟิงจงว่างเปล่า ร่างนางพลันร่วงดิ่งลงไปทันใด โชคยังดีที่ไม่ตกกระแทกพื้น หากแต่หล่นอยู่บนยอดไม้ที่ดูคล้ายร่มใหญ่ต้นหนึ่งอย่างพอดิบพอดี กระนั้นความเร็วที่สาวน้อยร่วงลงก็เร็วอยู่ ทำเอากระดูกทั่วร่างนางคล้ายจะหลุดออกจากกันทีเดียว
ฉยงฉีที่ตกอยู่ด้านข้างร้องพูพูไม่หยุดปาก เฟิงจงพลันรู้สึกว่าต้นไม้ใต้ร่างตนเองขยับไหว นางจึงทนเจ็บแล้วลุกขึ้นนั่งทันที เห็นทั้งกิ่งและใบบนยอดไม้พากันม้วนจากด้านนอกเข้าหาด้านในคล้ายต้องการจะห่อหุ้มนางไว้ในนี้ ก็รีบคว้าตัวฉยงฉีแล้วพุ่งตัวกระโดดลงพื้นโดยไม่รั้งรอ
รอบด้านคือต้นไม้ที่บิดตัวเริงระบำประหนึ่งเป็นคน ทั้งเสียงร้องตะโกนของกองกำลังที่ไล่หลังก็ประชิดเข้ามาทุกขณะด้วยความเร็วที่สูงยิ่ง หากนางยังวิ่งต่อไปเช่นนี้จะต้องหนีไม่รอดแน่ๆ
เมื่อเล็งหาหินก้อนใหญ่ที่ขวางทางอยู่เบื้องหน้าได้ก้อนหนึ่ง เฟิงจงก็วิ่งปราดไปนั่งยองอยู่หลังหินก้อนนั้นในอึดใจเดียว นางวางฉยงฉีลงแล้วหยิบกล่องหุ้มแพรที่ซีกวงมอบให้ใบนั้นออกจากแขนเสื้อมารื้อดูของด้านใน กระทั่งค้นเจอยาลูกกลอนสีดำสนิทมาหนึ่งเม็ด พอหยิบออกมาสูดดมที่ใกล้ปลายจมูก ในใจนางก็พลันยินดีปรีดา จับฉยงฉีง้างปากแล้วยัดยาลูกกลอนเข้าไปทันที
“ต้องอยู่แถวนี้แน่ๆ ค้นหาให้ดีๆ”
เสียงของกองกำลังที่ไล่ล่าพวกนางใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว เฟิงจงถึงกับได้กลิ่นของพวกมัน ทั้งหมดล้วนเป็นปีศาจภูเขา ไม่รู้ว่าไต้อ๋องที่พวกมันเอ่ยถึงเป็นผู้ใดกัน นับแต่โบราณมาแดนฮุ่นตุ้นก็เป็นสถานที่อันไร้ระเบียบ เฉกเช่นเม็ดทรายที่ไม่อาจรวมตัวกัน เป็นผู้ใดกันที่สามารถตั้งตนเป็นอ๋องจอมอหังการในที่แห่งนี้ได้
เสียงพูดยังไม่ทันขาดคำ ปีศาจภูเขาที่ว่องไวดุจเงาก็พุ่งตัวมาถึงบริเวณใกล้เคียงแล้ว พวกมันมีรูปร่างหน้าตาคล้ายมนุษย์ยิ่งนัก ในมือแต่ละตนถือคันศรกับลูกธนู มีรอยสักบนใบหน้า เผ้าผมปล่อยสยาย บนร่างของเฟิงจงมีข่ายอาคมที่ซีกวงวางไว้ก่อนหน้านี้ พวกมันจึงสูดดมไม่พบกลิ่นอายของนาง ได้แต่เสาะหาไปทีละจุด ไม่ช้าพวกมันก็มองเห็นหินใหญ่นี้แล้ว
ขณะกำลังจะเข้าไปใกล้ เบื้องหลังหินใหญ่ก็พลันบังเกิดเสียงคำรามสะเทือนฟ้าดังกึกก้องขึ้น พร้อมกันนั้นสัตว์ร่างใหญ่ที่มีสีขาวหิมะทั้งตัวก็กระโจนขึ้นไปบนหินใหญ่ บนแผ่นหลังของมันมีสาวน้อยชุดสีขาวร่างเล็กอ้อนแอ้นนั่งอยู่ผู้หนึ่ง นางกำลังก้มมองพวกมันจากที่สูงด้วยแววตาเย็นชา
เหล่าปีศาจภูเขาแตกตื่นถอยร่นกันไปหลายก้าว ก่อนจะรีบน้าวคันศรขึ้นข่มขวัญ
สัตว์ร่างใหญ่แยกเขี้ยวอันคมกริบด้วยท่าทางที่น่าเกรงขาม แต่แล้วจู่ๆ มันก็หันหลังขวับ แบกสาวน้อยผู้นั้นวิ่งเตลิดไปไกลลิบในพริบตา
เหล่าปีศาจภูเขาที่เตรียมตอบโต้พร้อมแล้ว ผลคือคู่ต่อสู้กลับหายตัวไปอย่างไม่คาดฝัน ภายหลังตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่งพวกมันถึงค่อยได้สติ พากันร้องโหวกเหวกเร่งตามไปทันที
ของที่เฟิงจงให้ฉยงฉีกินก็คือลูกกลอนขยายขนาด ยาชนิดนี้กินแล้วจะทำให้รูปกายขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหลายสิบเท่า ทว่าพลังฝีมือกลับไม่ได้ถูกยกระดับขึ้นสักเท่าไร ดังนั้นพอขู่ขวัญอีกฝ่ายเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องเผ่นหนีกันแล้ว
ฉยงฉีวิ่งลงเขาชนนู่นกระแทกนี่ไปตลอดทาง นางหมอบอยู่บนหลังของมันกระทั่งจะลืมตาก็ยังไม่อาจลืมขึ้นมาได้ นางถูกกิ่งไม้ครูดไปหลายครั้งจนพวงแก้มกับหลังมือล้วนปวดแสบปวดร้อนไปหมด ไม่รู้ว่าหลบหนีอยู่นานเท่าใด จวบจนเบื้องหน้าคล้ายจะสว่างขึ้นบ้างแล้ว นางถึงได้ลืมตาขึ้นมอง และพบว่าพวกนางได้ออกจากเขตภูเขาลึกมาพักใหญ่แล้ว เบื้องหน้ามีแม่น้ำที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดทอดขวางอยู่สายหนึ่ง
ฉยงฉีที่อยู่ใต้ร่างเฟิงจงคำรามเสียงต่ำหนึ่งหน จากนั้นร่างของนางก็เซถลาไปข้างหน้าแล้วหล่นตุบลงบนพื้น นางหันขวับไปก็เห็นฉยงฉีคืนสู่สภาพเดิมแล้ว มันกลิ้งเกลือกไปกับพื้นสองตลบเป็นก้อนกลมๆ ก่อนจะกระเด้งตัวขึ้นแล้ววิ่งปรี่มาตะคอกที่เบื้องหน้านาง “พูชือพูชือ!”
เฟิงจงคาดเดาว่ามันคงโกรธอยู่ หลังจากแหวกขนตรวจดูผิวหนังบนร่างของมันแล้วไม่พบว่าได้รับบาดเจ็บ นางก็ไม่ใส่ใจกับการอาละวาดเล็กๆ ของมันอีก
ปีศาจภูเขาอาจตามมาทันได้ทุกเมื่อ นางยืนขึ้นพลางทอดสายตามองแม่น้ำออกไปไกล ก่อนจะกวักมือเรียกฉยงฉี “ไปกันเถอะ หรือเจ้าอยากจะถูกปีศาจภูเขาจับไปย่าง?”
ฉยงฉีไม่พอใจที่เฟิงจงพูดยิ่งนัก ฟังแล้วเหมือนสัตว์อสูรผู้ยิ่งใหญ่และเก่งกาจปราดเปรื่องกลับกลายเป็นไร้ฝีมือเยี่ยงนี้ไปได้ มันจึงวิ่งไปที่ริมแม่น้ำแล้วอมน้ำหนึ่งคำ ก่อนจะหันมาพ่นเสียงดังฟู่ใส่บนร่างนาง สุดท้ายเมื่อพ่นเสร็จแล้วมันกลับใจเสาะ ได้แต่ถอยหลังไปสองก้าวอย่างขลาดกลัว
“จอมตะกละนี่ ขวัญกล้าขึ้นทุกทีแล้วนะ!” เฟิงจงลูบชายเสื้อที่เปียกก่อนจะหิ้วตัวมันเดินไป
พ้นริมตลิ่งไปก็เป็นสายน้ำ ส่วนอีกข้างก็คือภูเขา นึกไม่ถึงว่านางเดินจนสุดทางแล้วก็ยังต้องเจอภูเขาอีก
เฟิงจงค้นหารอบด้านจนทั่วก็ยังไม่พบทางออก ในกล่องหุ้มแพรแม้มีขนแผงคอของอาชาเหินอยู่ แต่นางกังวลว่าเมื่ออยู่ที่สูงแล้วจะกลายเป็นดึงดูดความสนใจของผู้อื่นเข้า จึงจำใจไม่หยิบมาใช้งาน
สาวน้อยเงยหน้าพิจารณายอดเขาที่อยู่ตรงหน้าลูกนี้ พบว่ามีต้นไม้น้อยยิ่ง สภาพภูเขาก็ไม่สูงนัก คาดว่าเดินข้ามไปก็คงไม่ลำบากเท่าไร ฉยงฉีไวต่อไอมาร หากพบเจอสิ่งชั่วร้ายก็ย่อมจะเตือนนางได้แน่ ดังนั้นนางจึงให้ฉยงฉีนำทางอยู่เบื้องหน้า ตนเองเดินตามหลังขึ้นภูเขาลูกนั้นไป
ในภูเขาเงียบกริบไร้สรรพเสียง เห็นฉยงฉีเดินอาดๆ ไปได้ตลอดทาง เฟิงจงจึงค่อยๆ วางใจลงได้เสียที
เมื่อจวนจะถึงยอดเขา พวกนางก็พบไม้ใหญ่ต้นหนึ่งล้มขวางอยู่กลางทางเดิน ปิดกั้นเส้นทางที่พวกนางจะไปทั้งหมด ฉยงฉีกระโดดโหยงๆ สองหนล้วนไม่อาจข้ามไปได้ มันหัวเสียตะกุยลำต้นของไม้ใหญ่ไปหนึ่งอุ้งเท้า นึกไม่ถึงว่าหลังตะกุยแล้วจะได้ยินเสียงครวญครางแผ่วเบามาเสียงหนึ่ง มันเอียงคอมองอุ้งเท้าเจ้าเนื้อของตนพลางฉงนสงสัยว่าอุ้งเท้าทำให้เกิดเสียงเช่นนี้ได้อย่างไร
เฟิงจงสาวเท้าเดินขึ้นหน้าไปทันที ก้มหน้าแหวกใบไม้ออกดูก็พบชายหนุ่มชุดสีครามเกล้าผมผู้หนึ่งถูกทับอยู่ใต้ต้นไม้ ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือด นางสูดดมกลิ่นอายดู อีกฝ่ายถึงกับเป็นเซียนผู้หนึ่ง
หรือเขาจะเป็นผู้สนับสนุนที่ซีกวงพูดถึง? นางรีบกัดนิ้วมือเป็นแผล ก่อนจะให้เขาดูดเลือดไปหนึ่งคำ จากนั้นหยิบท่อนกระดูกสีขาวจากในถุงฟ้าดินออกมาขุดดินที่อยู่ใต้ร่างของเขา
รอจนนางขุดหลุมลึกขนาดย่อมได้หนึ่งหลุม ชายหนุ่มผู้นั้นถึงได้ลืมตาขึ้น “เป็นเจ้าที่ช่วยข้าไว้?”
เฟิงจงผงกศีรษะรับ ทางหนึ่งนางแหวกกิ่งไม้ออกเพื่อขยับร่างเขาเข้าไปในหลุมที่ขุดไว้ อีกทางก็สอบถาม “เจ้ารู้จักซีกวงหรือไม่”
ชายหนุ่มตอบอย่างอ่อนแรง “ไม่รู้จัก”
เฟิงจงยังไม่ถอดใจ “ตงจวินนะ เจ้าไม่รู้จักเชียวหรือ”
ชายหนุ่มตะลึงงัน “ตงจวินไม่ใช่มังกรสองตัวหรือ”
เฟิงจงอับจนถ้อยคำไปทันที เห็นทีซีกวงคงไม่เคยทำหน้าที่ให้สมกับตำแหน่งมาก่อนเลยกระมัง!
ชายหนุ่มขยับตัว อาศัยหลุมดินคืบคลานออกมาทีละนิด ชุดสีครามบนร่างเปรอะทั้งคราบโลหิตและดินโคลน สภาพอเนจอนาถยิ่ง เขาเช็ดๆ มือและใบหน้า ก่อนจะฝืนยืนขึ้นคารวะไปทางเฟิงจง “ข้าน้อยหลิ่วเซิง ขอบคุณแม่นางยิ่งนักที่ช่วยชีวิต”
เฟิงจงเห็นท่าทางของเขาดีขึ้นมากแล้วก็ไม่อยากเสียเวลาอีก นางจึงทำเพียงผงกศีรษะรับแล้วเตรียมจะออกเดินทางต่อ
หลิ่วเซิงเอ่ยขวางนางไว้ “ดูเหมือนแม่นางจะเป็นมนุษย์ธรรมดา คงยังไม่รู้ว่าละแวกนี้มักจะมีอันธพาลโฉดชุดแดงมาคอยป้วนเปี้ยนอยู่ หมายจะครองความเป็นใหญ่ที่นี่ เป็นมันที่ทำร้ายข้าจนต้องติดอยู่ใต้ต้นไม้ แม่นางก็อย่าได้มุ่งหน้าต่อไปอีกเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก” ข้าอดทนสู้จนมาถึงที่นี่แล้ว ไม่ว่าด้านหน้าหรือด้านหลังล้วนแต่อันตรายไม่ต่างกัน มีทางให้ถอยเสียเมื่อไรเล่า เฟิงจงกวักมือเรียกฉยงฉีเพื่อออกเดินทาง
หลิ่วเซิงถอนหายใจก่อนตามมากล่าว “แม่นางมีบุญคุณช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าไม่อาจเห็นแม่นางเอาตัวไปเสี่ยงภัยได้ เช่นนั้นให้ข้าไปส่งแม่นางสักระยะเถิด เดินจากทางนี้ไปจะปลอดภัยกว่า” เขาผายมือในท่าเชื้อเชิญ ก่อนจะเดินนำไปยังป่าด้านข้าง
เฟิงจงขบคิดเล็กน้อยแล้วติดตามเขาไป
ต้นไม้ในภูเขาลูกนี้ค่อยดูปกติขึ้นมาหน่อย เพียงแต่ยิ่งเดินเข้าไป ป่าไม้ก็ยิ่งแน่นขนัดขึ้น แสงก็ทึบทึมขึ้นทุกที ทว่าฝีเท้าของหลิ่วเซิงยังคงไม่หยุด เดิมทีฉยงฉีที่เดินตามหลังเขาไปก็เป็นปกติดี แต่แล้วจู่ๆ มันก็หันขวับพลางถอยมาถึงข้างเท้าของเฟิงจง ส่งเสียงพูชือขึ้นจมูกเบาๆ แล้วไม่ยอมเดินหน้าอีก
เฟิงจงชะงักฝีเท้า กุมท่อนกระดูกสีขาวในมือแน่น “ที่นี่คือที่ใด”
หลิ่วเซิงหมุนกายกลับมามองฉยงฉีพลางหัวเราะถาม “เดรัจฉานตัวนี้มีที่มาอย่างไรกัน เหตุใดถึงได้ตื่นตัวเร็วเพียงนี้”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดคำ ท่ามกลางต้นไม้รอบด้านก็ปรากฏเงาดำทะมึนกระโจนออกมาหลายสาย ถึงกับเป็นเหล่าปีศาจภูเขาที่ไล่ล่านางก่อนหน้านี้
“หลิ่วเซิง? เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่เล่า เจ้าไปทำงานให้ไต้อ๋องแล้วมิใช่หรือ!” ปีศาจภูเขาตนหนึ่งร้องตะโกนด้วยความประหลาดใจเมื่อพบเห็นเขา
หลิ่วเซิงแค่นเสียงฮึ ก่อนปัดๆ คราบโลหิตบนร่างอย่างรังเกียจ “อย่าไปพูดถึงเลย แค่กลางทางก็ถูกเจ้าหนูชุดแดงรังควานแล้ว หวุดหวิดจะสังเวยชีวิตในมือมันด้วยซ้ำ เคราะห์ดีที่มีแม่นางน้อยมนุษย์ธรรมดาผู้นี้ช่วยเหลือข้าเอาไว้”
ปีศาจภูเขาตนนั้นมองเฟิงจงแล้วเลียริมฝีปาก “แม่นางน้อยผู้นี้แม้จะดูน่าอร่อย ทว่านางเป็นคนที่ไต้อ๋องต้องการ เจ้าก็อย่าแตะต้องนางจะดีกว่า”
หลิ่วเซิงคลี่ยิ้มเฉกเช่นโจรเจ้าเล่ห์ “ในโลหิตของนางมีรสชาติแห่งอายุวัฒนะ เดิมทีข้าก็ตั้งใจจะจับนางไปมอบให้ไต้อ๋องอยู่แล้ว”
เหล่าปีศาจภูเขาได้ยินเช่นนั้นก็ชุลมุนราวกับหม้อเดือด แย่งกันพูดเจ้าประโยคข้าประโยค ชูคันศรกับลูกธนูโห่ร้องอย่างคึกคักตื่นเต้น…
“โอ๊ยๆ ร่างอายุวัฒนะเชียวนะ! กินแล้วก็จะอายุยืนไม่แก่เฒ่า!”
“อายุยืนไม่แก่เฒ่า! อายุยืนไม่แก่เฒ่า!”
ฉยงฉีทั้งกระโดดทั้งเต้นเร่าๆ อย่างโมโห “พูชือ! ชือพูพูพูพู!” พวกเศษสวะ! นางหนูน้อยนี่เป็นของบิดา!
นึกถึงตนเองที่เป็นถึงสัตว์ร้ายบรรพกาลผู้เกรียงไกร แต่กลับถูกแม่นางน้อยนี่บงการกดขี่มาเนิ่นนานปานนี้ กระทั่งเนื้อก็ไม่ได้กินอิ่ม เมล็ดฉยงซังก็ยังมาถูกช่วงชิงไป เหตุที่มันสู้ทนความอัปยศอยู่เช่นนี้ก็เพื่อรอคอยให้วันหน้ากลับมาผงาดเสียก่อน ถึงวันนั้นมันจะได้กินนางเป็นการชำระแค้น แต่เจ้าเศษสวะพวกนี้ถึงกับบังอาจจะมาฉกชิงคนของมัน เบื่อชีวิตกันแล้วสินะ!
“ชือพู!” ไสหัวไปซะ!
เหล่าปีศาจภูเขาไม่เห็นเจ้าตัวจ้อยนี่อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ต่างกลัวจะรั้งท้ายรีบแย่งกันถาโถมเข้าใส่เฟิงจงในทันที
ท่อนกระดูกสีขาวในมือเฟิงจงพอเหยียดออกก็แทงถูกปีศาจภูเขาตนหนึ่ง นางรีบกลิ้งเรี่ยกับพื้นหลบออกจากวงล้อมแล้วยืดกายลุกขึ้น ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่ามีเงาร่างหนึ่งปรากฏวาบขึ้นที่ข้างกาย จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ลูบคลำมาที่ข้างเอวของนาง เฟิงจงหันขวับไปก็เห็นบนนิ้วมือของหลิ่วเซิงเกี่ยวถุงฟ้าดินของนางไว้พลางหมุนควงไปมา
“ของดีนะนี่ หากนำของสิ่งนี้ไปถวายแด่ไต้อ๋อง ข้าจะต้องเป็นที่โปรดปรานอย่างแน่นอน”
ปีศาจภูเขาตนหนึ่งร้องโวยวาย “หลิ่วเซิงเจ้าแย่งความชอบอีกแล้ว! ความโปรดปรานของไต้อ๋องถูกเจ้าแย่งไปหมดผู้เดียวแล้ว!”
“ก็ใครใช้ให้พวกเจ้าไร้ความสามารถเล่า” หลิ่วเซิงเก็บถุงฟ้าดินอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ทว่าจู่ๆ สีหน้าก็พลันเคร่งขรึม เขาเงยศีรษะขึ้นมองปราดเดียวแล้วรีบเอ่ยกับเหล่าปีศาจภูเขา “ช่างเถอะ แม่นางน้อยผู้นี้ยกให้พวกเจ้าก็แล้วกัน ข้าจะไปมอบของวิเศษแด่ไต้อ๋องก่อน” พูดจบเขาก็เร่งรุดจากไปไกล ไม่ทันไรเงาร่างก็หายลับไปในส่วนลึกของป่าทึบแล้ว
เฟิงจงไล่ตามไปทันที ทว่าถูกเหล่าปีศาจภูเขารุมล้อมขวางทางที่นางจะมุ่งไป ทั่วร่างของนางจึงขึงเกร็ง เตรียมพร้อมที่จะสู้ให้ถึงที่สุด ทว่าทันใดนั้นนางก็สูดได้กลิ่นอายเซียนขุมหนึ่งซึ่งแฝงด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายบางเบา
พอเงยหน้าขึ้นนางก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งร่อนพลิ้วลงบนยอดไม้แล้ว เรือนผมของเขายาวสลวย เงาร่างที่ย้อนแสงนั้นมองปราดแรกดูคล้ายเงาของซีกวงอยู่หลายส่วน เพียงแต่อาภรณ์สีแดงที่สะดุดตายิ่งยวดนั้นต่างกับซีกวงมากนัก
“ใครอนุญาตให้พวกเจ้ามาก่อเรื่องในถิ่นข้า”
เหล่าปีศาจภูเขามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะมีพวกมันตนหนึ่งร้องขึ้นว่า “ต้องเป็นเจ้าหนูชุดแดงที่ทำร้ายหลิ่วเซิงเป็นแน่!”
“เจ้าอันธพาลบ้าบิ่น! ที่นี่ล้วนเป็นถิ่นไต้อ๋องของพวกเรา เจ้าบังอาจยึดภูเขาแล้วตั้งตนเป็นผู้ปกครองเชียวหรือ” เหล่าปีศาจภูเขาฉุนเฉียวเป็นการใหญ่ พากันน้าวคันศรเล็งไปที่ยอดไม้
บุรุษผู้นั้นกระโดดเบาๆ เพียงหนเดียวก็ร่อนลงเบื้องหน้าเฟิงจงแล้ว รอจนเขายืดกายตรงจึงค่อยเผยให้เห็นภาพวาดม้วนหนึ่งที่สะพายอยู่บนแผ่นหลัง เขาพลิกมือไปกุมด้านบนของแกนม้วนภาพ แล้วชักกระบี่หนึ่งเล่มออกมาจากด้านใน ปราณเซียนเอ่อท้นไปทั่วทิศ เพียงวาดขวางออกไปหนึ่งกระบี่ สายธนูของเหล่าปีศาจภูเขาก็ขาดสะบั้นลง
“นับจากวันนี้ไป รัศมีร้อยหลี่ของที่นี่ล้วนเป็นถิ่นของข้าฟางจวินเยี่ยแล้ว”
เหล่าปีศาจภูเขาหวาดผวาอย่างหนัก พวกมันหันขวับแย่งกันหนีเตลิดราวกับกลัวจะรั้งท้าย “รีบไปรายงานไต้อ๋องเร็วเข้า!!!”
ด้วยร้อนใจเป็นห่วงหุ่นเวทที่อยู่ในถุงฟ้าดิน เฟิงจงจึงรีบติดตามไป ทว่าพลันได้ยินบุรุษผู้นั้นเอ่ยถามขึ้นก่อน “เจ้าใช่เมล็ดพันธุ์น้อยที่ซีกวงพูดถึงหรือไม่”
ในใจนางกระตุกวูบ ชะงักฝีเท้าทันที “เจ้าก็คือผู้ที่ซีกวงบอกว่าจะมาสนับสนุนข้าอย่างนั้นหรือ”
บุรุษผู้นั้นเก็บกระบี่ใส่คืนแกนม้วนภาพด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าฟางจวินเยี่ย รอเจ้าอยู่นานแล้ว”
เฟิงจงมุ่นคิ้ว “ข้าชื่อเฟิงจง”
ฟางจวินเยี่ยผงกศีรษะ “รู้แล้ว ไปกันเถอะเมล็ดพันธุ์น้อย”
“…”
ฟางจวินเยี่ยพาเฟิงจงเดินออกจากป่าทึบ เขาไม่เร่งรุดเดินทางแต่อย่างใด หลังจากเสาะหาธารน้ำแห่งหนึ่งพบแล้วก็หยุดพักที่นั่นเป็นการชั่วคราว
แดนฮุ่นตุ้นปราศจากทิวาราตรี เฟิงจงหนีเตลิดตลอดทางจนลืมเลือนเวลาไปหมดสิ้น เกรงว่าเวลาคงจะผ่านไปนานมากแล้ว แม้นางร้อนใจอยากจะตามหาถุงฟ้าดินคืนมา แต่เมื่อเห็นว่าฉยงฉีหิวโหยแล้ว ส่วนตนเองก็อ่อนเพลียอย่างมากแล้วเช่นกัน นางจึงได้แต่ข่มความคิดไว้ อดใจพักผ่อนไปก่อน
น่าเสียดายที่หลัวสะพายหลังใบนั้นก็อยู่ในถุงฟ้าดินด้วย เนื้อที่พกมาเหล่านั้นล้วนไม่มีแล้ว
ฉยงฉีพ่นลมขึ้นจมูกอยู่ข้างเท้าของเฟิงจงในอาการเซื่องซึม สาวน้อยเหลียวมองไปทั่ว ทว่าแถวนี้ไม่มีไม้ผลแต่อย่างใด ในป่าทึบก็มีแต่สัตว์อสูร ที่นี่มีภยันตรายซับซ้อน เพื่อความรอบคอบนางจึงลองสอบถามผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก่อน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าบริเวณใดพอจะมีของที่มนุษย์กินได้บ้าง”
ฟางจวินเยี่ยนั่งเช็ดกระบี่ยาวอยู่ตรงนั้น ดวงตาไม่แม้แต่จะยกขึ้นมามองสักครั้ง “ข้าเพียงรับปากซีกวงมาช่วยเหลือภารกิจของเจ้า ไม่ได้รับผิดชอบเรื่องการยังชีพ หากเจ้าหิวก็ไปหาของกินเอาเองแล้วกัน”
เฟิงจงไม่คิดเลยว่าเขาจะแล้งน้ำใจไร้เหตุผลได้ปานนี้ นางเม้มปากแล้วลุกพรวดขึ้นทันที พาฉยงฉีเดินเข้าสู่ป่าทึบไปตามลำพัง พลางหยิบกล่องหุ้มแพรของซีกวงจากในแขนเสื้อออกมารื้อหาของวิเศษ
ยามนี้นางมิอาจไม่เลื่อมใสในความละเอียดรอบคอบของซีกวง ราวกับเขาคาดเดาได้แต่แรกว่านางจะต้องเสี่ยงภัยตามลำพัง ของวิเศษทั้งหมดในกล่องหุ้มแพรนี้จึงได้ถูกเขาร่ายพลังเทพเอาไว้ก่อนแล้ว นางเพียงหยิบมาใช้งานตรงๆ ก็จะใช้การได้ทันที แม้ในยามปกติเขามักจะมีท่าทีไม่อินังขังขอบ ทว่าเขาก็เป็นคนที่ดีกับนางมากที่สุดนับแต่นางตื่นขึ้นจากนิทรามา
เฟิงจงแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
ฉยงฉีที่อยู่ด้านข้างพลันร้อง “ชือ” ขึ้นหนึ่งหน เฟิงจงถอนสายตากลับมาก็สบเข้ากับนัยน์ตางูอันเย็นยะเยียบคู่หนึ่ง ชวนให้ตระหนกจนนางต้องถอยหลังติดกันสองก้าว ถึงค่อยตั้งหลักคว้าท่อนกระดูกสีขาวมาขวางป้องกันเบื้องหน้าตนเองได้
งูเหลือมยักษ์ตัวหนึ่งขดอยู่บนไม้ใหญ่ด้านข้าง มันแลบลิ้นแผล็บๆ พลางเคลื่อนไหวตัวไปมา จากนั้นก็พลันอ้าปากกว้างฉกกัดมาทางเฟิงจงอย่างรวดเร็ว
มาอีกแล้วเจ้าพวกฉกชิงเสบียงสำรอง! ฉยงฉีไฟโทสะพวยพุ่งขึ้นสามจั้ง มันกระโจนตัวแล้วใช้อุ้งเท้าเจ้าเนื้อข้างหนึ่งตะปบใส่อีกฝ่ายทันที
ศีรษะของงูเหลือมยักษ์ถูกตบฉาดจนเอียงกระเท่เร่ เฟิงจงพอหลบพ้นก็สะบัดมือออกไป โยนตาข่ายขนาดเล็กที่ถักขึ้นด้วยเชือกสีแดงออกไปหนึ่งปาก ครอบลงบนหัวทรงสามเหลี่ยมของงูเหลือมยักษ์ตัวนี้อย่างพอดิบพอดี
ทันทีที่สัมผัสถูกงูเหลือมยักษ์ ตาข่ายก็คล้ายกับมีชีวิต ยืดขยายห่อหุ้มมันไว้อย่างแน่นหนาเพียงชั่วพริบตา ยามที่งูเหลือมยักษ์ดิ้นรน ตาข่ายก็ยิ่งหดเล็กลงเรื่อยๆ จวบจนรัดร่างอันใหญ่โตของมันให้กลายเป็นกลุ่มก้อน และบาดกินเข้าไปในเนื้อหนัง มันเจ็บปวดจนพ่นฟองน้ำลายสีขาว ข่มทนไว้ไม่กล้าแม้แต่จะขยับเคลื่อนไหวอีก
เฟิงจงเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะหลับตาเงื้อท่อนกระดูกสีขาวขึ้นแล้วทิ่มลงไปแรงๆ…
รอจนเฟิงจงลากงูเหลือมยักษ์ตัวนั้นออกมาจากป่าทึบ ฟางจวินเยี่ยที่ยังนั่งเช็ดกระบี่ยาวอยู่ที่เดิมก็ยกเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย เอ่ยเพียงประโยคเดียวด้วยท่าทีไม่ยินดียินร้าย “ก็มีฝีมืออยู่พอตัว”
เฟิงจงคลายมือแล้วหอบฮัก “ขอยืมพลังเซียนของเจ้าจุดเพลิงกสิณกองหนึ่งได้หรือไม่”
“ไม่ได้” ฟางจวินเยี่ยสอดกระบี่ลงในแกนม้วนภาพอย่างระมัดระวัง “ข้าเป็นเซียนต้องโทษ จุดเพลิงกสิณไม่ได้หรอก”
เฟิงจงจึงได้แต่ลงมือก่อไฟเอง
นับแต่ฉยงฉีติดตามเฟิงจง มันก็กินเนื้อสุกตามนางมาตลอด ทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นเนื้อสุกที่ซีกวงใช้เพลิงกสิณย่างอีกด้วย ปากของมันถูกปรนเปรอเสียจนไม่รู้รสของทั่วไปแล้ว วันนี้กินเนื้องูที่ย่างด้วยไฟธรรมดาจึงถึงกับออกอาการเลือกกิน มันใช้อุ้งเท้าจ้ำม่ำเขี่ยเนื้อไปมาอย่างรังเกียจรังงอน สุดท้ายก็ถูกเฟิงจงเขกกะโหลกหนหนึ่ง มันถึงได้เอาเนื้อใส่เข้าปากอย่างกล้ำกลืนฝืนทน
เฟิงจงสัมผัสได้แล้วว่าฟางจวินเยี่ยเป็นคนเฉยชายากเข้าใกล้ ทั้งพูดจาไม่มากนัก พอกินเสร็จนางจึงไปที่ริมธารน้ำด้วยตนเอง ล้างมือล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว กลับมาถึงข้างกองไฟนางก็เอนร่างนอนกับพื้นทันที
เรื่องสำคัญเร่งด่วนในตอนนี้ก็คือต้องพักบำรุงกำลังก่อน
ฟางจวินเยี่ยช้อนตาขึ้นก็เห็นแผ่นหลังของนางโดยบังเอิญ อาภรณ์สวรรค์บนร่างนางถูกลูกธนูกรีดขาดเป็นรูโหว่ เผยให้เห็นผิวกายบนแผ่นหลังรำไร เขาเบนสายตาไปมองฉยงฉีที่นอนแผ่อยู่ปราดหนึ่ง จากนั้นก็กอดม้วนภาพไว้แนบอก หลับตานั่งเข้าฌานต่อ
ไม่เกินสองชั่วยาม เขาได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงลืมตาขึ้น เห็นเฟิงจงกำลังอุ้มฉยงฉีเดินมุ่งลงเขาไป
“เจ้าจะไปไหน”
“ชิงถุงฟ้าดินคืนมา” เฟิงจงไม่กอดความหวังว่าฟางจวินเยี่ยจะช่วยเหลือ ศีรษะจึงไม่เคยเหลียวหลังแม้สักนิด
เมื่อใกล้จะถึงเชิงเขาแล้ว เสียงของฟางจวินเยี่ยก็ดังขึ้นที่เบื้องหลัง เขาถึงกับตามมาด้วย “สถานที่ที่เจ้าควรไปคือทะเลเขี้ยวพิโรธ”
“จำเป็นต้องชิงถุงฟ้าดินกลับมาก่อน” เฟิงจงหยุดฝีเท้า นางหยิบขนแผงคอม้าเส้นหนึ่งจากกล่องหุ้มแพรออกมาเสกเป็นอาชาเหิน ก่อนจะหิ้วตัวฉยงฉีไว้แล้วขึ้นขี่บนหลังม้า
ฟางจวินเยี่ยกดหลังม้าไว้ “เจ้าจงใจกระมัง คิดจะบีบให้ข้ายื่นมือไปจัดการกับปีศาจภูเขาเหล่านั้น”
“ไม่มีใครบีบบังคับเจ้า เรื่องนี้ไม่อยู่ในขอบเขตที่ซีกวงไหว้วาน เจ้าไม่ต้องสนใจก็ได้” เฟิงจงปัดมือเขาออก เพียงกระตุกขนแผงคอม้า อาชาเหินก็กระพือปีกขึ้น เหาะกลับไปตามทางเดิม
เนื่องจากมีถุงฟ้าดินคั่นกลาง จิตของหุ่นเวทที่สัมผัสได้จึงอ่อนแรงกว่าปกติ ระหว่างที่ขี่อาชาเหินเฟิงจงจึงต้องไล่ตามกลิ่นอายเบาบางนั้นอยู่บนฟ้า เนิ่นนานกว่าจะร่อนลงบนยอดเขาแห่งหนึ่ง
เบื้องหน้าสายตาเป็นลานเรียบอยู่หน้าถ้ำ มีประตูศิลาบานหนึ่งปิดสนิทอยู่ นางเดินเนิบนาบสองก้าวอยู่นอกประตู ก่อนจะหยิบท่อนกระดูกออกมาทิ่มที่ปลายนิ้ว ส่งผลให้หยาดเลือดหยดเผาะๆ ลงบนพื้น
ไม่ทันไรประตูใหญ่บานนั้นก็เปิดกว้าง ปีศาจภูเขากลุ่มหนึ่งสูดปากกลืนน้ำลายพลางยื่นจมูกดมตามกลิ่นออกมาตลอดทาง ปราดแรกที่มองเห็นนาง พวกมันก็พากันร้องก้องทันที “เป็นมนุษย์ผู้นั้น! มนุษย์ผู้นั้นถึงกับเอาตัวมาส่งถึงที่แล้ว!”
เฟิงจงดูดหยุดเลือดที่ปลายนิ้ว ก่อนจะอุ้มฉยงฉีขึ้นแล้วเดินเข้าประตูใหญ่ไปด้วยตนเอง “ข้าต้องการพบไต้อ๋องของพวกเจ้า”
คงเพราะไม่เคยพบเจอมนุษย์ที่ใจกล้าถึงเพียงนี้มาก่อน เหล่าปีศาจภูเขาจึงถอยหลังเข้าไปข้างในอย่างทึ่มทื่อ ปล่อยให้นางเดินเข้ามาได้อย่างราบรื่น
เมื่อพ้นจากทางเดินยาวสิบจั้งเศษแล้ว ภาพเบื้องหน้าสายตาก็พลันเปิดโล่ง ภายในถ้ำถึงกับกว้างขวางโอ่โถงอย่างยิ่ง เพดานถ้ำแขวนไข่มุกราตรีจนสว่างไสวดุจยามกลางวัน ประดับด้วยขื่อคานที่สลักเสลาวาดลวดลาย กับม่านแพรเนื้อโปร่งบางพลิ้ว เครื่องเรือนไม่ว่าจะโต๊ะ เก้าอี้ หรือตั่งนุ่มก็ล้วนมีพร้อมครบครัน ถึงกับมองไม่ออกว่ากำลังอยู่ใจกลางภูเขา
หลิ่วเซิงเดินอ้อมหลังม่านแพรออกมา ปากก็ต่อว่าอย่างหัวเสียไปพลาง “มีเรื่องอะไรถึงส่งเสียงดังเช่นนี้”
เฟิงจงเจอตัวหลิ่วเซิงแล้ว นางพลันตวาดเสียงเย็นทันใด “เอาถุงฟ้าดินของข้าคืนมา!” แม้แต่ฉยงฉียังกระโจนไปตะกุยใส่เขาหนึ่งอุ้งเท้า
หลิ่วเซิงกุมหน้าอกพลางถอยหลังไม่หยุด ลูกนัยน์ตาเขากลอกไปมารอบหนึ่ง ก่อนจะหมุนกายวิ่งไปที่ด้านหลังม่านแพรแล้วตะโกนเสียงดังลั่น “ไต้อ๋อง รีบมาดูเร็วเข้าขอรับ รีบมาดู ข้าน้อยช่วยท่านจับตัวแม่นางน้อยผู้นั้นมาแล้ว!”
เหล่าปีศาจภูเขาเพิ่งจะตามเข้ามาในถ้ำ พอได้ยินเสียงตะโกนของหลิ่วเซิงก็ร้องโวยวายอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง “หลิ่วเซิง! เจ้ามันไร้ยางอายสิ้นดี แย่งความชอบไปอีกแล้ว! ไต้อ๋องขอรับไต้อ๋อง เป็นพวกเราต่างหากที่จับนางมาได้!”
“รอให้ข้าไต้อ๋องได้ดูก่อน” ท่ามกลางเสียงเอะอะก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ฟังแล้วพลิกพลิ้วเย็นใจประหนึ่งเสียงหยกกระทบดังสะท้อนก้องไปทั่วขุนเขา
หลิ่วเซิงเดินนำหน้าออกมาก่อน มือข้างหนึ่งเลิกม่านแพร มืออีกข้างผายออกในท่าเชื้อเชิญ ผู้ที่เดินออกมาจากด้านหลังเป็นบุรุษผู้มีดวงหน้าขาวหมดจดริมฝีปากสีแดงชาด คิ้วตาหยาดเยิ้มทอดไมตรี อาภรณ์สีขาวกระจ่างเหนือกว่าหิมะ เรือนผมดุจเส้นไหมสีเงินทั้งศีรษะตรึงไว้ด้วยปิ่นหยก ทิ้งปลายผมยาวระอยู่เบื้องหลัง ยามเดินเหินจึงแกว่งไกวราวกับพวงหางสีเงินเส้นหนึ่งทิ้งตัวลงมา
ชั่วขณะหนึ่งเฟิงจงถึงกับยากจะจำแนกได้ว่าเขาเป็นบุรุษหรือสตรี นางจำต้องมองซ้ำอยู่หลายครา
“เป็นแม่นางน้อยผู้นี้เองหรือ” ไต้อ๋องผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ ลูบปลายคางพลางพยักหน้าติดๆ กัน “ไม่เลวเลย ไม่เลว”
เฟิงจงสูดได้กลิ่นปราณเซียนอันลึกล้ำและบริสุทธิ์จากบนร่างของเขา ทว่าในนั้นยังเจือกลิ่นอายของจิ้งจอกด้วยเล็กน้อย น่าจะเป็นเซียนจิ้งจอกที่มีตบะสูงส่งผู้หนึ่ง แต่ก็น่าแปลกที่กลิ่นอายจิ้งจอกเมื่อเทียบกับปราณเซียนของเขาแล้วกลับดูเบาบางเสียเหลือเกิน เบาบางเสียจนไม่คล้ายผู้ที่ถือกำเนิดในเผ่าจิ้งจอก ทว่าความรู้สึกนี้กลับดูคล้ายกลิ่นอายที่นางสูดดมได้ในอาคมมายาขณะเพิ่งเข้าสู่แดนฮุ่นตุ้น
เฟิงจงตระหนักได้ในทันที “ประเสริฐนัก! ที่แท้เจ้าก็คือเซียนจิ้งจอกที่ทำให้ข้าต้องอาคมจิ้งจอกพราวเสน่ห์!”
ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกเอ่ยปนยิ้มเย้า “ที่ข้าไต้อ๋องวางอาคมมายาไว้บริเวณทางเข้าระหว่างพิภพมนุษย์ก็เพื่อป้องกันพวกไม่รักษากฎเกณฑ์ลอบบุกรุกเข้ามา และผู้ที่จะถูกอาคมจิ้งจอกพราวเสน่ห์ได้นั้นย่อมต้องคิดฟุ้งซ่านอยู่แต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างบุรุษสตรีทั้งวัน จุ๊ๆ ที่แท้แม่นางน้อยก็หมกมุ่นถึงเพียงนี้!”
เขาพูดพลางเดินอ้อมไปถึงเบื้องหลังของเฟิงจง มองปราดเดียวก็เห็นรูโหว่บนอาภรณ์สวรรค์รูนั้นจึงส่ายหน้ากล่าว “ดูสิ เจ้ายังอวดผิวกายด้วย!” เขาพูดพลางยกมือสะบัดหนหนึ่ง อาภรณ์สวรรค์ก็คืนสู่สภาพเดิมแล้ว
เฟิงจงถูกเขาตอกหน้าเสียจนพูดจาไม่ออกทีเดียว
หลิ่วเซิงยิ้มตาหยีขณะยื่นหน้ามาสอบถาม “ไต้อ๋อง แม่นางน้อยผู้นี้มีร่างอายุวัฒนะ ที่ท่านจับตัวนางเพราะตั้งใจจะตกรางวัลให้พวกข้าน้อยทั้งหลายได้กิน หรือจะเก็บไว้อิ่มเอมเพียงลำพังเล่าขอรับ”
เหล่าปีศาจภูเขาที่อยู่ด้านข้างต่างน้ำลายยืดย้อยอย่างไม่อาจห้ามไว้ได้
ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกเหลือกตาใส่เขา “เจ้าโง่ยิ่งนัก นี่คือมนุษย์เชียวนะ รู้หรือไม่ว่าหายากเพียงใด! กินเข้าไปนับว่าสิ้นเปลืองแล้ว ย่อมต้องเลี้ยงดูเอาไว้สิ”
“หา?” หลิ่วเซิงตะลึงงัน
ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกคลี่ยิ้มอ่อนโยนประดุจสายน้ำ ก่อนเอ่ยวาจาแนบข้างหูเฟิงจง “แม่นางน้อย นับแต่โบราณมาพวกข้าก็อาศัยปราณมนุษย์เพื่อยังชีพ บัดนี้จนใจเหลือเกินที่มนุษย์สาบสูญกันไปหมด ทำให้ข้าไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงจากปราณมนุษย์มาเนิ่นนานแล้ว แม้เจ้าจะเป็นหญิงที่ไม่ค่อยเรียบร้อยนัก ทว่าอย่างน้อยก็เป็นมนุษย์ตัวเป็นๆ อยู่ ดังนั้นต่อไปเจ้าก็อยู่ข้างกายข้าเถอะ ข้าไต้อ๋องจะเลี้ยงดูเจ้าเองดีหรือไม่”
“ไต้อ๋องโปรดใคร่ครวญด้วยเถิด!” เหล่าปีศาจภูเขาต่างก็ร่ำไห้ทรุดฮวบกันเป็นแถบๆ ร่างอายุวัฒนะอยู่ตรงหน้าเช่นนี้แล้ว แต่กลับทำได้แค่มองไม่อาจกินเสียนี่ ไต้อ๋องมิใช่กำลังทิ่มแทงดวงใจของพวกมันอยู่หรือ!
เฟิงจงแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา “เกรงว่าเจ้าจะรับพลังปราณของข้าได้ไม่ไหว”
“ไม่เต็มใจ?” ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกขบคิดอย่างจริงจัง “ถ้าอย่างไรเจ้าเป็นฝ่ายเลี้ยงดูข้าไต้อ๋องก็ได้นะ”
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 ต.ค. 62)
Comments
comments
No tags for this post.