X
    Categories: ความรู้สึกดีที่เรียกว่ารักต้อนรักทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ต้อนรัก บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 5

 ทั้งที่เมื่อคืนฝนตกปรอยจนเกือบรุ่งสาง แต่อากาศเช้านี้ก็ยังร้อนอ้าว ถึงอย่างนั้นก็ไม่ทำให้ชายหนุ่มที่วันนี้หันมาอาศัยขนส่งมวลชนไปทำงานแทนรถยนต์ส่วนตัวเดือดร้อน เขาก้าวลงจากรถไฟฟ้าเมื่อถึงสถานที่ใกล้ออฟฟิศ กระแสผู้คนเร่งรีบทำให้หลายครั้งตาณตัดสินใจเป็นฝ่ายเลี่ยงหลีกทาง เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะจำเป็นต้องเร่งฝีเท้าไปไหน

ตาณก้าวไปเรื่อยๆ ตามทางเดินใต้สถานีรถไฟฟ้าที่สามารถเดินต่อไปจนถึงทางเชื่อมเข้าอาคารสำนักงานของตัวเอง มือล้วงกระเป๋า ทอดสายตามองทิวทัศน์รอบตัวที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นเพราะน้อยครั้งเหลือเกินที่เขาจะสัญจรด้วยวิธีนี้

กำแพงรั้ววัดซึ่งจัดเป็นอารามหลวงที่อยู่ไม่ไกลนักทำให้แววตาของเขาอ่อนแสง อาจจะไม่ถึงกับยกมือไหว้ แต่หัวใจของเขาก็อ่อนน้อมต่อพระศาสนาเสมอ

จังหวะเดินช้าเอื่อยของตาณสะดุดเมื่อร่างของนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่ดูเร่งรีบพลาดมาชน เสียงขอโทษที่ได้ยินทำให้เขาพยักหน้ารับไม่คิดถือสา ยังนึกเอาใจช่วยด้วยซ้ำว่าขออย่าให้เข้าเรียนสาย

ท่วงทำนองชีวิตของคนทุกคนไม่เท่ากัน ของตาณอาจจะเคลื่อนที่ช้ากว่านักศึกษาเหล่านั้น แต่นั่นก็เป็นเพราะเขาเลือก…กำหนดให้มันเป็นมากกว่า

แล้วสายตาที่ตาณกำหนดให้หันกลับไปทอดมองทิวทัศน์เมืองหลวงก็สะดุดเข้ากับภาพหญิงสาวคนหนึ่งที่ใกล้รั้ววัด อาการย่อตัวส่งอะไรสักอย่างไปให้สุนัขแม่ลูกอ่อนที่มีเจ้าตัวเล็กสองสามตัวพันแข้งพันขาทำให้สองเท้าของเขาหยุดไปด้วย

ลตางค์อีกแล้ว

ตาณอมยิ้ม มองหญิงสาวที่กำลังป้อนหมูปิ้งซึ่งคงจะซื้อมาจากแม่ค้าข้างทางที่อยู่ไม่ไกลนักให้ไอ้ตัวเล็กสี่ขาที่พยายามตะกุยตะกายขอ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้เห็นไอ้ตัวเล็กใจร้อนตัวหนึ่งกระโดดพรวดเข้าแย่งเนื้อหมูจากมือของเธอเต็มแรง ทำเอาคนตัวเล็กใจดีล้มก้นจ้ำเบ้าเข้าให้

อาการหยัดตัวทุลักทุเล แต่ไม่มีทีท่าจะโกรธเจ้าหมาน้อยที่แย่งหมูปิ้งวิ่งลิ่ว นำพี่น้องตัวอื่นๆ ของมันจากไป ทำให้เขานึกเอ็นดูคนใจดีที่เจ็บตัวอยู่ข้างล่างนั่นไม่น้อยเลย

ดูเหมือนจะคิดถูก…ที่เลือกมารถไฟฟ้าวันนี้

 

“เป็นอะไรน่ะตางค์” หญิงสาวตัวเล็กปัดกระโปรงอยู่ที่โต๊ะทำงานทำให้สินีที่เพิ่งจะมาถึงออฟฟิศอดถามไม่ได้

“พี่นี สวัสดีค่ะ”

ลตางค์รามือจากกระโปรงยกมือไหว้เพื่อนรุ่นพี่ พลางส่งยิ้มไปให้พนักงานอีกสองสามคนที่เพิ่งจะมาถึงเหมือนสินี

“กระโปรงเปื้อนน่ะค่ะ ตางค์ล้มนิดหน่อยก่อนเข้าออฟฟิศ”

“ซุ่มซ่ามอีกแล้วนะเรา ชุดสีอ่อนเสียด้วย เปื้อนมากไหมนั่น บ่ายนี้จะต้องตามคุณปานไปเชิญสื่อฯ ไม่ใช่เหรอ” สินีถามด้วยความเป็นห่วง เพราะรู้ว่าหัวหน้างานของตัวเองนั้น ถ้าต้องพบสื่อมวลชน จะไม่มีวันยอมให้ความไม่เรียบร้อยหลุดรอดออกไปเข้าตาใครได้แม้แต่นิดเดียวแน่

“เดี๋ยวตางค์ลองพยายามใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดดู…คงจะพอไหว” ลตางค์เสียงอ่อย ไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่ก็ไม่นึกโทษใครมากไปกว่าตัวเองที่ไม่ระวังกระทั่งเปื้อนมอมแบบนี้

สินีมองขอบตาโรยๆ ของลตางค์แล้วอดไม่ได้ที่จะถามต่อมา

“เมื่อคืนนอนกี่ทุ่มน่ะตางค์”

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ไม่ทันได้มองนาฬิกา” ลตางค์ตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า

เมื่อคืนกว่าเธอจะได้วางสายจากแม่ก็ปาเข้าไปค่อนคืน แม้จะรีบอาบน้ำเร็วที่สุดแต่ก็ได้นอนเกือบฟ้าสางเพราะมัวเร่งทำงานที่ปานทิพย์สั่ง

เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังแว่วมาแต่ไกล ทำให้ลตางค์เงยหน้าไปมอง พอเห็นว่าเป็นใครก็รีบวางมือจากกระโปรงตัวเอง ในขณะที่สินีออกปากทักทายคนที่เพิ่งมาถึง

“วันนี้คุณปานสวยจังค่ะ”

ปานทิพย์ยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก ไม่เชิงรับคำชม แต่เป็นรอยยิ้มที่จะบอกว่า ‘ใช่สิ ฉันสวย’ มากกว่า

“ตางค์ ฉันนัดนักข่าวแล้วนะ เที่ยงนี้ งานเสร็จแล้วใช่ไหม” เสียงแหลมสูงที่ได้ยินทำให้ลตางค์รีบพลิกแฟ้มดึงงานที่ตัวเองอดตาหลับขับตานอนทำมาทั้งคืนส่งให้

ปานทิพย์รับไปกวาดตามอง ก่อนจะหันมาส่งต่อ “ยังต้องปรับอีกหน่อย อีเมลไฟล์ให้ด้วยแล้วกัน เดี๋ยวจะจัดการเอง”

“ค่ะ”

หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์คนสวยพยักหน้าพอใจ ขยับตัวจะเดินต่อไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองที่แม้ว่าจะไม่มีผนังกั้นเป็นห้องแต่ก็มีฉากล้อมกรอบเป็นสัดเป็นส่วน ทว่ายังไม่ทันก้าวไปไหนปานทิพย์ก็หมุนตัวกลับมาหาลตางค์เสียก่อน

“อ้อ กาแฟวันนี้งดนะ ขอเป็นชาสมุนไพรแล้วกัน แล้วนั่นอะไรน่ะ…ทำไมกระโปรงเลอะแบบนั้น”

คิ้วที่เขียนเข้ารูปสวยของปานทิพย์ขมวดมุ่นเข้าหากัน ตาที่กรีดขอบด้วยอายไลเนอร์จิกมองรอยเปื้อนบนกระโปรงของลตางค์อย่างไม่ชอบใจนัก

“คือ…ตางค์ หกล้ม…น่ะค่ะ” ลตางค์ตอบไม่เต็มเสียงนัก

“อายุเท่าไรแล้ว ทำไมไม่รู้จักระวัง ก็ย้ำแล้วเมื่อวานนี้ว่าให้แต่งตัวดีๆ จะไปหานักข่าว มอมอย่างนี้เคยคิดถึงภาพลักษณ์ของบริษัทกับสินค้าบ้างไหมว่าใครจะมองยังไง” เสียงที่แหลมสูงอยู่แล้วของปานทิพย์สูงขึ้นอีกเมื่อได้อารมณ์ขุ่นมาเป็นตัวเร่ง

พนักงานคนอื่นๆ ที่นั่งร่วมห้องแม้ต่างฝ่ายเหลือบตามามองลตางค์ที่ตอนนี้หน้าจ๋อยอย่างนึกสงสาร แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร มีเพียงสินีเท่านั้นที่กล้าพอ

“เช็ดเดี๋ยวก็หายหรอกค่ะ ไปตางค์ ไปจัดการเสีย”

“ก่อนไปก็ส่งอีเมลเสียก่อนด้วย ฉันยังต้องแก้งานของเราอีกเยอะเลยรู้ไหม จริงๆ เลย เรียนจบคะแนนดีมาได้ยังไงนะลตางค์ ระบบการศึกษาสมัยนี้มันมีปัญหาหรือเปล่าเนี่ย ทำไมต้องให้ย้ำให้สอนกันบ่อยๆ ฉันล่ะเหนื่อยจริงๆ กับพวกเด็กใหม่เนี่ย” ปานทิพย์สะบัดหน้าเดินจากไปอย่างหัวเสีย

ลตางค์หน้าหมอง หันไปขอบคุณสินีเสียงเบาก่อนจะรีบอีเมลส่งงานตามคำสั่ง แล้วลุกไปจัดการตัวเองในที่สุด

“คุณปานโมโหน้องตางค์อีกแล้วเหรอสินี” ณวัฒน์ผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่เดินผ่านมาทักสินีที่มองตามร่างของลตางค์ เสียงแหลมสูงของปานทิพย์นั้นต่อให้เขาปิดประตูห้องทำงานก็ยังได้ยินลอดช่องว่างระหว่างกรอบประตูเข้าไปได้อยู่ดี

“ค่ะ จะรอดทดลองงานหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไอ้เราก็หวังอยู่ทุกวันว่าจะมีคนมาช่วยเป็นเรื่องเป็นราวเสียที ท่าทางจะยาก” สินีบ่น สายตาที่มองเห็นแฟ้มในมือของณวัฒน์ทำให้นึกสงสัยบ้าง “นั่นแฟ้มอะไรคะ อย่าบอกนะคะว่าคุณปานเตรียมให้หาคนมาแทนน้องตางค์แล้ว”

“ไม่ใช่หรอก ของข้างบนน่ะ แต่พูดขึ้นมาก็ดีเหมือนกันนะ ผมจะได้เตรียมรับคนไว้ให้เลย ได้ยินว่าโดนดุทุกวันไม่ใช่เหรอ”

ณวัฒน์ขยับแฟ้มใบสมัครงานตำแหน่งเลขาฯ ของตาณในมือไปมา ตั้งใจจะเอาขึ้นไปให้คุณเพียงขวัญดูเพิ่มจากที่ลงมาเลือกไปพร้อมกับเจ้านายหนุ่มเมื่อวานนี้

“เตรียมไว้เผื่อหลายๆ คนหน่อยก็ดีนะคะ ขนาดน้องตางค์ที่ว่าน่าจะพอไหว ทำงานดี…ยังไม่รอด นีมองไม่เห็นอนาคตแล้วนะคะว่าแผนกนี้จะได้พนักงานประจำเป็นเรื่องเป็นราวเพิ่มกับเขาเมื่อไรกัน”

ณวัฒน์ส่ายหน้าน้อยๆ พลางนึกอ่อนใจ คนแถวนี้ไม่รู้ไปติดไวรัสช่างเลือกมาจากไหน ปานทิพย์จอมเรื่องมากยังพอจะรู้ แต่นี่คุณตาณที่คิดว่าเป็นคนง่ายๆ ก็เริ่มจะเป็นไปกับเขาด้วย เมื่อวานที่อุตส่าห์ลงมาดูใบสมัครงานเองถึงห้องทำงานของเขา ณวัฒน์ยังแอบดีใจว่าน่าจะหมดภาระหาเลขาฯ ให้คุณตาณเสียที แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นจะสั่งให้ตามใครเข้ามาสัมภาษณ์

ไอ้คุณสมบัติกว้างๆ แต่จำกัดอยู่แค่คำว่า ‘เหมือนคุณขวัญ’ จะไปหาที่ไหนมาให้ ณวัฒน์เริ่มท้อใจจริงๆ

 

แม้อากาศยามเที่ยงจะร้อนเอาการอยู่สักหน่อย แต่ลตางค์ยังเลือกที่จะก้าวออกมานอกอาคารสำนักงานที่เย็นฉ่ำด้วยระบบปรับอากาศไปยังบริเวณสวนหย่อม สีหน้าเศร้าน้อยๆ ในยามที่สาวเท้าเดินเอื่อยๆ ตรงไปยังมุมโปรดที่มีเงาตึกทาบลงมาช่วยบังแสงอาทิตย์

ร่างเล็กบางทรุดตัวลงนั่งบนม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ วางกล่องเมลามีนสีอ่อนที่ฝาด้านบนใสจนมองเห็นเสี้ยวผลสาลี่ปอกเปลือกน่ากินวางเรียงอยู่ข้างใน แล้วทอดสายตามองพื้นที่อยู่ตรงหน้า

สุดท้ายวันนี้ปานทิพย์ก็ให้สินีไปพบนักข่าวเป็นเพื่อนแทนเธอ และป่านนี้น่าจะกำลังพากันไปรับประทานอาหารเที่ยงในร้านหรูด้วยแน่ๆ แม้จะเหนื่อยแสนเหนื่อยกับงานที่ตั้งอกตั้งใจทำมาทั้งคืนโดยที่ไม่ได้รับคำชมเลยสักนิด ซ้ำยังโดนเอ็ดเข้าอีก แต่สิ่งที่ทำให้ลตางค์เสียใจและเสียดายไม่ใช่การที่ตัวเองต้องพลาดมื้อเที่ยงแพงๆ หากแต่เป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้งานจากปานทิพย์มากกว่า

เฮ้อ…ลตางค์ถอนหายใจผ่อนความเสียดายให้หายไปในอากาศแล้วแหงนหน้ามองฟ้า นึกให้กำลังใจตัวเอง

“ไม่เป็นไรน่าลตางค์ ยิ้มเข้าไว้ ดูฟ้าสิ…เมื่อคืนฝนตก วันนี้ยังสดใสได้เลย จะจมอยู่กับความเสียดายทำไมกัน”

ลตางค์ยิ้มให้ท้องฟ้าอีกครั้ง ผลักความรู้สึกชวนหดหู่ใจออกไปก่อนจะก้มลงมองหนังสือที่พกมาพร้อมกันด้วย

“ไม่ได้ไปกับคุณปานแต่ก็มีเวลาว่างอ่านนิยายเล่มใหม่ของแววบุหลันนี่เนาะ เอาน่า เติมพลังใจเสียลตางค์ จะได้มีแรงกลับไปทำงานบ่ายนี้ เร็วเลย เดี๋ยวหมดเวลาพักเที่ยงแล้วจะเสียใจ” ลตางค์ทำเสียงปลุกใจตัวเอง ตามองหนังสือของนักเขียนคนโปรดเล่มใหม่ล่าสุดที่แม้จะอ่านจบตั้งแต่คืนแรกที่ได้มาครอบครอง แต่ยังพกติดตัว และคงอีกนานทีเดียวกว่าจะยอมให้ห่างมือ

“คุณแววบุหลัน…เป็นที่พักใจให้ตางค์หน่อยนะคะ ส่งพระเอกมาปลอบใจตางค์หน่อยก็ดีค่ะ” ลตางค์ยกหนังสือขึ้นมามองเสมอระดับสายตา พูดเสียงอ่อนราวกับที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่หนังสือ แต่เป็นใครสักคนที่เธอสนิทสนม แววตาที่มองหนังสืออ้อนเหมือนเด็กเล็กๆ

เสียงหัวเราะหึๆ แว่วติดหูทำให้ลตางค์ชะงัก ใบหน้าเรียวเล็กเหลียวไปมองที่มาแล้วก็ได้เห็นชายหนุ่มที่กำลังพยายามกลั้นหัวเราะอยู่ไม่ห่างนัก

คุณตาณ

พอได้เห็นว่าเป็นใคร กำลังใจที่เรียกให้ตัวเองได้เมื่อครู่ก็ดูเหมือนจะอันตรธานหายไปหมด ได้แต่อึ้งมองชายหนุ่ม แต่พอเห็นแววตาพราวระยับของเขาชัดตาก็กลายเป็นประหม่า

มายืนตรงนี้นานแค่ไหน…แล้วได้ยินเธอพูดอะไรบ้าง

ใบหน้าเล็กๆ ร้อนผ่าวเมื่อคิดถึงประโยคสุดท้ายของตัวเอง

‘ส่งพระเอกมาปลอบใจตางค์…’ ตายแล้ว! ได้ยินแน่ๆ

ลตางค์เริ่มไม่อยากอยู่ตรงนี้อีกแล้ว เลิกคิดที่จะใช้เวลาพักเที่ยงอ่านนิยายเล่มโปรด ขยับตัวตั้งใจจะกลับเข้าออฟฟิศเสียที

“ชอบอ่านนิยาย?” เสียงทุ้มนุ่มที่ได้ยินทำให้ลตางค์ชะลอฝีเท้า ตอบเสียงเบา

“ค่ะ”

อาการกระชับหนังสือนิยายแนบตัวอย่างหวงแหนทั้งที่ก้มหน้างุดๆ หลบตาเขาทำให้แววตาของคนมองอ่อนโยนไม่รู้ตัว แม้ในยามทอดสายตามองตามร่างเล็กที่ก้าวจากไปหลังจากค้อมศีรษะให้น้อยๆ โดยไม่พูดอะไรอีกเลย

 

พอได้อยู่ตามลำพัง ตาณก็เบือนหน้าไปมองม้านั่งที่เมื่อสักครู่มีร่างของลตางค์จับจอง กล่องเมลามีนที่เจ้าของลืมทิ้งไว้ทำให้สองขาขยับก้าวเข้าไปใกล้แล้วทรุดตัวนั่ง เอื้อมมือไปหยิบมามองของที่อยู่ข้างในใต้ฝาใส

เขาเห็นลตางค์ผลักประตูอาคารออกมานอกสวนโดยบังเอิญ ยังคิดเล่นๆ อยู่ว่าเธออาจจะแอบเลี้ยงอะไรแถวนี้อีกหลังจากเป็นเจ้ามือหมูปิ้งให้สุนัขจรจัดข้างทาง ไม่คิดว่าจะมานั่งเล่นแถมยังพกสาลี่เต็มกล่องมาเสียด้วย

ตาณจัดการเปิดฝากล่องเมลามีนหยิบสาลี่ที่ล้างสะอาดแล้วมากินเหมือนเป็นของตัวเอง เขาได้ยินมาว่าวันนี้ปานทิพย์เอ็ดพนักงานใหม่อีกแล้วก็นึกรู้ว่าเป็นใคร และคิดว่าไม่น่าจะผิดตัว

ฤทธิ์ของหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์เป็นอย่างไรทำไมตาณจะไม่รู้ ถึงแม้จะไม่ค่อยได้เข้าออฟฟิศก็เถอะ ยังคิดว่าหญิงสาวใจดีตัวเล็กจะทนอยู่ได้สักแค่ไหน แต่แล้วคำพูดและท่าทางของลตางค์ที่เรียกกำลังใจให้ตัวเองก็ทำให้เขารู้สึกผิดคาด กระทั่งเผลอหัวเราะจนเธอรู้สึกตัว

ก็ใครมันจะไปนึกว่าคนเดินเซื่องๆ เหมือนหมดแรง จู่ๆ จะเปลี่ยนสีหน้าท่าทางได้รวดเร็วแบบนั้น แถมยังคุยกับหนังสือเสียงดังคนเดียวเหมือนเป็นเพื่อนรักเสียอีก คำพูดแปลกๆ ที่เรียกหาพระเอกในนิยายนั่นด้วย

แต่ก็นะ เข้มแข็งดี โดนคุณปานแว้ดๆ ทุกวันไม่ยักกะท้อ

ในแววตาใต้กรอบแว่นขณะมองสบสายตาเขานั้น ตาณเห็นแต่ความตกใจปนประหม่าของคนที่ไม่คิดว่าจะมีใครมาพบในเวลาส่วนตัว ที่ตาณจำได้ดีอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับลตางค์ก็คือ เมื่อไม่มีแว่นตากรอบเข้ม ใบหน้าขาวเนียนเหมือนเด็กเล็กๆ ของเธอนั้นน่ามองด้วยดวงตากลมโตเป็นประกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประกายตารักและหวงแหนในยามที่เธอกอดประคองหนังสือของแววบุหลัน

ลตางค์…เป็นครั้งแรกที่ตาณเริ่มรู้สึกว่าการได้มองเห็นหญิงสาวสักคนอยู่ในสายตา…สนุกดี

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มวันที่ 30 มี.ค. 64)

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: