ตะวันไม่เต็มดวงกำลังจะลาลับเหลี่ยมเขาที่อยู่ไกลออกไป แสงสายัณห์แผ่ปกคลุมไปทั่วผืนแผ่นดินอันราบเรียบ อาบย้อมสายน้ำเล็กที่ไหลคดเคี้ยวอ้อมผ่านกระโจมที่พักทหารให้ม้าได้อาศัยดื่มกินจนกลายเป็นสีแดงดั่งโลหิตสาดประกายวาววาม
หลี่มู่จูงม้าศึกสีดำตัวนั้นของเขามาหยุดอยู่ที่ริมแม่น้ำ ถือแปรงสำหรับแปรงขนจุ่มลงไปในน้ำ แล้วนำมาแปรงขนทั่วร่างทำความสะอาดให้มันด้วยตนเอง
เขาค้อมเอว ขณะจิตใจจดจ่ออยู่นั้น อูจุยก็หันหัวมาแลบลิ้นเลียฝ่ามือหยาบที่ยื่นออกมาของเขาข้างนั้น
เขามองอูจุย ส่วนลึกในดวงตาคล้ายมีคล้ายไม่มีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้น เขายกมือขึ้นตบหัวมันเบาๆ ด้วยท่าทีอ่อนโยน
ทหารน้อยที่ชื่อหลิวหย่งผู้นั้นกำลังวิ่งตรงมาที่แม่น้ำเล็กสายนี้
“ขุนพลหลี่!”
หลิวหย่งเรียกเขา…เพราะหลายวันก่อนเขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนพลจงหลาง เป็นเหตุให้ทหารน้อยต้องเปลี่ยนคำเรียกหาเขาใหม่
หลี่มู่เหยียดร่างขึ้น หันไปมองหลิวหย่งที่กำลังวิ่งห้อมาที่ตน
หลิวหย่งเป็นเด็กกำพร้าที่ร่อนเร่มาจากทางเหนือผู้หนึ่ง เพื่อจะหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องจึงมาเป็นทหาร หลายปีก่อนหลังการสู้รบครั้งหนึ่ง ตอนเก็บกวาดสนามรบถูกหลี่มู่ที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงหัวหน้ากองร้อยเก็บมาได้จากกองซากศพ หลังจากมีชีวิตรอดมาได้ก็ติดตามหลี่มู่มาตลอด
“ขุนพลหลี่! มีคนต้องการพบท่าน!” หลิวหย่งโก่งคอ ตะโกนบอก
หลิวหย่งเหมือนปีศาจวานร เขาพละกำลังมาก เกิดมามีขาสองข้างที่วิ่งได้เร็วยิ่ง…ก็ด้วยอาศัยขาสองข้างนี้ถึงได้เอาชีวิตรอดจากการสู้รบมาได้หลายครั้ง ยามนี้กลับวิ่งจนหายใจไม่ทันอย่างน้อยครั้งจะได้เห็น
“เป็นคนผู้นั้น! คุณชายใหญ่แห่งสกุลลู่!”
ในที่สุดหลิวหย่งก็วิ่งมาถึงเบื้องหน้าหลี่มู่แล้วหยุดลง หอบแฮกๆ มือชี้ไปทางด้านหลัง ทำไม้ทำมือไม่หยุด
หลี่มู่หันหน้ามองไปทางทิศที่ดวงอาทิตย์ตก บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งผู้หนึ่งกำลังก้าวยาวๆ เดินมาทางนี้ แสงอาทิตย์ยามสายัณห์ที่เหลืออยู่อาบย้อมทั่วร่างของเขาให้กลายเป็นสีทองจางๆ สายลมในทุ่งกว้างพัดชายเสื้อของเขาปลิวสะบัด สีหน้าของเขาเคร่งขรึม เดินตรงดิ่งใกล้เข้ามาทุกที ในที่สุดก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าหลี่มู่
“หลี่หู่เปิน ข้าคือลู่เจี่ยนจือ บุ่มบ่ามมาที่นี่ก็เพราะมีคำพูดจะมาขอคำชี้แนะจากหลี่หู่เปินสักเล็กน้อยได้หรือไม่”
ดวงตาทั้งสองของเขามองตรงมาที่หลี่มู่ น้ำเสียงสงบราบเรียบ แต่ส่วนลึกในดวงตากลับซ่อนแฝงความโกรธแค้นที่กดข่มไว้อย่างลึกซึ้ง
แม้เขาจะไม่ได้แสดงออกมากนัก แต่จุดนี้แม้แต่หลิวหย่งก็ดูเหมือนจะมองออกแล้ว
เขาชายตามองหัวหน้าของตนอย่างไม่สบายใจแวบหนึ่ง ทางหนึ่งก็หันกลับมามองไม่หยุด ทางหนึ่งก็ค่อยๆ เดินห่างออกไป
หลี่มู่วางแปรงในมือลง ล้างมือแล้วลุกขึ้นมองจ้องลู่เจี่ยนจือ เอ่ยยิ้มๆ “มิบังอาจ คุณชายลู่มีอะไร เชิญพูด”
“หลี่หู่เปิน เพราะเหตุใดเจ้าจึงต้องขอแต่งงานกับบุตรีของเซี่ยงกง” ลู่เจี่ยนจือเอ่ยปากถาม “เจ้า…เพราะมีความดีความชอบด้านการทหาร เวลานี้จึงมีชื่อเสียงโด่งดัง เดิมควรฉวยโอกาสนี้ผูกไมตรีกับทุกฝ่าย วันข้างหน้าเปรียบประดุจปลาได้น้ำ อนาคตยาวไกลหาขอบเขตมิได้ เพราะเหตุใดเจ้ากลับเสี่ยงต่อสิ่งที่ผู้คนใต้หล้าเห็นว่าเป็นความผิดอย่างมหันต์ ยอมแบกรับคำตราหน้าว่าทำดีเพื่อหวังสิ่งตอบแทน ประจบสอพลอผู้มีอำนาจและอิทธิพล ทั้งไม่คำนึงว่าได้ล่วงเกินสกุลเกาและสกุลลู่ของข้าในเวลาเดียวกัน…เจ้าเข้าใจว่าสวี่ซือถูผู้บังคับบัญชาของเจ้าช่วยเจ้าด้วยความจริงใจหรือ เขาก็แค่ใช้เจ้าเป็นหมาก หาเรื่องลบหลู่สกุลลู่ของข้ากับสกุลเกา ยุแหย่ให้สองบ้านแตกคอกัน ส่วนเขาก็คอยนั่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากเรื่องนี้เท่านั้น!”
เขาหยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนเอ่ยต่อว่า
“ถ้าเจ้าล่วงเกินสกุลเกา สกุลลู่สองสกุลนี้แล้ว เจ้าเข้าใจว่าสวี่ซือถูจะปกป้องเจ้าไปได้ชั่วชีวิตหรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใช่ว่าข้าอยากตำหนิคนลับหลัง เจ้าล่วงเกินสกุลเกากับสกุลลู่สองสกุลในเวลาเดียวกัน ต่อไปก็ได้แต่พึ่งพาอาศัยสกุลสวี่ ด้วยนิสัยใจคอของสวี่ซือถู เขาไม่ใช่คนที่ใจกว้างมีความอดทนอดกลั้นต่อผู้อื่น ในเมื่อเขาใช้เจ้าเป็นหมาก วันหน้าจะใช้หรือทิ้งคนก็ล้วนขึ้นอยู่กับความคิดชั่ววูบเดียวของเขา ข้าเห็นเจ้าเป็นผู้กล้าคนหนึ่ง หรือว่าเจ้ายินดีจะตัดหนทางในวันหน้าของตนเองจริง”
หลี่มู่ยิ้ม “ขอบคุณคุณชายลู่ที่ให้เกียรติข้า ไม่ทราบคุณชายมาในวันนี้มีจุดประสงค์ใดหรือ”
“ข้าได้ยินว่าเพราะเจ้ายืนกรานจะขอแต่งงานกับบุตรสาวสกุลเกา เกาเซี่ยงกงถูกบีบบังคับจนไม่มีทางเลือก คิดจะทดสอบเจ้าในวันเทศกาลฉงหยางที่จะถึงนี้” ลู่เจี่ยนจือนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เพียงมองจ้องหลี่มู่แล้วเอ่ยถาม “ต้องทำอย่างไรเจ้าจึงจะยอมล้มเลิกความคิดนี้ ไม่ทำให้สกุลเกาต้องลำบากใจเพราะเรื่องนี้อีก”
แสงสายัณห์สีโลหิตจางๆ บนยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปพลันหายลับไป ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มขึ้นมาทันที แสงในทุ่งกว้างสลัวตามไปด้วย
ในที่ไกลออกไป นกกาที่บินกลับรังส่งเสียงร้องดังอึกทึก
สายลมยามราตรีพัดโหมม้วนชายเสื้อของคนทั้งสองปลิวสะบัด
ตามแสงสว่างที่เลือนหายไป ใบหน้าของหลี่มู่ก็ดูเหมือนจะมีเงามืดจางๆ ปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่งไปด้วยทำให้สีหน้าของเขาดูเฉยเมยขึ้นมาหลายส่วนในทันที