กระแทกเข้าอย่างจังครานี้ทำให้ภูตยักษ์เซถอยไปหลายก้าวทีเดียว แม้แต่เฟิงจงกับฉยงฉีที่อยู่ด้านในยังล้มนั่งแปะลงกับพื้น
หลังจากเสียท่าไปหนหนึ่ง ภูตยักษ์ก็รอบคอบขึ้นมาก มันคืบคลานเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้า ศีรษะอันใหญ่มหึมาที่สะท้อนอยู่ภายใต้แสงไฟนั้นดำมะเมื่อมเสียจนชวนผวา ใบหน้าดูเลอะเลือนไม่ชัดเจน สิ่งที่สะดุดตาที่สุดมีเพียงสองตากลวงเปล่าที่มีควันพวยพุ่งออกมาสองสาย
เฟิงจงคลานลุกขึ้น เห็นทีว่าเจ้าตัวนี้จะซ่อนกายอยู่ละแวกใกล้เคียงนานแล้ว อาจเพราะครั่นคร้ามต่อพลังเทพบนร่างของซีกวง กลิ่นอายของมันถึงไม่เคยเข้ามาใกล้ จวบจนบัดนี้พอซีกวงไม่อยู่ มันถึงได้ปรากฏตัวขึ้น
ภูตยักษ์พุ่งตัวมาอีกรอบแล้ว มันกำลังชนโจมตีข่ายอาคมหนแล้วหนเล่า แรงสั่นสะเทือนนั้นทำให้หูของมนุษย์ปวดอื้อเลยทีเดียว เฟิงจงรีบฉวยยาลูกกลอนในกล่องหุ้มแพรเม็ดหนึ่งยัดเข้าปากฉยงฉี ทว่านางไม่มีพลังวิเศษมากพอที่จะใช้มุทราสั่งการมันได้ นางจึงจงใจมองเหยียดฉยงฉีด้วยหางตาพลางพูดยั่วยุมันเสียเลย “เห็นทีเจ้าคงไม่มีปัญญาจะทำอะไรเจ้าภูตยักษ์นี่ได้แน่ๆ”
สิ่งที่ฉยงฉีชิงชังเป็นที่สุดก็คือการถูกผู้อื่นดูแคลน มันคือหนึ่งในสัตว์ร้ายบรรพกาลเชียวนะ ผู้ใดเห็นมันแล้วไม่เกรงกลัวบ้าง มีหรือที่มันจะทำอะไรภูตยักษ์แค่ตนเดียวไม่ได้ มันโกรธจนกระโดดสูงสามจั้งเลยทีเดียว
“พูพูชือชือชือพูพู! ชือชือพู!” วันนี้บิดาต้องดวลกับมันสักตั้งให้จงได้! เจ้าอย่าได้มาดึงตัวบิดาไว้เป็นอันขาด!
เปรี๊ยะ…ข่ายอาคมบังเกิดเสียงแผ่วเบา ในลายวงน้ำที่เกิดจากแรงดีดสะท้อนนั้นถึงกับมีรอยแตกร้าวให้เห็นแล้ว พร้อมกันนั้นการบุกโจมตีของภูตยักษ์ก็ทวีความรุนแรงขึ้นด้วย
ตอนนี้เองฉยงฉีก็ขยายร่างขึ้นในพริบตา มันพุ่งปราดออกจากข่ายอาคมแล้วโถมร่างเข้าใส่ภูตยักษ์ในทันที แม้มันจะขยายขนาดโดยอาศัยฤทธิ์ของยาลูกกลอน ทว่าเมื่อเปรียบกับภูตยักษ์แล้วมันก็ยังตัวเล็กจ้อยเหลือเกิน การโถมเข้าใส่ครานี้จึงทำให้ภูตยักษ์ถอยหลังไปก้าวเล็กๆ ก้าวเดียวเท่านั้น
ภูตยักษ์ไม่แม้แต่จะชายตาแลมันซ้ำสอง เพียงเงื้อมือตวัดมันออกไปให้พ้นทาง ก่อนจะบุกกระแทกข่ายอาคมต่อ เสียงแตกร้าวดังชัดเจนขึ้นทุกขณะแล้ว
เฟิงจงนั่งลงขัดสมาธินิ่งโดยไม่เคลื่อนไหว ต่อให้ฉยงฉีจะถ่วงเวลาได้แค่ช่วงหนึ่ง แต่อย่างน้อยนางก็ยังสามารถใช้โอกาสนี้สั่งสมเรี่ยวแรงเอาไว้ได้ บางทีอาจเพียงพอให้นางเค้นพลังวิเศษออกมาได้บ้าง ดังนั้นหากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ นางจะบุ่มบ่ามใช้พลังไม่ได้เด็ดขาด
เปรี๊ยะ…เปรี๊ยะๆ เสียงแตกร้าวดังรุนแรงยิ่งขึ้นแล้ว เฟิงจงจับตาดูภูตยักษ์ด้วยสายตาเยือกเย็น มือกุมคทาหม่อนมังกรไว้แน่น เตรียมพร้อมที่จะลงมือทุกเมื่อ ทว่าก่อนที่ข่ายอาคมจะแตก นางก็เห็นภูตยักษ์ชะงักไป สองตาดำมืดที่แนบชิดอยู่บนข่ายอาคมนั้นพลันผุดประกายสีฟ้าขึ้นท่ามกลางควันที่พวยพุ่ง
“อวี้ถู! เจ้าคนมากแผนการ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่!” นางมีโทสะขึ้นมาทันที
“เฟิงจง” เสียงที่ดังขึ้นเป็นอวี้ถูจริงๆ “ข้ารู้ว่าทันทีที่เจ้าได้ของวิเศษมาแล้ว เจ้าจะต้องยืมวิสุทธิ์โลหิตที่ได้มาจากเทพเซียนมาบำเพ็ญเซียนแน่ ในเมื่อไม่อาจเปลี่ยนการตัดสินใจของเจ้าได้ ข้าก็มีแต่ต้องรีบยับยั้งในตอนที่พลังของเจ้ายังบอบช้ำหนักอยู่”
“เจ้าพูดเองว่าพิภพมนุษย์หมดทางช่วยแล้วมิใช่หรือ แล้วเหตุใดเจ้าต้องหวั่นเกรงที่ข้าจะฟื้นฟูพลังเทพถึงเพียงนี้ด้วย”