บทที่ 5
“เป่าเอ๋อร์ มานี่เร็ว”
พั่วเยวี่ยนั่งไขว้ขาขัดสมาธิอยู่บนต้นไม้ ตั้งจิตมั่นอยู่กับการฝึกลมปราณ ในสัมผัสทิพย์กลับมีเสียงทุ้มต่ำทรงเสน่ห์ของต้วนมู่ไป๋ลอยเข้ามา
นับตั้งแต่ต้วนมู่ไป๋ถ่ายทอดพลังยุทธ์ส่วนหนึ่งให้นางก็ได้ยินเสียงที่ส่งมาจากสัมผัสทิพย์ของเขา
บุรุษผู้นี้ช่วยนางเปิดตาทิพย์ แม้กระทั่งหูทิพย์ก็ด้วย คนที่ไม่ทราบความนัยเบื้องหลังอาจเห็นว่าพวกเขาสองคนจิตใจสื่อถึงกันแค่เพียงสบตาแน่
บุรุษผู้นี้ช่างร้ายกาจนัก ถ้าหากต้องการตามหานางก็ส่งเสียงมา นางกลับต้องเหน็ดเหนื่อยไปหาเขาด้วยตัวเอง หึ เห็นว่าข้าเอ่ยเรียกก็มา โบกมือไล่ก็ไปอย่างนั้นล่ะสิ
นางไม่อยากไปเลยสักนิดจะได้ไม่ต้องเห็นเรือนกายเปลือยเปล่าของเขาอีก พานทำให้นางหลับตาก็เห็นภาพชวนเลือดกำเดาไหล อุจาดตาจะตายไป
“เป่าเอ๋อร์ ไปอยู่ไหนกัน หืม?”
ไม่บอกท่านหรอก ข้าไม่ได้ยิน
“ไม่อยู่หรือ”
ไม่อยู่ ไม่ว่างด้วย
“อ้อ…คงไปหาที่ฝึกวิชาอยู่ตรงไหนกระมัง”
ใช่ ข้ายุ่งมาก ท่านเซียนอยากจะไปที่ไหนก็ไปให้พ้นเถอะ
“น่าเสียดาย วันนี้ตั้งใจจะเลือกอาวุธวิเศษให้เจ้าสักชิ้น…”
พั่วเยวี่ยกระโดดพรวดลุกขึ้นมาทันใด ไม่มีความลังเลเหลืออยู่อีก นางร่ายอาคมเหาะเหินโดยพลัน เร่งรีบไปหาต้วนมู่ไป๋
จะเห็นภาพอุจาดตาก็ปล่อยไปเถอะ อย่างมากนางก็มองแค่เรือนกายท่อนบน เลี่ยงไม่มองท่อนล่าง มีอาวุธวิเศษให้ครอบครอง นางไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้ว
เมื่อเหาะมาถึงเรือนลั่วสยานางก็มองเห็นต้วนมู่ไป๋ยืนรออยู่ที่ลานบ้าน ชุดสีขาวผ้าพลิ้วปลิวไสว ใบหน้าอิ่มเอิบเปี่ยมด้วยสง่าราศี ไม่ใช่บุรุษเผยเรือนกายเปลือยเปล่า
นางลองกะพริบตาปริบๆ หรือว่าอาคมตาทิพย์จะสิ้นฤทธิ์แล้ว? ขณะยังรู้สึกแปลกใจอยู่นั้นสองเท้าก็ก้าวเดินตรงไปหาเขา
“อาจารย์เจ้าคะ…” เสียงเรียกหาฟังแล้วช่างฉอเลาะออดอ้อน
ต้วนมู่ไป๋มองเห็นดวงตาเปล่งประกายวิบวับรวมถึงรอยยิ้มสว่างเจิดจ้าของนางชัดเจนเต็มสองตา เขารู้อยู่แล้ว ลองใช้ปลาเป็นเหยื่อล่อ แมวเหมียวประเดี๋ยวก็มา
“เจ้ามาแล้ว” เขาเอ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เจ้าค่ะ ข้าฝึกวิชาอยู่ตลอดทั้งคืน เมื่อครู่ก็เลยเผลอหลับ” นางเสแสร้งต่อไป อย่างไรตีให้ตายนางก็ไม่ยอมรับแน่ “อาจารย์เรียกข้า มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
จู่ๆ ต้วนมู่ไป๋ก็ยื่นมือมาโอบเอวนางเอาไว้ น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยเตือนแนบชิดใบหู “จับให้แน่นๆ ล่ะ ระวังอย่าตกลงไปนะ”
เสียงของเขาลอยวนเวียนอยู่ นางยังไม่ทันเข้าใจความหมายภาพเบื้องหน้าก็พลันหมุนเปลี่ยนอย่างกะทันหัน ชั่วพริบตาก็ย้ายไปอีกที่หนึ่งแล้ว
พั่วเยวี่ยตื่นตระหนกตกใจ ก่อนหน้านี้พวกเขายังอยู่ในลานบ้าน เพียงชั่วอึดใจเดียวสองเท้าลอยขึ้น เบื้องบนเวิ้งว้าง เบื้องล่างว่างเปล่า ทิวทัศน์รอบกายแปรเปลี่ยนไม่อาจคาดคะเน พานทำให้สายตาพร่าเลือนสับสน ไม่รู้ว่าเวลานี้อยู่ที่ใดกันแน่
อาคมย้ายร่างเปลี่ยนทิศ!
ถ้าหากมนุษย์ปุถุชนฝึกฝนอาคมนี้อย่างมากก็ย้ายร่างชั่วพริบตาไปไม่กี่ฉื่อถ้าหากผู้เป็นเซียนฝึกฝนอาคมนี้จะขึ้นอยู่กับพลังยุทธ์ของคนผู้นั้น อาจย้ายร่างชั่วพริบตาได้ไกลร้อยหลี่** หรือพันหลี่ หรืออาจไกลเป็นหมื่นหลี่ด้วยซ้ำไป เล่าลือกันว่าเมื่ออิทธิฤทธิ์จากการบำเพ็ญเพียรสูงส่งถึงระดับหนึ่งจะสามารถเคลื่อนย้ายตำแหน่งได้อย่างอิสระ ทิวทัศน์รอบกายเปลี่ยนแปลงบิดเบี้ยว ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วขณะเดียว
นางคิดไม่ถึงเลยว่าต้วนมู่ไป๋จะมีฝีมือเก่งกาจถึงขนาดนี้!
นางยังมีพลังบำเพ็ญเพียรอ่อนด้อย เมื่อใดเข้าสู่ห้วงอากาศธาตุของการย้ายร่างเปลี่ยนทิศ ถ้าหากไม่ทันระวังหลงทางอยู่ในนี้อาจไม่ได้กลับออกไปอีก ไม่ต้องให้เขากำชับตักเตือนนางก็เป็นฝ่ายกอดเขาแน่นด้วยตัวเอง ถึงตายก็ไม่มีวันปล่อยมือ
พอทิวทัศน์รอบกายเลิกหมุนคว้าง ในที่สุดสองเท้าของพวกเขาก็แตะพื้นดิน ตอนนี้อยู่ในถ้ำหินแห่งหนึ่ง
แม้จะกล่าวว่าเป็นถ้ำหิน แต่ก็เป็นแค่การคาดเดาของนางเท่านั้น บริเวณโดยรอบมีแต่ความมืดมิดไม่สิ้นสุด ไม่มีแสงสว่างใดสาดส่องเข้ามาเลย จึงต้องอาศัยไฟอาคมเซียนที่ต้วนมู่ไป๋เสกขึ้นมาช่วยนำทาง
“ที่นี่คือที่ไหนหรือเจ้าคะ”
“ถ้ำเก็บสมบัติก้นยอดเขาวั่งเยวี่ย”
พั่วเยวี่ยประหลาดใจยิ่งนัก ตอนนี้ข้ามาอยู่ใต้ยอดเขาวั่งเยวี่ย?
อาวุธวิเศษกับสมบัติล้ำค่าถูกเก็บซ่อนอยู่ในสถานที่ลับของแต่ละดินแดนแต่ละสำนักเสมอมา มีเพียงอยู่ในตำแหน่งผู้กุมอำนาจเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ล่วงรู้เส้นทางเข้าสู่สถานที่ลับ
ถึงนางจะเป็นหนึ่งในสี่ขุนพลใหญ่ของจอมมาร ทว่าสถานที่ลับเก็บสมบัติของเผ่ามาร นอกจากจอมมารกับราชินีจอมมารแล้ว แม้กระทั่งพวกนางซึ่งเป็นสี่ขุนพลใหญ่ก็ไม่มีสิทธิ์ย่างเท้าเข้าไป
หลังจากยืนนิ่งมั่นคงบนพื้นดินนางก็ปล่อยมือจากเขาทันที ตั้งใจว่าจะเดินเข้าไปเอง
“ระวังเท้าด้วย ถ้าหากพลาดพลั้งแตะต้องค่ายกล ชีวิตน้อยๆ ของเจ้าคงไม่รอดแน่”
จริงสิ สถานที่ลับเก็บสมบัติจะต้องวางค่ายกลป้องกันผู้อื่นเข้ามาลักขโมยอยู่แล้ว ไม่ได้การ นางไม่อยากเอาชีวิตไปทิ้งเปล่าๆ จึงรีบกลับไปกอดเขาเอาไว้อีกครั้ง
“อาจารย์ ข้าอยู่กับท่านไม่ไปไหนดีกว่า จะได้ไม่สร้างปัญหาให้ท่านเพิ่มนะเจ้าคะ” ก็แค่กอดเขาเอาไว้เองไม่ใช่หรือ นางไม่ได้ขาดทุนสักหน่อย ผู้อื่นอยากกินเต้าหู้เซียนกระบี่ยังไม่มีโอกาสได้กินเลยนะ
พอเห็นนางเป็นฝ่ายทำตัวติดหนึบกับเขาเองมุมปากของต้วนมู่ไป๋ก็ยกโค้งขึ้นเล็กน้อย ดวงตาแฝงรอยยิ้มจางๆ โอบกอดเรือนร่างงามนวลเนียนหอมกรุ่นเดินไปอย่างอารมณ์ดี
เทียบกับความเอ้อระเหยลอยชายของเขาแล้วพั่วเยวี่ยกลับจ้องมองรอบข้างอย่างระแวดระวังเต็มที่ คิดในใจว่าถ้าหากประกายดาบเงากระบี่โผล่ออกมาจะดึงร่างเขาเป็นโล่มนุษย์กำบังกาย
ทันใดนั้นเขาก็หยุดฝีเท้าลงหลังจากเดินไปได้ประมาณหนึ่งถ้วยชา
“ถึงแล้ว” เขากล่าวขึ้น
นางเบิกตาเหลียวซ้ายแลขวา นอกจากความมืดมิดก็ยังเป็นความมืดมิด นางมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว
“อาจารย์ อาวุธวิเศษล่ะเจ้าคะ”
“เจ้ามองไม่เห็นรึ”
นางส่ายหน้าด้วยความสงสัย
เขาเองก็มีสีหน้าสับสนงงงวย “รอให้ข้าถามหน่อย นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ถามใคร หรือว่านอกจากพวกเราแล้วที่นี่ยังมีคนอื่นอยู่อีก?
นางหันมองต้วนมู่ไป๋ก็เห็นเขาตั้งจิตมั่นอยู่กับความมืดมิดว่างเปล่า คล้ายว่ากำลังใช้สัมผัสทิพย์สื่อสาร
ไม่นานนักเขาก็ถอนหายใจแผ่วเบา เอ่ยพึมพำว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้อะไรกันเล่า ท่านเซียนอธิบายออกมาให้ชัดเจนสิเจ้าคะ!
เขากระแอมกระไอให้คอโล่งแล้วถึงกล่าวกับนางว่า “จะกลายเป็นอาวุธวิเศษที่ทุกดินแดนเสาะแสวงหาและชื่นชมบูชา ต้องผ่านการหล่อหลอมมาเนิ่นนานนับพันปีหรือหมื่นปีถึงจะเป็นอาวุธวิเศษทรงอานุภาพ อยู่เหนืออาวุธชิ้นอื่นได้”
นางย่อมรู้ดี แล้วอย่างไรต่อล่ะ
“อาวุธวิเศษเหล่านี้ล้วนมีสัมผัสทิพย์ของตัวเอง พวกมันประสบพบเจอความรุ่งเรืองเสื่อมถอย ความแปรผันของกาลเวลามามากมาย มองเห็นความเป็นไปในโลกหล้านับไม่ถ้วน“
อาวุธวิเศษมีจิตวิญญาณก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน เพราะฉะนั้น?
“เพราะฉะนั้นพวกมันมีสายตาสูงส่งมากทีเดียว พอมีประสบการณ์โชกโชนจึงหยิ่งทะนงในความสามารถของตัวเอง แล้วก็ไม่ค่อยเห็นคนตัวเล็กตัวน้อยอยู่ในสายตา…”
พั่วเยวี่ยเบิกตากว้าง พยายามคิดทบทวนคำพูดของเขา
ไม่เห็นคนตัวเล็กตัวน้อยอยู่ในสายตา? ในที่นี้นับว่าข้ามีพลังบำเพ็ญเพียรต่ำต้อยที่สุด ดังนั้นคนตัวเล็กตัวน้อยที่ว่าคงหมายถึงข้าสินะ
เส้นเลือดตรงขมับนางกระตุกเบาๆ
“อาจารย์จะบอกว่าสาเหตุที่ข้ามองไม่เห็นเป็นเพราะพวกมันไม่อยากให้ข้าเห็นใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ต้วนมู่ไป๋กระแอมเบาๆ อีกครั้ง “พวกอาวุธวิเศษมักจะหยิ่งผยองเช่นนี้แหละ”
บ้าเอ๊ย!
นางนึกว่าการประจบเบื้องบน เหยียบย่ำเบื้องล่าง อาศัยอำนาจกดขี่ข่มเหงผู้อื่นจะปรากฏแค่ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าอาวุธวิเศษที่บำเพ็ญเพียรจนมีจิตวิญญาณก็มีพวกสายตาสุนัขมองคนต่ำต้อย* อยู่ด้วย!
ในอดีตเมื่อครั้งนางเป็นขุนพลเยี่ยนสื่อ รูปโฉมงามล้ำเลื่องลือไปไกล มีอาวุธวิเศษมากมายยอมศิโรราบใต้ชายกระโปรงสีทับทิม ยื้อแย่งกันลงนามในพันธสัญญาชั่วชีวิตเพื่อกลายเป็นวิญญาณผูกพันธะของนาง นางยังไม่เห็นอยู่ในสายตาเลย มีหรือจะรู้ว่าวันหนึ่งพอพยัคฆ์ตกที่ราบ** สัตว์เดรัจฉานในแดนเซียนนางก็เอาชนะไม่ได้ ตอนนี้แม้กระทั่งอาวุธวิเศษก็กล้ารังเกียจนาง
อยากด่าคน อยากต่อยตีคน อยากเตะคนยิ่งนัก!
แน่นอนว่านี่เป็นแค่เสียงในใจของนาง ยามอาศัยใต้ชายคาผู้อื่นจำต้องก้มศีรษะ นางต้องอดทน!
“ข้าทำให้อาจารย์ต้องขายหน้าแล้ว” พั่วเยวี่ยมองต้วนมู่ไป๋อย่างน่าสงสาร ดวงตามีหยาดน้ำใสเอ่อคลอ “ข้าจะตั้งใจฝึกวิชา ไม่ให้ใครดูถูกได้เจ้าค่ะ”
ความหมายของนางก็คือผู้อื่นทำให้ลูกศิษย์ของท่านต้องอับอาย อาจารย์อย่างท่านคนนี้สมควรแสดงท่าทีอะไรบ้างหรือไม่ จะสั่งสอนเจ้าพวกไร้ความเป็นมนุษย์ให้หลาบจำสักหน่อยหรือไม่
ต้วนมู่ไป๋ตบไหล่นางเบาๆ เอ่ยปลอบโยนว่า “อย่าเสียใจไปเลย อาจารย์ไม่กลัวขายหน้า แล้วก็ไม่รังเกียจเจ้าด้วย”
พั่วเยวี่ยรู้สึกคับแค้นใจนัก หมายมั่นว่าวันไหนนางกลายเป็นเซียนผู้ทรงอิทธิฤทธิ์แล้วจะต้องสยบอาวุธวิเศษเหล่านี้จนยอมอยู่ใต้อำนาจนางให้ได้
“แหย่นางเล่นมันสนุกนักหรือ” ผู้ที่เอ่ยถามประโยคนี้ก็คืออินเจ๋อ
ต้วนมู่ไป๋ตวัดสายตามอง เห็นอีกฝ่ายยกสองแขนกอดอก ยืนเหล่ตามองเขาอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
แม้อินเจ๋อจะเป็นวิญญาณผูกพันธะของเขา ทว่าต้วนมู่ไป๋กลับไม่ควบคุมอีกฝ่ายไว้ มีเพียงยามจำเป็นถึงเอ่ยเรียกให้มาหา นอกนั้นจะปล่อยให้อินเจ๋อเดินทางไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนตามอำเภอใจ อยากจะไปที่ไหนก็ไปได้เลย
“เจ้าไม่ได้ไปแดนมนุษย์หรือ” เขาเอ่ยถามยิ้มๆ
อินเจ๋อแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา “เจ้าพวกนั้นกินอยู่ตะกละตะกลาม การงานกลับเกียจคร้าน ทิ้งวิชาไปเปล่าๆ พอเข้าสนามรบถ้าไม่แขนขาขาดก็ตัดเอวขาด เป็นพวกเศษสวะแท้ๆ น่าขายหน้าสิ้นดี”
เจ้าพวกนั้นที่อินเจ๋อหมายถึงคืออาวุธยุทโธปกรณ์ ปกติถ้าหากไม่ถูกนำมาลับคมก็จะกลายเป็นอาวุธทื่อๆ พอถึงเวลาเข้าสู่สนามรบไม่ถูกฝ่ายศัตรูฟันจนแหว่งก็ขาดสะบั้น
วันนี้เขาได้ยินว่าแดนมนุษย์เกิดศึกสงคราม ในฐานะเทพแห่งสงครามที่อาวุธทั้งหลายเคยเทิดทูนบูชา กลิ่นคาวเลือดในสนามรบกระตุ้นความกระหายเลือดของเขาไม่น้อย จึงเดินทางไปชมดูเรื่องสนุกด้วยความสนอกสนใจ กลับพบเห็นคนรุ่นหลังกลุ่มหนึ่งทำให้เขาอับอายขายหน้า ด้วยเหตุนี้ถึงได้โมโหเดือดดาล กลับมาด้วยความผิดหวัง
เมื่อรู้ว่าต้วนมู่ไป๋พาพั่วเยวี่ยมายังถ้ำเก็บสมบัติใต้ยอดเขา เขาก็เลยตามมาดูด้วย
“ท่านแกล้งหยอกแม่นางน้อยเล่นอีกแล้วสิ?”
“เปล่าเลย แค่พานางมาเปิดหูเปิดตาเท่านั้น”
“อาจารย์ ท่านกำลังคุยกับอาวุธวิเศษหรือเจ้าคะ”
บุรุษทั้งสองหันไปมองพั่วเยวี่ยที่มีสีหน้าคับแค้นใจพร้อมกัน อินเจ๋อชี้หน้านางแล้วมองต้วนมู่ไป๋อย่างเหยียดหยาม “ท่านบังตาของนางเอาไว้ แม้แต่ข้าก็มองไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียง จะเรียกว่าเปิดหูเปิดตาได้อย่างไร”
ยังกล้าบอกว่าไม่ได้แกล้งหยอกนางอีก
“เป่าเอ๋อร์เด็กดี อาจารย์กำลังคุยกับอาวุธวิเศษอารมณ์ร้ายชิ้นหนึ่งอยู่น่ะ”
“…” อินเจ๋อที่ถูกกล่าวหาว่าอารมณ์ร้ายเริ่มมีโทสะขึ้นมาจริงๆ แล้ว
พั่วเยวี่ยรู้สึกผิดหวังเหลือประมาณ เดิมทีนึกว่าจะได้ฉวยโอกาสสอดส่องว่ายอดเขาวั่งเยวี่ยเก็บอาวุธวิเศษชิ้นใดไว้บ้าง ปรากฏว่านางไม่มีค่าพอให้อาวุธวิเศษเหล่านั้นพบหน้า โดยไม่รู้เลยสักนิดว่าความจริงแล้วต้วนมู่ไป๋ร่ายอาคมบังดวงตาของนางอยู่
“อาจารย์ ในเมื่อข้ามองไม่เห็นพวกมันก็ไปกันเถอะเจ้าค่ะ” นางแสดงสีหน้าน้อยใจ ทว่าแอบสบถด่าเงียบๆ พั่วเยวี่ย รีบคิดหาทางเข้าสิ เข้ามาเจอขุมทรัพย์แล้วจะยอมกลับไปมือเปล่าได้อย่างไร!
“วางใจได้ อาจารย์จะแบ่งพลังยุทธ์ให้เจ้าเล็กน้อย เดี๋ยวก็จะมองเห็นเอง”
เฮอะ ข้ารอประโยคนี้ของท่านนี่แหละ!
“ข้ารู้อยู่แล้ว อาจารย์รักข้าที่สุด” นางพลันเปลี่ยนจากกลัดกลุ้มเป็นยินดี เอ่ยขึ้นด้วยเสียงอ่อนหวาน
อินเจ๋อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเอือมระอา “สตรีนางนี้แม้เปลี่ยนร่างกาย แต่คำหวานเอาใจบุรุษยังไม่เปลี่ยนสักนิด”
ต้วนมู่ไป๋ไม่สนใจเขา ยังคงเม้มปากรักษารอยยิ้มหล่อเหลาละมุนละไม “มาสิ หลับตาลงนะ”
พั่วเยวี่ยเข้าใจว่าก็คงเหมือนกับครั้งก่อนจึงรีบหลับตาลงด้วยความดีใจ เฝ้ารอเขามอบพลังยุทธ์ส่วนหนึ่งให้
ต้วนมู่ไป๋ประคองใบหน้านางขึ้นมา เริ่มจากจุมพิตเปลือกตาซ้าย จากนั้นจุมพิตเปลือกตาขวา
อินเจ๋อเอ่ยอย่างเบื่อหน่ายอีกครั้ง “นางเสแสร้งแกล้งรู้สึก ท่านก็พูดโกหกหน้าตาย พวกท่านสองคนก็เหมาะสมกันดี”
ต้วนมู่ไป๋ดีดลำแสงสายหนึ่งเข้าตรงกลางระหว่างคิ้วของนางก่อนกระซิบบอกว่า “ลืมตาได้แล้ว”
พอได้ยินคำอนุญาตจากเขาพั่วเยวี่ยก็ลืมตาทั้งสองข้าง เมื่อครู่ยังเป็นสถานที่มืดมิด ครั้งนี้กลับมองเห็นอาวุธวิเศษหลากหลายชนิดวางเรียงรายเปล่งรัศมีเรืองรอง ส่องสว่างเจิดจ้าไปทั่วบริเวณ
นางตื่นเต้นยินดียิ่งนัก ทว่าเมื่อเหลือบเห็นบุรุษชุดดำยืนมองอยู่ทางหนึ่งก็ตกใจหน้าถอดสีไปทันที
“อ๊า!” กระบี่ซื่อหมัว!
ราชันแห่งกระบี่ทั้งปวงที่เผ่ามารหวาดกลัวเป็นที่สุด กลิ่นอายดุร้ายของมันสามารถข่มกลิ่นอายมารปีศาจได้อยู่หมัด
อานุภาพของมันน่ากลัวแค่ไหน พั่วเยวี่ยเข้าใจกระจ่างแจ้ง
อินเจ๋อชายตามองสตรีที่ตกใจหน้าไร้สีเลือดอีกทั้งยังหวาดกลัวตัวสั่นสะท้านซึ่งซ่อนตัวอยู่ข้างหลังต้วนมู่ไป๋ด้วยแววตาของผู้อยู่เหนือกว่า เขามองสำรวจอยู่ชั่วครู่ จู่ๆ ก็เงยหน้ามองต้วนมู่ไป๋แล้วกล่าวออกมาโดดๆ ประโยคหนึ่งว่า
“น่าสนุกจริงๆ ด้วย”
เขาพอเข้าใจนิสัยชอบกลั่นแกล้งของต้วนมู่ไป๋แล้ว การหยอกเย้าสตรีนางนี้น่าสนุกไม่ใช่เล่น
“อย่าทำให้นางตกใจสิ” ต้วนมู่ไป๋โอบร่างเด็กสาวตัวน้อยน่าสงสารเข้าสู่อ้อมกอด ลูบแผ่นหลังนางเบาๆ ความรักใคร่เอ็นดูมากล้นเกินบรรยาย
ตัวการใหญ่ที่ทำให้นางตกใจกลัวขนาดนี้เป็นอาจารย์ของนางเองแท้ๆ…อินเจ๋อเผยสีหน้าเอือมระอาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่
“เป่าเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงตกใจขนาดนี้เล่า นี่เป็นวิญญาณผูกพันธะของอาจารย์เอง เขาไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”
ตอนนี้เองพั่วเยวี่ยที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดเขาด้วยความกลัวจนตัวสั่นประหนึ่งใบไม้ต้องลมฤดูใบไม้ร่วงถึงได้สติกลับคืนมาทันใด
นั่นสิ ตอนนี้นางคือเยวี่ยเป่าคนของแดนเซียน ไม่ใช่คนของเผ่ามาร นางไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวเขา และไม่ควรหวาดกลัวด้วย คงได้แต่โทษความเคยชินที่ฝังรากลึก มองเห็นกระบี่พิฆาตมารจะต้องหนี กลายเป็นอาการตอบสนองฉับพลันไปแล้ว
“ข้า…ข้าแค่ตกใจที่จู่ๆ มองเห็นข้างกายอาจารย์มีคนโผล่มาเจ้าค่ะ ก็เลย…” นางอธิบายด้วยความลำบากใจ เตือนสติตัวเองว่าให้สุขุมเยือกเย็นหน่อย ทำให้พวกเขาสงสัยคงแย่แน่
ต้วนมู่ไป๋ถอนหายใจ เอ่ยอย่างสะเทือนอารมณ์ว่า “อาจารย์เข้าใจ คนผู้นี้ชอบทำตัวลึกลับผีเข้าผีออก น่าตกใจกลัวจริงๆ นั่นแหละ”
อินเจ๋อนิ่งงันไร้วาจา พั่วเยวี่ยก็เช่นกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่นางอยู่ใกล้กับวิญญาณผูกพันธะของเซียนกระบี่ปานนี้ มารกระบี่ที่ดำรงอยู่มานานนับหมื่นปีแล้วยังเป็นถึงราชันเหนือกระบี่ทั้งปวง คนผู้นี้มีกลิ่นอายเย็นเยียบแผ่ซ่านออกมาทั่วร่าง เพียงแค่ยืนอย่างเฉยชาอยู่ตรงนั้นก็สร้างบรรยากาศข่มขวัญมากพอแล้ว
“ที่แท้ท่านนี้ก็คือราชันเหนือกระบี่ทั้งปวงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วสี่ทะเล ข้าน้อยเยวี่ยเป่า คารวะราชันกระบี่” นางยอบกายคารวะครั้งหนึ่ง สิ่งของพันหมื่นอาจหมดประโยชน์ ประจบสอพลอไว้มีประโยชน์แน่นอน อย่างไรปากหวานเอาไว้ก่อนไม่มีผิดพลาดแน่
อินเจ๋อมองหน้านาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าเรียกข้าอาจารย์ปู่ก็ได้”
หา? นางนิ่งอึ้งไป
“เรียกอาจารย์อาก็พอแล้ว” ต้วนมู่ไป๋ยิ้มกว้างกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็เหล่ตามองอินเจ๋อแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเริ่มพูดจาหยอกล้อ ทั้งยังถือโอกาสเอาเปรียบเขาด้วย
พั่วเยวี่ยรู้สึกทั้งตลกขบขันทั้งเหลือเชื่อ นอกจากนางจะกลายเป็นลูกศิษย์ของเซียนกระบี่ ยังมีอาจารย์อามารกระบี่เพิ่มมาอีกคนด้วย
ในเมื่อต้วนมู่ไป๋กอดนางไว้อยู่แล้วก็ถือโอกาสกอดรัดไม่ยอมปล่อย เขาพานางเดินมาถึงหน้าโพรงหินแห่งหนึ่ง โพรงหินมีม่านพลังเซียนเปล่งรัศมีจางๆ แต่ละโพรงหินจะมีอาวุธวิเศษหนึ่งชิ้น
ถ้าหากจะหยิบอาวุธวิเศษก็ต้องผ่านม่านพลังเซียนไปให้ได้เสียก่อน
“ของวิเศษพวกนี้เจ้าเห็นแล้วจะต้องชอบแน่ๆ” เขากล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ยื่นนิ้วไปแตะเบาๆ ม่านพลังเซียนก็หายลับไปท่ามกลางสายตารอคอยของนางจนเผยให้เห็นอาวุธวิเศษข้างใน
นี่คือขลุ่ยที่มีสีพื้นเป็นสีฟ้าครามพร้อมด้วยลวดลายแกะสลักสีดำ ทันทีที่เห็นขลุ่ยเลานี้พั่วเยวี่ยก็มีสีหน้าบึ้งตึง
“เป่าเอ๋อร์ ขลุ่ยเลานี้ไม่ใช่ขลุ่ยธรรมดา เจ้ารู้ความเป็นมาของมันหรือไม่”
ย่อมรู้อยู่แล้ว นางไม่ใช่แค่รู้ แต่ยังเกือบแย่งชิงขลุ่ยหมิงเยี่ยเลานี้มาได้ด้วย!
“ตอนนั้นอาจารย์บุกฝ่าป่าปีศาจตามลำพังเพื่อตามหาขลุ่ยเลานี้ นี่เป็นขลุ่ยที่แม่หมอหมิงเยี่ยเหลาขึ้นจากต้นไม้ปีศาจ ผนึกวิญญาณต้นไม้ปีศาจไว้ข้างในให้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับขลุ่ย ดังนั้นเสียงขลุ่ยจึงสามารถ…”
เสียงขลุ่ยสามารถสื่อสารกับเหล่าแมลง หมู่นก และสัตว์สี่เท้าได้ ผู้ใดครอบครองมันจะควบคุมสั่งการแมลงและสัตว์เหล่านั้นได้ ในอดีตนางต้องการขลุ่ยเลานี้ เคยบุกลึกเข้าไปในป่าปีศาจตามหาแม่หมอหมิงเยี่ย ผลปรากฏว่า…
“ผลปรากฏว่าตอนอาจารย์ออกตามหาขลุ่ยเลานี้ เจ้าลองเดาดูสิ อาจารย์พบใครเข้า”
มารดามันเถอะ เจ้าพบข้าเข้าน่ะสิ!
“พบใครหรือเจ้าคะ” ดวงตางดงามของพั่วเยวี่ยกะพริบปริบๆ อย่างไร้เดียงสา เอ่ยถามเขาด้วยความอยากรู้
ต้วนมู่ไป๋ยิ้มกว้างด้วยความคิดถึง น้ำเสียงยิ่งมีเสน่ห์ดึงดูดกว่าเดิม
“อาจารย์พบกับขุนพลเยี่ยนสื่อแห่งเผ่ามาร นางชื่อพั่วเยวี่ย เป็นหนึ่งในสี่ขุนพลใหญ่ใต้บัญชาการของจอมมาร ข้ากับนางต่างสนใจขลุ่ยเลานั้นทั้งคู่ ช่างบังเอิญเสียจริง”
“นั่นสิเจ้าคะ ช่างบังเอิญนัก” พั่วเยวี่ยหัวเราะแห้งๆ ทว่าในใจสาปส่งเขาเป็นร้อยรอบ ขลุ่ยถูกเขาแย่งชิงไปทำให้นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะเรื่องนี้อยู่หลายเดือนเลยทีเดียว
“นางบอกว่าไม่อยากแย่งชิงกับคนที่รักสุดหัวใจ ก็เลยเป็นฝ่ายยอมถอยด้วยตัวเองแล้วยกขลุ่ยให้อาจารย์”
พูดจาเหลวไหล นางสู้เขาไม่ได้ จำต้องกลืนฟันที่โดนต่อยร่วงพร้อมเลือดยอมยกให้เขาไปอย่างไรเล่า!
ต้วนมู่ไป๋โอบเอวนางไว้ เดินลงไปในโพรงหินแห่งหนึ่งอย่างอารมณ์ดี “มา พวกเราไปดูอาวุธวิเศษกัน”
พั่วเยวี่ยมองขลุ่ยเลานั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ แอบหัวเราะชั่วร้ายในใจ ไม่เป็นไร หอศาลาใกล้น้ำไม่ช้าก็เร็วขลุ่ยจะเป็นของข้าแน่
“อาวุธวิเศษชิ้นต่อไปร้ายกาจยิ่งกว่า เจ้าดูสิ”
พอพั่วเยวี่ยเหลียวมองดวงตาทั้งสองก็เบิกกว้างอีกครั้ง รูม่านตาขยายใหญ่กว่าเดิม
หางจิ้งจอกทองคำ!
“นี่คือหางจิ้งจอกทองคำ ว่ากันว่าหากได้ครอบครองมันแล้ว บุรุษทรงเสน่ห์สตรียั่วยวนผงาดครอบงำใต้หล้า”
ไม่เพียงเท่านี้! พลังเสน่หาของมันยังไม่แบ่งแยกบุรุษสตรี ไม่เลือกคนชราคนหนุ่มสาว ตัวผู้หรือตัวเมีย ไม่ว่าเจ้าจะเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือมนุษย์ล้วนต้องหลงใหลคลั่งไคล้ไม่มีเว้น!
นางจ้องเขม็งจนลูกตาเกือบถลนออกจากเบ้า พยายามสะกดกลั้นไม่แสดงท่าทีผิดปกติ
“อาจารย์เก็บรวบรวมอาวุธชิ้นนี้ไว้เพื่อเหตุใดกัน เดิมทีท่านไม่ต้องใช้อยู่แล้ว”
“หืม? ไยข้าไม่จำเป็นต้องใช้ล่ะ”
“อาจารย์มีใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่นเหนือผู้ใด ไม่ว่าเผ่าปีศาจ เผ่ามาร หรือแดนเซียน สตรีที่หลงรักท่านมีอยู่มากมาย ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้เลยนะเจ้าคะ”
เขาเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าคิดว่าอาจารย์หล่อเหลาโดดเด่นเหนือผู้ใดหรือ”
“เวลาอาจารย์ยิ้มอบอุ่นละมุนละไมดั่งหยก เวลาไม่ยิ้มเย็นชาดั่งสระน้ำกลางฤดูหนาว เรียกว่ารูปโฉมล้ำเลิศดั่งเทพเซียนบนสวรรค์ นับแต่โบราณมาไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้นั่นแล” พั่วเยวี่ยกล่าวสรรเสริญเยินยอจนจบแล้วยังยกนิ้วให้เขาด้วย
“เวลาสตรีนางนี้ร่ายคำหวานซ่อนกระบี่*** ไม่มีผู้ใดเก่งกาจไปกว่านาง นี่ท่านชอบแบบนี้หรือ” อินเจ๋อมองหน้าต้วนมู่ไป๋แล้วส่งเสียงคุยกันด้วยสัมผัสทิพย์
ต้วนมู่ไป๋ยิ่งเผยรอยยิ้มหล่อเหลาสะกดใจ ฝ่ามือวางสัมผัสเอวนางแล้วลูบไล้อย่างแนบเนียน เอ่ยตอบอย่างสั้นกระชับเพียงสี่คำว่า “เอวนิ่มปากหวาน”
คนทั้งสองส่งเสียงคุยกันด้วยสัมผัสทิพย์พั่วเยวี่ยจึงไม่ได้ยิน นางจิตใจจดจ่ออยู่กับหางจิ้งจอกทองคำ
ย้อนคิดถึงในอดีตตอนนั้น นางวิ่งไปถึงเขตแดนของเผ่าจิ้งจอกเพื่อแย่งชิงหางจิ้งจอกทองคำหางนี้ ทว่านางก็ช้าไปก้าวหนึ่ง ได้แต่มองตาปริบๆ เห็นจิ้งจอกสาวที่พ่ายแพ้ในการต่อสู้ดึงหางตัวเองออกมามอบให้ต้วนมู่ไป๋หวังประจบเอาใจ นางรู้สึกบีบหัวใจน้ำตาไหลเป็นสายเลือด จดจำความแค้นไว้จนทุกวันนี้
ต้วนมู่ไป๋เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเอ้อระเหย “อาจารย์แย่งชิงหางจิ้งจอกทองคำมา ไม่ได้คิดเก็บไว้ใช้เองหรอก”
พั่วเยวี่ยตะลึงงัน ถามอย่างกลัดกลุ้มว่า “ท่านไม่ใช้เอง แล้วเหตุใดต้องแย่งชิงด้วยเจ้าคะ”
“ข้าแค่ไม่อยากให้ของวิเศษชิ้นนี้ตกอยู่ในกำมือพั่วเยวี่ย ไม่อย่างนั้นนางคงนำไปล่อลวงบุรุษอื่น”
นางรู้สึกบีบหัวใจ น้ำตาไหลเป็นสายเลือดอีกครั้ง
นางแค้นใจนัก…ตอนนั้นนางไปแย่งชิงหางจิ้งจอกทองคำก็เพื่อนำมาใช้ล่อลวงต้วนมู่ไป๋นี่แหละ ปรากฏว่าเขาเป็นฝ่ายชิงตัดหน้าไปก่อน นางถูกสหายหัวเราะเยาะเพราะเรื่องนี้อยู่หลายเดือนเชียว
ต้วนมู่ไป๋โอบร่างนางเดินชมอาวุธวิเศษชิ้นอื่นต่อด้วยหัวใจเปี่ยมสุข อาวุธเหล่านี้ล้วนมีเรื่องราวของตัวเอง บังเอิญว่าเรื่องราวของพวกมันล้วนเกี่ยวข้องกับนาง
คันฉ่องมายา…สามารถกักขังคนไว้ในโลกมายาในคันฉ่อง นางอยากได้ แต่ก็ถูกเขาแย่งไปก่อน
แส้เกล็ดงู…แส้ชนิดนี้สะบัดใส่ใครฝูงงูก็จะมุ่งโจมตีคนผู้นั้น นางทำทุกวิถีทางเพื่อคว้ามาครอบครอง ทว่าก็ช้ากว่าเขาก้าวหนึ่ง
กาน้ำห้วงฝัน…สามารถเก็บคนเอาไว้ในกาน้ำ จากนั้นคนผู้นั้นก็จะตกอยู่ในห้วงฝันฉากหนึ่ง พอรู้สึกตัวตื่นก็ไม่อาจแยกแยะจริงเท็จ นางเฝ้าเพ้อฝันอยากได้มาครอง ผลสุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้เขา
ทุกครั้งที่เห็นอาวุธวิเศษแต่ละชิ้นหัวใจของนางคล้ายกำลังหลั่งเลือด เพราะทุกชิ้นเป็นอาวุธวิเศษซึ่งนางเคยหมายตากลับไม่เคยได้มาครอบครอง
อยากด่าคน อยากต่อยตีคน อยากเตะคนนักเชียว!
แม้ว่านางจะแอบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้อีกว่าในเมื่อนางเป็นลูกศิษย์ของเขา ส่วนเขาก็ไม่รับลูกศิษย์คนอื่นเพิ่ม ไม่เท่ากับหมายความว่าภายภาคหน้านางจะเป็นผู้สืบทอดอาวุธเหล่านี้หรอกหรือ พอคิดเช่นนี้แล้วนางก็แสยะยิ้มชวนขนลุกออกมา
“อาจารย์เจ้าคะ” นางเอ่ยเรียกเสียงหวาน
“มีอะไรหรือ” เขายังคงนุ่มนวลดุจเดิม
“ข้าจะตั้งใจเรียนอาคมเซียนให้ดี ส่งเสริมให้สำนักของพวกเรามีชื่อเสียงเลื่องลือ และควบคุมอาวุธวิเศษพวกนี้ให้ได้”
นางเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของเขา สัตว์เซียนเหล่านั้นไม่มีอะไรน่ากลัว ส่วนอาวุธวิเศษสักวันจะต้องเป็นของนาง
ต้วนมู่ไป๋ลูบใบหน้านาง “เป่าเอ๋อร์เด็กดี อาจารย์ฟังแล้วชื่นใจจริงๆ แต่ว่าอาวุธวิเศษพวกนี้มีเจ้าของแล้วล่ะ”
พั่วเยวี่ยสีหน้าแข็งทื่อ มองหน้าเขาอย่างโง่งม
“มีเจ้าของแล้ว?”
“ก็ใช่น่ะสิ อาจารย์รวบรวมอาวุธวิเศษพวกนี้เอาไว้มอบให้คนที่หมายปอง”
ร่างกายนางสั่นสะท้านอย่างรุนแรง รูม่านตาหดแคบลง
“ท่านมีคนที่หมายปองแล้ว?” นางไม่อยากจะเชื่อเลย เขาไม่สนใจสตรีไม่ใช่หรือ
พั่วเยวี่ยตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก ห้วงความคิดพลันโล่งว่างเปล่า
ทุกดินแดนต่างกล่าวขานว่าเซียนกระบี่ไร้รัก ตอนนี้กลับได้ยินเขายอมรับเองว่ามีคนที่หมายปองแล้ว
ต้วนมู่ไป๋ก้มศีรษะมองนาง เห็นสีหน้าตะลึงงันของนางชัดเจนเต็มสองตาก็อมยิ้มพลางเอ่ยว่า “อาจารย์หมายความว่าจะใช้อาวุธวิเศษพวกนี้เป็นสินสอดมอบให้ภรรยาในอนาคต”
พอได้ยินประโยคนี้พั่วเยวี่ยถึงได้สติจากความตื่นตระหนกตกใจ ที่แท้เขาไม่ได้จะบอกว่าตัวเองมีคนที่หมายปอง แต่วางแผนจะมอบให้คนที่หมายปองในอนาคต
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ฮ่าๆ” นางแอบเป่าปากโล่งอก แล้วสาปส่งเขาในใจว่าไม่รู้จักพูดจาให้กระจ่างชัด พลอยทำให้นางตกใจแทบตาย
ต้วนมู่ไป๋เก็บรายละเอียดอารมณ์ที่สะท้อนในดวงตานางไว้หมดสิ้น มุมปากยกโค้งเป็นรอยยิ้ม จากนั้นก็โอบร่างนางเดินไปข้างหน้าต่อ
“จำไว้ให้ดี อาวุธวิเศษพวกนี้จะต้องเก็บไว้ให้ภรรยาในอนาคตของข้า เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ ข้าจำได้แล้ว”
หึ มากี่คนจะฆ่าทิ้งให้หมด ให้ชั่วชีวิตนี้ท่านแต่งภรรยาไม่ได้เลย!
เอ๋? ไม่ถูกสิ ถ้าหากเขาจะเก็บอาวุธวิเศษเหล่านี้ไว้ให้ภรรยาในอนาคต แล้วเหตุใดถึงพาข้ามาดู หยอกข้าเล่นหรือ
พั่วเยวี่ยรู้สึกได้ว่าไฟโทสะในใจลุกโชน ทว่าก็ไม่อาจระบายออกมาได้อยู่ดี ระหว่างกำลังกลัดกลุ้มเพราะไฟโทสะเต็มท้องไร้ทางระบาย สัมผัสเย็นเฉียบของบางสิ่งพลันวางทาบบนลำคอนาง
นางมีสีหน้างุนงง ก้มศีรษะมองสร้อยคอตรงทรวงอกตัวเองก่อนเงยหน้ามองเขาด้วยความสงสัย
“นี่คือสร้อยหินผนึกใจ” เขาสวมสร้อยคอให้นางไปพลางอธิบายรายละเอียดไปพลาง “หินวิญญาณก้อนนี้จะพิทักษ์หัวใจเจ้าให้ร้อยพิษไม่กล้ำกราย อีกทั้งภูตผีปีศาจร้ายไม่อาจรังควาน นับเป็นหินที่ทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ด้วย”
หินผู้พิทักษ์เปล่งแสงสีเหลืองจางๆ เนื้อใสโปร่งแสงวาววับ งดงามสะดุดตายิ่ง นางอดมองด้วยความหลงใหลไม่ได้ ครั้นยกมือข้างหนึ่งกุมมันไว้ก็พบว่ามีไออุ่นแผ่ออกมาด้วย
ฝ่ามือใหญ่วางทาบบนมือนางแล้วเกาะกุมไว้ นางเงยหน้าขึ้นก็ประสานสายตาเขาพอดี
นางรู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง
“หินผู้พิทักษ์ก้อนนี้ใต้หล้ามีเพียงหนึ่งเดียว สวมใส่ติดตัวไว้ไม่ห่างกาย เข้าใจหรือไม่”
ดวงตานางเป็นประกายวาววับ จู่ๆ ก็อารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย หึๆ ก็ไม่เลวนัก รู้จักเอาอกเอาใจกันบ้าง ในที่สุดก็ทำตัวสมกับเป็นอาจารย์
“แต่ว่าหินผู้พิทักษ์ก้อนนี้ต้องยอมรับนายของมันด้วย”
ยอมรับนายของมัน?
ระหว่างที่พั่วเยวี่ยสับสนงุนงงอยู่นั้นก็เห็นเขายกมือนางขึ้น อ้าปากกัดโดยไม่ส่งสัญญาณเตือน
นางเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ รับรู้ถึงความปวดแปลบตรงปลายนิ้วเพราะถูกเขากัดจนเลือดออก เขาหยดเลือดลงไปบนหินวิญญาณก่อนจะเห็นหินก้อนนั้นส่องแสงระยิบระยับราวกับมีชีวิตขึ้นมา สุดท้ายก็ดูดเลือดของนางซึมเข้าไป
เมื่อหินวิญญาณได้เลือดของนางแล้ว ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่าหัวใจอบอุ่นสบายไปทั้งดวง คล้ายว่าเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปด* มีไอร้อนไหลวนเวียน ความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ทำให้นางลืมความเจ็บปวดที่เพิ่งถูกกัดนิ้วไปชั่วขณะ
รอให้พั่วเยวี่ยได้สติเงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นต้วนมู่ไป๋อมปลายนิ้วนางไว้ ออกแรงดูดเม้มอย่างตั้งใจ
นางสติหลุดลอยไปอีกแล้ว
เขาดูดปลายนิ้วของนางแผ่วเบา ภาพเบื้องหน้าทั้งวาบหวามทั้งน่าหลงใหล ความเร้าใจทำให้คนเห็นเลือดกำเดาเกือบพุ่งพรวดออกจมูก
การกระทำเพียงแค่ดูดปลายนิ้วแท้ๆ กลับชวนให้ความคิดเตลิดเปิดเปิงไปไกลอย่างห้ามไม่อยู่ นางรู้สึกว่าร่างกายเริ่มร้อนผ่าว เผลอมองจนบื้อใบ้พูดอะไรไม่ออก
“เอาล่ะ ไม่เจ็บแล้ว” เขาปลอบโยนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
พั่วเยวี่ยได้สติกลับคืนมา มองดูปลายนิ้วตัวเองก็พบว่าตำแหน่งที่ถูกเขาดูดเม้มนั้นรอยบาดแผลหายไปแล้ว
นางยังไม่ทันมีอาการตอบสนองต้วนมู่ไป๋ก็เป็นฝ่ายจูงมือนางเอง พานางเดินก้าวไปข้างหน้าโดยไม่แสดงความกระอักกระอ่วนและไม่มีความคับข้องใจ ดูเหมือนสิ่งที่เขาทำให้นางเป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้วถึงได้ทำอย่างเป็นธรรมชาติปานนั้น
พั่วเยวี่ยถูกเขาจูงมือเดินไป นางเดินไปพลางคิดไปพลาง ทว่ายิ่งคิดกลับยิ่งแปลกพิลึก
บุรุษผู้นี้คงไม่ใช่ยอดนักหว่านเสน่ห์กระมัง เพราะเหตุใดนางถึงรู้สึกว่าเมื่อครู่ตัวเองถูกเกี้ยวอย่างหนักหน่วงได้เล่า
อินเจ๋อที่ยืนมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ข้างๆ แค่นเสียงเย็นชาว่า “ไร้ยางอาย”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน เมษายน 65)
Comments
comments
No tags for this post.