X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ปีศาจจิ้งจอกอย่ามาลวง บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ห้า

เดิมจิ้นเสวียนคิดว่าภารกิจที่มอบหมายให้จิ้งเหลยไม่ต้องลงแรงมากเดี๋ยวก็คงพาตัวนางมาได้ แต่นึกไม่ถึงว่าผ่านไปครึ่งวันก็มีลูกศิษย์มารายงานว่าศิษย์พี่รองเกิดเรื่องแล้ว

จิ้นเสวียนลอบตื่นตกใจในใจ รีบรุดไปตรวจสอบที่ห้องของจิ้งเหลยดูทันทีว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น พอเข้าไปปุ๊บก็เห็นทุกคนยืนล้อมวงอยู่หน้าเตียง จิ้งเหลยกำลังนอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง

เมื่อลูกศิษย์ทุกคนเห็นอาจารย์เดินเข้ามาจึงหลีกทางออกให้ทันที

“นี่มันเกิดอันใดขึ้น” จิ้นเสวียนซักถามเสียงขรึม

ลูกศิษย์คนหนึ่งเดินเข้ามารายงานว่า “เรียนอาจารย์ ตอนที่ศิษย์เจอศิษย์พี่รองระหว่างทาง เขาก็ใบหน้าขึ้นสีคล้ำเขียว ก่อนเขาจะหมดสติไปได้บอกกับศิษย์ว่าเขาถูกลอบเล่นงาน หลังจากนั้นก็สลบล้มพับไป ศิษย์จึงรีบพยุงเขากลับมาทันทีขอรับ”

จิ้นเสวียนมีสีหน้าเคร่งเครียด จ้องมองจิ้งเหลยที่อยู่บนเตียงเนิ่นนาน สุดท้ายก็เดินออกไปโดยที่มิได้เอ่ยอันใดแม้แต่คำเดียว

กระทั่งผู้เป็นอาจารย์ออกไปแล้ว จิ้งเหลยซึ่งอยู่บนเตียงก็ฉวยจังหวะตอนที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นค่อยๆ แอบลืมตาขึ้นมาอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นก็หลับตาลงไปอีกครั้ง

โชคดีไปๆ ดีที่ไม่ถูกอาจารย์จับได้ว่าเขาแสร้งทำ ให้เขาไปต่อกรกับนางปีศาจนั้นไม่ยากหรอก แต่ว่าการรับมือกับจิ้งจอกตัวนั้นในเรือนของนางปีศาจช่างแสนยากเย็นเหลือเกิน ที่ชวนให้คนไม่อยากจะเชื่อสายตาที่สุดคือแม้กระทั่งศิษย์พี่ใหญ่ก็ยังเข้ามาสอดกับเขาด้วย

พอพูดถึงศิษย์พี่ใหญ่จิ้งเหลยก็อยากจะอัดเขายิ่งนัก ศิษย์พี่ใหญ่ที่ไม่ได้เรื่องผู้นี้ถึงกับปิดบังความลับใหญ่หลวงนี้เอาไว้ลับหลังอาจารย์ ยืนกรานบอกว่าปีศาจจิ้งจอกเป็นปีศาจที่ดี รู้จักตอบแทนบุญคุณ ซ้ำยังบอกอีกว่าแม้แต่ปีศาจจิ้งจอกก็ยังมีน้ำจิตน้ำใจ มนุษย์อย่างเราๆ จะไม่แยกแยะถูกผิดได้อย่างไร

บ้าเอ๊ย! วาจาเช่นนี้แน่จริงก็เอาไปพูดให้อาจารย์ฟังสิ บอกเขาไปจะมีประโยชน์อันใดเล่า ปกติศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนคุยง่าย แต่ว่าคนผู้นี้พอปักใจเชื่ออันใดแล้วก็เหมือนกับวัวที่ฉุดกระชากอย่างไรก็ไม่ยอมหันกลับมา

จิ้งเหลยโมโหกระฟัดกระเฟียด ความเป็นความตายของปีศาจจิ้งจอกเกี่ยวอันใดกับสำนักจี้อวิ๋นของพวกเขาด้วยเล่า? นักพรตต้องปราบมาร นี่คือสัจธรรมที่มิอาจแปรเปลี่ยน!

ทว่าถึงแม้เขาจะไม่เห็นด้วยกับศิษย์พี่ใหญ่ แต่ก็มิอาจหักหลังเขาได้ อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เติบโตมาด้วยกัน จริงๆ แล้วในใจของเขาศิษย์พี่ใหญ่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก

จับนางปีศาจไม่ได้ เรื่องปีศาจจิ้งจอกก็มิอาจเปิดโปง คำสั่งของอาจารย์ก็ขัดขืนมิได้อีก นี่เท่ากับตั้งใจจะบีบเขาให้ตายชัดๆ เลยมิใช่หรือ ทางออกเดียวในตอนนี้มีแต่แกล้งสลบเท่านั้น

ตอนนี้ในที่สุดเขาก็สามารถหมดสติไปได้อย่างสบายใจ

ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านรักษาตัวให้ดีๆ เถิด!

 

ในเรือนเล็กเวลานี้จิ้งเฟิงกำลังตบอกรับรองต่อเหยาเหนียงและอาเจียว

“พวกเจ้าวางใจเถิด ถึงแม้ศิษย์น้องรองจะโลภมากชอบหาผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ทำอันใดก็ชอบฉวยโอกาสเล่นแง่ใช้เล่ห์เหลี่ยม ซ้ำยังพูดจาสับปลับกลับกลอก แต่ในเมื่อเขารับปากแล้วว่าจะไม่บอกเรื่องนี้ให้อาจารย์รู้ เขาก็จะไม่บอกอย่างแน่นอน”

เหยาเหนียงมองจิ้งเฟิงอย่างพูดไม่ออก เจ้าพูดอย่างนี้ยิ่งทำให้คนวางใจไม่ได้มากกว่าเดิมมิใช่หรือ

อาเจียวพยักหน้าพลางเอ่ย “ในเมื่อศิษย์น้องของเจ้ากลิ้งกลอกขนาดนี้ เขาจะต้องแอบไปแกล้งตายแน่ๆ”

เหยาเหนียงมองไปทางอาเจียวอย่างพูดไม่ออก นึกไม่ถึงว่านางมิเพียงแต่เห็นด้วยกับจิ้งเฟิง ทั้งยังเอ่ยสนทนาโต้ตอบกับเขาอีก

“แน่นอนอยู่แล้ว อย่ามองดูแค่ความกะล่อนเจ้าเล่ห์ของศิษย์น้องข้าเล่า เขาเองก็เป็นคนรักความถูกต้องเช่นกัน”

“ลูกศิษย์จอมกะล่อนจึงจะสามารถรับมือกับอาจารย์เจ้าเล่ห์ได้ การผดุงความยุติธรรมจะอาศัยลงมืออย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งคงมิได้ ต้องใช้แผนร้าย”

“ไม่มีปัญหา ศิษย์น้องรองของข้าคนนี้สู้ไม่ได้ก็หนี หนีไม่ได้ก็หลอก หลอกไม่ได้ก็แกล้งตาย เขาฉลาดหลักแหลมยิ่ง”

“ฟังแล้วพึ่งพาได้จริงๆ ครั้งนี้โชคดีที่ได้เจ้าช่วยไว้ ขอบคุณมาก!” อาเจียวหัวเราะคิกคักพลางเอ่ย

“ไม่ต้องเกรงใจไป ก็พวกเราเป็นสหายกันนี่นา!” จิ้งเฟิงเกาศีรษะแกรกๆ ด้วยความขัดเขิน

ทั้งสองพูดคุยกันถูกคอยิ่ง ซ้ำยังมีความคิดไปในทางเดียวกัน ทำเอาเหยาเหนียงฟังแล้วตะลึงงันจนอ้าปากค้าง พูดจาไม่ออกอยู่เนิ่นนาน แต่นางหารู้ไม่ว่าเรื่องนี้อาเจียวกลับพูดถูกเผง คนที่ชื่อจิ้งเหลยนั่นกำลังแกล้งตายอยู่จริงๆ

อาเจียวกระโดดเข้าไปในอ้อมกอดของจิ้งเฟิง ใช้ศีรษะถูไถกับแผ่นอกของเขา สะบัดหางจิ้งจอกอันปุกปุยไปมา ยิ้มหวานหยดย้อย

“นึกไม่ถึงว่าเจ้านี่ก็มีคุณธรรมน้ำมิตรไม่น้อย ไม่เหมือนกับนักพรตคนอื่นๆ เลยสักนิด”

จิ้งเฟิงอึ้งไป ต่อมาก็รู้สึกยินดี อาเจียวที่ปกติมักจะห่างเหินเมินเฉยใส่เขา ทั้งยังไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เขาดู กลับเป็นฝ่ายเข้ามาใกล้ชิดเขาก่อนเป็นครั้งแรก ทำให้เขาปลาบปลื้มดีใจอย่างคาดไม่ถึงไปชั่วขณะ

เขาลูบขนของอาเจียวอย่างแผ่วเบาระมัดระวัง ราวกับกำลังสัมผัสกระเบื้องเคลือบที่แตกหักง่ายอย่างไรอย่างนั้น เกรงว่าจะทำให้มันเจ็บและกลัวว่ามันจะไม่ชอบใจเข้า

อาเจียวมิได้ต่อต้าน มันปล่อยให้เขาลูบแต่โดยดี แสดงออกว่ายอมรับในตัวของเขาแล้ว

จิ้งเฟิงยกริมฝีปากคลี่ยิ้ม สัมผัสที่ใต้ฝ่าเท้าที่ทั้งนุ่มนิ่มทั้งเรียบลื่น ความรู้สึกจั๊กจี้ระลอกหนึ่งแผ่ลามเข้ามา และราวกับว่าลามไปถึงหัวใจของเขา

จริงๆ แล้วจิ้งเฟิงก็ชอบสัตว์ตัวเล็กๆ เป็นอย่างมากเหมือนกับเหยาเหนียง

“อาเจียว” เขาร้องเรียกเบาๆ

“หือ?”

“เมื่อไรพลังปีศาจเจ้าจะกลับคืนมาแล้วสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้หรือ”

อาเจียวซึ่งอยู่ในอ้อมกอดชะงักนิ่งไป ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นจ้องมองเขา ครั้นแล้วก็เห็นว่านัยน์ตาทั้งสองข้างของเขาเจิดจ้าวาววับราวกับคันฉ่อง สะท้อนเงาร่างของมันอยู่ข้างใน

อาเจียวถลึงตากว้าง “เจ้าคิดจะทำอันใด อยากจะเห็นร่างมนุษย์ของข้ารึ”

“อยากสิ” เขาเอ่ยยิ้มๆ “เจ้างดงามขนาดนี้ หากกลายร่างเป็นมนุษย์จะต้องเป็นยอดหญิงงามแน่ๆ”

ปีศาจจิ้งจอกตนใดกลายร่างเป็นมนุษย์แล้วไม่งดงามไม่หล่อเหลาบ้างเล่า วาจานี้มันไร้สาระชัดๆ! สมกับเป็นนักพรตโง่เง่าจริงๆ

อาเจียวแค่นเสียงฮึในใจเบาๆ ทว่าบนใบหน้ากลับแย้มยิ้มฉอเลาะน่ารัก “ได้สิ ไม่มีปัญหา วันหลังข้าจะแปลงกายเป็นมนุษย์ให้เจ้าดู” ใบหน้าจิ้งจอกถูไถซุกไซ้กับแผ่นอกของเขา ก้นยักย้ายส่ายไปมา หางยังปัดป่ายบนแก้มของเขาอย่างออดอ้อน

จิ้งเฟิงรู้สึกตัวเบาหวิว มุมปากแย้มยิ้มออกมาจนเห็นลักยิ้ม

เมื่อเห็นใบหน้าซื่อๆ ของเขาอาเจียวก็บ่นอุบอิบในใจว่าเจ้าโง่ ข้าไม่ให้เจ้าดูหรอก ถ้าเจ้าจำร่างมนุษย์ของข้าได้ เกิดวันใดทะเลาะแตกหักกันขึ้นมา แล้วเจ้าเอาอาวุธเวทมาเล่นงานข้า จะมิเท่ากับข้าหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ

“เจ้ารับปากแล้วนะ! เช่นนั้นพวกเราต้องรักษาสัญญานะ พอถึงตอนนั้นเจ้าต้อง…” คำพูดต่อจากนั้นขาดหาย จิ้งเฟิงล้ม ‘ตุ้บ’ ลงกับโต๊ะ สลบไสลหมดสติไป

เหยาเหนียงแตกตื่นตกใจยิ่งนัก “เขาเป็นอันใดไปหรือ”

“ไม่มีอะไร แค่ทำให้เขาหลับไปเท่านั้น” อาเจียวกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยกับเหยาเหนียงด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเราต้องรีบหนี ที่นี่อยู่ไม่ได้แล้ว จากที่ข้าเห็น นักพรตหน้าเหม็นนั่นคิดจะลงมือรุนแรงกับเจ้าแล้ว”

แรกเริ่มเจาะเอาโลหิต ต่อมาก็สั่งให้ลูกศิษย์วางยาใส่…อาเจียวแค่นเสียงฮึ ยาลวงปีศาจเป็นของที่เอาไว้บังคับควบคุมปีศาจ หากยังไม่รีบหนีตอนนี้เกรงว่าคงจะไม่มีโอกาสหนีอีกแล้ว

สัมภาระติดตัวของเหยาเหนียงเดิมทีก็มีไม่มากอยู่แล้ว ไม่นานนักนางก็ห่อเก็บเสร็จสิ้น นางเคยชินกับการหนีเอาชีวิตรอดมานานแล้ว แต่ว่าคราวนี้ไม่เหมือนเดิม นางมิได้โดดเดี่ยวตัวคนเดียวอีกต่อไป แต่ว่ามีอาเจียวคอยอยู่เคียงข้างนางด้วย

ทั้งสองวิ่งออกจากเรือนอย่างรีบร้อน ทว่าเพิ่งจะก้าวเท้าออกนอกเรือน เหยาเหนียงก็ตัวค้างแข็งไป จิ้นเสวียนซึ่งยืนอยู่ในลานกว้างดูท่าทางเหมือนกับยืนรออยู่นานแล้ว แม้จะเห็นนางแบกห่อสัมภาระออกมา แต่ก็ไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่นิดเดียว

เหยาเหนียงหน้าเปลี่ยนสี อาเจียวซึ่งอยู่บนบ่ากระโดดไปขวางตรงหน้านาง มันแปลงร่างจากลูกจิ้งจอกกลายเป็นจิ้งจอกตัวโตเต็มวัย กางกรงเล็บแหลมคมออกมา หางทั้งแปดชี้ชูชัน ปลุกไอปีศาจให้แผ่กำจายออกมาทั่วทั้งร่าง ส่งเสียงคำรามต่ำเป็นการกล่าวเตือนแก่จิ้นเสวียน

จิ้นเสวียนจ้องมองพวกนางอย่างเย็นชา เอ่ยเสียงต่ำว่า “ข้าก็ว่าอยู่ว่าเหตุใดไอปีศาจที่นี่ถึงได้รุนแรงนัก ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ถูกต้องหรือไม่” ริมฝีปากบางยกโค้งด้วยความเย้ยหยันเสียดสี “บังเอิญยิ่งนัก ข้าเองก็คิดแบบนี้เช่นกัน เหยื่อเข้ามาติดกับเองเช่นนี้ ลดภาระข้าไปได้ไม่น้อย”

เสียงเคร้งดังขึ้นหนึ่งคำรบ กระบี่สยบมารที่อยู่บนหลังถูกดึงออกจากฝักแล้วลอยทะยานสูง พุ่งเข้าประจัญบานกับปีศาจจิ้งจอกเก้าหางราวกับมีชีวิตจิตวิญญาณ การต่อสู้เดิมพันด้วยชีวิตเปิดฉากขึ้นอย่างดุเดือดเลือดพล่าน การปะทะกันของพลังกระบี่กับไอปีศาจก่อให้เกิดพายุคลั่งส่งเสียงดังคำราม พัดพาเอาข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ภายในลานกว้างปลิวล้มระเนระนาด สภาพเละเทะวุ่นวายไปหมด

ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปความโกลาหลวุ่นวายราวกับพายุฝนโหมกระหน่ำนี้ก็สงบลง สุดท้ายอาเจียวซึ่งบาดเจ็บช้ำในยังไม่หายดี พลังปีศาจยังไม่ฟื้นคืนกลับมาดังเดิมก็มิอาจต่อกรกับจิ้นเสวียนได้ มันถูกพันธนาการเอาไว้กับพื้น สุดท้ายก็ถูกดูดเข้าไปในน้ำเต้า และโดนกักขังอยู่ในนั้น

จิ้นเสวียนมองดูน้ำเต้า กระดกรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ

ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางที่ไล่ตามจับมาครึ่งปี ในที่สุดเขาก็จับมันได้เสียที

ในตอนแรกเขาได้กลิ่นปีศาจจิ้งจอกเก้าหางมาจากบนร่างของเหยาเหนียง ที่เขากักบริเวณนางไว้ในเรือนเล็กแห่งนี้ จุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือใช้นางเป็นเหยื่อหลอกล่อให้ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางมาติดกับ ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้จริงๆ นางปีศาจตนนี้กับปีศาจจิ้งจอกเก้าหางมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น ในที่สุดเขาก็จับปลาใหญ่ตัวนี้ได้เสียที

เขาผูกน้ำเต้าเอาไว้กับเอว จากนั้นหันกลับมา ทว่ากลับพลันผงะอึ้งไป

นางปีศาจหายไปแล้ว?

เขายิ้มเย็นชา ไม่ร้อนรนใจแม้แต่กระผีกริ้น ในเมื่อปลาใหญ่ติดแหแล้ว ปลาเล็กปลาน้อยที่หลุดรอดไปก็คงหนีไปไหนได้ไม่ไกล

พอจับปีศาจจิ้งจอกได้สำเร็จดั่งปรารถนา เขาก็อารมณ์ดีอย่างสุดแสน เขาเดินออกมานอกเรือนเล็ก ระหว่างทางที่เดินกลับไปยังห้องโถงหลักนั้น เขาก็คิดวางแผนในใจว่าในเมื่อจับปีศาจร้ายอย่างปีศาจจิ้งจอกเก้าหางได้ ก็ต้องป่าวประกาศให้ผู้คนรู้กันทั่วเสียหน่อย ฐานะของสำนักจี้อวิ๋นจะได้ยกระดับขึ้นอีกขั้นหนึ่ง

พอมีชื่อเสียงบารมีแล้ว เงินค่าธูปค่าน้ำมันตะเกียงก็จะเยอะขึ้นด้วย เงินที่จะเอาไว้ตัดชุดนักพรตตัวใหม่กับทำรองเท้าคู่ใหม่ก็มิต้องกังวลแล้ว เจ้าเด็กบ้าพวกนั้นมีอันต้องทำชุดนักพรตขาดได้ไม่เว้นแต่ละวัน นึกถึงตอนที่เขาออกจับปีศาจเมื่อปีนั้น มีแต่เขาที่ทำเสื้อผ้าอาภรณ์ของพวกปีศาจขาดแหว่ง หาใช่พวกปีศาจทำชุดนักพรตของเขาขาดวิ่นไม่

จิ้นเสวียนจับปีศาจจิ้งจอกเก้าหางได้แล้ว จึงอารมณ์ดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง รอยโค้งตรงมุมปากยกขึ้นสูงทั้งสองด้าน ทันใดนั้นเขาก็เห็นลูกศิษย์จำนวนหนึ่งกระโดดโผทะยานไปตามชายคาเรือนหลังต่างๆ อย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว ท่าทางรีบร้อนลนลานราวกับมีปีศาจตามไล่ล่าอยู่ด้านหลังก็มิปาน มุมปากที่เพิ่งจะยกโค้งยามนี้กลับลดลงมาอีกครา

พอลูกศิษย์เหล่านั้นเห็นผู้เป็นอาจารย์ คนที่นำอยู่หน้าสุดก็รีบหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหันจนถูกคนที่ตามหลังมากระแทกเข้าใส่ ทันใดนั้นขบวนทัพจึงพลันแตกกระเจิง แม้แต่ยืนก็ยืนไม่มั่น

“อาจารย์…”

“ฮึ! เป็นถึงศิษย์สำนักใหญ่โต แต่กลับทำท่าทางแตกตื่นร้อนรนเช่นนี้ มันใช้ได้ที่ไหนกัน”

ความน่ายำเกรงของอาจารย์ผู้เป็นเจ้าสำนักเป็นที่กริ่งเกรงของเหล่าลูกศิษย์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอถูกตวาดเอ็ดเช่นนี้ แต่ละคนจึงรีบร้อนลุกยืนให้เรียบร้อย ก่อนจะหดคอกล่าวขออภัยในความผิด

จิ้นเสวียนคิดในใจว่ากลับไปจะต้องฝึกฝนช่วงขาของพวกเขาให้หนักมากขึ้น ดูฝีเท้าอันสับสนวุ่นวายของพวกเขาสิ ถ้าหากเจอกับไอปีศาจอันแข็งแกร่งรุนแรงเข้า ไหนเลยจะยืนมั่นได้ เกรงว่าแต่ละคนคงถูกไอปีศาจสยบจนลุกไม่ขึ้นเลยกระมัง

“ช่างเถิด เห็นแก่ที่พวกเจ้ากระทำความผิดเป็นครั้งแรก คราวนี้ก็แล้วกันไป จำเอาไว้ ในฐานะลูกศิษย์ของสำนักจี้อวิ๋น จะต้องมีบุคลิกสุขุมเยือกเย็น ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องร้ายแรงใหญ่หลวงอันใดก็ต้องข่มกลั้นอารมณ์ให้อยู่ อย่าให้ลนลานจนเสียเรื่องเป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่”

“คำสอนสั่งของอาจารย์ ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ!” ทุกคนขานรับอย่างพร้อมเพรียงกัน

จิ้นเสวียนพยักหน้าด้วยความพออกพอใจแล้วจึงเอ่ยถามว่า “ว่ามาซิ พวกเจ้ารีบร้อนเพราะเหตุใด เกิดเรื่องอันใดขึ้น”

เดิมทีพวกลูกศิษย์ร้อนรนใจอย่างเหลือแสน ทว่าคราวนี้กลับไม่รีบร้อนแล้ว ลูกศิษย์คนหนึ่งซึ่งยืนเรียงอยู่แถวหน้าเอ่ยตอบขึ้น

“เรียนอาจารย์ คืออย่างนี้ขอรับ ปกติอาจารย์กำชับนักกำชับหนาว่าห้องลับที่อยู่หลังห้องโถงหลักเป็นสถานที่ต้องห้าม ห้ามมิให้ใครเข้าไปเด็ดขาด แต่ว่าพวกเราเห็นอาจารย์หญิงเข้าไปในนั้น ก็เลย…”

“อะไรนะ!” จิ้นเสวียนหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง “พวกเจ้าบอกว่าใครนะ ใครเข้าไปในสถานที่ต้องห้าม”

ครั้นเห็นสีหน้าคล้ำเขียวของอาจารย์ หัวใจของลูกศิษย์ทุกคนก็สะดุดกึก

“อาจารย์หญิงขอรับ…”

สิ้นคำปุ๊บก็เห็นอาจารย์โฉบวูบผ่านไปแล้ว เมื่อหันกลับไปดูก็เห็นเพียงชุดคลุมที่ปลิวสะบัดกลางอากาศกำลังทะยานขึ้นไปบนหลังคา เหาะเหินอย่างรวดเร็วว่องไว กระโดดไปมาตามแผ่นกระเบื้องบนหลังคาราวกับกำลังโบยบิน ไม่นานนักก็หดเล็กลงจนกลายเป็นจุดดำๆ เร็วจี๋ราวกับไฟไหม้บ้านอย่างไรอย่างนั้น

…ในห้องลับมีสิ่งใดน่ะหรือ

ห้องลับในสำนักทั่วไปส่วนมากล้วนเอาไว้เก็บสะสมสิ่งล้ำค่า ตำรับตำรา และเคล็ดวิชาลับ ส่วนในห้องลับของสำนักจี้อวิ๋นมีสิ่งใดน่ะหรือ

มีตั๋วเงินที่จิ้นเสวียนอดออมเก็บเล็กผสมน้อยมาตลอดระยะเวลาหลายปีนี้อย่างไรเล่า!

จิ้นเสวียนรีบตามไปที่ห้องลับอย่างเร่งด่วน ภายในห้องลับไม่มีใครอยู่แล้ว เขาสำรวจดูอยู่รอบหนึ่ง ของวิเศษและอาวุธเวทล้วนมิได้ถูกแตะต้อง ทว่าสิ่งของที่ดูเหมือนเลอค่าเหล่านี้จริงๆ แล้วก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่เอาไว้ตบตาผู้คนต่างหาก

เขาเดินเข้าไปด้านในสุดของห้องลับ จากนั้นก็เปิดช่องลับบนผนังออก ครั้นเห็นว่าด้านในว่างเปล่า สีหน้าของเขาก็พลันเขียวม่วงราวกับกินสารหนูเข้าไป!

ตั๋วเงินหายไปแล้ว!

ตั๋วเงินมูลค่าหนึ่งหมื่นตำลึง…เงินค่าบูรณะหอผนึกมารที่เขาเก็บออมมาเจ็ดปีเต็มๆ หาย-ไป-แล้ว!

ด้านนอกของห้องลับมีการสร้างค่ายกลเอาไว้ ป้องกันทั้งมนุษย์ ภูตผี และปีศาจ ไม่ต้องสงสัยเลย ผู้ที่มีความสามารถพอจะเอาชนะค่ายกลเหล่านี้ได้ นอกจากนางปีศาจตนนั้นแล้วก็ไม่ต้องนึกถึงใครเป็นคนที่สองอีก

นึกไม่ถึงว่าปีศาจตนนั้นกลับเข้ามาได้อย่างง่ายดาย เขาประเมินนางต่ำไปอีกครั้ง

จิ้นเสวียนใบหน้าคล้ำเขียว ทั่วทั้งสรรพางค์กายปะทุระเบิดออกมา ไอรุนแรงปานถล่มฟ้าทลายดินได้นั้นมากพอที่จะสยบภูตผีปีศาจให้ครั่นคร้ามได้

ทางที่ดีอย่าให้ตั๋วเงินนั้นเป็นอะไรไปเป็นอันขาด หากเกิดความผิดพลาดอันใดขึ้น เขาจะไม่ใจอ่อนอีกแน่นอน จะต้องจับนางมัดให้แน่น จากนั้นก็โยนเข้าถ้ำอันมืดมิดไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ต่อให้นางคุกเข่าร้องขอวิงวอนเช่นใด เขาก็จะไม่ปล่อยให้นางรอดไปเด็ดขาด

 

ทว่ายามเขาเห็นนางปีศาจทำท่าจะเผาตั๋วเงินทิ้งนั้น เขาก็เกือบจะคุกเข่าอ้อนวอนต่อนางเสียแล้ว…

เหยาเหนียงประจันหน้ากับเขาด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ นางไม่มีวรยุทธ์และใช้คาถาอาคมมิได้ นางรู้ว่าตนเองมิอาจเอาชนะเขาได้ แต่ว่าไม่เป็นไร นางสามารถเผาตั๋วเงินของเขาได้

ตอนที่อาเจียวต่อสู้กับนักพรตจิ้นเสวียนอย่างชุลมุนอยู่นั้น มันได้แบ่งพลังส่วนหนึ่งออกมาส่งตัวนางออกไปจากเรือนเล็ก ช่วยให้นางหนีรอดออกมาได้ แต่นางไหนเลยจะใช่คนขี้ขลาดตาขาวที่ทอดทิ้งผู้มีพระคุณแล้วเอาแต่หนีเอาตัวรอดพรรค์นั้น

เหยาเหนียงดูเหมือนอ่อนแอบอบบาง แต่จริงๆ แล้วแข็งกร้าวยิ่ง ความทระนงของนางก็คือการกล้าข่มขู่จะเผาตั๋วเงินทิ้ง กล้าที่จะเผชิญหน้ากับจิ้นเสวียนตรงๆ

นางรู้ดีว่าตนเองช่วยอาเจียวต่อสู้มิได้ แต่นางสามารถช่วยอาเจียวออกมาได้

วิชาพันธนาการและค่ายกลของลัทธิเต๋าไม่มีผลกับนาง ทำให้นางเดินเข้ามาได้อย่างสะดวกราบรื่นราวกับเข้ามาในดินแดนที่ไร้ซึ่งผู้คน อีกทั้งเมื่อลูกศิษย์ในสำนักพบเจอนางระหว่างทางกลับไม่มีใครขัดขวาง ถึงแม้นางจะรู้สึกแปลกใจ แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว นางคิดว่าในเมื่อคาถาพันธนาการเหล่านี้ไม่มีผลต่อนาง เช่นนั้นนางก็น่าจะสามารถเข้ามาหาสิ่งของล้ำค่าได้บ้าง จากนั้นอาศัยสิ่งนี้ข่มขู่ให้นักพรตจิ้นเสวียนปล่อยตัวอาเจียว หาไม่แล้วนางจะทำลายอาวุธเวทล้ำค่าของเขาเสีย

ไหนเลยจะคาดคิดว่าภูตผีซึ่งอยู่ในโถเก็บเถ้ากระดูกกลับบอกนางว่าสิ่งของล้ำค่าที่สุดของนักพรตจิ้นเสวียนคือตั๋วเงินที่ซุกซ่อนอยู่ในห้องลับแห่งนี้ บอกให้นางรู้แม้แต่สถานที่เก็บเงินอย่างละเอียดชัดเจน

พอนางหาตั๋วเงินเจอก็รีบไปที่ห้องครัวและจุดไฟขึ้นมา หลังจากนั้นก็ตั้งท่ารอคอยเขามาเยือน

เงินอีแปะเดียวบีบวีรบุรุษให้ถึงตาย* แต่ตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงสามารถทำให้จิ้นเสวียนนอนตายตาไม่หลับได้ เขาเก็บออมอย่างยากลำบากมาตลอดเจ็ดปี ยังวางแผนไว้ว่าเดือนหน้าจะหาช่างมาบูรณะซ่อมแซมหอผนึกมารสักครา ให้หอคอยสำหรับกักขังปีศาจของสำนักจี้อวิ๋นเปลี่ยนโฉมใหม่เอี่ยม

“ปล่อยปีศาจจิ้งจอกเก้าหางเดี๋ยวนี้” เหยาเหนียงมีเงื่อนไขแค่ข้อเดียวเท่านั้น มือของนางถือตั๋วเงินอยู่เหนือไฟ เพียงแค่นางปล่อยมือออก ตั๋วเงินก็จะถูกเผามอดไหม้ภายในพริบตา

ทั้งสองประจันหน้าคุมเชิงกันอยู่ในห้องครัว คนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องล้วนถูกจิ้นเสวียนไล่ออกไปข้างนอกจนหมด ที่นี่มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น

จิ้นเสวียนจ้องมองนางเขม็ง เนิ่นนานผ่านไปในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้นด้วยเสียงต่ำ

“เจ้าเผาสิ ถ้าเจ้ากล้าเผา ข้าก็จะจับปีศาจจิ้งจอกไปขาย”

ครั้นวาจานี้โพล่งออกมาก็เห็นนางหน้าเปลี่ยนสีจริงดังคาด

เขาพูดต่อไปด้วยสีหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ “ขนของปีศาจจิ้งจอกขายที่ตลาดมืดได้เงินถึงสามหมื่นตำลึง ขุมพลังภายในของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางสามารถเพิ่มพูนพลังเวทได้ ราคาประมูลสูงถึงห้าหมื่นตำลึง อวัยวะภายในกับลูกตาของมันสามารถนำมาปรุงยาได้ อย่างน้อยก็มีมูลค่าถึงห้าพันตำลึง กระดูก ฟัน และเล็บที่เหลืออยู่ก็เอาไปขายได้ถึงหนึ่งพันตำลึง คำนวณดูแล้ว ข้ายังได้กำไรกว่าเดิมเสียอีก”

เหยาเหนียงหน้าซีดเผือด เดิมทีคิดว่าจับจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้แล้วเสียอีก แต่นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายกลับโหดเหี้ยมยิ่งกว่า เปลี่ยนกลับมาเป็นฝ่ายข่มขู่นางแทน บอกว่าจะหักกระดูกถลกหนังของอาเจียวไปขาย!

อย่างไรเสียนางก็เป็นสตรีชาวบ้าน ลูกไม้ในการข่มขู่คนไหนเลยจะร้ายกาจเท่าจิ้นเสวียน เขาใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพมาตั้งแต่สามขวบ พอห้าขวบก็เข้าร่วมพรรค แปดขวบเข้าร่วมสำนัก สิบเอ็ดขวบถูกบังคับให้กล่าวคำสาบานร้ายแรงเพื่อรับตำแหน่งเจ้าสำนัก นับตั้งแต่นั้นมาก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบใหญ่หลวงในการดูแลสำนักจี้อวิ๋น ถ้าหากเขาถูกคนบีบบังคับง่ายดายขนาดนั้น แล้วจะสยบภูตผีปีศาจทั่วทุกสารทิศได้อย่างไรกันเล่า

นางปีศาจอ่อนแอปวกเปียกตนหนึ่งคิดจะข่มขู่เขา เช่นนั้นก็ต้องดูก่อนว่าเขาอยากจะถูกข่มขู่หรือไม่ แต่ว่าเขาต้องมองนางใหม่เสียแล้ว นางฉลาดเฉลียวไม่น้อย รู้จักใช้ไม้นี้มาคานพลังเขา

เหยาเหนียงใบหน้าขาวซีด ริมฝีปากเม้มแน่น มือที่ถือตั๋วเงินอยู่กำลังสั่นเทา สั่นจนหัวใจทั้งดวงของเขาสั่นเทิ้มตามไปด้วย กลัวว่านางจะเผลอปล่อยมือออก ทำให้หยาดเหงื่อแรงกายของเขาต้องสลายกลายเป็นเถ้าธุลี

เขาสีหน้าเคร่งขรึม แต่จริงๆ แล้วหัวใจกลับว้าวุ่น

หลังจากคุมเชิงกันอยู่พักใหญ่ในที่สุดเหยาเหนียงก็เริ่มลังเลใจ “ท่านอย่าสังหารอาเจียวเลยนะ มันเป็นปีศาจดี ขอแค่ท่านไม่สังหารมัน จะให้ทำอันใดข้าก็ยินยอมทั้งสิ้น”

ครั้นจิ้นเสวียนได้ยินวาจานี้ ในดวงตาก็พลันเปล่งประกายวาบ ลอบผ่อนลมหายใจกับตนเองอย่างลับๆ ทว่าใบหน้ากลับยังคงเย็นชาเฉยเมย

“อ้อ? อันใดก็ยินยอมทั้งสิ้น? แล้วเจ้าทำสิ่งใดเป็นบ้างเล่า”

“ข้า…ข้าซักผ้า ทำกับข้าว ผ่าฟืน กวาดบ้าน เย็บผ้า เย็บรองเท้าได้”

เขานึกว่านางจะบอกว่าสามารถช่วยอุ่นเตียง ทุบไหล่ ยกน้ำชา ปรนนิบัติด้วยเรือนร่างเสียอีก นางปีศาจจิ้งจอกกลับมิใช้รูปโฉมยั่วยวนเขา นี่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก

ทว่าถ้อยคำของนางกลับเตือนให้เขานึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อหลายวันก่อนตาเฒ่าจ้าวซึ่งทำงานในครัวบอกว่าจะขอลากลับบ้านเกิด เขากำลังปวดหัวว่าจะไปเชิญคนมาจากที่ใดอยู่พอดี ถึงแม้อาหารที่ตาเฒ่าทำจะไม่อร่อยนัก แต่ว่าค่าแรงกลับถูก ถ้าหากตาเฒ่าจ้าวลากลับไปแล้ว ดูจากราคาตลาดในตอนนี้เขาจะต้องใช้เงินเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าถึงจะสามารถหาคนมาทำงานได้

นางปีศาจตนนี้ไม่เหมือนกับปีศาจตนอื่นๆ เขาจับนางเอาไว้ก็เพราะกะว่าจะศึกษาค้นคว้านางอย่างละเอียด มิได้คิดจะสังหารนาง ทว่ายันต์คาถาล้วนใช้ไม่ได้ผลกับนาง อาวุธเวทก็ทำอันใดนางมิได้ หอผนึกมารก็ขังนางเอาไว้ไม่อยู่ ในขณะที่เขากำลังปวดเศียรเวียนเกล้าว่าจะจัดการกับนางอย่างไรนั้น นางกลับยื่นเงื่อนไขออกมาเองซึ่งตรงกับความต้องการของเขาอยู่พอดี

“ได้!” มือของเขาพลันล้วงเข้าไปหยิบหนังสือสัญญาฉบับหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ “นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องขายตัวให้แก่ข้า เป็นปีศาจในพันธสัญญาของข้า เชื่อฟังคำสั่งข้า”

นางลงนามในสัญญาขายตัว ยามมีชีวิตอยู่ต้องเป็นทาสของเขา ตายไปก็เป็นทาสของเขา หยดโลหิตประทับตรา สัญญาเป็นอันบังเกิดผล!

 

จิ้งเฟิงถูกจิ้นเสวียนจับขังไว้ในถ้ำ ที่นี่ทั้งชื้นแฉะ ทั้งหนาวเหน็บ เป็นสถานที่ที่เอาไว้สำหรับลงโทษลูกศิษย์ที่ทำผิดโดยเฉพาะ นอกจากนั้นยังไม่ให้กินข้าวอีกด้วย

ไม่มีลูกศิษย์คนใดรู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่กระทำความผิดอันใดนอกจากจิ้งเหลย ในยามดึกดื่นค่ำคืนเขาก็ได้แอบลอบเอาซาลาเปาสองลูกเข้ามายัดใส่มือศิษย์พี่ใหญ่

“รีบกินเถิด”

จิ้งเฟิงเผยสีหน้าซาบซึ้งตื้นตันใจ “ศิษย์น้อง เจ้าเป็นคนดีเหลือเกิน”

“รู้ว่าข้าเป็นคนดีก็อย่าทำให้ข้าต้องเป็นห่วง อย่าสร้างปัญหาให้ข้าอีก”

จิ้งเฟิงกัดซาลาเปาหนึ่งคำ แต่แล้วจู่ๆ ก็พลันชะงักนิ่งไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองจิ้งเหลย

“กลางดึกแบบนี้ มีซาลาเปาเย็นชืดให้กินก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ทนเอาหน่อยเถิด” จิ้งเหลยเอ่ยปลอบประโลมด้วยความปรารถนาดี

ทันใดนั้นจิ้งเฟิงก็สวาปามซาลาเปาลงไป กินหมดแล้วยังแลบลิ้นเลียเศษที่หลงเหลืออยู่บนนิ้ว ท่าทางนั้นราวกับได้กินอาหารรสชาติโอชาหายากก็มิปาน

“ยังมีอีกหรือไม่” ดวงตาคู่นั้นของเขาจ้องเขม็งแน่วนิ่งท่ามกลางความมืดมิด

จิ้งเหลยส่ายศีรษะด้วยความเสียใจ “ไม่มีแล้ว เหลืออยู่แค่ซาลาเปาสองลูกนี้นี่แหละ ยังดีที่ข้ามือเท้าว่องไว หาไม่แล้วคงแย่งไม่ได้แม้แต่ลูกเดียว…โอ๊ย ท่านทำอันใดเนี่ย”

จิ้งเฟิงค้นตัวของเขาไปพลางเอ่ยพูดไปพลางว่า “ในสำนักจี้อวิ๋นมีใครแย่งของชนะเจ้าบ้างเล่า เจ้าไม่ไปแย่งคนอื่นก็ถือว่าไม่เลวแล้ว เอาออกมาเสีย”

ศิษย์น้องรองเร่ร่อนใช้ชีวิตอยู่ตามท้องถนนมาตั้งแต่เจ็ดขวบ เป็นนักล้วงหัวขโมยตัวน้อยที่มีชื่อเสียง แม้นเข้าร่วมสำนักแล้ว แต่ฝีมือในการล้วงควักลักขโมยของเขาก็ยังคงเก่งกาจล้ำเลิศ หลังจากเรียนวิชาอาคมและวรยุทธ์แล้ว ฝีมือในการลักขโมยยิ่งร้ายกาจมากขึ้นไปอีก ไม่มีสิ่งใดที่เขาแย่งไม่ได้ มีแต่ไม่อยากแย่งเท่านั้น

“บ้าเอ๊ย! อย่ามาลูบคลำส่งเดชสิ ซาลาเปากินหมดไปนานแล้ว ท่านคิดว่าซาลาเปาที่เหยาเหนียงทำจะมีเหลือกินหรือ”

จิ้งเฟิงหยุดนิ่ง “เหยาเหนียงเป็นคนทำ?”

จิ้งเหลยเอ่ยอย่างกระฟัดกระเฟียด “ตาเฒ่าจ้าวไม่ได้ทำงานแล้ว เหยาเหนียงยอมลงนามในสัญญาโลหิต กลายเป็นปีศาจในพันธสัญญาของอาจารย์ ต่อไปจะอยู่ทำงานที่สำนักจี้อวิ๋น เป็นแม่ครัวคนใหม่ของพวกเรา”

จิ้งเฟิงตาลุกวาว “ถะ…ถ้าอย่างนั้นอาเจียว…”

“ชิ! ว่าแล้วเชียวว่าท่านยังเป็นห่วงจิ้งจอกตัวนั้นอยู่ วางใจเถิด จิ้งจอกไม่เป็นอันใด เหยาเหนียงยินยอมลงนามในสัญญาโลหิตก็เพื่อปกป้องมันนี่แหละ”

มุมปากของจิ้งเฟิงแย้มยิ้มเบิกบาน “ดีเหลือเกิน!”

จิ้งเหลยมองค้อนเขาปราดหนึ่ง “ท่านนี่ช่างหัวรั้นจริงๆ จิ้งจอกตัวนั้นเจ้าเล่ห์แสนกล เล่นงานท่านจนสลบ สุดท้ายเล่า มันไม่เป็นไร แต่ท่านกลับมีปัญหา อาจารย์ยังโกรธจัดอยู่เลย ไม่รู้เช่นกันว่าจะขังท่านไปอีกนานเท่าไร”

“ไม่เป็นไร ข้ามีเจ้าอยู่ทั้งคน” จิ้งเฟิงเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ

“ถูกต้อง โชคดีที่มีข้าอยู่ ยามนี้ท่านมีทุกข์ข้าก็ร่วมต้าน ดังนั้นท่านจำใส่ใจเอาไว้ให้ดีเล่า ถ้าหากอาจารย์จับได้ว่าข้าแอบเอาของกินมาให้ท่าน ท่านต้องมาขวางหน้ารับไม้เรียวแทนข้าด้วย ร่วมแบกรับความทุกข์เข็ญด้วยกัน! ชิ ท่านลูบคลำพอแล้วหรือยัง ข้ามีแต่หัวนม ไม่มีหมั่นโถวถ้ายังลูบอีกข้าจะให้ท่านรับผิดชอบข้าแล้วนะ!”

ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็พลันรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงหันไปมองทางปากถ้ำอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่แล้วก็ต้องอึ้งงันไปทั้งคู่

สตรีงดงามเลอโฉมผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น กำลังจ้องมองพวกเขาไม่วางตา

นางผิวขาวผ่องดุจหิมะ นัยน์ตาสุกสกาวดุจดวงดารา แสงจันทราที่ส่องลอดเข้ามาตามรอยแยกของถ้ำฉายสาดลงบนร่างของนางจนดูเหมือนเปล่งประกายแสงสีเงินยวง และขับเน้นเครื่องหน้าอันงามล้ำของนางออกมาเช่นเดียวกัน

นางจ้องมองท่าทางจิ้งเฟิงที่กำลังกดตัวอยู่เหนือร่างผู้อื่น แล้วต่อมาก็หันไปมองจิ้งเหลยที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อย จากนั้นก็วางกล่องอาหารลงภายใต้สายตาตะลึงลานของพวกเขา

“นี่เป็นอาหารที่เหยาเหนียงทำมาให้ศิษย์พี่ใหญ่” พอทิ้งถ้อยคำประโยคนี้เอาไว้ปุ๊บ นางก็หันกายหายเข้าไปในความมืดมิด เดินถอยออกไปที่นอกถ้ำ

ทั้งสองซึ่งอึ้งทึ่งอยู่พักใหญ่ๆ ได้สติกลับคืนมาจากความตื่นตะลึง ต่างมองสบสายตาของอีกฝ่าย และต่างก็มีความรู้สึกตกใจอย่างเดียวกัน

…ยอดหญิงงามผู้นั้นคือใครกัน!

 

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน เมษายน 65)

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: