X
    Categories: ตื่นเสียทีจะไม่มีทายาทแล้ว!ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตื่นเสียทีจะไม่มีทายาทแล้ว! บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 14

บทที่หก

“ไม่ได้นะไต้อ๋อง!” หลิ่วเซิงก็ร้อนใจแล้วเช่นกัน

เฟิงจงไม่เอ่ยตอบ ฉวยตอนที่ยามนี้มีเสียงเอะอะดังขึ้น นางพลันโยนฉยงฉีในมือไปบนร่างของหลิ่วเซิง ฉยงฉีที่นางเพิ่งแอบป้อนยาลูกกลอนให้หนึ่งเม็ดขยายร่างขึ้นในพริบตา ชนกระแทกหลิ่วเซิงจนร่วงลงพื้นไปไม่พอ มันยังกระทืบอีกหนึ่งเท้าเหยียบร่างของเขาไว้ด้วย ขณะเดียวกันนางเองก็พลิกฝ่ามืออีกครา ส่งเชือกที่เล็กบางเส้นหนึ่งลอยไปรัดตัวไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกผู้นั้นไว้อย่างแน่นหนา

ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกผละถอยไปหลายก้าว ใบหน้าฉาบด้วยความเขินอายระคนขุ่นเคือง “ชอบเล่นเชือก? ไม่เพียงเป็นหญิงที่มีหูตาแพรวพราวเท่านั้น เจ้ายังมีความชื่นชอบเยี่ยงนี้ด้วย!”

“ไต้อ๋อง ท่านไม่เป็นไรกระมัง!” หลิ่วเซิงอยากไปช่วยแต่ก็จนปัญญา อาการช้ำในที่ถูกฟางจวินเยี่ยเล่นงานกลับมากำเริบอีกแล้ว นอกจากเขาจะไม่อาจหลุดออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของสัตว์ร่างใหญ่โตนี้ได้ มุมปากก็ยังมีเลือดซึมออกมาด้วย เขาจึงได้แต่ถลึงตาใส่เฟิงจงอย่างเคียดแค้น “แม่นาง ที่แท้เจ้าก็วางแผนร้ายมาก่อนแล้ว หากไม่อยากตายก็จงรีบปล่อยไต้อ๋องของข้าโดยเร็ว!”

เหล่าปีศาจภูเขารีบรุดจะเข้ามาช่วยเหลือ แต่พอเห็นเฟิงจงยื่นท่อนกระดูกในมือไปจ่อที่ลำคอไต้อ๋องของพวกมันแล้ว พวกมันก็ชะงักเท้าไปพร้อมกันทันใด ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าผลีผลาม

เฟิงจงชายตามองไต้อ๋องเซียนจิ้งจอก “เชือกมัดเซียนนี้มีแต่ข้าที่สามารถคลายออกได้ จงคืนถุงฟ้าดินของข้ามา แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป”

ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกเอ่ย “ข้าไต้อ๋องไม่มีถุงฟ้าดินของเจ้าหรอก แต่ถึงมีก็ไม่คืนให้ เจ้าอย่าได้ปล่อยตัวข้าออกไปเชียว”

เฟิงจงออกแรงที่มือ ท่อนกระดูกซึ่งจรดอยู่บนลำคอสีขาวหิมะของเขาก็ทิ่มลงไปจนเห็นรอยเลือด

หลิ่วเซิงทนเจ็บ แล้วเค้นเสียงตะโกนขึ้นทันที “ข้าคืน! ข้าคืนให้แล้ว! อย่าได้ทำร้ายไต้อ๋องของข้า!” เขาพูดพลางควักถุงฟ้าดินออกจากอกเสื้อด้วยสีหน้าไม่ยินยอม

เฟิงจงจรดนิ้วทำมุทรา ฉยงฉีก็คาบถุงฟ้าดินไว้แล้วส่งมาให้ถึงมือนาง ตอนนี้นางถึงได้ขยับท่อนกระดูกห่างออกมาจากลำคอไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกเล็กน้อย ดึงตัวเขาถอยไปยังทิศทางของปากถ้ำ

หลิ่วเซิงเอ่ยด้วยโทสะ “ยังไม่รีบปล่อยไต้อ๋องอีก!”

รอจนถอยไปถึงปากถ้ำ เฟิงจงก็ผลักไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกไปข้างหน้า ทางหนึ่งทำมุทราเรียกตัวฉยงฉีกลับมา อีกทางก็กลับหลังหันแล้วออกวิ่งทันใด

เหล่าปีศาจภูเขารีบประคองรับไต้อ๋องเอาไว้ ขณะเดียวกันฤทธิ์ยาในร่างฉยงฉีก็หมดลงพอดี มันพลิกตัวไม่กี่รอบก็หดเหลือตัวเล็กจ้อย ลอดผ่านกลุ่มปีศาจภูเขา วิ่งตามเฟิงจงไปอย่างแคล่วคล่องว่องไว

พอหลิ่วเซิงกุมหน้าอกคลานลุกขึ้นมาได้ เขาก็เรียกระดมเหล่าปีศาจภูเขาหมายไล่ตามเฟิงจงออกไป ทว่ากลับได้ยินไต้อ๋องของตนเอ่ยขึ้นประโยคเดียวว่า “ช่างเถอะ”

หลิ่วเซิงหยุดฝีเท้าหันขวับมาก็เห็นไต้อ๋องของเขาเพียงสะบัดร่างอย่างผ่อนคลาย เชือกมัดเซียนก็ร่วงหล่นกับพื้นแล้ว

“ไต้อ๋อง ไม่ให้ไล่ตามไปจริงหรือขอรับ” เหล่าปีศาจภูเขามองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“จะไล่ตามก็ต้องเป็นข้าไล่ตามไปเอง” ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกกวักมือเรียกเหล่าปีศาจภูเขา “มาๆ ไหนพวกเจ้าบอกข้ามาซิ รูโหว่บนเสื้อตรงแผ่นหลังของนางใช่ฝีมือยิงธนูของพวกเจ้าตอนไล่จับนางหรือไม่”

เหล่าปีศาจภูเขาประสานเสียงตอบ “เรียนไต้อ๋อง เป็นพวกเรายิงเอง!”

“เป็นฝีมือธนูของใครที่แม่นยำเช่นนี้ ข้าไต้อ๋องจะตกรางวัลให้อย่างงาม”

“ข้าๆๆ!” เสียงแย่งความชอบดังเป็นระลอกอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดล้วนบอกว่าเป็นตนเอง

ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกคลี่ยิ้มบางๆ “เช่นนั้นก็ตกรางวัลให้ทั้งหมดเลยแล้วกัน รางวัลก็คือห้ามพวกเจ้ากินอาหารเป็นเวลาสามวัน”

“หา?” เหล่าปีศาจภูเขาทึ่มทื่อไปทันที

ท่ามกลางความเงียบกริบและซึมเซาราวกับไร้ชีวิตนั้น พลันได้ยินเสียงประตูศิลาเปิดออกดังกังวาน ตามติดด้วยเสียงฝีเท้าอันเร่งร้อนดุจสายฝนรัวกระหน่ำ เฟิงจงถึงกับไปแล้วย้อนกลับมา

ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกรีบตรงไปต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เจ้าคิดตกแล้วสินะ เตรียมตัวจะเลี้ยงดูข้าไต้อ๋องแล้วใช่หรือไม่”

เฟิงจงไม่เหลือบแลเขาสักนิด ใบหน้าเคร่งขรึมจ้องเขม็งไปที่หลิ่วเซิง นางชูถุงฟ้าดินในมือขึ้น “หุ่นเวทที่อยู่ข้างในนี้หายไปไหนแล้ว”

นางกลับมาได้ถูกเวลายิ่งนัก หลิ่วเซิงได้รับความเจ็บปวดจากบาดแผลทั่วร่าง กำลังจะไปตามหานางเพื่อคิดบัญชีอยู่พอดี ดังนั้นจึงไม่พูดพร่ำทำเพลงพุ่งไปประชิดตัวนางในพริบตา แม้เขามีร่างเป็นเซียน ทว่าวิชาอาคมที่ใช้กลับมีกลิ่นอายชั่วร้ายแผ่ซ่านไปทั่ว นิ้วมือทั้งสิบงองุ้มเข้าเป็นกรงเล็บ หอบพาไอมารตะปบตรงเข้าใส่ใบหน้าของนางทันที

เฟิงจงปาดนิ้วมือบนท่อนกระดูกก่อนจะใช้แทงตรงออกไป มือของแต่ละฝ่ายยังไม่ทันได้สัมผัส คราบโลหิตบนท่อนกระดูกก็สลายไอมารที่ปลายนิ้วของหลิ่วเซิงจนไม่เหลือ

หลิ่วเซิงรีบหดมือถึงหลบรอดจากการแทงจู่โจมนั้นมาได้ หลังอาการตื่นตระหนกใหญ่ผ่านพ้นก็คือคลื่นโทสะอันรุนแรง เขาเร่งเร้าพลังอาคมอีกคราแล้วโจมตีซ้ำอีกรอบ ทันใดนั้นประกายสีเงินพลันวาบขึ้นที่เบื้องหน้าสายตา ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกยึดกุมข้อมือของเขาไว้แล้ว ทั้งสะบัดฝ่ามือตบใส่ท้ายทอยเขาด้วยหนึ่งฉาด “เหตุใดเจ้าถึงไร้หัวคิดเช่นนี้ไปได้ แม่นางน้อยพาหุ่นเวทมาด้วย นางก็ต้องมีการใช้สอยอย่างลับๆ ที่จะให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ได้ แต่เจ้าถึงกับทำหุ่นเวทของผู้อื่นหายไปแล้ว!”

ความดุร้ายของหลิ่วเซิงถูกเก็บงำไปจนสิ้น เขานวดคลึงท้ายทอยพลางตอบเฉไฉ “ผู้ใดจะรู้ว่านางใช่กำลังโยนความผิดมาปรักปรำกันหรือไม่ ไม่แน่ว่าตัวนางอาจนำหุ่นเวทไปซ่อนไว้แล้วมาหาความกันก็เป็นได้ ข้าน้อยไม่เคยเห็นหุ่นเวทอันใดนั่นเลยขอรับ”

ขณะจะต่อว่าด้วยโทสะ เฟิงจงพลันสังเกตเห็นว่าเชือกมัดเซียนที่ควรยังอยู่บนร่างของไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกได้หายไปแล้ว นางจึงตื่นตัวถอยหลังไปหนึ่งก้าว หมายกลับเข้าสู่ทางเดินที่เชื่อมต่อกับปากถ้ำ

หลิ่วเซิงมองเห็นอย่างรวดเร็ว ร่างเขาจึงขยับวูบไปขวางปากทางเดินไว้ “คิดหนีหรือ มนุษย์เช่นเจ้ากระทั่งเชือกมัดเซียนก็ยังมีในครอบครอง ของวิเศษอื่นก็ต้องมีอีกเป็นแน่ วันนี้ข้าจะให้เจ้าคายออกมาทั้งหมดเลย!”

เหล่าปีศาจภูเขาที่อยู่ด้านข้างพากันเอ่ยคล้อยตาม “พูดได้ถูกต้อง ชิงของวิเศษจากนาง แล้วก็ฆ่านางเอาเนื้อมากินกัน!”

พอได้ยินว่าพวกมันจะฉกชิงอาหารกับตนอีกแล้ว ฉยงฉีก็ร้องพูชืออย่างฉุนเฉียว แต่น่าเสียดายที่เสียงของมันถูกกลบหายไปท่ามกลางเสียงอึกทึกรอบด้าน

“หุบปาก!” แววตาดั่งมีระลอกน้ำของไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกเพียงกวาดมา ทั้งหมดก็เงียบกริบไปทันที “หากปราศจากปราณมนุษย์หล่อเลี้ยง ข้าไต้อ๋องก็จะต้องตกชั้นจากเซียนไปเป็นมารแล้ว ในหัวของพวกเจ้าก็รู้จักแต่กินๆๆ”

หลิ่วเซิงพองแก้มแล้วงึมงำเสียงเบา “เช่นนั้นก็เร้นกายเข้าสู่วิถีมารเหมือนอย่างข้าน้อยเสียสิ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ไหนๆ ที่นี่ก็เป็นแดนฮุ่นตุ้นอยู่แล้ว”

เพิ่งจะงึมงำจบ ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกก็โผล่ขึ้นที่เบื้องหลังของเขาพร้อมกระแอมด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ก่อนจะยกฝ่ามือประทับไปบนท้ายทอยของเขาอีกหนึ่งฉาด “เจ้านึกว่าข้าไร้หลักการเหมือนกับเจ้าหรือ”

หลิ่วเซิงกอดศีรษะแล้วทำตัวลีบแนบติดกับผนังทางเดิน

ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกเบือนหน้ากลับมาโปรยยิ้มให้เฟิงจง “แม่นางน้อย หากเจ้ารับปากจะเลี้ยงดูข้า ข้าก็จะไปช่วยเจ้าหาหุ่นเวทกลับคืนมา…เป็นอย่างไร”

เฟิงจงมองพิจารณาเขารอบหนึ่งตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “อาศัยอะไรให้ข้าเชื่อถือเจ้า”

“ก็อาศัยที่ฝีมือเจ้าสู้ข้าไต้อ๋องไม่ได้อย่างไรเล่า เจ้าไม่มีตัวเลือกอื่นแล้วล่ะ”

มีเหตุผลจริงเสียด้วย เฟิงจงลอบขุ่นเคืองอยู่ในใจ ขณะที่มือชี้ไปยังหลิ่วเซิง “ในเมื่อทุกคำของเขาล้วนไม่ยอมรับว่าเคยเห็นหุ่นเวทของข้า แล้วเจ้ากล้าลั่นวาจาว่าสามารถหาพบได้อย่างไร”

ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกลูบเส้นผมสีเงินที่ริมจอนของตนเอง “คำพูดเหล่านั้นของเขาหลอกผู้อื่นยังพอว่า ไหนเลยจะหลอกข้าไต้อ๋องได้ คาดว่าหุ่นเวทของเจ้าคงไม่พ้นถูกเอาไปขายทิ้งแล้วน่ะสิ”

หลิ่วเซิงตะลึงงัน “ไต้อ๋อง ท่านรู้แล้ว?”

ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกพลิกมือตบศีรษะลูกสมุนของตนเองไปอีกหนึ่งฉาด “เจ้าขายไปจริงหรือนี่! ข้าไต้อ๋องทำให้เจ้ายากไร้นักหรือ”

หลิ่วเซิงไม่คิดว่าผู้เป็นนายถึงกับหลอกเพื่อล้วงคำพูดของตนเองเช่นนี้ ถึงตอนนี้แม้เขาอยากจะร้องไห้ก็ไร้น้ำตาแล้ว “ไต้อ๋อง ท่านไม่อยู่ครั้งหนึ่งก็สิบวันครึ่งเดือน ข้าน้อยก็ต้องมีของไปแลกพวกโอสถวิเศษเอย อาวุธเทพเอย เพื่อมาเพิ่มพูนตบะกับพิทักษ์ยอดเขาบ้างสิขอรับ”

เฟิงจงโกรธจัด “นี่เจ้าถึงกับเอาเทพผู้หนึ่งไปขาย?”

หลิ่วเซิงแค่นเสียงฮึ “เทพอะไรกัน ก็แค่ร่างกลวงๆ เท่านั้นจะไปมีประโยชน์อะไร”

ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกฟาดซ้ำจุดเดิมอีกหนึ่งฝ่ามือ “เช่นนั้นเจ้าก็เอาข้าไต้อ๋องไปขายด้วยเสียเลยสิ!”

“ไต้อ๋องกล่าวหนักไปแล้วขอรับ ข้าน้อยไหนเลยจะกล้า!” หลิ่วเซิงหน้ามุ่ยพลางกระถดถอยไปไกลยิ่งกว่าเดิม

ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกกระแอมแห้งๆ ก่อนมองไปทางเฟิงจง “ว่าอย่างไร จะรับเลี้ยงข้าหรือไม่ หากรับเลี้ยง ข้าจะให้เขาพาเจ้ากับข้าไปไถ่ถอนหุ่นเวทของเจ้าคืนมาทันที”

ขณะที่เฟิงจงคิดคำนวณอยู่เงียบๆ ยังไม่ทันได้เอ่ยปากก็ได้ยินเสียงโครมดังขึ้นที่ประตูศิลา ครั้นหันหน้าไปมองก็พบว่าประตูถ้ำแหลกกระจุย เงาสีแดงสายหนึ่งพุ่งปราดเข้ามาแล้ว

หลิ่วเซิงร้องเสียงหลงทันทีที่เห็นผู้มาเยือน เหล่าปีศาจภูเขาต่างก็กรูกันมาห้อมล้อมอีกฝ่ายไว้ แต่ละตนแตกตื่นราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจ

“เจ้าก็คือผู้ที่ยึดครองเขาละแวกนี้? ไต้อ๋องถูซานปาฟางอะไรนั่นสินะ” ฟางจวินเยี่ยชักกระบี่ยาวออกจากแกนม้วนภาพบนแผ่นหลัง ก่อนมองไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

ไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกยกมือเป็นความหมายให้บรรดาลูกสมุนถอยหลังไป จากนั้นแค่นหัวเราะเสียงเย็นชา “โจรกระจอกจากที่ใดกัน กระทั่งยังไม่รู้นามของข้าไต้อ๋องก็กล้าบังอาจมาก่อเรื่องแล้ว ปาฟางอะไรของเจ้า ข้าไต้อ๋องมีนามว่าถูซานสือฟาง!”

เฟิงจงในใจกระตุกวูบ…ตระกูลถูซาน?

หลิ่วเซิงที่ตัวสั่นขยับมาฟ้อง “ไต้อ๋อง นี่ก็คือเจ้าหนูชุดแดงที่ข้าน้อยเคยบอกท่านขอรับ”

“อ้อ…” ถูซานสือฟางมองเหยียดด้วยหางตา “คิดจะมาชิงคนหรือชิงพื้นที่เล่า”

ฟางจวินเยี่ยควงกระบี่หนึ่งรอบแล้วปรายตามองเฟิงจงปราดหนึ่ง “มานี่ สายลมน้อย”

“ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าชื่อเฟิงจง” เดิมทีเฟิงจงนึกว่าเขาหัดเอาอย่างซีกวงที่เรียกนางว่าเมล็ดพันธุ์น้อย แต่แท้ที่จริงเขาจดจำนามของผู้อื่นไม่ได้เลยต่างหาก!

หนำซ้ำเขาก็ไม่ได้รู้สึกตัวเลยสักนิด

“ข้ารู้” ฟางจวินเยี่ยเอ่ย

เจ้ารู้กับผีน่ะสิ! เฟิงจงบริภาษอยู่ในใจ

ถูซานสือฟางรวบกระชับเฟิงจงเข้าสู่อ้อมอก “ที่แท้เจ้าก็มีนามว่าเฟิงจงนี่เอง อย่าไปแยแสเจ้าหนูนี่เลย เจ้ายังต้องเลี้ยงดูข้าไต้อ๋องอีกนะ”

ฟางจวินเยี่ยตวัดกระบี่แทงตรงมาทันใด ถูซานสือฟางเพียงสะบัดแขนเสื้อก็พลันบังเกิดลมพายุ สกัดคมกระบี่ของอีกฝ่ายไว้จนยากที่จะรุกคืบเข้ามาสักครึ่งชุ่น กระนั้นก็ยังส่งผลให้ปีศาจภูเขาที่อยู่ด้านหลังถูกลมพัดจนโงนเงนทรงตัวไม่อยู่เช่นกัน

“ทางเดินคับแคบ เหตุใดไม่ออกไปตัดสินฝีมือกันที่เบื้องนอกเล่า” ถูซานสือฟางผลักหนึ่งฝ่ามือกระแทกเขาให้พ้นทาง ก่อนจะจับจูงเฟิงจงเหินออกนอกถ้ำไป

ฟางจวินเยี่ยรีบไล่ตามออกไปทันที

เดิมทียอดเขาด้านนอกถ้ำแห่งนี้ก็ราบเรียบราวกับถูกปาดด้วยคมอาวุธ เหมาะแก่การประมือกันพอดี พอถูซานสือฟางเห็นฟางจวินเยี่ยตามออกมาด้วย เขาก็ดึงเฟิงจงไปไว้ด้านหลัง ส่วนตนเองตรงขึ้นไปรับมือฟางจวินเยี่ย บุรุษทั้งสองต่อสู้พัวพันจนยากจะแยกออกจากกันได้

ฉยงฉีใช้ช่วงขาเล็กสั้นของมันวิ่งตามมาจนถึงเบื้องหน้าเฟิงจงในที่สุด เฟิงจงอุ้มมันขึ้นมาแล้วถอยไปที่ริมผา สังเกตการต่อสู้อยู่ไกลๆ

ฟางจวินเยี่ยอุตส่าห์รุดมาถึงที่นี่ ช่างชวนให้เฟิงจงประหลาดใจยิ่งนัก นางย่อมหวังให้เขาเป็นผู้ชนะอยู่แล้ว มีเพียงชนะแล้วเค้นถามร่องรอยของหุ่นเวทออกมาได้ ถึงจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทว่าจนใจที่สถานการณ์จริงไม่ได้เรียบง่ายเช่นที่นางคิดไว้ ฟางจวินเยี่ยมีทั้งความเป็นเซียนและมารรวมอยู่ในกาย กระบวนท่าจู่โจมแพรวพราวพิสดาร ทว่าถูซานสือฟางผู้นั้นก็มีพลังฝีมือลึกล้ำ ไม่ตกเป็นรองแต่อย่างใด หากสู้กันต่อไปเช่นนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องเสียเวลาอีกนานเท่าไร ถ้าตามหาหุ่นเวทกลับมาไม่ได้ก็แย่น่ะสิ

ทันใดนั้นเส้นสีขาวสายหนึ่งก็พลันกรีดเข้ามาในวงต่อสู้ เงาร่างสีแดงและสีขาวของบุรุษทั้งสองต่างก็ชะงักกึกโดยจิตใต้สำนึก และพบว่าสิ่งที่ปักตรึงอยู่บนพื้นเบื้องหน้าพวกเขาก็คือกระดูกสีขาวท่อนหนึ่ง

“เลิกสู้กันได้แล้ว” เฟิงจงเดินมามองถูซานสือฟาง “บรรพชนของจิ้งจอกเก้าหางตระกูลถูซานเป็นศิษย์ของมหาเทพหนี่ว์วา มีไมตรีคบหากับข้ามิใช่ผิวเผิน ในเมื่อเจ้าถือกำเนิดในตระกูลถูซาน ข้าก็จะรับปากเจ้า ขอเพียงเจ้าพาข้าไปตามหาหุ่นเวทจนพบ ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าเป็นเวลาสิบวัน”

“แค่สิบวัน?” ถูซานสือฟางไม่เต็มใจอยู่บ้าง

เฟิงจงดึงท่อนกระดูกขึ้นจากพื้น “ปราณมนุษย์สิบวันนี้ก็เพียงพอจะหล่อเลี้ยงเจ้าได้นับพันปีแล้ว เจ้าเห็นข้าเป็นมนุษย์ทั่วๆ ไปอย่างนั้นหรือ”

ถูซานสือฟางขบคิดเล็กน้อย “เอาเถอะ เช่นนั้นก็สิบวัน” เขาพูดจบแล้วก็หันไปเรียกหลิ่วเซิงที่อยู่ในถ้ำ สั่งให้อีกฝ่ายนำทางไปตามหาหุ่นเวททันที

ฟางจวินเยี่ยเอากระบี่ไพล่ไว้ด้านหลัง เดินมุ่นคิ้วมาถึงเบื้องหน้าเฟิงจงแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “เลี้ยงดูเขามันหมายความว่าอย่างไร”

เฟิงจงกล่าว “ก็แค่ให้เขาคอยติดตามข้าเท่านั้นเอง หากเจ้าเห็นว่าเป็นภาระ เจ้าจะไม่ไปต่อก็ได้ แค่ที่เจ้ายอมมาช่วยข้าก็นับว่าซาบซึ้งใจมากแล้ว” นางพูดพลางเดินไปทางถูซานสือฟางอย่างเร่งรีบ

ฟางจวินเยี่ยเก็บกระบี่แล้วตามไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

เพียงมองเห็นฟางจวินเยี่ย หลิ่วเซิงก็รู้สึกว่าหน้าอกคล้ายถูกไม้ใหญ่กดทับจนหายใจไม่ทั่วท้อง ครั้นมองเห็นเฟิงจง เขาก็รู้สึกเหมือนถูกสัตว์ตัวโตกระทืบจนกระดูกแทบหักท่อน พอมองเห็นไต้อ๋องนายตน เขาก็รู้สึกว่าท้ายทอยยังคงปวดแปลบแสบร้อนไม่หาย ทว่ายามนี้คนทั้งสามล้วนอยู่บนเมฆก้อนเดียวกับเขาเสียนี่ เขาจึงได้แต่นั่งตัวลีบอยู่ที่ขอบเมฆ แทบอยากใช้วิชาพรางกายเสียเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ

ยอดเขาที่ถูซานสือฟางพำนักอยู่ลูกนี้ไม่มีชื่อ พวกหลิ่วเซิงจึงเรียกขานอย่างง่ายๆ ว่าภูเขาไร้นาม เดินทางจากภูเขาไร้นามแห่งนี้ไปทางตะวันตกห้าสิบหลี่ก็เป็นภูเขาหลินซาน บนยอดเขามีปีศาจเฒ่าผู้หนึ่งรับซื้อของวิเศษและอาวุธเทพโดยเฉพาะ เนื่องจากไร้ชื่อไร้แซ่ ปีศาจเฒ่าจึงถูกผู้อื่นเรียกขานว่า ‘ผู้เฒ่าหลินซาน’ หลิ่วเซิงก็ขายหุ่นเวทให้กับเขานี่เอง โดยแลกได้ทวนคมขวาน* ประหารวิญญาณมาเล่มหนึ่ง ซึ่งหลิ่วเซิงหมายจะนำไปต่อกรกับฟางจวินเยี่ย

ฟางจวินเยี่ยฟังจบก็กวาดตามองหลิ่วเซิงปราดหนึ่ง “ขุนพลพ่ายศึก ข้าจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเคยประมือกับเจ้ามาก่อน”

หลิ่วเซิงโกรธจนสีหน้าเขียวคล้ำ

แค่อาวุธผุๆ ชิ้นเดียวก็ขายแลกกับเทพผู้หนึ่งได้? ขณะที่เฟิงจงแค้นใจจนอยากจะเตะหลิ่วเซิงให้ตกก้อนเมฆไปประเดี๋ยวนี้ ทางด้านถูซานสือฟางก็ได้ถีบหนึ่งเท้าออกไปแล้ว “จงคลานไปเอง ข้าไต้อ๋องเห็นเจ้าแล้วโมโหยิ่งนัก!”

เสียงโอดครวญของหลิ่วเซิงที่แว่วมาจากเบื้องล่างเริ่มปนด้วยเสียงสะอื้นแล้ว “ไต้อ๋องโปรดระงับโทสะลงด้วย ข้าน้อยไม่กล้าอีกแล้วขอรับ!”

เพียงไม่นานกลุ่มของเฟิงจงก็มาถึงภูเขาหลินซาน ถูซานสือฟางเพิ่งจะขี่เมฆลงต่ำ เฟิงจงก็กระโดดลงไปก่อนแล้ว นางวางฉยงฉีที่อยู่ในมือลงพื้นแล้วมุ่งหน้าตามมันไป หลังจากลัดเลาะไปมาไม่นานนัก พวกนางก็หยุดอยู่เบื้องหน้าถ้ำภูเขาแห่งหนึ่ง

เฟิงจงย่างเท้าเดินนำเข้าไปก่อน แม้ภายในถ้ำจะมืดมิด แต่ก็ยังพอมองเห็นอาวุธของวิเศษจำนวนหนึ่งแขวนอยู่บนผนังได้รางๆ ทั้งหมดล้วนเป็นอาวุธแปลกอัศจรรย์ที่หาได้ยากยิ่ง ผู้เฒ่าซึ่งมีผมเผ้าและหนวดเคราขาวโพลนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กึ่งกลางถ้ำ ยกเปลือกตาขึ้นข้างหนึ่งมองนางแล้วปิดลงเช่นเดิม “มาซื้อหรือมาขาย”

“เทพที่หลิ่วเซิงขายให้เจ้าผู้นั้นเล่า”

ผู้เฒ่าลืมตาขึ้นอีกครา ครั้นเห็นเงาร่างหนึ่งแดงหนึ่งขาวเดินตามหลังนางเข้ามา ผู้เฒ่าก็จดจำถูซานสือฟางได้ในปราดเดียว เขารีบส่ายหน้าตอบว่า “ข้าไม่เห็นจะจำได้ว่าเคยซื้อเทพอะไรมาจากหลิ่วเซิง เทพเซียนไหนเลยจะสามารถซื้อขายกันได้”

ฟางจวินเยี่ยไม่อยากเสียเวลา เขาจึงทำท่าจะชักกระบี่ออกมาแล้ว “ไยต้องเปลืองวาจากับเขาเล่า ลงมือตรงๆ เขาก็สารภาพแล้ว”

“ขะ…ข้าจำไม่ได้จริงๆ!” ผู้เฒ่าสัมผัสได้ถึงปราณเซียนบนร่างของฟางจวินเยี่ยแล้ว จึงลุกขึ้นถอยห่างไปอย่างลนลาน

ทว่าถูกถูซานสือฟางคว้าสาบเสื้อไว้ในคราวเดียว สองตาของไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกจ้องผู้เฒ่าอย่างแน่วนิ่ง ไม่ถึงชั่วพริบตาแววตาของผู้เฒ่าก็พลันว่างเปล่าเลื่อนลอย จากนั้นถูซานสือฟางก็ถามขึ้นเรียบๆ “พูดมาเถอะ เจ้าขายต่อให้ผู้อื่นแล้วใช่หรือไม่”

“ข้าขายต่อให้…” ผู้เฒ่าถูกอาคมมายาเข้าแล้ว ขณะกำลังจะเอ่ยตอบ นอกถ้ำก็พลันมีเสียงตวาดกร้าวของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน ผู้เฒ่าสะดุ้งตื่นทันใด เขารีบปล่อยหมอกปีศาจออกไประลอกหนึ่ง พอหลุดจากมือของถูซานสือฟางได้แล้ว เขาก็ซุกร่างเข้ามุมโดยไม่กล้าสบตากับไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกอีก

เฟิงจงสะบัดหน้าไปมองอย่างหัวเสีย ก่อนจะเห็นปีศาจสาวหน้าตาดุร้ายผู้หนึ่งฉุดดึงหนุ่มน้อยชุดสีขาวอีกคนเดินเข้ามา จากนั้นนางก็ผลักหนุ่มน้อยผู้นั้นล้มคว่ำกับพื้นในคราวเดียว เขาล้มลงตรงหน้าเฟิงจงพอดี…ที่แท้เขาก็คือหุ่นเวทของข้า!

ปีศาจสาวเท้าเอวพลางด่ากราด ยกตนขึ้นเป็น ‘มารดา’ ของอีกฝ่ายอย่างฉุนเฉียว “เจ้าเฒ่าหลินซานตัวดี ถึงกับบังอาจหลอกลวงมารดาเชียวรึ! ไม่ใช่เจ้าหรือที่พูดว่าดูดซับพลังหยางของเทพผู้นี้แล้วมารดาจะได้กลายเป็นเซียน แต่นี่กระทั่งกล่องดวงใจของเขาก็ยังไม่มีเลย แล้วเจ้าจะให้มารดาไปดูดซับพลังหยางของเขาได้อย่างไร!”

ผู้เฒ่าหลินซานที่อยู่มุมหนึ่งของถ้ำรีบส่งสายตาให้ปีศาจสาวสุดชีวิต แต่ก็ล้วนไม่เป็นผล ดวงหน้าของเขาจึงซีดเผือด ไม่กล้ามองพวกเฟิงจงทั้งสามที่อยู่อีกด้านหนึ่ง

เฟิงจงพยุงหุ่นเวทลุกขึ้นมา เห็นอาภรณ์ของเขารุ่ยร่าย ตรงหน้าอกมีรอยฟกช้ำอยู่หลายแห่ง ตามใบหน้าและลำคอยังเปื้อนชาดทาปากของปีศาจสาวนั่นอยู่เลย เพลิงโทสะพลันปะทุขึ้นในใจเฟิงจงทันที ต่อให้แรกเริ่มนางกับเขาจะอยู่ร่วมกันอย่างไม่ปรองดองเพียงใด นางก็ไม่เคยให้เขาได้รับความอัปยศเช่นนี้มาก่อน แค้นนี้หากไม่ชำระ คงได้รู้สึกผิดต่อเขาที่ช่วยนางจนต้องสละดวงจิตในครั้งนั้นเป็นแน่!

เฟิงจงใช้มือข้างหนึ่งหยิบกล่องหุ้มแพรออกมา นางเพิ่งคิดจะเก็บกวาดปีศาจที่อยู่ตรงหน้าทั้งสองตนนี้พร้อมๆ กัน ถูซานสือฟางก็เดินก้าวยาวขึ้นหน้าไปก่อนแล้ว ทั้งยังใช้สันมือฟาดลงบนบ่าของปีศาจเฒ่านั่นทันที

ผู้เฒ่าหลินซานแผดร้องโหยหวน ร่างครึ่งซีกพลันขยับเขยื้อนไม่ได้ เขารีบตะโกนลั่นอย่างร้อนรน “ไต้อ๋องไว้ชีวิตด้วย! ไต้อ๋องไว้ชีวิตด้วยขอรับ!”

ถูซานสือฟางไม่ไยดี กระทั่งซัดฝ่ามือแล้วฝ่ามือเล่าจนอีกฝ่ายคืนร่างเดิมแล้ว เขาก็ยังไม่คลายโทสะ หลังจากปัดๆ มือพลางยืดกายจัดสาบเสื้อของตนให้เข้าที่แล้ว ถูซานสือฟางจึงสบถทิ้งท้ายอีกประโยค “ต่ำช้าสารเลว!”

เฟิงจงมองเขาอย่างตกตะลึง แม้แต่ฟางจวินเยี่ยก็ยังประหลาดใจที่เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟถึงขั้นนี้

ปีศาจสาวผู้นั้นมองดูจนทึ่มทื่อไปแล้ว ตอนนี้ถึงค่อยได้สติราวกับเพิ่งตื่นจากห้วงฝัน นางรีบชักเท้าหมายเผ่นหนี ทว่าหัวไหล่กลับหนักอึ้ง นางหันหน้าไปก็ปะทะเข้ากับดวงหน้าซึ่งฉาบรอยยิ้มเยียบเย็นของถูซานสือฟาง

“ที่ข้าไต้อ๋องดูแคลนเป็นที่สุดก็คือปีศาจที่เกียจคร้านรักสบายอย่างพวกเจ้า วันทั้งวันเพ้อฝันแต่จะก้าวขึ้นสวรรค์ในคราวเดียว แต่ไม่ยอมหมั่นฝึกบำเพ็ญตน สมน้ำหน้าแล้วที่จะต้องแตกดับเป็นเถ้าธุลี” ปลายนิ้วของเขาที่กดอยู่บนหัวไหล่ของปีศาจสาวพลันบังเกิดเพลิงกสิณลุกโหมขึ้น นางรีบป้องหัวไหล่พลางร้องครางเสียงโหยหวน ก่อนจะตั้งท่าเตลิดหนีออกจากถ้ำไป ทว่าไม่ทันไรร่างนางก็กลายเป็นเถ้าธุลีสลายไปหมดสิ้นแล้ว

เฟิงจงเพียงรู้สึกสาสมใจ นางพรูลมหายใจอย่างปลอดโปร่งก่อนเอ่ยชม “ทำได้ดียิ่ง ข้าตัดสินใจใหม่แล้ว ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าเรื่อยไปจนกระทั่งอำลาแดนฮุ่นตุ้นถึงค่อยแยกย้าย”

“จริงหรือ!” โทสะของถูซานสือฟางพลันสลาย หน้าตาระรื่นชื่นบานของเขาประชิดเข้ามาใกล้

ฟางจวินเยี่ยแค่นเสียงฮึเบาๆ “เช่นนั้นไม่ต้องพาเขาไปทะเลเขี้ยวพิโรธด้วยหรือ”

“ก็พาไปด้วยแล้วกัน นับว่าได้ผู้ช่วยมาเพิ่มอีกแรงพอดี” เฟิงจงเช็ดมือเช็ดหน้าให้หุ่นเวทจนสะอาดสะอ้าน จัดแต่งสาบเสื้อให้เขาเรียบร้อย ก่อนจะเก็บเขาเข้าถุงฟ้าดินอย่างระมัดระวัง ครานี้นางบรรจงเก็บซ่อนถุงฟ้าดินไว้ในอกเสื้อ จากนั้นค่อยนำฉยงฉีเดินออกจากถ้ำภูเขาไป

ฟางจวินเยี่ยปรายตามองถูซานสือฟางด้วยแววตาเยียบเย็น ก่อนจะเดินตามออกไป

ถูซานสือฟางสะบัดปลายผมเล็กน้อย “มองอะไรของเจ้าเล่า หากไม่พอใจนักเจ้าจะไม่ไปด้วยก็ได้นี่ ข้ายังรังเกียจที่เจ้าคอยวุ่นวายเสียด้วยซ้ำ”

หลังเดินเนิบนาบออกมาจากถ้ำภูเขา หลิ่วเซิงที่หน้าตามอมแมมก็ปรี่มาถึงเบื้องหน้า ถูซานสือฟางจึงแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา “คลานมาได้เร็วอยู่นี่”

“ไต้อ๋องโปรดระงับโทสะก่อนขอรับ!” หลิ่วเซิงโถมเข้ามากอดขาผู้เป็นนายไว้พลางเอ่ยวิงวอน “ต่อไปข้าน้อยไม่กล้าอีกแล้วจริงๆ”

ถูซานสือฟางถีบเขาออกห่าง “เห็นแก่ที่เจ้าเพิ่งกระทำผิดครั้งแรก ข้าจะละเว้นเจ้าสักครั้ง จงกลับไปเฝ้ายอดเขาให้ดี ข้าไต้อ๋องจะไปทะเลเขี้ยวพิโรธสักรอบหนึ่ง”

“หา? ไต้อ๋องท่านจะไปข้างนอกอีกแล้วหรือขอรับ ท่านแทบจะอยู่ไม่ติดถ้ำเลยสักวัน หากยอดเขาของพวกเราถูกปีศาจมารฝั่งตรงข้ามบุกโจมตีอีก จะทำอย่างไรดีขอรับ!”

“กลัวอะไรกันเล่า! หากพวกมันบุกมาจริง พวกเจ้าก็วิ่งหนีไม่เป็น?” ถูซานสือฟางร้องชิ พอหันหน้าไปก็เห็นฟางจวินเยี่ยพาเฟิงจงเหยียบขึ้นก้อนเมฆไปแล้ว เขาจึงรีบตามไปทันใด

ทิ้งให้หลิ่วเซิงยืนตะลึงอยู่ที่เดิมเพียงผู้เดียว

แดนฮุ่นตุ้นกว้างใหญ่ไพศาลอย่างที่พิภพมนุษย์เทียบไม่ติด และทะเลเขี้ยวพิโรธยังตั้งอยู่ที่ปลายสุดของดินแดนนี้ ต่อให้ขี่เมฆไปก็ใช่ว่าชั่วครู่ชั่วยามจะสามารถไปถึงได้

เดิมทีฟางจวินเยี่ยอาศัยอยู่ละแวกนั้นอยู่แล้วจึงชำนาญเส้นทางเป็นอย่างยิ่ง ตลอดการเดินทางครานี้จึงให้เขาเป็นผู้นำทาง เขาดูเหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพียงขี่เมฆมุ่งไปโดยไม่เคยหยุดพักแม้ชั่วขณะเดียว

ฉยงฉีที่งีบหลับพิงอยู่กับตักของเฟิงจงแลบลิ้นเลียริมฝีปากไปพลางละเมอร้องพูชือพูชือไปพลาง ทว่าจู่ๆ มันก็สะดุ้งตื่น กระโดดโหยงขึ้นมาตะกุยชายเสื้อของนางพร้อมเสียง “พูพูชือชือพู!”

ถูซานสือฟางที่นั่งอยู่ด้านข้างยิ้มแล้วถอดความให้ “มันบอกว่ามันหิวแล้ว ต้องการกินเนื้อ”

เฟิงจงนั่งขัดสมาธิหลับพักสายตาอยู่ นางเอ็ดมันหนึ่งประโยคทันทีที่ลืมตา “จอมตะกละ นอกจากนอนก็เอาแต่กิน!”

ฉยงฉีโวยวายเสียงดังลั่น “พูชือชือพูชือ!”

ถูซานสือฟางพูดเลียนแบบน้ำเสียงของมัน “แล้วตอนที่เจ้าออกคำสั่งใช้งานข้า เหตุใดไม่พูดอะไรบ้างเล่า!”

เฟิงจงจ้องถูซานสือฟางตาเขม็งทันใด

“เป็นอะไรไป” ถูซานสือฟางลูบใบหน้าตนเองก่อนจะคลี่ยิ้มเอียงอาย “ข้าไต้อ๋องก็รู้อยู่หรอกว่าตนเองมีรูปโฉมชวนมองเพียงใด แต่เจ้าก็ต้องรู้จักสำรวมบ้างสิ”

“เจ้าคิดมากไปแล้ว เพียงแค่ท่าทางของเจ้าเมื่อครู่นี้ทำให้ข้านึกถึงใครบางคนก็เท่านั้น” เฟิงจงเบนสายตาไป หยิบเนื้องูย่างที่ห่อด้วยใบไม้ออกมาจากแขนเสื้อ วางลงตรงหน้าฉยงฉีหนึ่งชิ้น นี่เป็นเนื้อที่นางเก็บไว้ให้มันโดยเฉพาะ

“เป็นผู้ใดหรือ” ถูซานสือฟางกระเถิบเข้ามาใกล้ “เทียบกับข้าแล้วเป็นอย่างไร”

เฟิงจงปรายตามองเขาปราดหนึ่ง “เป็นชายชาตรีมากกว่าเจ้า”

“แล้วอย่างไรอีก”

“มีน้ำใจกว่าเจ้า”

“อย่างไรอีกเล่า เป็นอย่างไรอีก”

ไฉนรู้สึกว่าเขาดีอกดีใจไม่เบาทีเดียว เฟิงจงมุ่นคิ้ว เอ่ยอย่างไม่พอใจ “เอ่ยวาจาน้อยกว่าเจ้า”

ถูซานสือฟางเบ้ปาก กระเถิบร่างออกไปได้เสียที

ฉยงฉีอุ้มเนื้องูขึ้นกินจนหมดเกลี้ยง หลังจากเลียอุ้งเท้าด้วยสีหน้าที่ยังไม่จุใจ มันก็ปัดป่ายชายเสื้อของเฟิงจงพลางออดอ้อนเสียงดัง “พูชือพูชือ”

“ถ้าอย่างไรหยุดพักสักครู่ ล่าเนื้อจำนวนหนึ่งมาให้มันกินเสียให้อิ่มหนำดีหรือไม่ เจ้าเองก็ควรจะกินอาหารได้แล้ว” ถูซานสือฟางถามเฟิงจงไปพลาง ใช้มือข้างหนึ่งขยี้ศีรษะของฉยงฉีไปพลาง ฉยงฉียกอุ้งเท้าขึ้นตบเขาสองหน แต่ก็ถูกเขาหลบพ้นทั้งสิ้น มันจึงได้แต่โมโหโดยที่ทำอะไรไม่ได้ ปล่อยให้เขาขยำขยี้ศีรษะมันตามอำเภอใจ

เฟิงจงหลับตานั่งสมาธิต่อ “ให้มันทนไปก่อน เรื่องสำคัญเร่งด่วนตอนนี้คือต้องไปทะเลเขี้ยวพิโรธ”

“มิผิด” ฟางจวินเยี่ยซึ่งเดิมทีไม่พูดจาสักคำถึงกับเอ่ยคล้อยตามหนึ่งประโยค

ถูซานสือฟางมองดูสีคล้ำที่ใต้ตาของเฟิงจง ก่อนจะขยี้ศีรษะฉยงฉีต่อโดยไม่ส่งเสียงอีก

ชั้นเมฆสีแดงเลือดที่ขอบฟ้าเคลื่อนไม่หยุด เบื้องล่างหาใช่ทิวเขาที่พบเห็นได้ทุกหนแห่งเช่นเมื่อแรกอีก สภาพพื้นที่เป็นพื้นราบขึ้นเรื่อยๆ ต้นไม้ก็แน่นขนัดขึ้นทุกที กระทั่งสายลมที่โชยมายังมีไอชื้นเจือปน

เฟิงจงลืมตาแล้วลุกขึ้นยืนบนก้อนเมฆ “น่าจะใกล้ถึงแล้วกระมัง”

“ใช่หรือ” ถูซานสือฟางยืนขึ้นตาม จากนั้นพลันยกมือตีใส่ต้นคอของเฟิงจง ร่างนางพลันอ่อนระทวยทรุดลงในอ้อมแขนที่อ้ารออยู่แล้วของเขา

ฉยงฉีร้องพู เกร็งลำตัวขึ้นในพริบตา

ส่วนฟางจวินเยี่ยก็พร้อมจะชักกระบี่ออกมาทุกเมื่อ “เจ้าคิดจะทำอะไร”

“ไม่ได้จะทำอะไร เพียงแค่รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเร่งรีบถึงเพียงนี้ แดนฮุ่นตุ้นไม่แบ่งแยกทิวาราตรี นางเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา วิ่งวุ่นต่อเนื่องจนถึงป่านนี้ก็จำเป็นต้องพักผ่อนแล้ว” ถูซานสือฟางตวัดแขนเสื้อวาดมือขึ้นครั้งหนึ่ง ก้อนเมฆก็แยกออกเป็นสองส่วน เขาช้อนตัวฉยงฉีมาแล้วโอบร่างเฟิงจงไว้ จากนั้นขี่เมฆครึ่งก้อนลงไปหยุดที่พื้นเบื้องล่าง

ฟางจวินเยี่ยชะงักอยู่บนเมฆอีกครึ่งก้อน ก่อนจะตามลงมาในที่สุด แม้เขาจะไม่มีท่าทางพร้อมชักกระบี่อีก ทว่าสีหน้าก็ไม่ได้เป็นมิตร “ทางที่ดีเจ้าอย่าได้คิดการไม่ซื่อ”

รอจนอุ้มเฟิงจงไปที่ข้างต้นไม้ใหญ่แล้วจัดให้นางได้นอนราบ ถูซานสือฟางจึงค่อยหรี่ตาคลี่ยิ้มให้เขา “วาจานี้สมควรให้ข้าไต้อ๋องพูดกับเด็กน้อยเช่นเจ้ามากกว่ากระมัง”

ยามที่เฟิงจงรู้สึกตัวตื่น กลิ่นหอมยวนใจของเนื้อย่างก็โชยมาปะทะจมูก ยังคงเป็นกลิ่นหอมอันคุ้นเคยที่มาจากการย่างด้วยเพลิงกสิณ

เบื้องหน้าสายตามีกองไฟลุกโชติช่วงอยู่ ถูซานสือฟางนั่งอยู่ด้านข้างกำลังหยิบเนื้อย่างชิ้นหนึ่งป้อนให้ฉยงฉี พอเห็นว่านางลืมตาขึ้นแล้ว เขาก็รีบหยิบเนื้อย่างที่มีน้ำมันไหลเยิ้มชิ้นหนึ่งจากบนกองไฟมายื่นส่งให้นาง “กินสิ”

เฟิงจงหน้าบึ้งขณะรับเนื้อมา “เจ้าตีข้าทำไม”

ฟางจวินเยี่ยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา

ถูซานสือฟางเท้าคางโปรยยิ้มให้นาง “ข้าไต้อ๋องเป็นห่วงว่าเจ้าจะเหนื่อยตายเสียก่อน หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีปราณมนุษย์มาหล่อเลี้ยงข้าน่ะสิ”

ได้ยินเขาพูดขึ้นมาเช่นนี้ เฟิงจงก็รู้สึกหิวแล้วจริงๆ ทว่าจับเนื้อชิ้นนั้นขึ้นมากินได้แค่ไม่กี่คำนางก็ยืนขึ้น “รีบไปกันดีกว่า การเดินทางคราวนี้ข้าเสียเวลาไปไม่น้อยแล้ว จะชักช้าอีกไม่ได้”

ฟางจวินเยี่ยลุกขึ้นราวกับรอคอยประโยคนี้ของนางอยู่นานแล้ว

ถูซานสือฟางส่ายหน้าอย่างจนใจ พลางเดินเนิบนาบตามไปขึ้นก้อนเมฆ

ทะเลเขี้ยวพิโรธอยู่ไม่ไกลแล้วจริงๆ เพียงแค่ยืนบนก้อนเมฆก็สามารถได้ยินเสียงคลื่นทะเลที่ซัดโหมได้

เฟิงจงกับฟางจวินเยี่ยล้วนเพ่งมองตรงไปเบื้องหน้าอย่างใจจดใจจ่อ ผิดกับถูซานสือฟางที่นั่งมองลงไปเบื้องล่างจากบนก้อนเมฆในอาการเบื่อหน่าย ครั้นผ่านหนองน้ำแห่งหนึ่ง สายตาของเขาก็ชะงักกึก หรี่ตาพินิจมองโดยละเอียด เพียงเห็นคลับคล้ายคลับคลาว่ามีเงาร่างในชุดสีม่วงอันคุ้นตาอยู่กลางที่ลุ่มริมหนองน้ำ เขาทันเห็นเพียงเท่านั้น ก้อนเมฆก็ลอยออกไปไกลจนไม่เห็นอื่นใดอีก

“ถึงแล้ว!”

เสียงของเฟิงจงดึงความสนใจของถูซานสือฟางกลับมา เขาลุกขึ้นพลางทอดสายตามองไปไกลๆ เห็นตรงเส้นขอบฟ้าค่อยๆ ปรากฏผืนทะเลกว้างใหญ่ น้ำทะเลที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดนั้นมีสีดำเข้มปานน้ำหมึก ริมฝั่งมีแต่โขดหินสลับกับชะง่อนผาสูงชัน และมีเสียงซ่าๆ ดังขึ้นยามเมื่อน้ำทะเลซัดสาด

พอฟางจวินเยี่ยขี่เมฆร่อนลงไป เฟิงจงก็ก้าวเท้ายาวๆ วิ่งไปถึงริมชะง่อนผา นางระบายลมหายใจยาวท้ารับเสียงลมทะเลที่อื้ออึง

ของวิเศษเอ๋ย…ในที่สุดข้าก็มาถึงจนได้!

ฟางจวินเยี่ยเดินมาสอบถาม “ถึงทะเลเขี้ยวพิโรธแล้ว…จากนั้นเล่า”

เฟิงจงชะงักไปเล็กน้อย เพียงเอ่ยประโยคเดียวว่า “รอประเดี๋ยว” จากนั้นนางก็นั่งลงหลับตา

ถูซานสือฟางกับฟางจวินเยี่ยล้วนไม่รู้เป้าหมายของนางจึงไม่กล้ารบกวน ผ่านไปพักใหญ่นางถึงได้ยืนขึ้น เดินมุ่งหน้าไปอย่างคึกคักลิงโลด “ไปกันเถอะ ข้านึกสถานที่ออกแล้ว”

ฟางจวินเยี่ยเดินตามมากล่าว “ความจำของเจ้าออกจะแย่เกินไปแล้ว แค่ต้องไปที่จุดไหนก็ยังหลงลืมได้”

เฟิงจงมองฟางจวินเยี่ยด้วยสายตาพิกลหนหนึ่ง…แล้วพวกที่จำไม่ได้กระทั่งนามของผู้อื่นนี่มีหน้ามาสั่งสอนข้าด้วยหรือ ข้านิทรามาตั้งหลายพันปี หากยังจำได้ขึ้นใจก็แปลกแล้ว

หลังจากเดินเลียบชายฝั่งไปราวร้อยกว่าก้าว เฟิงจงก็หยุดฝีเท้า เบื้องหน้ามีชะง่อนผาสูงชันแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านเสียดเมฆ หินประหลาดตะปุ่มตะป่ำถูกน้ำทะเลส่องกระทบจนเป็นประกายสีดำขลับ

นางแหงนหน้ามองแล้วมองอีก “แปลกแท้ ข้าจำได้ว่ากึ่งกลางของผานี้มีโพรงถ้ำอยู่แห่งหนึ่งนี่”

ถูซานสือฟางกล่าว “เวลาห่างกันนานมากๆ บางทีโพรงถ้ำนั้นอาจจมอยู่ในน้ำทะเลแล้วก็เป็นได้”

ฟางจวินเยี่ยเห็นพ้องกับเขาอย่างหาได้ยาก “จริงทีเดียว ระยะนี้อยู่ในช่วงน้ำขึ้นพอดีด้วย”

เฟิงจงหัวคิ้วขมวดแน่น “เช่นนั้นข้าจะเข้าไปได้อย่างไร”

“ข้าไต้อ๋องเข้าไปแทนเจ้าเองก็แล้วกัน เจ้าจะเข้าไปทำอะไรบ้าง ว่ามาได้เต็มที่เลย!” ถูซานสือฟางม้วนแขนเสื้อ ท่าทางเปี่ยมด้วยน้ำใจไมตรีอันเร่าร้อนยิ่ง

ฟางจวินเยี่ยเอ่ยขึ้นอย่างเหยียดหยาม “เจ้ากับพวกเราเป็นแค่คนแปลกหน้าที่บังเอิญมาพบกัน อย่างเจ้าก็คู่ควรให้เชื่อใจด้วยหรือ ในเมื่อข้ารับคำไหว้วานจากผู้อื่นมาแล้ว ก็ย่อมซื่อตรงต่องานนั้น ข้าต่างหากที่ช่วยเหลือนางได้”

“ข้าไต้อ๋องเคยพบเจอพวกที่โอ้อวดตน แต่ก็ยังไม่เคยพบเจอพวกที่หน้าไม่อายเช่นเจ้าเลยจริงๆ” ถูซานสือฟางเหลือกตาไม่หยุด

เฟิงจงมองซ้ายแลขวา ล้วนไม่ใช่ผู้ที่นางจะวางใจได้มากนัก สุดท้ายนางจึงหยิบถุงฟ้าดินออกมาจากอกเสื้อ “ไม่ต้องรบกวนพวกเจ้าแล้ว ข้ามีหุ่นเวท”

พอเขย่าถุงฟ้าดิน เซวียนชิงก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าสายตาในขนาดเท่าตัวจริง เฟิงจงเพียงจรดนิ้วทำมุทรา เขาก็เดินหน้าไปเงียบๆ ไม่ช้าเงาร่างก็จมลงสู่ทะเลไม่เห็นตัวแล้ว

เฟิงจงนั่งลงขัดสมาธิ จดจ่ออยู่กับการควบคุมให้เซวียนชิงสำรวจหาโพรงถ้ำในทะเล ฟางจวินเยี่ยกับถูซานสือฟางไม่ว่าใครก็ไม่ได้ออกหน้า อีกทั้งยามนี้ยังไม่เหมาะที่พวกเขาจะรบกวนนาง ต่างฝ่ายจึงต่างถอยออกไป มีเพียงฉยงฉีที่นั่งตะปบเล่นก้อนหินอย่างเบื่อหน่ายอยู่ข้างกายนาง

ไม่ผิดจากที่คาดกัน เซวียนชิงพบโพรงถ้ำบนผาส่วนที่อยู่ใต้น้ำทะเลจริงๆ

ไม่ว่าลืมสิ่งใดไป เฟิงจงก็ไม่มีทางลืมตำแหน่งแน่ชัดที่ตนวางของวิเศษไว้ไปได้แน่ ภายหลังที่เซวียนชิงเข้าสู่โพรงถ้ำ แม้ภายในจะมีแต่ความมืดมิด ทว่านางก็ยังอาศัยความทรงจำของตนเองควบคุมให้หุ่นเวทเสาะหาของวิเศษพบได้อย่างแม่นยำ

เสียงซ่าดังขึ้นบนผิวทะเล พอหุ่นเวททะยานร่างพ้นน้ำก็กระโดดขึ้นไปบนชะง่อนหินใหญ่ที่ยื่นออกมาจากผา ในมือซ้ายของเขากุมคทาไม้เล่มหนึ่ง ด้านบนมีลวดลายกระหวัดวนดุจมังกรเหาะเหิน ในมือขวาถือแจกันหยกหนึ่งใบซึ่งมีสีน้ำเงินแพรวพรายงามล้ำเลิศ

“นี่ก็คือสิ่งของที่เจ้าต้องการนำกลับไป?” สองตาของฟางจวินเยี่ยจับจ้องอยู่ที่สองมือของหุ่นเวทโดยไม่ละสายตา

เฟิงจงลุกขึ้นยืน “มิผิด ภารกิจสำคัญเป็นอันลุล่วง ข้าสามารถไปจากแดนฮุ่นตุ้นนี้ได้แล้ว”

ถูซานสือฟางโอดครวญทันที “แค่นี้ก็จะไปแล้วหรือ ยังไม่ถึงสิบวันเลยด้วยซ้ำ ข้าไต้อ๋องขาดทุนย่อยยับแล้ว!”

เฟิงจงกล่าว “แดนฮุ่นตุ้นไม่มีทิวาราตรี ผู้ใดจะรู้ว่าสิบวันได้ผ่านพ้นไปแล้วหรือไม่ บางทีเจ้าอาจไม่ทันสังเกตเองกระมัง”

ถูซานสือฟางกุมหน้าอกอย่างปวดใจ “ข้าไต้อ๋องถึงกับถูกแม่นางน้อยเช่นเจ้าหลอกลวงเอาเสียได้”

เฟิงจงอารมณ์ดียิ่ง หันหน้าไปเตรียมจะทำมุทราท่องคาถาควบคุมให้หุ่นเวทกลับมา แต่แล้วสีหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนวูบ สองตาเบิกกว้างด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

หุ่นเวทถึงกับส่งยิ้มให้ข้า?!

“เจ้า…” นางเดินใกล้เข้าไปอีกสองก้าว นึกว่าตนเองตาฝาดไป

“เอ๋? หุ่นเวทของเจ้ามีชีวิตแล้ว?” ถูซานสือฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

เซวียนชิงแนบแผ่นหลังกับหินก้อนใหญ่ แขนเสื้อสะบัดพัดพลิ้ว รอยยิ้มที่มุมปากต่างไปจากรอยยิ้มของเขาในกาลก่อน แผ่กลิ่นอายเย็นเยียบชวนสะพรึงออกมา เฟิงจงดูแล้วถึงกับรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง

ฉยงฉีพลันพุ่งปราดมาถึง มองไปยังคนที่ยืนบนชะง่อนหินในอาการกระสับกระส่าย ปากก็ร้องพูชือพูชือด้วยเสียงแหบแผ่ว

“เจ้าไม่ใช่หุ่นเวท เจ้าเป็นใคร!” เฟิงจงดึงท่อนกระดูกสีขาวที่พกไว้ข้างเอวออกมาทันที

“อะไรกัน กระทั่งข้าเจ้าก็มองไม่ออกเชียวหรือ” หุ่นเวทเอ่ยปาก น้ำเสียงนั้นทุ้มต่ำประดุจเสียงย่ำระฆังจากขุมนรก สองตาก็เรืองสีฟ้าเรื่อคล้ายกับเพลิงภูต

“อวี้ถู?”

“ข้าเอง” อวี้ถูในร่างของเซวียนชิงยิ้มรับคำตอบของนาง “ประหลาดใจนักหรือ ไม่เป็นไร ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังโดยละเอียดเอง”

เขาถือคทาหม่อนมังกรพลางเอ่ย “วันนั้นที่เซี่ยจื้อปรากฏตัวมาพาฉยงฉีไป จังหวะเวลามันช่างเหมาะเจาะเสียเหลือเกิน ข้านึกแคลงใจตั้งแต่จบเหตุการณ์แล้ว จึงสถิตญาณไว้บนร่างของผีทวงหนี้กลุ่มหนึ่งเพื่อไปหยั่งเชิงเจ้า และก็พบว่าเจ้ามีร่างอายุวัฒนะแล้วดังคาด น่าเสียดายที่ยังไม่ทันได้ตรวจสอบให้ละเอียด พวกผีทวงหนี้ก็ถูกพลังเทพที่โผล่มาอย่างกะทันหันกำจัดจนสิ้นซาก ญาณของข้าจึงพลอยถูกตัดขาดไปด้วย คาดว่าพลังเทพนั่นคงมาจากผู้ช่วยลึกลับผู้นั้นของเจ้ากระมัง”

เฟิงจงเม้มปากไม่ตอบคำ คืนนั้นซีกวงรุดมากำจัดกลุ่มผีทวงหนี้ได้ทันท่วงที ไหนเลยจะเคยนึกถึงว่าพวกมันเป็นหูตาของอวี้ถู

อวี้ถูมีญาณที่กล้าแข็งมาโดยกำเนิด ทั้งสามารถสถิตอยู่กับทุกสรรพสิ่ง มิได้ด้อยไปกว่าวิชาหุ่นเวทของนางเลย แม้นางสามารถรู้ที่มาของสรรพชีวิตได้โดยอาศัยการสูดดมกลิ่นอาย แต่ก็ต้องอาศัยตัวตนจริงของสิ่งนั้นด้วย ในขณะที่ญาณนั้นว่างเปล่าไร้รูป ทั้งยังไร้สีไร้กลิ่น นางจึงไม่อาจล่วงรู้ได้แม้แต่น้อย

เมื่อเห็นเฟิงจงไม่ส่งเสียง อวี้ถูก็หัวเราะขึ้นเบาๆ “ข้าคาดว่าหลังจากเจ้ามีร่างอายุวัฒนะแล้วย่อมต้องนำของวิเศษกลับคืนมา ดังนั้นข้าจึงสถิตญาณไว้บนร่างของวิญญาณตนหนึ่งอีกครั้ง ก่อนจะติดตามกลิ่นอายของเจ้าเข้ามาในแดนฮุ่นตุ้น แต่หลังจากนั้นข้าก็สัมผัสกลิ่นอายของเจ้าไม่ได้อีก ต้องเป็นเพราะผู้ช่วยผู้นั้นวางข่ายอาคมไว้บนร่างของเจ้าเป็นแน่ แต่สวรรค์ก็คงอยากจะช่วยข้า เพราะขณะที่ญาณของข้าท่องตระเวนอยู่ในแดนฮุ่นตุ้น ข้าก็พบว่าหุ่นเวทของเจ้าถูกขายไปแล้ว ข้าจึงสบช่องผละจากวิญญาณตนนั้นมาสถิตบนร่างของเขาแทน ซึ่งเจ้าก็ปฏิบัติต่อหุ่นเวทนี้ไม่เลวทีเดียว ยังอุตส่าห์ตามตัวเขากลับมาด้วย” อวี้ถูมองดูของวิเศษที่อยู่ในมือ “ครั้งนั้นก่อนที่เจ้าจะนิทราได้เก็บซ่อนของวิเศษไว้เป็นการเฉพาะ ข้าเสาะหาจนทั่วก็ไม่พบ แต่ตอนนี้เล่า…มันตกมาอยู่ในกำมือของข้าอยู่ดีมิใช่หรือ”

“นั่นก็ยังไม่แน่หรอก” เฟิงจงเอ่ยเยาะหยัน “แม้ข้าไม่อาจจัดการกับญาณของเจ้าได้ แต่อย่างน้อยข้าก็ยังควบคุมร่างกลวงนี้ได้อยู่” ทว่านางเพิ่งยกมือเพื่อทำมุทรา นางก็เห็นบนหลังมือของตนเองปรากฏลายเส้นสีดำแทรกกระจายอยู่ทั่ว ทั้งยังแผ่ขยายดั่งเส้นเถาวัลย์รัดพันนิ้วมือเอาไว้ ซ้ำร้ายมืออีกข้างก็เป็นเช่นเดียวกัน นิ้วมือทั้งสิบบัดนี้แข็งทื่อจนไม่อาจขยับเขยื้อน กระทั่งท่อนกระดูกสีขาวก็ยังกุมไว้ไม่อยู่ หลุดมือร่วงลงพื้นไปแล้ว

“เจ้านึกว่าเจ้ามีผู้ช่วยแค่คนเดียวหรือ” สายตาของอวี้ถูเลื่อนไปจรดที่ข้างกายนาง

เฟิงจงหันขวับไปก็พบว่ามือที่ร่ายอาคมของฟางจวินเยี่ยเพิ่งจะชักกลับไป ในใจนางพลันเย็นวาบ “นี่น่ะหรือที่เจ้าบอกว่า ‘รับคำไหว้วานจากผู้อื่นมาแล้ว ก็ย่อมจะซื่อตรงต่องานนั้น’?”

ฟางจวินเยี่ยไม่แสดงสีหน้า เพียงเหินร่างไปยังข้างกายอวี้ถู

อวี้ถูมองเขาด้วยหางตา “อะไรกัน เจ้ายังไม่ยอมพูดอีกหรือว่ารับคำไหว้วานจากผู้ใดให้มาช่วยเหลือนาง”

“จำชื่อเจ้าไม่ได้แล้ว” ฟางจวินเยี่ยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าก็รู้ว่าความจำข้าไม่ดี”

อวี้ถูไม่เก็บมาใส่ใจอีก เขาเอ่ยกับฟางจวินเยี่ยและจรดสายตาไปที่ร่างของเฟิงจงอีกครา “เอาเถอะ สักวันข้าจะกระชากตัวผู้ช่วยนั่นออกมาเอง ผู้ที่ใกล้ชิดนางได้…มีเพียงข้าเท่านั้น”

ฟางจวินเยี่ยเอ่ยเสียงเย็น “แล้วเงื่อนไขที่เจ้ารับปากข้าเล่า”

“วางใจได้ งานลุล่วงแล้วข้าจะช่วยให้คนในม้วนภาพได้มาเกิดใหม่แน่นอน” อวี้ถูยกคทาหม่อนมังกรในมือชี้ไปทางเฟิงจง “ใช้ร่างกายของนางก็แล้วกัน ส่วนดวงวิญญาณของนาง…จะติดตามข้าสู่ตำหนักยมโลก อยู่เคียงข้างข้าตราบชั่วกาลนาน”

ถูซานสือฟางพลันโผล่หน้ามาจากด้านหลังของเฟิงจงแล้วพิงไหล่นางอย่างสนิทสนม “เรื่องนั้นข้าไต้อ๋องคงไม่อาจยอมรับได้”

อวี้ถูสัมผัสได้แต่แรกว่ายังมีพลังปราณของเซียนอื่นอยู่ที่นี่ แต่เขาไม่ได้แยแสว่าอีกฝ่ายเป็นใคร สิ่งที่เขาสนใจมากกว่านั้นก็คือท่าทีที่อีกฝ่ายสนิทสนมกับเฟิงจงต่างหาก เขาสะบัดแขนเสื้อ ส่งเพลิงภูตสองกลุ่มพุ่งตรงไปในพริบตา

ถูซานสือฟางพลันหดมือที่วางพาดอยู่บนหัวไหล่ของเฟิงจงกลับมา “จุ๊ๆ ช่างอารมณ์ร้ายยิ่งนัก!”

เฟิงจงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ตอนนี้ข้าไม่อาจช่วยเหลือเจ้าได้ เจ้าใช้หนึ่งต้านสองย่อมไม่มีโอกาสชนะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าเลย เจ้าไปเสียเถอะ”

“จะไม่เกี่ยวกับข้าไต้อ๋องได้อย่างไร อาคมมายาที่ข้าวางไว้ตรงทางเข้าสัมผัสได้แต่แรกแล้วว่ามีวิญญาณตนหนึ่งบุกรุกเข้ามา ข้าอยากจับกุมมันอยู่พอดี อีกอย่างหากเจ้าตายไป ผู้ใดจะมาเลี้ยงดูข้าเล่า” ถูซานสือฟางคว้ากุมมือข้างหนึ่งของนางไว้พลางขยับกายแนบชิดกับแผ่นหลังนาง “ทนเจ็บได้หรือไม่”

“ได้” เฟิงจงรู้ได้ทันทีว่าถูซานสือฟางต้องการจะคลายอาคมให้นาง เขาถึงได้นำมือข้างนั้นของนางไปไพล่ไว้ด้านหลังแล้วกำเป็นหมัดอยู่ในฝ่ามือของเขา

“ทนหน่อยนะ” ถูซานสือฟางกระชับนิ้วมือทั้งห้า จากนั้นจุดเพลิงกสิณขึ้นกลางฝ่ามือตนเอง ทั้งที่บนมือของเฟิงจงไม่ปรากฏร่องรอยถูกแผดเผาแต่อย่างใด ทว่าลายเส้นสีดำบนนั้นกลับถูกเผาไหม้จนเกิดหมอกควันสีดำทะมึนสายหนึ่ง

แม้คล้ายปลอดภัยดี แต่แท้จริงนั้นทรมานปานถูกบางอย่างแทงเข้าที่หัวใจ เฟิงจงกัดฟันแน่นไม่ส่งเสียง เหงื่อหลั่งเต็มหน้าผาก

ถูซานสือฟางล้วนเห็นอยู่ในสายตา เขาเม้มปากเผยสีหน้าเครียดขรึมอย่างหาได้ยากยิ่ง

ทันใดนั้นก็มีพลังกระบี่ซัดมา อวี้ถูสังเกตเห็นความผิดปกติจึงสั่งให้ฟางจวินเยี่ยเข้าจู่โจม

ถูซานสือฟางได้แต่ใช้มือขวารับพลังไว้ ทว่าด้านซ้ายกลับพบอวี้ถูในร่างของเซวียนชิงปรากฏวาบขึ้น อีกฝ่ายโจมตีตรงไปที่หัวไหล่ของเฟิงจงทันที ถูซานสือฟางจำต้องผลักเฟิงจงหลบไปก่อน ซึ่งส่งผลให้เพลิงกสิณต้องขาดช่วงลงด้วย

เฟิงจงล้มลงกับพื้น พอหันหน้าไปก็เห็นอวี้ถูกับฟางจวินเยี่ยกำลังรุกกระหนาบถูซานสือฟางทั้งซ้ายและขวา คลื่นทะเลด้านข้างที่สูงเทียมฟ้ากลบกลืนเสียงต่อสู้นี้ไปจนสิ้น

ฟางจวินเยี่ยเคยประมือกับถูซานสือฟางมาแล้วจึงรู้ความสามารถของอีกฝ่าย เขาไม่ประมาทศัตรูแม้แต่น้อย ทุกกระบี่ล้วนดุดันหมายปลิดชีวิต

ถูซานสือฟางจงใจชักนำพวกเขาออกไปไกลๆ จวบจนถอยไปถึงริมผาแล้วค่อยสะบัดมือเรียกเกลียวคลื่นในทะเลให้ซัดตรงไปหาฟางจวินเยี่ย ทว่าทันใดนั้นกลับมีกระแสลมเยียบเย็นโผล่ขึ้นที่เบื้องหลังเสียก่อน เพลิงภูตหลายสายได้จู่โจมมาถึงแล้ว เขาจึงได้แต่วกเกลียวคลื่นไปดับเพลิงภูตเหล่านั้นแทน ฟางจวินเยี่ยที่ไร้การสกัดกั้นจึงสบช่องบุกโจมตีมาทางด้านหน้าอีกรอบ

อวี้ถูมีเพียงญาณที่สถิตอยู่กับหุ่นเวท แม้ไม่อาจสำแดงพลังเทพได้เต็มกำลัง แต่ก็ยังผลุบโผล่ว่องไวดุจภูตผี ทั้งไม่ยอมโจมตีซึ่งหน้า ขณะที่ถูซานสือฟางนอกจากจะทุ่มสุดกำลังต่อกรกับฟางจวินเยี่ยแล้ว ก็ยังต้องคอยป้องกันอวี้ถูลอบจู่โจมไปด้วย จึงเป็นไปได้ยากที่จะดูแลได้อย่างทั่วถึง

“ชิ! ใช้สองรุมหนึ่งรึ ช่างหน้าไม่อายจริงๆ!” ถูซานสือฟางพลันหยุดมือ ก่อนจะพุ่งตัวผ่านบุรุษทั้งสองออกไปไกล พอผ่านไปถึงข้างกายของฉยงฉีก็ยื่นนิ้วมือจิ้มหน้าผากมันหนึ่งที จากนั้นเขาเพียงขยับร่างวูบเดียวก็เป็นเช่นสายลมที่พัดไปไกลแล้ว

อวี้ถูขวางฟางจวินเยี่ยที่กำลังจะไล่ตามไป สายตาของเขายังคงจ้องเขม็งไปยังทิศทางที่อีกฝ่ายลับหาย “เขามีที่มาอย่างไรกัน”

ฟางจวินเยี่ยเอ่ยตอบ “ก็แค่ไต้อ๋องปกครองกองโจรเท่านั้น เจ้าให้ข้ายึดครองแดนฮุ่นตุ้น ข้าเพิ่งจะยึดยอดเขาได้ไม่กี่ลูกก็ไปถึงถิ่นของเซียนจิ้งจอกนี่แล้ว ต่อมาจึงถูกเขารบเร้าเซ้าซี้จนตามมาถึงที่นี่ด้วย ได้ยินว่าเป็นจิ้งจอกตระกูลถูซาน”

“จิ้งจอกเก้าหางตระกูลถูซาน?” อวี้ถูคล้ายไม่เชื่อเท่าไรนัก “กลิ่นอายจิ้งจอกบนร่างเขายังเทียบจิ้งจอกหางเดียวไม่ได้ด้วยซ้ำ ตระกูลถูซานจะมีเศษสวะเช่นนี้ได้อย่างไร แต่ก็นับว่าเขายังรู้จักเจียมตัว หนีได้เร็วอยู่”

“ยึดครองแดนฮุ่นตุ้น?” เฟิงจงยืนขึ้นเมื่อฟังออกถึงความไม่ชอบกลนี้ “อะไรกัน เจ้าไม่เพียงอยากได้พิภพมนุษย์ กระทั่งแดนฮุ่นตุ้นเจ้าก็หมายตา?”

อวี้ถูเดินมาหานางทีละก้าว รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งลุ่มลึก “ไม่เพียงเท่านั้น ตอนนี้ทั้งสามพิภพล้วนมาถึงปากเหวแห่งการดับสูญแล้ว วันหน้าเมื่อเทพเซียนในพิภพสวรรค์ล้มหายตายจาก ปีศาจมารสาบสูญเช่นเดียวกับพวกมนุษย์ ท้ายที่สุดทุกพิภพก็จะกลายเป็นยมโลก ส่วนข้าก็จะกลายเป็นเทพสูงสุด บางทีอาจจะกลายเป็นเทพผู้สร้างโลกองค์ใหม่เสียด้วยซ้ำ”

เฟิงจงโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก “แม้แต่ฐานะของมหาเทพหนี่ว์วา เจ้าก็บังอาจหมายตาเชียวหรือ!”

“หนี่ว์วาแล้วอย่างไร เห็นจะมีแต่เจ้าที่ศิโรราบต่อนางเช่นนี้ ข้าเพียงแค่คล้อยตามลิขิตฟ้าเท่านั้น”

เฟิงจงขบกรามกรอด “หรือที่มนุษย์สูญสิ้นไปเช่นนี้เป็นฝีมือของเจ้า?”

อวี้ถูหลุดหัวเราะ “เจ้าให้เกียรติข้ามากไปแล้ว เดิมทีมนุษย์ล้วนโลภโมโทสันอยู่ในกมลสันดาน เพื่อกิเลสของตนแล้วเอาแต่ล้างผลาญสรรพสิ่งในพิภพมนุษย์ไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งไปแตะต้องสิ่งที่ไม่พึงแตะต้องเข้า นับแต่นั้นมาทุกแห่งหนที่ผ่านจึงไม่มีต้นหญ้างอกเงยแม้สักชุ่นเดียว ตัวพวกเขาเองก็สูญเสียความสามารถในการให้กำเนิดไป ท้ายที่สุดจึงมาถึงจุดสูญสิ้นของเผ่าพันธุ์ นี่เป็นพวกเขาแส่หาเรื่องเอง”

“สิ่งที่ไม่พึงแตะต้อง?”

อวี้ถูยกของวิเศษในมือเพื่อชั่งน้ำหนัก “อะไรกัน เจ้าใคร่รู้สาเหตุถึงเพียงนี้ เพราะเป้าหมายที่จะกลับเป็นเทพเซียนไม่ใช่เพื่อตัวเจ้าเอง แต่เพื่อพิภพมนุษย์นี่น่ะหรือ”

เฟิงจงแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา “ข้าคือจ่งเสิน หน้าที่ของข้าก็คือทำให้พิภพมนุษย์เปี่ยมด้วยพลังชีวิต”

“หน้าที่?” อวี้ถูขบขัน “พิภพมนุษย์ไม่เหลือผู้คนแล้ว ยังต้องการจ่งเสินไปเพื่ออะไร”

“ใครว่าพิภพมนุษย์ไม่เหลือผู้คนแล้ว ตอนนี้ข้าก็เป็นมนุษย์ และจะไม่ใช่มนุษย์คนสุดท้ายแน่นอน”

“แต่อีกไม่นานเจ้าก็จะตายแล้ว”

เพลิงภูตที่ลุกพรึบขึ้นกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าโอบล้อมเฟิงจงเอาไว้ตรงกลาง อวี้ถูในร่างของเซวียนชิงประชิดเข้ามาทีละนิด กระทั่งปลายคางแทบจะจรดกับมุมหน้าผากของนางอยู่แล้ว กาลก่อนเขาไม่เคยเข้าใกล้นางได้มากถึงเพียงนี้ บัดนี้กระทั่งร่างที่กลวงเปล่าของหุ่นเวทก็ยังทำให้เขาต้องอิจฉา

ขณะจะใกล้ชิดนางยิ่งกว่านี้ พลังปีศาจระลอกหนึ่งก็กวาดมาถึงเสียก่อน อวี้ถูถอยหลบไปทันใด ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เห็นฉยงฉีที่มีสีแดงเพลิงทั้งร่างกำลังกางสองปีกโฉบพุ่งลงมาจากฟ้า มันร่อนลงเบื้องหน้าเฟิงจงก่อนจะแยกเขี้ยวคำรามกร้าวใส่เขา เส้นขนทั่วกายของมันชี้ชันดั่งเข็มแหลม จู่ๆ มันก็อยู่ในร่างที่โตเต็มวัยแล้ว

ฟางจวินเยี่ยคุมกระบี่บุกเข้ามาโดยไม่รอช้า ฉยงฉีก็อ้าปากพ่นหมอกดำออกไป ขณะที่เขาถอยร่นติดกันไปหลายก้าวกว่าจะหยัดกายได้มั่นคง ฉยงฉีก็หันหน้ากลับมากลืนเพลิงภูตรอบกายเฟิงจงจนหมดสิ้นแล้ว จากนั้นมันยังสะบัดขนพลางส่งเสียงเรอออกมา

อวี้ถูมองพิรุธออกแล้ว “เซียนจิ้งจอกนั่นหลบหนีไปแล้วก็ยังอุตส่าห์ทิ้งลูกไม้นี้เอาไว้อีกหรือ แต่น่าเสียดาย วิชาแปลงกายนี้จะฝืนประคองไปได้สักเท่าใดกัน” เขามองข้ามฉยงฉีไปยังเฟิงจง “เฟิงจง เจ้าจะร่วมครองสามพิภพกับข้าในวันข้างหน้า หรือจะฟื้นตัวไม่ได้ชั่วกัปกัลป์นับแต่นี้ เจ้าก็เลือกเอาเองเถอะ”

เฟิงจงลองขยับนิ้วมือพลางจงใจเอ่ยประวิงเวลา “ข้าเลือกที่จะให้พิภพมนุษย์ฟื้นคืนสภาพเดิม เจ้ามีความเห็นเช่นไรเล่า”

“ดื้อรั้นดันทุรัง” อวี้ถูทอดถอนใจเบาๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ได้แต่ทำลายของวิเศษของเจ้า ให้เจ้าถอดใจอย่างแท้จริงเท่านั้น”

เขาใช้มือรองแจกันหยกสีน้ำเงินใบนั้นไว้แล้วหมุนไปมาเบื้องหน้าสายตา “ได้ยินว่าตอนนี้ใครๆ ในสามพิภพต่างก็หวังจะหยิบยืมพลังของเจ้ามาสืบทอดทายาท และสิ่งที่จะต้องพึ่งพาก็คือของวิเศษชิ้นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะทำลายมันทิ้งก่อนเลยแล้วกัน เว้นเสียแต่ว่าเจ้ายินดีที่จะสืบทอดทายาทให้กับข้า”

ฟางจวินเยี่ยฟังแล้วก็อดมองแจกันหยกสีน้ำเงินใบนั้นปราดหนึ่งไม่ได้

เฟิงจงส่ายหน้า “ข้อเรียกร้องนี้ยากเกินไป ข้ารู้สึกว่าอย่างเจ้าน่าจะถูกลิขิตให้ต้องสิ้นทายาทอยู่แล้ว เกรงว่ากระทั่งแจกันหยกสีน้ำเงินก็ไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้”

แววตาของอวี้ถูหม่นลงเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็โทษข้าไม่ได้แล้ว”

เฟิงจงรู้สึกว่ามือข้างที่ผ่านการจุดเพลิงกสิณเริ่มจะขยับได้เล็กน้อย นางจึงขยับไปใกล้ฉยงฉีช้าๆ ก่อนลอบกดนิ้วมือกับเส้นขนที่คมดั่งเข็มแหลมของมัน เนื่องจากมือที่ไร้ความรู้สึกข้างนั้นยังไม่รู้หนักเบา เมื่อทิ่มลงไปครานี้โลหิตสดๆ ก็ไหลออกมาไม่หยุด นางรีบเอามือไพล่หลบไว้ด้านหลัง จากนั้นทุ่มสมาธิทั้งหมดจับจ้องอวี้ถูอย่างระแวดระวัง

อวี้ถูเร่งปล่อยพลังเทพแล้ว แจกันหยกสีน้ำเงินในฝ่ามือของเขาเริ่มบังเกิดเสียงแผ่วเบา ขณะที่มันจวนจะถูกบีบจนแหลก และเฟิงจงที่ทนดูไม่ไหวกำลังจะพุ่งปราดออกไปอยู่แล้วนั้น ลมพายุหอบหนึ่งก็พลันม้วนมากระแทกใส่อวี้ถู แจกันหยกสีน้ำเงินถูกลมพายุหอบให้ร่วงดิ่งไปทางทะเลเขี้ยวพิโรธ

ฟางจวินเยี่ยไล่กวดไปทันใด ทว่าอาภรณ์สีแดงบนร่างกลับถูกลมพายุลูกนั้นม้วนตี ฝีเท้าเขาจึงช้าไปหนึ่งก้าวอย่างช่วยไม่ได้ และเป็นเหตุให้เงาร่างอีกสายกระโจนลงจากหน้าผาไปก่อนเขาก้าวหนึ่ง

ประกายสีเงินสว่างวาบขึ้น ถูซานสือฟางทะยานกลับขึ้นมาบนหน้าผาแล้ว มือข้างหนึ่งโอบอุ้มแจกันหยกสีน้ำเงินไว้ มืออีกข้างตวัดปลายผมหนึ่งที “ยังดีที่ข้าไต้อ๋องมาได้ประจวบเหมาะ”

หัวใจที่แขวนเติ่งของเฟิงจงพลันผ่อนวูบ นางพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก “เหตุใดเจ้าย้อนกลับมาเล่า”

“ข้าไต้อ๋องพูดว่าจะหนีหรือ” ถูซานสือฟางปัดชายเสื้อเพียงหนเดียว คราบโคลนบนนั้นที่ไม่รู้ว่าไปเปรอะมาจากที่ใดก็ถูกกวาดออกจนสะอาดสะอ้าน

ฟางจวินเยี่ยถือกระบี่บุกมาโดยไม่รั้งรอ ถูซานสือฟางทางหนึ่งแสร้งทำทีเป็นรับศึก อีกทางหนึ่งก็โยนแจกันหยกสีน้ำเงินไปเบื้องหน้าสายตาเฟิงจง “รับไว้!”

อวี้ถูพุ่งปราดมาทันที ทว่าถูกฉยงฉีโถมตัวมาขวางเอาไว้จึงไม่อาจเข้าใกล้ได้ มือของเฟิงจงข้างที่ชโลมด้วยโลหิตทิพย์นั้นฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้ว นางรีบยื่นมือออกไปรับแจกันหยกสีน้ำเงินอย่างร้อนรน ทว่ามือยังขาดความคล่องแคล่วอยู่ นางจึงต้องใช้ร่างกายช่วยพยุงจนแจกันรอดจากการตกพื้นได้อย่างหวุดหวิด ทำเอานางตกใจจนเหงื่อแตกพลั่กเต็มแผ่นหลังเลยทีเดียว

อวี้ถูขยับร่างเข้าจู่โจมเฟิงจงอีกคำรบแล้ว ครานี้พลังอาคมบนร่างฉยงฉีสิ้นฤทธิ์พอดี ชั่วพริบตาร่างมันก็หดกลับไปเป็นฉยงฉีตัวจ้อยที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงจะต้านขวางพลังใดได้อีก

เฟิงจงรีบใช้นิ้วมือที่เปื้อนเลือดสะบัดออกไปเบื้องหน้า ก่อนจะวิ่งหนีสุดฝีเท้าไปจนถึงริมผา เบื้องหลังคือท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ไร้หนทางให้นางถอยแล้ว

ความเร็วของอวี้ถูในร่างเซวียนชิงผ่อนช้าลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถึงอย่างไรก็มีแค่ญาณ เขาจึงไม่หวั่นเกรงต่อปราณชีวิตในโลหิตของเฟิงจงมากนัก พริบตาเดียวก็ไล่ตามมาถึงเบื้องหน้านางแล้ว

ยามที่โลหิตทั่วร่างของเฟิงจงกำลังไหลเวียนติดขัด นางก็ได้ยินน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราดดุดันดังมาว่า “ปีศาจจิ้งจอก จงมอบชีวิตมา!”

บุรุษวัยกลางคนชุดม่วงผู้หนึ่งถือกระบี่เข่นฆ่ามาถึงเบื้องหน้าแล้ว ท่าทางของเขาราวกับเพิ่งจะปีนป่ายขึ้นมาจากน้ำ บนชายอาภรณ์ท่อนล่างเต็มไปด้วยดินโคลน เมื่อเขาเห็นเซวียนชิง แววตาก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบ “เจ้าเซวียนชิงตัวดี ที่แท้ก็ยังไม่ตายรึ! ตะปูตรึงวิญญาณของข้าถึงกับไม่อาจเด็ดชีพเจ้าได้!” เขาพูดพลางวกปลายกระบี่โจมตีไปทางเซวียนชิงแทน

ขณะที่อวี้ถูในร่างของเซวียนชิงกำลังจะฉกชิงแจกันหยกสีน้ำเงินไปนั้น เขาก็ถูกผู้มาใหม่จู่โจมอย่างไม่คาดฝัน จึงได้แต่เบี่ยงกายหลบหลีกก่อนตวาดด้วยโทสะ “เป็นปีศาจมารจากที่ใดถึงได้กล้ามาก่อกวน!”

“ปีศาจมาร? หากไม่ใช่เพราะเจ้า ตอนนี้ข้าก็ยังเป็นเทพจื่ออินผู้เกรียงไกรแห่งพิภพสวรรค์! ในเมื่อวันนี้ข้าได้เจอตัวเจ้าแล้ว ข้าก็จะให้เจ้าตายอีกรอบให้จงได้!”

จื่ออินออกกระบวนท่าอย่างโหดเหี้ยม ทุกกระบี่ล้วนกรุ่นด้วยไอมาร อวี้ถูถูกอีกฝ่ายพัวพันจนไม่อาจแบ่งสมาธิได้ หมายจะเรียกให้ฟางจวินเยี่ยลงมือแทนก็เห็นอีกฝ่ายกำลังติดพันอยู่กับเซียนจิ้งจอกผู้นั้น

เฟิงจงตอบสนองได้อย่างว่องไว จื่ออินผู้นี้จะต้องเป็นตัวการใหญ่ที่ตอนแรกทำร้ายหุ่นเวทของนางจนลมหายใจรวยรินเป็นแน่ นึกไม่ถึงว่าจะมาพบกันที่นี่ได้

ในที่สุดมือข้างที่เปื้อนโลหิตทิพย์ก็เคลื่อนไหวได้โดยสมบูรณ์แล้ว นางรีบทาบมันลงบนมืออีกข้าง ลายเส้นสีดำบนนั้นค่อยๆ เลือนหายไป นิ้วมือที่แข็งทื่อก็เริ่มกลับมามีความรู้สึกทีละนิด

อวี้ถูยังคงถูกจื่ออินพัวพัน พอหางตากวาดมาเห็นเฟิงจง เขาก็รีบรุดจะมาขัดขวาง ทว่าจื่ออินกลับราวีอย่างไม่ลดละ จิตอันดำมืดกระตุ้นให้ตรามารผุดขึ้นบนใบหน้าของจื่ออิน กลิ่นอายชั่วร้ายแผ่ปกคลุมไปทั่ว กระบวนท่าที่ใช้ถึงกับโหดเหี้ยมดุดันยิ่งกว่าเดิม

อวี้ถูเดือดดาลอย่างหนัก ทว่าจนใจที่ตนมีเพียงญาณ ไม่อาจสำแดงพลังเทพได้เต็มที่ เขารีบสะบัดเพลิงภูตขุมหนึ่งไปสกัดกั้นการโจมตีอย่างไม่รามือของอีกฝ่ายไว้ชั่วคราว ส่วนตนเองก็พุ่งปราดไปหาเฟิงจง

ทว่าสายไปเสียแล้ว เฟิงจงยืนท้าลมทะเลอยู่ที่ริมผา แขนเสื้อของนางปลิวไสว ดวงหน้าฉาบด้วยความเยือกเย็นราวกับกำลังรอคอยให้เขามาถึงก็ไม่ปาน มือข้างหนึ่งของนางรองก้นแจกันหยกสีน้ำเงิน มืออีกข้างจรดนิ้วพลางขยับริมฝีปากท่องคาถาเบาๆ

ทันใดนั้นแขนของอวี้ถูก็เหวี่ยงไปเบื้องหน้าอย่างไม่อาจควบคุมได้ ทำให้คทาหม่อนมังกรหลุดจากมือร่วงมาตกอยู่กลางฝ่ามือของนางที่ยื่นออกไปรับอย่างพอดิบพอดี

โลหิตสดๆ บนมือข้างนั้นพอเปื้อนตัวคทา ลายมังกรที่กระหวัดอยู่บนคทาก็ลอยตัวขึ้นมาขยับไหว

ร่างกายที่อวี้ถูใช้งานอยู่ถูกนางควบคุมจนไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้ ในแววตาของเขาพลันอัดแน่นไปด้วยความไม่ยินยอม “ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ ต่อให้ได้ของวิเศษไปอยู่ในมือยังจะทำอะไรได้”

เฟิงจงช้อนตามองอย่างเยียบเย็น “เจ้าคงลืมไปแล้วว่าเมื่อแรกตนเองกลายเป็นขุนพลพ่ายศึกใต้เงื้อมมือข้าอย่างไร!”

ฉับพลันที่นางเสียบคทาหม่อนมังกรลงเบื้องหน้า หินผาใต้ฝ่าเท้าก็ปริแยก ความเขียวชอุ่มปรากฏขึ้นทันตา แผ่ลามเป็นเส้นเถาวัลย์ยาวที่งอกปกคลุมอย่างรวดเร็วในชั่วอึดใจ เถาวัลย์นั้นยืดยาวตรงไปเบื้องหน้าแล้วม้วนพันสองขาของอวี้ถูเอาไว้ ปราณชีวิตพลันท่วมทะลักเข้าสู่กายเนื้อ บีบคั้นคุกคามญาณของเขาอย่างหนักหน่วง

ฟางจวินเยี่ยไม่รบยืดเยื้ออีก รีบตวัดกระบี่สะบั้นเถาวัลย์ที่แผ่ลามมาถึง ก่อนจะเหินร่างถอยไปบนชะง่อนผาด้วยสีหน้าตกตะลึงอยู่บ้าง

ถูซานสือฟางเองก็กระโจนขึ้นลงหลายครั้งกว่าจะหลบพ้นเถาวัลย์พวกนั้นได้ รอจนเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็ต้องมุ่นหัวคิ้วทันที “แย่แล้ว!”

ปราณชีวิตที่กำจายออกจากคทาหม่อนมังกรพุ่งตรงขึ้นสู่เบื้องบนแล้ว ปุยเมฆสีแดงเลือดตรงขอบฟ้าพลันเปลี่ยนเป็นสะอาดกระจ่างตา สีท้องฟ้าเจิดจ้าสว่างไสว คลื่นทะเลก็พลันสงบราบเรียบ ปราณชีวิตสายนี้ยังคงพรั่งพรูขึ้นสู่เบื้องบนไม่หยุด เกรงว่าคงจะแผ่ขยายออกจากแดนฮุ่นตุ้นไปแล้ว

 

บนพิภพสวรรค์ที่มีแต่ความร่มเย็นเป็นมงคลพลันบังเกิดเสียงระฆังดังกังวาน ชิงหลีกับฉีอวิ๋นเพิ่งจะเดินมาถึงประตูสวรรค์ทักษิณ* ก็ได้ยินขุนพลพิทักษ์ประตูกำลังตะโกนก้อง “มีพลังวิเศษพุ่งชนระฆังฟ้า รีบไปตรวจดูกันเร็ว!”

เทพเซียนกลุ่มหนึ่งพร้อมใจกันไปถึงที่เบื้องหน้าระฆังฟ้า ปราณชีวิตที่แม้อ่อนแรงทว่าพรั่งพรูขึ้นมาไม่ขาดตอนสายหนึ่งกำลังย้ำตีระฆังฟ้าหนแล้วหนเล่า ส่งผลให้บังเกิดเสียงสะท้อนก้องกังวานไปไกล

ครู่หนึ่งก็มีเทพผู้หนึ่งตะโกนขึ้นว่า “เป็นคทาหม่อนมังกร! จ่งเสินปรากฏตัวแล้ว! จ่งเสินปรากฏตัวแล้ว!”

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 ต.ค. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 14

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: