บทที่ 4
ลตางค์ใช้หลังตัวเองดันประตูห้องพักส่วนตัวปิดหลังพาร่างเล็กแทรกเข้าไปข้างในท่าทางขลุกขลัก มือกดเปิดสวิตช์ไฟก่อนถอดรองเท้า ข้าวของพะรุงพะรังที่หอบกลับบ้านทั้งเอกสารและกระเป๋าสะพายถูกวางง่ายๆ บนโต๊ะหน้าโซฟาที่เธอทิ้งร่างพักอย่างอ่อนแรง ทั้งที่เปลือกตาหนักอึ้งแต่ก็ยังฝืนทอดสายตาผ่านประตูกระจกตรงระเบียงไปดูฟ้าที่แม้จะมืดแล้ว แต่ก็ยังสว่างด้วยแสงไฟจนมองไม่เห็นแสงดาว
ชีวิตเมืองหลวง…
ห้องชุดขนาดหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่นที่เลือกแล้วว่าพอดีกับการใช้ชีวิตตัวคนเดียวในเมืองใหญ่ บางครั้งก็ทำให้ลตางค์อดรู้สึกไม่ได้จริงๆ ว่ากว้างเกินไป แต่จะทำยังไงได้ เธอเป็นคนเลือกเองว่าจะอยู่ที่นี่ตามลำพัง
กรอบรูปตั้งโต๊ะที่อยู่ในระยะเอื้อมมือถูกหยิบมามองชิดก่อนที่เสียงของเธอจะดังขึ้น
“ตางค์รอดตายมาอีกหนึ่งวันแล้วค่ะยาย”
สายตาของหญิงสาวอ่อนโยนยามมองภาพถ่ายของตัวเองกับหญิงชราสูงวัยที่มีแววตาอ่อนโยนใจดี รอยยิ้มในนั้นทำให้ลตางค์รู้สึกเหมือนได้พลังใจกลับมา ในชีวิตนี้ถ้าถามว่าใครคือที่สุดสำหรับเธอ ลตางค์ตอบได้ทันทีไม่ต้องคิดทวน ‘ยาย’
ยายเป็นที่สุดของหัวใจ ของความรัก ของชีวิตและลมหายใจ แม้ว่าจะจากเธอไปอย่างไม่มีวันหวนคืนกลับมาแล้วก็ตาม
แม้วันนี้ลตางค์จะไม่มีโอกาสได้สัมผัสอ้อมกอดของยายอีกแล้ว แต่ลตางค์เชื่อว่าความรักที่ยายมีให้จะยังอยู่กับเธอเสมอ ถึงอย่างนั้นพอหันไปมองแฟ้มเอกสารที่ตัวเองหอบกลับบ้าน สายตาก็ยังเปลี่ยนเป็นละห้อยอ่อนใจ
แผนงานที่ผ่านฉลุยจากที่ประชุมของปานทิพย์วันนี้ทำให้เธอได้รับมอบหมายให้ทำงานอีกอื้อ ซึ่งลตางค์ก็ไม่คิดจะอิดออดหรอก ถ้ามันไม่เร่งจนต้องหอบกลับมาทำที่บ้านด้วยแบบนี้
…เธออยากเขียนนิยาย…แต่ดูเหมือนคืนนี้จะต้องงดเสียแล้ว
“แถลงข่าวอาทิตย์หน้า โอ๊ย…จะทันเหรอเนี่ย” ลตางค์ครวญกับตัวเอง นึกห่วงไปหมดเมื่อคิดถึงลิสต์รายชื่อสื่อมวลชนหลายสำนักยาวเหยียดที่จะต้องเชิญ
‘ต้องคอนเฟิร์มให้ได้ทุกราย ขาดไม่ได้รู้ไหม’ เสียงของปานทิพย์เหมือนจะตามมาหลอกหลอน
จะเชิญสื่อมวลชนได้ครบตามคำสั่งก็หมายความว่ารายละเอียดทั้งหมดต้องพร้อมให้สื่อมวลชนเหล่านั้นพิจารณาด้วย ซึ่งเท่าที่ลตางค์คำนวณเวลาคร่าวๆ ก็พบว่าเธอต้องทำให้เสร็จภายในพรุ่งนี้เช้าเพื่อให้ปานทิพย์ตรวจทาน
“เอาน่าลตางค์ ทำงานแค่นี้ไม่ตายหรอก” ลตางค์ให้กำลังใจตัวเองก่อนเลื่อนสายตากลับไปมองสบตายายในภาพ “ตางค์เสียอย่างใช่ไหมคะยาย”
รอยยิ้มสดใสกระจ่างทั่วใบหน้าในยามที่ลตางค์วางกรอบรูปลงที่เดิมเบามือ หางตาที่เห็นไฟกะพริบสีแดงๆ ของแป้นวางโทรศัพท์ซึ่งกำลังพยายามส่งสัญญาณบอกว่ามีข้อความทิ้งไว้ทำให้ชะงัก
ใครโทรมาฝากข้อความกันนะ…
ปลายนิ้วของลตางค์แตะปุ่มเปิดฟังข้อความ ทั้งที่กำลังสงสัยแต่ก็ยังมีอารมณ์ขำเมื่อนึกถึงที่มาของเจ้าโทรศัพท์ที่สามารถฝากข้อความได้เครื่องนี้ ซึ่งเป็นฝีมือมีนาที่เจ้ากี้เจ้าการจัดหามาติดตั้งเสร็จสรรพ
‘เอามาทำไม ไม่มีใครโทรมาฝากโน้ตอะไรหรอก เดี๋ยวนี้เค้าพึ่งมือถือกันทั้งนั้นแหละ’ ลตางค์เคยแย้ง แต่มีนาก็ไม่ฟัง นี่ถ้าเพื่อนของเธอได้รู้ว่ามีคนโทรศัพท์เข้ามาฝากข้อความแล้วจริงๆ คงจะเชิดหน้าได้ใจเป็นแน่
‘เห็นไหม จำเป็นต้องมี’ ใช่ มีนาต้องพูดแบบนี้แน่ๆ ลตางค์รู้จักเพื่อนคนนี้ดี
“ตางค์…นี่พ่อนะ ยังไม่กลับอีกเหรอลูก งานยุ่งล่ะสิ เหนื่อยไหม ไม่ค่อยโทรหาพ่อเลย เป็นยังไงบ้าง…พ่อเป็นห่วงนะลูก”
พ่อ…เสียงจากเทปที่ได้ยินทำให้แววตาของลตางค์อ่อนแสงไม่รู้ตัว
จริงๆ แล้วหลังจากยายเสียชีวิตเธอน่าจะย้ายไปอยู่กับบุพการีที่ยังคงมีชีวิตอยู่ แต่เธอก็เลือกที่จะใช้ชีวิตตามลำพัง
ไม่ใช่ไม่รัก แค่ไม่ค่อยสนิทใจเท่านั้น
วัยเด็กของลตางค์แทบจะใกล้เคียงกับสภาพของเด็กกำพร้า เพราะไม่เคยรู้จักการได้อยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก ชีวิตเธอมีแต่ยาย…สองมือของยายเท่านั้นที่หล่อเลี้ยงอุ้มชูจนเติบใหญ่ แต่ถามว่าโกรธเกลียดพ่อหรือแม่ไหม ลตางค์ตอบได้ทันทีว่าไม่โกรธ แต่ก็ไม่ผูกพัน
‘มนุษย์นะตางค์…มีหัวจิตหัวใจหรือเหตุผลในการกระทำไม่เหมือนกันหรอก เราอาจชอบ…หรือไม่ชอบการกระทำบางอย่างของเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถตัดสินได้ว่าดีหรือไม่ดี เพราะถ้าเอาใจของเราเข้าไปวางเป็นพื้นฐานการตัดสินใจอย่างนั้นบ้าง เราอาจจะทำอย่างเขาก็ได้ พ่อกับแม่…ไม่ได้ไม่รักตางค์หรอกนะลูก เพียงแต่เขามีเหตุผลของเขาที่ทำให้ชีวิตต้องดำเนินไปแบบนั้น อย่าใช้ความรู้สึกของเราตัดสินเขา มองด้วยความเข้าใจแล้วตางค์จะไม่ทุกข์…ไม่เสียใจนะลูกนะ’
ยายที่ไม่เคยคิดแบ่งแยกว่าเธอเป็นเด็กหรือพ่อแม่เป็นผู้ใหญ่สอนลตางค์ให้มองทุกหัวใจอย่างเท่าเทียม ท่านเคยบอกว่าเงื่อนไขในการกระทำของแต่ละคนไม่อาจจำแนกได้ด้วยวัยหรืออายุ หากแต่เป็นสิ่งแวดล้อมทั้งหมดและพื้นฐานจิตใจมากกว่า ด้วยคำสอนและการเลี้ยงดูอย่างเข้าใจของท่าน ลตางค์จึงเป็นลตางค์อย่างทุกวันนี้
เรียนรู้ที่จะเข้าใจคนอื่นอย่างที่เขาเป็น และไม่ตัดสินการกระทำของใคร
แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อยายจากเธอไปอย่างไม่มีวันกลับ และพ่อก็แสดงชัดว่าต้องการดูแลเธอต่อจากยาย ลตางค์กลับเลือกที่จะปฏิเสธ
เธอรักและเข้าใจพ่อ…แต่ไม่ผูกพันมากพอที่จะพาตัวเองก้าวเข้าไปมีชีวิตใกล้ชิดกับพ่อแบบนั้น
หลังข้อความของพ่อแล้ว เครื่องบันทึกเทปยังบอกว่ามีอีกสองข้อความค้างอยู่ แต่พอเปิดฟังก็ไม่มีเสียงอะไรนอกจากคนโทรเข้ามาตัดใจวางสายไปเพียงเท่านั้น ลตางค์จึงคิดว่าคงไม่มีเรื่องอะไรสำคัญ ดีไม่ดีอาจจะเป็นการโทรผิดก็ได้
ลตางค์เงยหน้ามองเข็มนาฬิกาที่อยู่ข้างฝา แม้จะยังไม่ผ่านเส้นแบ่งวัน และรู้ดีว่าถ้ากดโทรศัพท์กลับไปหาพ่อ ท่านต้องยินดีมากกว่ารำคาญใจที่ต้องลุกขึ้นมารับสายกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ แต่ลตางค์ก็ยังชั่งใจไม่ตกว่าควรจะโทรไปหาดีหรือเปล่า
ยังไม่ทันที่ลตางค์จะตัดสินใจได้ว่าควรทำอย่างไร เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบจนเธอเกือบสะดุ้งเพราะตกใจ ลมหายใจถูกผ่อนออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะยกหูโทรศัพท์มารับสาย
“ลตางค์ค่ะ”
“แม่นะตางค์…นอนหรือยังลูก เอ่อ…แม่โทรมากวนหรือเปล่า” กระแสเสียงห่วงใยปนเกรงใจที่ได้ยินทำให้ลตางค์ทอดน้ำเสียงอ่อนโยนตอบกลับไป
“ยังค่ะ แม่โทรหาตางค์…มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“แม่คิดถึง อาทิตย์นี้ตางค์หายไป…ไม่โทรหาแม่เลย เป็นยังไงบ้างลูก นี่แม่โทรเข้ามาสองทีแล้ว แต่ติดเครื่องตอบรับ ตางค์ทำอะไร…ยุ่งอยู่หรือเปล่า” คำถามไม่เต็มเสียงที่ได้ยินทำให้ลตางค์ได้คำตอบว่าสองสายที่ไม่ได้ฝากข้อความไว้เป็นของแม่นี่เอง พร้อมๆ กับที่นึกขึ้นได้ว่าหมู่นี้เธอแทบไม่ได้ติดต่อบุพการีไม่ว่าจะเป็นแม่หรือพ่อ ทั้งที่ท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ทั้งคู่
“งานยุ่งนิดหน่อยน่ะค่ะ ขอโทษนะคะที่ทำให้แม่เป็นห่วง” ลตางค์พยายามทำเสียงให้ร่าเริงตอบกลับไป ก่อนจะถามท่านอย่างเป็นห่วง “แม่เป็นยังไงบ้างคะ”
“แม่ไม่ค่อยสบายใจ ไม่รู้จะปรึกษาใครดี อยากคุยกับตางค์ ตางค์คุยกับแม่ได้ใช่ไหมตอนนี้…แม่กวนเวลาพักผ่อนหรือเปล่าลูก” น้ำเสียงอ่อนระโหยที่ได้ยินทำให้ลตางค์ปฏิเสธไม่ลงพอๆ กับที่เริ่มนึกรู้ทันทีว่าปัญหาของแม่ในตอนนี้คือเรื่องอะไร
“คุยได้ค่ะ อุ๋ย…น้องมีปัญหาเหรอคะ” ถามจบลตางค์ก็ได้ยินเสียงเครือเหมือนแม่ร้องไห้ตอบกลับมา เท่ากับเป็นการยืนยันว่าเธอเดาถูก
“แม่ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ นะตางค์ ไม่เข้าใจความคิดหรือปัญหาของน้องเลยสักนิด พ่อเค้าก็ไม่เอาธุระอะไร โทษแต่ว่าเป็นความผิดแม่ แม่ไม่รู้จะหันไปหาใครแล้วลูก นี่ถ้าคุณยายของหนูยังอยู่ก็คงจะดีกว่านี้” ปัญหาของมารดาที่ระบายออกมาทำให้ลตางค์นิ่งไปครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะนึกเห็นใจไปพร้อมๆ กับอ่อนใจ
ใครบางคนอาจคิดว่าการเป็นเด็กบ้านแตกคือความโชคร้าย แต่ลตางค์กลับคิดว่าตัวเองโชคดีที่มียาย ได้เติบโตมาจากการหล่อหลอมของท่าน ความรักความเข้าใจที่ยายใช้หล่อเลี้ยงเธอพร้อมสองมือที่แม้จะเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลา แต่ก็อ่อนโยนนุ่มนวลและให้ความอบอุ่นกับเธออย่างที่สุด
ตรงข้ามกับครอบครัวใหม่ของแม่ที่สมบูรณ์พร้อมหน้า พ่อ…แม่…ลูก แต่ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวกลับไม่ค่อยราบรื่นนัก อุ๋ยซึ่งเป็นน้องต่างบิดาที่อยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อพร้อมจะออกฤทธิ์เรียกร้องความสนใจทุกวิธีจากคนรอบข้าง และดูเหมือนว่าจะตึงมือแม่ของเธอมากขึ้นทุกที
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ” ลตางค์ถาม มือหนึ่งยื่นไปหยิบหมอนอิงมากอด ในขณะที่หูยังคงฟังเสียงปรับทุกข์ของแม่อย่างตั้งใจ
เอกสารกองใหญ่ที่วางคอยอยู่เตือนให้รู้ว่าเธอยังมีงานต้องทำ แต่จะให้ปฏิเสธแม่ ลตางค์ก็ทำไม่ลง จึงตัดสินใจมองเมินมันเสีย
ปัญหาของแม่…ครอบครัวของแม่ เธอคงไม่อาจเข้าไปก้าวก่าย แต่ก็ยังสามารถเป็นผู้ฟังที่ดี…ให้โอกาสแม่ระบายความทุกข์ได้
ลตางค์รับฟังและพูดให้กำลังใจแม่เป็นครั้งคราว สายตาทอดมองเรื่อยเปื่อยไปนอกระเบียงที่ในเวลานี้มีสายฝนพรำลงมาทั่วฟ้า
หัวใจแม่ของเธอก็คงไม่ต่างกับท้องฟ้าเวลานี้ อัดอั้นตันใจและกำลังร่ำไห้ ซึ่งนอกจากรับฟังแล้ว เธอก็ช่วยอะไรท่านมากไปกว่านี้ไม่ได้ แม้จะเห็นใจอย่างเหลือเกินก็ตาม
สายฝนตกปรอยลงมาทำให้ตาณขยับมือไปเลื่อนคันโยกข้างพวงมาลัยรถให้ที่ปัดน้ำฝนทำงาน นึกสบายใจที่ระยะทางถึงบ้านอยู่อีกไม่ไกลนัก วันนี้เขาตั้งใจเข้าออฟฟิศแค่ไปเช็กโน้ตและเคลียร์เอกสารบางอย่างกับฝ่ายการเงิน แต่สุดท้ายก็ต้องอยู่ถึงค่ำเข้าจนได้
พอคิดถึงที่ทำงาน ตาณก็อดคิดถึงลตางค์ขึ้นมาไม่ได้ อาการทะนุถนอมที่เธอมีต่อหนังสือของแม่ยังติดตา เขายังไม่ได้ลองถามใครเลยว่ารู้ไหมว่าแม่พนักงานตัวเล็กยังไม่ผ่านการทดลองงานคนนี้แอบเป็นนักเขียนไปพร้อมกันด้วย
ไม่รู้เอาเวลาที่ไหนมาเขียน ลองทำงานกับปานทิพย์ล่ะก็ เวลาหายใจจะมีไหมเขายังไม่แน่ใจเลย
ตาณชะลอความเร็วรถเมื่อใกล้ถึงประตูบ้าน รถคันหนึ่งที่จอดอยู่หน้ารั้วทำให้หน้าของเขาเปลี่ยนสี อารมณ์ที่กำลังดีๆ กลายเป็นว่างเปล่าเสียอย่างนั้นเมื่อจำได้ว่าเป็นรถของใคร ยิ่งในยามที่เห็นโครงร่างคุ้นตาก้าวผ่านประตูด้านที่นั่งข้างคนขับลงมา แล้วเดินไปเปิดประตูเล็กริมรั้วบ้านผ่านเข้าไป สีหน้าราบเรียบก็กลายเป็นขรึม
…แม่…ต่อให้มีร่มกางกันฝนพรางร่างอยู่เขาก็ยังจำได้
ตาณไม่สนใจรถคันนั้นที่แล่นสวนจากไปอีกเลย ไม่แม้แต่จะชำเลืองตามอง เขาหยิบรีโมตเปิดประตูบ้านมากดจากในรถอย่างใจเย็น รอกระทั่งประตูเปิดกว้างพอ จึงเลื่อนรถเข้าไปจอดในโรงรถ
“ตาณ เอ่อ…เพิ่งกลับเหรอลูก”
คุณบุหลันที่เห็นรถลูกชายแล่นเข้าประตูบ้านมาเปลี่ยนใจไม่ขึ้นบ้านก่อน แต่ยืนกางร่มคอย ระยะจากโรงจอดรถถึงตัวบ้านอาจไม่ไกล แต่ก็เป็นห่วงว่าเขาจะเปียกฝน พร้อมกับนึกสังหรณ์ใจว่าลูกชายน่าจะเห็นรถที่มาส่งตัวเอง
ชายหนุ่มยื่นมือไปขอรับร่มจากมารดามาถือให้ก่อนก้มหน้าลงไปหอมแก้มท่าน
“ครับ แล้ว…นังอุ่นล่ะแม่ ไปไหน ทำไมโรงรถว่าง”
ตาณทำเป็นปรายสายตาไปยังช่องว่างที่ ‘นังอุ่น’ รถคันโปรดของแม่ที่เขาให้ชื่อตามอุณหภูมิภายในรถที่มักไม่ค่อยจะเย็นได้อย่างใจนัก
“อ๋อ…มันเกเรน่ะลูก แม่เลยต้องให้ที่อู่เอาไปดูหน่อย วันนี้ตาณกลับมืดเลย งานยุ่งเหรอลูก กินข้าวมาหรือยัง”
คุณบุหลันเอาน้ำเย็นเข้าลูบลูกชายที่แม้ว่าสีหน้าจะดูเป็นปกติ แต่คนเป็นแม่มีหรือจะไม่รู้จักลูกชายตัวเอง
“ยังไม่ได้กินอะไรเลยแม่ นานๆ เข้าออฟฟิศที พี่เป้เลยได้โอกาสถล่มใช้งานตาณทั้งวัน แม่กินข้าวมาหรือยัง กินเป็นเพื่อนตาณหน่อยสิ ที่บ้านมีอะไรหรือเปล่าน้า” แววตาของแม่ทำให้ตาณตัดใจ ไม่พูดถึงสิ่งที่ทำให้อารมณ์ขุ่นมัว ทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไร
“ข้าวเหนียวมะม่วงไหม เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้านแม่มูนข้าวเหนียวไว้ จะให้ตาณเอาไปกินที่ออฟฟิศด้วยก็ไม่ทัน” พอได้ยินว่าลูกหิว คุณบุหลันก็กุลีกุจอทันที
คนเป็นแม่…ไม่มีอะไรให้ห่วงยิ่งไปกว่าลูกอีกแล้ว แม้แต่ความสุขของตัวเองก็เหมือนกัน ทุกอย่างรอทีหลังได้ ขอแค่ให้ลูกได้มีความสุขก่อนก็พอ
“โห น้ำลายสอเลยแม่ งั้นเดี๋ยวตาณปอกมะม่วงเองแล้วกันนะ”
ตาณยิ้มพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้มารดา ประคองท่านให้ก้าวขึ้นบ้าน พร้อมที่จะทิ้งเรื่องขุ่นใจไว้ข้างนอกแต่โดยดี
“วันนี้ตาณเข้าออฟฟิศทั้งวัน เหนื่อยไหมลูก” ทั้งที่ตัวเองก็ต้องออกไปถ่ายละครทั้งวัน แต่คุณบุหลันก็ยังห่วงว่าลูกชายจะเหนื่อยมากกว่าตัวเอง
“เหนื่อยสิแม่ แต่เดี๋ยวเถอะ ปลายปีตาณจะโขกโบนัสพี่เป้ให้เข็ด ใช้ตาณดีนัก” ตาณบอก
เสียงแม่ลูกคุยกันกะหนุงกะหนิงเหมือนไม่มีเรื่องขุ่นข้องในใจแว่วหายไปในบ้านพร้อมกับร่างของทั้งคู่ในที่สุด
ปลายนิ้วที่กำลังตวัดปากกาเขียนตัวหนังสือของคุณบุหลันหยุดเคลื่อนไหวเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องทำงานเบาๆ ดึกป่านนี้ซึ่งเด็กในบ้านน่าจะเข้านอนหมดแล้วทำให้พอเดาออกว่าคนที่กำลังจะก้าวเข้ามาเป็นใคร จึงไม่เอ่ยปากอนุญาต มือเลื่อนไปถอดแว่นตาวางบนโต๊ะพลางหันไปคอย
ร่างสูงของลูกชายที่ก้าวเข้ามาเรียกรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนหรือทำอะไรติดพันก็ตาม ถ้าลูกชายอยากอยู่ใกล้ท่าน คุณบุหลันก็พร้อมจะวางมือจากทุกอย่าง
หน้าที่อื่นพักได้…แต่หน้าที่ของแม่ไม่มีวันหยุด และคุณบุหลันจะไม่ยอมหยุดเช่นกัน
“ดึกแล้ว ยังไม่นอนเหรอตาณ” คุณบุหลันถามลูกชายที่เลื่อนเก้าอี้มานั่งใกล้ ในมือของเขามีแจกันใสขนาดเล็ก สูง รูปทรงปากแคบคล้ายแก้วทดลองทางวิทยาศาสตร์ ปักกุหลาบสีขาวก้านตรงที่คุณบุหลันรู้ว่าลูกชายน่าจะตัดมาจากกอหน้าระเบียงบ้าน
“ตาณแวะมาถามแม่ก่อน พรุ่งนี้มีถ่ายละครหรือเปล่า กี่โมง…”
“พรุ่งนี้เหรอ เช้าหน่อย อาจจะต้องออกจากบ้านก่อนเจ็ดโมง ทำไมเหรอลูก”
“เลิกดึกไหมแม่”
“ยังไม่แน่เลย ใกล้ปิดกล้องแล้วน่ะ ตาณจะไปรับไปส่งแม่หรือไง” คุณบุหลันหัวเราะเบาๆ
“เอารถตาณไปนะแม่ จะไปเช้ากลับดึกยังไงก็ได้ แล้วนังอุ่นของแม่น่ะ เดี๋ยวตาณแวะไปคุยกับช่างเอง ถ้ามันเกหนักๆ เราก็ปลดระวางให้มันได้พักเถอะ ตาณจะซื้อคันใหม่ให้”
“แล้วตาณจะใช้อะไร พรุ่งนี้จะเข้าออฟฟิศอีกไม่ใช่เหรอ” คุณบุหลันเลิกคิ้วมองลูกชายที่เมื่อหัวค่ำบอกท่านอยู่แจ้วๆ ว่าหมู่นี้อาจจะต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน
“รถไฟฟ้าไงแม่ เป็นคนกรุงเทพฯ ก็ต้องนั่งรถไฟฟ้าสิ” ตาณบอกเสียงเหมือนเป็นเรื่องสนุก
“อย่าเลย ถ้าตาณห่วง…ไปรับไปส่งแม่ก็ได้ เอาไหม” คุณบุหลันมองเข้าไปในแววตาของลูกชาย รู้ว่า ‘ห่วง’ ของเขาคืออะไร
“แม่เอารถตาณไปน่ะดีแล้ว ถ่ายละครเสร็จเมื่อไรก็กลับบ้านได้เลย ไม่ต้องคอยตาณ อีกอย่าง ตาณได้ยินมาว่าเดี๋ยวนี้เด็กมหา’ลัยเขาอาศัยรถไฟฟ้ากันเยอะ ตาณว่า…จะขอลองใช้ชีวิตแบบเด็กๆ มั่ง” แม้น้ำเสียงจะฟังสนุก และแววตายังเป็นประกายวิบวับ แต่คนเป็นแม่มีหรือจะอ่านลูกไม่ออก
ดื้อตาใส
“ตามใจ แต่แม่ได้ยินว่าสาววัยทำงานเดี๋ยวนี้ก็ขึ้นรถไฟฟ้าเหมือนกันนะ จะใช้ชีวิตแบบเด็กๆ ก็ได้ แต่ทิวทัศน์ที่มอง…ที่ชอบใจขอขยับเลื่อนอายุขึ้นมาให้พ้นผู้เยาว์หน่อยก็ดีนะลูก” คุณบุหลันแกล้งเออออไปกับลูกชาย
“มองเฉยๆ แต่ยังไม่ชอบใจก็ได้แม่ ตาณว่าจะอยู่กับแม่สองคนแบบนี้ไปอีกนานๆ”
ตาณหัวเราะเสียงใส ก่อนจะขยับตัว ชะโงกหน้าเข้ามาฝากรอยจูบบนแก้มมารดาอย่างอ่อนโยน
“วันนี้กุหลาบบ้านเราได้ฝนบานสวย ตาณเลยเอามาฝากแม่แทนพ่อ…ราตรีสวัสดิ์ครับ”
แจกันกุหลาบสีขาวถูกวางลงบนโต๊ะใกล้มือคุณบุหลันที่เรียกชื่อลูกชายเสียงเบา
“ตาณ…”
แววตาจริงจังของตาณมองนิ่ง และคราวนี้ไม่มีแววขี้เล่นให้เห็น แม้มุมปากจะยกยิ้มนิดๆ ก็ตาม คุณบุหลันที่รู้ว่าลูกชายกำลังคิดอะไรหาคำพูดใดๆ ไม่เจอ ได้แต่มองร่างสูงของเขาหยัดตัวลุกจากเก้าอี้แล้วก้าวออกไปจากห้องทำงานของท่าน และปิดประตูให้เบามือ
กุหลาบสีขาวถูกจ้องมองด้วยสายตาอ่อนโยนแกมหนักใจนิ่งนาน ก่อนที่คุณบุหลันจะเงยหน้าไปมองกรอบรูปที่แขวนอยู่บนฝาผนัง
ภาพครอบครัวเล็กๆ ที่สมบูรณ์ที่สุดในความรู้สึก
ผู้หญิงในภาพคือคุณบุหลันเองในอดีตนั่งอยู่บนเก้าอี้เดี่ยว ในมือที่วางบนตักถือดอกกุหลาบสีขาวก้านยาว ข้างกายมีเด็กชายอายุราวสิบขวบที่แม้ใบหน้าจะอ่อนเยาว์แต่มีเค้าคมเข้ม ด้านหลังของทั้งคู่คือชายรูปร่างสูงสง่าในเครื่องแบบทหาร มือหนึ่งของเขาโอบแตะหัวไหล่ข้างหนึ่งของคุณบุหลัน ส่วนอีกมือวางอยู่บนบ่าของเด็กชาย ดวงตาของฝ่ายชายทั้งสองแม้จะต่างวัยแต่ละม้ายกันไม่ผิดเพี้ยน ทั้งรูปทรงและประกายตา
แววตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อยของคนมองอ่อนแสง
ครอบครัวของท่าน…วันเวลาที่เคยได้อยู่พร้อมหน้าซึ่งไม่อาจหวนกลับมาได้อีก ครอบครัวที่ท่านรู้ว่าตาณหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด และหวังจะให้คงไว้เช่นนี้ชั่วกาล
ตาณ…แม่จะพยายามเพื่อลูก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 มี.ค. 64
Comments
comments
No tags for this post.