บทที่เก้า
เกาลั่วเสินสัมผัสได้ จิตใจขอเกาหวนเต็มไปด้วยความเคารพนับถือคนที่เคยช่วยเขาไว้ผู้นี้ กระทั่งถึงขั้นเลื่อมใสศรัทธา
แน่นอนว่าเกาลั่วเสินเองก็รู้สึกขอบคุณซือหม่าแห่งกองทัพที่ชื่อหลี่มู่ผู้นั้นอย่างมาก
แม้เรื่องจะผ่านมาหลายเดือนแล้ว แต่กระทั่งถึงตอนนี้บางครั้งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นขึ้นมา นางยังคงอดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในภายหลังไม่ได้
แต่ก็เพียงแค่นั้นเท่านั้น
นางไม่ได้มีความสนใจจะฟังญาติผู้น้องยกย่องสรรเสริญหลี่มู่ผู้นั้นว่ากล้าหาญเหนือผู้อื่นอย่างไรบ้างต่อหน้าตนสักเท่าไร
คิดว่าบิดาจะต้องชมเชยและให้รางวัลที่เหมาะสมแก่เขาแล้วเป็นแน่ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็เป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับ
ที่นางใส่ใจยิ่งกว่ายังคงเป็นบิดา ท่านอา พี่ชายที่เป็นญาติผู้พี่ อีกทั้ง…ลู่ต้าซยง ลู่เจี่ยนจือ คนที่นางคุ้นเคยและเป็นห่วงทุกคน พวกเขาต่างอยู่ในการทำศึก ใช่ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้เส้นผมหรือไม่ แล้ววันใดจึงจะกลับมา
นางตัดบทเกาหวน ถามคำถามที่ตนอยากรู้
“ใกล้แล้ว! ข้าได้รับจดหมายถึงครอบครัวของท่านลุง รู้ว่าอีกไม่กี่วันจะกลับมา จึงได้มาที่นี่เพื่อจะรับท่านกับ…”
เขาหยุดลงมา มองเซียวหย่งจยาที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
เซียวหย่งจยานั่งเอนพิงอยู่กับพนักพิงที่ข้างหน้าต่างในศาลาริมน้ำหลังนี้ ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาส่องกับหน้าต่างชื่นชมเล็บมือสีแดงสดที่ตนเพิ่งลงสีมาเมื่อเช้า นิ้วมือทั้งห้าเรียวงามดุจต้นหอมที่เขียวสด ไม่แพ้ให้กับหญิงสาวอายุน้อย
องค์หญิงใหญ่ชิงเหอไม่เพียงได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่เหี้ยมหาญ หลังจากแต่งให้เกาเฉียวแล้วเนื่องจากใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยจึงได้ถูกคนตำหนิประณามเย้ยหยัน
ในความทรงจำอันเลือนรางในสมัยเด็กของเกาลั่วเสิน ตอนแรกเริ่มดูเหมือนมารดาหาได้เป็นเช่นนี้ ภายหลังไม่รู้เพราะเหตุใดจึงค่อยๆ หลงใหลอยู่กับสิ่งเหล่านี้ เสื้อผ้าเครื่องประดับไม่ทันไรก็ใช้จ่ายไปมากมาย ลำพังรองเท้าก็มีไม่ต่ำกว่าร้อยคู่ ลายหัวหงส์ ลายเมฆ หลากสีสัน…รูปทรงต่างๆ หลากหลาย สิ่งทอลายปักงามพร่างพราวประดับกระดองเต่าสีทอง ไม่ก็ประดับหยกไข่มุก หรูหราฟุ่มเฟือยเป็นที่สุด ส่วนใหญ่ก็วางไว้ที่นั่นปล่อยให้ฝุ่นจับ บางคู่ก็ไม่เคยสวมใส่ด้วยซ้ำ
ปกตินอกจากบางครั้งจะสวมชุดคลุมแบบเต๋าแล้ว เวลาที่เหลือนอกนั้นจะแต่งตัวเฉิดฉายสวยสดงดงามกดข่มผู้คนตลอดเวลา แม้ในช่วงที่อยู่ตามลำพังคนเดียวก็ไม่ยกเว้น
ในยามนี้ก็เป็นเช่นนี้
แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาส่องกระทบปิ่นปักผมทองคำที่ส่วนปลายประดับด้วยอำพันรูปงูปักอยู่บนเส้นผมดำขลับที่เกล้าเป็นมวยสูงของนางสาดประกายระยิบระยับ ผิวพรรณบนใบหน้าขาวผุดผาดนวลเนียนแวววาวดุจไข่มุกงามภายใต้แสงอาทิตย์
ดูแล้วเหมือนนางไม่ได้ใส่ใจการสนทนาของพี่สาวน้องชายสองคนที่อยู่ด้านข้างแม้แต่น้อย
เกาหวนหันไปหานาง กล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ท่านป้า หลานรับคำสั่งจากท่านลุงให้มาที่นี่เพื่อรับท่านป้ากับอาเจี่ยกลับไปบ้านด้วยกันขอรับ”
เซียวหย่งจยาไม่แม้แต่จะเลิกเปลือกตาขึ้น “เจ้ารับอาเจี่ยของเจ้ากลับไปก็แล้วกัน ส่วนข้าก็ช่างเถิด! มาๆ ไปๆ หนทางก็ไม่นับว่าใกล้ทำให้คนเหน็ดเหนื่อยยิ่ง”
เกาหวนเห็นเกาลั่วเสินหันหลังให้เซียวหย่งจยา แอบขยิบตาให้ตนก็เข้าใจได้ในทันที รีบก้าวเข้าไปวิงวอนขอร้อง
“ท่านป้า! ท่านลุงสั่งการไว้ในจดหมายเป็นพิเศษจริงๆ ขอรับ หากท่านป้าไม่กลับไป ท่านลุงต้องตำหนิหลานแน่ โดยเฉพาะเรื่องก่อนหน้านี้ท่านลุงก็ยังไม่หายโกรธหลานเลยขอรับ ครั้งนี้ถ้ารับท่านป้ากลับไปไม่ได้อีก เกรงว่าท่านลุงคงยิ่งไม่อยากเห็นหน้าหลาน ท่านป้า ท่านก็สงสารหลานเถิดนะขอรับ!”
นี่ยังไม่เท่าไร ต่อมามีเสียงดังตึง สองขาของเกาหวนคุกเข่าลงไปกับพื้นแล้ว
เซียวหย่งจยาลดมือที่ชื่นชมอยู่เป็นนานของตนลง หันหน้ามาเลิกคิ้วเข้มข้างหนึ่งที่ตั้งอกตั้งใจเขียนไว้เป็นอย่างดี ริมฝีปากแดงคลี่ยิ้ม
“ลิ่วหลาง เจ้าก็รู้จักแต่พูดจาหลอกล่อป้า ลุกขึ้นเถิด วันนี้ถึงเจ้าจะคุกเข่าจนหัวเข่าทะลุก็ไม่มีประโยชน์ วางใจเถิด ถึงป้าไม่กลับท่านลุงผู้นั้นของเจ้าก็ไม่ว่าอะไรเจ้าหรอก”
เกาหวนแม้จะได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจากเกาเฉียว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์หญิงใหญ่ผู้เป็นป้าที่ได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่เหี้ยมหาญผู้นี้ กลับไม่กล้าทำตัวสนิทสนมหรือกำเริบเสิบสานเกินไป
ได้ยินเช่นนี้เขาจำต้องลุกขึ้นมาจากพื้น มองไปทางเกาลั่วเสิน ท่าทางเหมือนพยายามเต็มที่แล้วก็ได้แต่อับจนปัญญา
“อาเหนียง…” เกาลั่วเสินกัดริมฝีปาก
“เจ้าจะกลับไปพบอาเหยียของเจ้า เช่นนั้นก็ตามหวนเอ๋อร์กลับไปแล้วกัน อาเหนียงจะไปเรียกคนช่วยเก็บของให้เจ้า”
สีหน้าของเซียวหย่งจยาไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย นางตัดบทบุตรสาวแล้วลุกขึ้นมาจากตั่ง เหยียบลงไปบนพรมขนนุ่มงามหรูที่แทบจะปิดคลุมหลังเท้า ลงจากตั่งที่นั่งหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก
แขนเสื้อกับชายกระโปรงที่ปักลายลูกไม้สีทองตรงชายขอบอย่างประณีตงดงามยาวระพื้น สาดประกายระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์ไปตามจังหวะการเดินของนาง
เกาลั่วเสินมองเงาด้านหลังของมารดาอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพเหตุการณ์ช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ หลังจากตนล้มป่วยมารดาก็กลับมาดูแลตน
ตามที่เกาลั่วเสินแอบสังเกต ช่วงเวลานั้นมารดาดูเหมือนจะไม่อนุญาตให้บิดาอยู่ร่วมห้องเดียวกับนาง บิดาถูกบีบให้ต้องนอนในห้องหนังสือทุกคืน หญิงรับใช้สูงวัยในห้องด้านในต่างเห็นกันถ้วนทั่ว แต่ล้วนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ลำบากไม่น้อย ในที่สุดเกาลั่วเสินก็เฝ้ารอจนมารดากลับมาแล้ว ยังเข้าใจว่าบิดามารดาจะได้อยู่ร่วมห้องเดียวกัน คิดไม่ถึงว่าทั้งสองกลับอยู่ร่วมกันในสภาพเช่นนี้ ไม่หลบเลี่ยงสายตาของบ่าวไพร่ในเรือนแม้แต่น้อย
เกาลั่วเสินโกรธในความไร้เยื่อใยของมารดา สงสารในความขี้ขลาดและอ่อนแอของบิดา มาบัดนี้เห็นมารดาไม่ยินดีจะกลับจวน แม้จะรู้สึกผิดหวัง แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งก่อน นางก็นึกลังเลขึ้นมา
ครั้งนี้ถ้าขอร้องมารดาให้กลับไป แล้วต้องอยู่ร่วมกับบิดาเช่นครั้งก่อนอีก ถ้าพูดจากสถานะของบิดาแล้ว นางก็ออกจะรู้สึกสงสารไม่น้อย
ในเวลานี้เองอาจวี๋ก็พูดขึ้นมา “องค์หญิงใหญ่ เรื่องการแต่งงานของแม่นางน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้มีเหตุให้ต้องล่าช้า คงกำหนดเรียบร้อยไปแล้ว มาบัดนี้เรื่องของบ้านเมืองสงบลง เมื่อเซี่ยงกงกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว คิดว่าสกุลลู่จะต้องมาสู่ขอแม่นางน้อยแน่นอน ไม่ว่าอย่างไรการแต่งงานของบุตรสาวบุตรชายก็เป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง ระหว่างที่สองบ้านไปมาติดต่อกันอยู่ ยังต้องให้องค์หญิงใหญ่ออกหน้าจัดการเรื่องพิธีและประเพณีต่างๆ มากมาย เวลานี้องค์หญิงใหญ่ไม่กลับไปเกรงว่าจะไม่เหมาะนะเจ้าคะ”
เซียวหย่งจยาหยุดฝีเท้า หันหน้ามามองเกาลั่วเสินแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร
เกาลั่วเสินได้ยินอาจวี๋เอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานของตนกับลู่เจี่ยนจือก็รู้สึกขวยเขินขึ้นมา ก้มหน้าไม่พูดจา ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินมารดาเอ่ยขึ้น
“เอาเถิด กลับไปด้วยกันก็แล้วกัน” เซียวหย่งจยานิ่งไปชั่วขณะ นางก็เอ่ยขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง น้ำเสียงเจือการเน้นย้ำอย่างเข้มข้น ก็ไม่รู้ตั้งใจจะพูดให้ใครฟัง “ถ้าไม่ใช่เพื่อบุตรสาวล่ะก็ ข้าก็จะไม่กลับไปอยู่ต่อหน้าคนผู้นั้นอีก!”
อาจวี๋เผยรอยยิ้มออกมา “แน่นอนเจ้าค่ะ การแต่งงานของบุตรสาวทั้งคน องค์หญิงใหญ่ไม่มีเหตุผลที่จะไม่กลับไป”
นางคล้อยตาม แล้วร้องเรียกคนมาเก็บสัมภาระเดินทางให้นายหญิง บ่าวไพร่ยุ่งวุ่นวายขึ้นมาทันที
เกาลั่วเสินถอนหายใจด้วยความโล่งอก เดินเข้าไปจับมือเซียวหย่งจยา พูดเบาๆ “ลูกขอบคุณอาเหนียง!”
นิ้วมือขาวดุจหิมะนิ้วหนึ่งของเซียวหย่งจยาจิ้มไปที่หน้าผากเกาลั่วเสินเบาๆ “เจ้าน่ะ อาเหนียงยังจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนเจ้าเพิ่งคลอดออกมา ตัวเล็กนิดเดียว ตอนนั้นอาเหนียงยังคิดอยู่เลย เมื่อใดบุตรสาวของข้าจึงจะโต โตแล้วจะต้องเป็นเด็กหญิงที่งดงามที่สุดเป็นแน่ มาบัดนี้เพียงชั่วพริบตาเดียว เจ้าก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อาเหนียงแก่แล้ว เจ้าก็จะแต่งงาน…”
นางพูดไปคล้ายรู้สึกใจหายจึงหยุดลง
“อาเหนียงยังไม่แก่สักหน่อย!”
ไม่รู้เพราะเหตุใด เกาลั่วเสินพลันรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา นางจับมืออีกข้างของมารดาที่สวมแหวนเพชรพลอยล้ำค่าเต็มมือไว้แน่น
เซียวหย่งจยาส่ายหน้า ยิ้มแก้เขินให้ตนเอง “ช่างเถิด พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าไปเพื่ออันใดกัน ดีที่เป็นเจี่ยนจือเด็กคนนี้ อาเหนียงก็วางใจ ไปเถิด”
นางจับจูงมือบุตรสาวแล้วเดินออกจากศาลาริมน้ำ
เกาลั่วเสินติดตามเซียวหย่งจยา พร้อมหญิงรับใช้สูงวัยกับสาวใช้หลายสิบคนกลับเข้าเมือง นั่งเรือสำราญที่ตกแต่งอย่างวิจิตรมาขึ้นฝั่ง
เกาชีที่ติดตามเกาหวนมารับนายหญิงได้จัดเตรียมรถเทียมวัวสำหรับเข้าเมืองไว้ก่อนแล้ว หนึ่งแถวเจ็ด แปดคัน ด้านข้างของรถเทียมวัวทุกคันมีบ่าวไพร่ติดตามอย่างน้อยสี่คน โดยเฉพาะคันหน้าสุดที่เกาลั่วเสินนั่งกับมารดาคันนั้น ตัวรถทำมาจากไม้หอม ม่านรถปักด้วยเส้นไหมเงินเส้นไหมทอง รูปแบบไม่ธรรมดา
หญิงรับใช้สูงวัยกับสาวใช้หลายสิบคนที่ปรนนิบัติเซียวหย่งจยาแยกย้ายกันไปนั่งรถเทียมวัว หัวแถวท้ายแถวต่อกันเป็นขบวน เดินทางผ่านถนนนอกเมือง ภายใต้การคุ้มกันของบ่าวไพร่สกุลเกา ตลอดทางดึงดูดสายตาผู้คนบนท้องถนนไม่รู้มากมายเพียงใด เด็กๆ ในชนบทสิบกว่าคนได้ยินเสียงก็วิ่งมาชมดูด้วยความสนุกสนาน ตามติดอยู่ท้ายขบวนไม่ยอมห่าง
สกุลเกาเดิมก็ร่ำรวยมีชื่อเสียงบารมี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการศึกที่ทำกับแคว้นซย่าในครั้งนี้ นับว่ามีความดีความชอบใหญ่หลวง ชาวนาที่กำลังดายหญ้าอยู่สองข้างทางเหล่านั้น พอรู้ว่าเป็นขบวนรถขององค์หญิงใหญ่ที่กลับเข้าเมืองเพื่อต้อนรับการกลับมาของเซี่ยงกง รอจนรถเทียมวัวผ่านไปแล้ว ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เสียงต่ำขึ้นมา
“ได้ยินว่าเซี่ยงกงกลัวภรรยา อายุเกือบครึ่งร้อยกลับมีบุตรสาวเพียงคนเดียว จนทุกวันนี้ก็ไม่กล้ารับอนุ”
“เซี่ยงกงมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อใต้หล้า ถ้าสวรรค์มีตาจะปล่อยให้เขาไม่มีผู้สืบทอดวงศ์สกุลได้อย่างไร”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์แม้จะเบา แต่ยังคงลอยตามสายลมแว่วมาเข้าหูเกาลั่วเสิน
เกาลั่วเสินออกจะไม่สบายใจ รีบหันไปมองมารดาที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง เห็นนางหลับตาทั้งสองข้าง สีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก ร่างโยกไปมาเล็กน้อยตามการเคลื่อนไหวของรถเทียมวัว คล้ายงีบระหว่างทางจนหลับไปแล้วเช่นนั้น
เกาชีขี่ม้าอยู่ด้านข้างก็ได้ยินอยู่บ้าง เขาย่นหัวคิ้ว หยุดม้าลงทันที สั่งการบ่าวไพร่เบาๆ ให้ไปไล่ชาวบ้านปากมากเหล่านั้น
“ช่างเถิด ใต้หล้าปากคนมากมาย เจ้าจะปิดปากได้สักกี่คนเชียว”
สองตาของเซียวหย่งจยายังคงหลับอยู่ เพียงจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เกาชีได้ยินนายหญิงเอ่ยปากเช่นนี้ จึงจำต้องเดินทางต่อไป
ขบวนรถแถวหนึ่งแล่นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน ในที่สุดก็เข้าเมืองหลวงแล้ว มุ่งตรงไปจวนสกุลเกาที่อยู่ใกล้ถนนอวี้
คนบ้านใกล้เรือนเคียงในเมืองและคนเดินถนนสองฟากข้างเมื่อเห็นขบวนรถเทียมวัวของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ของผู้เรืองอำนาจวิ่งมายาวเหยียด ต่างจำได้ว่ามาจากจวนสกุลเกาก็ยิ่งหยุดเท้ามองดู
เกาลั่วเสินเคยชินต่อการกระทำที่หรูหราฟุ่มเฟือยขององค์หญิงใหญ่ผู้เป็นมารดานานแล้ว เดิมทีนั่งอยู่ในตัวรถก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอันใดไม่เหมาะ ตอนเข้ามาใกล้ถนนอวี้ คนเดินถนนสองฟากข้างก็มากขึ้นทุกที นางมองลอดร่องม่านที่ห้อยลงมาออกไป เห็นคนเดินถนนไม่มีใครไม่มองจ้องรถเทียมวัวคันที่นางกับมารดานั่งอยู่ นึกถึงคำวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อบิดามารดาของชาวบ้านหยาบคายที่นอกเมืองเมื่อครู่ก่อนเหล่านั้น ส่วนลึกในใจนางอดรู้สึกอดสูใจไม่ได้ ทั้งรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
นางขดตัวไปข้างหลังเงียบๆ เอนพิงพนักที่ด้านหลัง ในเวลานี้เองก็ได้ยินเสียงล้อรถดังเอี๊ยดอ๊าดมาจากฝั่งตรงข้าม จากนั้นรถเทียมวัวที่นางนั่งอยู่ก็หยุดลง
“เหตุใดไม่ไปต่อแล้วเล่า”
เซียวหย่งจยาลืมตาเอ่ยถามขึ้น
“เรียนองค์หญิงใหญ่ ทางด้านโน้นมีรถผ่านมาคันหนึ่ง ขวางถนนอยู่ ไปไม่ได้ขอรับ” เกาชีตอบอยู่ข้างนอก
“รถของบ้านใดหรือ”
อวี้หลินหวังเฟยมีนามว่า ‘จูจี้เยวี่ย’ ถือกำเนิดในสกุลจู เป็นสหายคนสนิทของสวี่ฮองเฮาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน อายุอานามใกล้เคียงกับเซียวหย่งจยา แต่งงานกับอวี้หลินหวังผู้เป็นเชื้อพระวงศ์
อวี้หลินหวังฐานะสูงส่ง ปกติมุ่งมั่นบำเพ็ญพรต ไม่ถามไถ่เรื่องทางโลก จูจี้เยวี่ยจึงมักเข้าวังหลวงเป็นอาจิณ ถ้านับตามลำดับศักดิ์ แม้ตรงกลางจะมีช่วงห่างกันอยู่บ้าง แต่เกาลั่วเสินก็ต้องเรียกนางว่า ‘จิ้นหมู่’
ก่อนหน้านี้ตอนเกาลั่วเสินเข้าวังก็เคยพบจูจี้เยวี่ยอยู่หลายครั้ง
รูปร่างหน้าตาของจูจี้เยวี่ยสู้เซียวหย่งจยาไม่ได้ แต่ก็เกิดมาพร้อมกับดวงตางดงามคู่หนึ่ง เป็นหญิงงามที่มีชื่อเสียงในเมืองเจี้ยนคัง กล่าวกันว่าแอบเลี้ยงดูยอดชายงาม ไว้ไม่น้อย
เซียวหย่งจยาพอได้ยินชื่อนี้ ในดวงตาก็มีแววเอือมระอาปรากฏขึ้น เอ่ยเสียงเยียบเย็น “บอกให้นางหลีกทาง!”
มีเสียงหัวเราะดังมาจากฝั่งตรงข้าม “ข้ายังนึกว่าเป็นผู้ใดกัน ขบวนใหญ่โตเพียงนี้ ที่แท้ก็องค์หญิงใหญ่กลับเข้าเมือง องค์หญิงใหญ่พำนักอยู่บนเกาะไป๋ลู่ตลอดทั้งปี ยากนักจะกลับเข้าเมืองสักครั้ง ไม่ต่างจากแขกที่นานๆ มาครั้งหนึ่ง ข้าได้ยินว่าอีกไม่กี่วันเกาเซี่ยงกงก็จะกลับมาแล้ว ถ้าเขารู้เข้าคงจะดีใจ แต่หากเป็นเพราะข้าขวางทางทำให้สามีภรรยาต้องพบหน้ากันล่าช้าไป ไยมิใช่เป็นความผิดอย่างมหันต์หรือ”
ลมหอบหนึ่งพัดผ่านมา บังเอิญพัดผ้าม่านสองผืนที่ห้อยอยู่ด้านหน้าเปิดออกพอดี เกาลั่วเสินมองออกไป เห็นรถเทียมวัวที่จูจี้เยวี่ยนั่งอยู่คันนั้นไม่ได้ปิดผ้าม่านด้านหน้าลงมา สามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในตัวรถได้ทั้งหมด
จูจี้เยวี่ยนั่งอยู่กลางรถ สวมเสื้อแพรรองเท้าไหม เพียงสวมหมวกเลี่ยมฝังด้วยหยกและมุกที่มีผ้าคลุมบดบังใบหน้าไว้ ด้านหลังผ้าคลุมมองเห็นคิ้วยาวจอนผมยาวดุจปีกจักจั่นรำไร กลับยิ่งทำให้คนอยากจะแอบมองรูปโฉมของนาง
คนเดินถนนที่อยู่ด้านข้างไม่มีใครไม่แย่งชิงกันมอง จูจี้เยวี่ยกลับไม่รู้สึกอะไร ภายใต้เสียงหัวเราะสดใสดุจเสียงระฆัง เพียงได้ยินนางร้องเร่งบ่าวไพร่ให้นำรถเทียมวัวที่ตนนั่งหลบไปที่ข้างถนนก่อน
ครั้นถนนโล่งแล้ว เกาชีก็รีบสั่งการให้คนบังคับรถเดินทางต่อ
ขบวนรถค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปใกล้จวนสกุลเกา เกาลั่วเสินลอบมองไปที่มารดา
นางสองตาจับนิ่งอยู่กับม่านที่บดบังสายตาอยู่ หัวไหล่เหยียดตรงแน่ว ท่าทางเฉยเมย ใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก ทว่ามือข้างหนึ่งกลับกำหมัดแน่น เส้นโลหิตเล็กๆ ดุจใยแมงมุมที่หลังมือพอจะมองเห็นรำไรอยู่ใต้ผิวหนัง
เล็บมือแหลมหลายเล็บที่เพิ่งลงสีมาเมื่อเช้าแทงลึกเข้าไปในฝ่ามือของนาง นางกลับเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“อาเหนียง…”
เกาลั่วเสินรู้สึกไม่สบายใจ ดึงชายแขนเสื้อนางพลางร้องเรียกเบาๆ
เซียวหย่งจยาได้สติก็รีบคลายมือออก หันมาส่งยิ้มให้บุตรสาว ปู้เหยา สั่นไหวสาดประกายวิบวับ “ถึงบ้านแล้ว ลงไปเถิด”
สามวันให้หลัง ทัพใหญ่เคลื่อนทัพกลับมาพร้อมด้วยชัยชนะ
ตามธรรมเนียมปฏิบัติของต้าอวี๋ แต่ไรมาไม่อนุญาตให้กองทัพหยุดพักที่เมืองเจี้ยนคัง ด้วยเหตุนี้ครั้งก่อนที่สวี่มี่ปราบกบฏมีความดีความชอบก็ได้แต่ยกทัพกลับมาที่เมืองตันหยาง รับการเฉลิมฉลองและปูนบำเหน็จจากราชสำนักที่นั่น
แต่ชัยชนะในครั้งนี้ความสำเร็จไม่ธรรมดา สามารถปลุกเร้าจิตใจผู้คนให้ฮึกเหิมได้อย่างแท้จริง
ฮ่องเต้ซิงผิงน้าชายของเกาลั่วเสินไม่เพียงอนุญาตให้ทัพใหญ่เคลื่อนตัวมาถึงเมืองเจี้ยนคังและพักอยู่นอกเมืองชั่วคราว ยังพาขุนนางทั้งหลายทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารออกจากเมืองมาเลี้ยงฉลองให้กองทัพด้วย
ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นนับแต่ราชวงศ์ย้ายเมืองหลวงมาที่เจียงจั่ว ช่วงก่อนหน้านี้หลายสิบปีก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ผู้คนทั้งเมืองพากันแห่แหนมาชมอานุภาพของกองกำลังทหาร
เกาลั่วเสินแม้จะไม่มีวาสนาได้เห็น แต่ยังคงจินตนาการถึงบรรยากาศอันยิ่งใหญ่คึกคักที่กำลังดำเนินอยู่ที่นอกเมืองในเวลานี้ได้
แสงอาทิตย์แรงกล้าสาดแสงอยู่บนท้องฟ้า ธงประจำกองทัพแผ่คลุมทั่วท้องฟ้าบดบังแสงตะวัน ทหารหาญหลายหมื่นนายผู้สร้างคุณูปการในการสู้รบอย่างโดดเด่นให้กับบ้านเมืองสวมหมวกเหล็กและเสื้อเกราะ ยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ใต้แท่นประทับของฮ่องเต้ที่นอกเมือง รับการตรวจพลจากฮ่องเต้ ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมาของราษฎรจำนวนนับไม่ถ้วน
ส่วนบิดา ญาติผู้พี่ และสามีในอนาคตของนางก็อยู่ในหมู่คนเหล่านี้ด้วย
เกาลั่วเสินรู้สึกภาคภูมิใจที่ตนมีญาติมิตรเช่นนี้
ตั้งแต่เช้าตื่นมานางก็ไม่มีแก่ใจจะทำเรื่องอื่นใด พยายามกดข่มจิตใจที่แทบจะทนรอต่อไปไม่ไหว หวังจะได้เห็นบิดาและพวกเขาก้าวเท้าเข้าประตูจวนมาโดยเร็ว
ตั้งแต่เกิดศึกสงคราม บิดาจากจวนสกุลเกาไปบัญชาการทหารที่เจียงเป่ย จนถึงวันนี้นางรู้สึกคล้ายเวลาผ่านไปนานมาก
เกาลั่วเสินคิดถึงพวกเขายิ่งนัก
การปูนบำเหน็จกองทัพสิ้นสุดลงด้วยความราบรื่น
ฮ่องเต้เสด็จกลับวังหลวงก่อน ท่ามกลางเสียงน้อมส่งเสด็จของทหารนับหมื่นนายที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังอย่างกึกก้องพร้อมเพรียงกัน
ไม่ต้องสงสัยเลย เกาเฉียวกับคนในสกุลเกาที่อยู่ด้านหลังของเขาคือตระกูลที่มีหน้ามีตาที่สุดในวันนี้
ตระกูลขุนนางเก่าแก่ในเมืองหลวงอยู่ในลำดับรองลงมา และตระกูลขุนนางท้องถิ่นในเขตสามอู๋ ไม่มีใครไม่รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พูดคุยกับเกาเฉียวสักสองสามคำ
ส่วนอาณาประชาราษฎร์ยิ่งตื่นเต้นดีใจ เมื่องานพิธีเสร็จสิ้นลงก็โอ้เอ้ไม่ยอมแยกย้ายกันไป ที่พวกเขาพูดถึงกันมากที่สุดกลับเป็นชื่อของอีกคนหนึ่ง
เป็นเพราะพิธีปูนบำเหน็จกองทัพในวันนี้ ชื่อนี้จึงแพร่กระจายไปทั่วทุกหนแห่งอย่างรวดเร็ว แทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก แทบจะไม่มีใครไม่เคยได้ยิน
ชื่อนี้…ก็คือหลี่มู่
กล่าวกันว่าเขาเป็นคนบุกเดี่ยวเข้าไปในขบวนทัพของหลินชวนหวัง ช่วยบุตรหลานสกุลเกาผู้หนึ่งซึ่งถูกจับเป็นเชลยออกมา ท่ามกลางวงล้อมเป็นชั้นๆ ของทหารข้าศึกนับพันนับหมื่นนาย
กล่าวกันว่าเขาเป็นคนทำให้แผนบุกเข้าโจมตีเมืองอี้หยางของทัพซย่าต้องล้มเหลว เขานำทหารเพียงสองพันนายป้องกันเมือง ต่อสู้นองเลือดที่ด่านเจียงกวน ยืนหยัดสกัดกั้นการโจมตีของกองทัพศัตรูนับหมื่น กระทั่งทัพหนุนมาถึง
และก็เป็นเขาอีกเช่นกันที่เป็นกองหน้ากล้าตายในการทำศึกใหญ่ของเจียงเป่ย เขาพาผู้ใต้บังคับบัญชาออกรบห้าครั้งชนะห้าครั้ง บุกไปทางใดก็แหลกราบไปทางนั้น สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่
วันนี้หลังจากฮ่องเต้ซิงผิงให้ขุนนางในวงศ์สกุลสูงศักดิ์ที่มีความดีความชอบอันมีสกุลเกาเป็นผู้นำและสกุลลู่ สกุลสวี่ที่ได้เข้าร่วมในการทำศึกเข้าเฝ้าแล้วก็ยังเรียกตัวหลี่มู่ออกมาจากแถวโดยเฉพาะ แต่งตั้งเขาเป็นขุนพลจงหลางหู่เปิน ทั้งพระราชทานเสื้อคลุมลายสัตว์สีทองให้เป็นกรณีพิเศษ แสดงความชื่นชมเขาอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
กระทั่งฮ่องเต้ยังเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราษฎรแล้ว
ถ้าชายหนุ่มที่ชื่อหลี่มู่ผู้นี้ถือกำเนิดในตระกูลขุนนาง ชาวบ้านก็คงทำเช่นที่พวกเขาเคยชิน เพียงแหงนหน้ามองเขาด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเท่านั้น
แต่เพราะเขาถือกำเนิดในครอบครัวต่ำต้อย ที่ต้าอวี๋ตัดสินทุกอย่างตามฐานะของตระกูล ชนชั้นสูงไม่มีครอบครัวต่ำต้อย ชนชั้นต่ำไม่มีวงศ์สกุลขุนนางแห่งนี้ เป็นแบบฉบับของคนที่เริ่มไต่เต้าจากชั้นต่ำสุดขึ้นมาทีละก้าวๆ จนถึงตำแหน่งที่มีเกียรติยศในวันนี้ คนธรรมดาทั่วไปคล้ายมองเห็นความหวังของตนและลูกหลานชนรุ่นหลังได้จากตัวของเขา ด้วยเหตุนี้จึงได้เลือดร้อนระอุพลุ่งพล่าน กระทั่งเลื่อมใสศรัทธาอย่างบ้าคลั่ง
ข้างกายหลี่มู่ยามนี้มีทหารหาญมารวมตัวกันนอกสามชั้นในสามชั้น รอบด้านแออัดเบียดเสียดจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าไปไม่ได้ เสียงพูดคุยเสียงหัวเราะดังไม่ขาดหู
ตอนหยางเซวียนมาถึง ภาพที่เห็นก็เป็นเช่นนี้ จึงไม่ได้เข้าไปขัดจังหวะ เพียงอมยิ้มยืนอยู่ด้านข้าง
ครู่เดียวหลี่มู่ก็เห็นหยางเซวียน เขาจึงแหวกกลุ่มคนออกมา สาวเท้าเร็วๆ มาหาอีกฝ่าย ทำการคารวะ
หยางเซวียนรีบเข้ามาประคอง ยิ้มบอก “เวลานี้เจ้าเองก็เป็นขุนพล ทั้งได้รับเสื้อคลุมลายสัตว์สีทองจากพระหัตถ์ เกียรติยศสูงส่งไม่ใช่สิ่งที่พวกข้าจะเทียบเคียงได้ ต่อไปเจอข้าแล้วไม่ต้องมากมารยาทอีก”
เสื้อคลุมที่ฮ่องเต้แห่งต้าอวี๋พระราชทานให้ขุนนางแบ่งเป็นสองแบบ ขุนนางฝ่ายพลเรือนจะเป็นเสื้อคลุมลายนกกระเรียน ขุนพลทหารเป็นเสื้อคลุมลายสัตว์ อย่างแรกเป็นสัญลักษณ์ของความสงบสุข อย่างหลังแฝงความหมายถึงพลังอำนาจ
ก่อนราชสำนักจะอพยพลงใต้ กล่าวสำหรับขุนนางการที่สามารถได้รับพระราชทานเสื้อคลุมตัวหนึ่ง มักจะถูกมองว่าเป็นเกียรติยศอย่างสูงสุด ทว่าหลังจากอพยพลงใต้มา อำนาจของฮ่องเต้ได้ตกต่ำลงอย่างไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้ เดิมก็ต้องอาศัยการประคับประคองของตระกูลขุนนางอยู่แล้ว ตระกูลขุนนางชั้นสูงแทบจะทัดเทียมกับราชวงศ์ได้ ไม่ช้าไม่นานเกียรติยศเช่นนี้ กล่าวสำหรับตระกูลขุนนางแล้วอาจเป็นเพียงการเติมบุปผาบนผ้าดิ้นแพร เท่านั้น แต่กล่าวสำหรับคนที่มาจากครอบครัวต่ำต้อยแล้ว การได้รับพระราชทานเสื้อคลุมตัวหนึ่งยังคงเป็นเรื่องที่ใฝ่ฝันถึงแม้ในยามหลับฝัน
หลี่มู่กล่าว “ที่ข้าโชคดีมีวันนี้ได้ เป็นเพราะได้ท่านขุนพลช่วยสนับสนุนส่งเสริมมาโดยตลอด ท่านขุนพลสมควรรับการคารวะจากข้า”
หยางเซวียนเห็นหลี่มู่ไม่มีท่าทีหยิ่งผยองอวดดีเพราะเกียรติยศที่ได้รับในวันนี้แม้แต่น้อย ยังคงปฏิบัติต่อตนอย่างมีมารยาท ในใจก็รู้สึกสบายใจ กล่าวยิ้มๆ “ครั้งนี้ซือถูก็ชมเชยเจ้าอย่างมาก เอ่ยถึงต่อหน้าข้าหลายครั้ง ครั้งนี้ถ้าฝ่าบาทไม่ทรงปูนบำเหน็จแต่งตั้ง ซือถูก็ไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรมหรอก มีซือถูกับเกาเซี่ยงกงคอยสนับสนุน อนาคตของเจ้าย่อมยาวไกลหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เวลานี้พวกเขาสองคนก็อยู่ในกระโจม เจ้ามากับข้าก่อน คารวะขอบคุณเสร็จ คืนนี้เราไม่เมาไม่เลิกรา!”
หลี่มู่ไม่ได้สาวเท้า เพียงมองไปทางกระโจมใหญ่หลังนั้นที่อยู่ห่างออกไปซึ่งมีพวกสวี่มี่กับเกาเฉียวอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็บอก “ขุนพลหยาง ท่านยังจำได้หรือไม่ เมื่อก่อนเกาเซี่ยงกงเคยรับปากข้าไว้ ไม่ว่าข้าจะร้องขอสิ่งใดก็จะรับปากข้าทุกอย่าง”
หยางเซวียนหัวเราะฮ่าๆ “แน่นอน! ตอนนั้นเกาเซี่ยงกงตกปากรับคำอย่างหนักแน่นมั่นเหมาะ ไม่ใช่ข้าหยางเซวียนได้ยินเพียงคนเดียว ยังมีคนมากมายที่ได้ยินด้วย!”
เขาพูดจบก็มองประเมินหลี่มู่ครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วว่า “อย่างไรกัน หรือเจ้าคิดเรื่องที่จะร้องขอแล้ว ประจวบเหมาะพอดี เกาเซี่ยงกงก็อยู่ด้วย เจ้าฉวยโอกาสนี้เอ่ยปากก็แล้วกัน ข้าคาดเดาว่าไม่ว่าเจ้าจะร้องขอเรื่องอะไร เกาเซี่ยงกงก็ต้องรับปากเจ้าแน่นอน”
หลี่มู่บอก “เรื่องนี้เกรงว่าข้าคงต้องพึ่งพาท่านขุนพลแล้ว”
“เรื่องอันใดถึงกับยังต้องให้ข้าช่วยเจ้า” หยางเซวียนออกจะประหลาดใจ จากนั้นก็หัวเราะ “เจ้าบอกมาเถิด! ขอเพียงข้าช่วยได้ ย่อมต้องรับปากแน่นอน”
เขาตบอกด้วยท่าทางวีรอาจหาญยิ่ง
“ขอบคุณขุนพลหยาง” หลี่มู่ยิ้ม “สิ่งที่ข้าต้องการจะร้องขอคือบุตรีของเกาเซี่ยงกง ไม่ทราบขุนพลหยางยินดีจะช่วยข้าหรือไม่”
ก่อนหน้านี้สีหน้าของหยางเซวียนเจือรอยยิ้มมาโดยตลอด ฉับพลันนั้นรอยยิ้มเขาก็ชะงักค้าง ลังเลอยู่ชั่วขณะ เขามองหลี่มู่ น้ำเสียงเจือความไม่แน่ใจ “จิ้งเฉิน เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ บุตรีของเกาเซี่ยงกง?”
หยางเซวียนนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วใช้น้ำเสียงเน้นย้ำพูดซ้ำอีกครั้ง
“บุตรสาวของเกาเซี่ยงกง เจ้าอยากแต่งนางเป็นภรรยา?”
“ใช่ สิ่งที่ข้าต้องการคืออยากแต่งงานกับบุตรสาวของเกาเซี่ยงกง”
บทที่สิบ
หลี่มู่ตอบรับ
“เจ้า…เหตุใดเจ้าจึงมีความคิดเช่นนี้ หรือกำลังล้อข้าเล่น!” หยางเซวียนลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความฉงนใจ
“ข้าต้องการแต่งงานกับบุตรสาวของเกาเซี่ยงกง” หลี่มู่เพียงพูดซ้ำอีกครั้ง “ถ้าท่านขุนพลช่วยบอกสิ่งที่ข้าร้องขอต่อหน้าเกาเซี่ยงกงแทนข้า หลี่มู่จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง!”
หยางเซวียนจ้องมองหลี่มู่ที่สีหน้าเป็นปกติ สองตายิ่งจ้องยิ่งเบิกกว้าง แม้แต่หนวดเคราที่มีอยู่เต็มหน้า ยังไม่อาจปิดบังความตื่นตระหนกสุดขีดของเขาในยามนี้ได้
ฉับพลันนั้นสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยน กวาดตามองไปรอบด้านแล้วบอก “เจ้าตามข้ามา!”
เขาหมุนตัวรีบเร่งเดินเข้าไปในกระโจมที่พักของตน
รอหลี่มู่เดินตามเข้ามา หยางเซวียนก็เรียกทหารคนสนิทสองนาย สั่งให้เฝ้าอยู่หน้ากระโจมห่างๆ ห้ามให้ใครเข้ามาใกล้ จากนั้นจึงหมุนตัวมา
“จิ้งเฉิน หรือว่าเจ้าเลอะเลือนไปแล้ว เหตุใดเจ้าจึงเกิดความคิดเหลวไหลเช่นนี้ขึ้นมาได้ เกาเซี่ยงกงเป็นใคร พวกเราเป็นใคร เจ้าเองก็รู้ดี เวลานี้ตระกูลขุนนางมีอำนาจ ด้วยเกียรติภูมิบารมีของสกุลเกา ต่อให้เกาเซี่ยงกงซาบซึ้งใจที่เจ้าช่วยชีวิตหลานชายของเขาเพียงใด ก็ไม่มีทางยกบุตรสาวให้แต่งงานกับเจ้าแน่ เจ้าฟังคำเตือนของข้า ยังคงล้มเลิกความคิดนี้เสียแต่เนิ่นๆ เถิด อย่าทำให้เกาเซี่ยงกงรู้สึกเลวร้ายต่อเรื่องนี้ หาเรื่องให้ตนเองต้องถูกเหยียดหยาม!”
สีหน้าของเขาเคร่งขรึม น้ำเสียงยิ่งจริงจังผิดจากปกติ
หลี่มู่กลับสีหน้าไม่หวั่นไหว ยังคงยิ้มน้อยๆ บอก “ขอบคุณท่านขุนพลที่ตักเตือน เพียงแต่การแต่งงานกับบุตรีของเกาเซี่ยงกงคือความปรารถนาเดียวในชีวิตของข้าหลี่มู่ ในเมื่อวันนั้นเกาเซี่ยงกงรับปากให้ข้าร้องขอในสิ่งที่ข้าต้องการได้ มาบัดนี้ถึงจะเป็นการไม่ประมาณตน ข้าก็ต้องลองดูสักครั้ง”
หยางเซวียนสั่นศีรษะไม่หยุด “จิ้งเฉิน ในวัยสวมหมวก เจ้าก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนพลจงหลางหู่เปินแล้ว ทอดสายตามองไปทั้งราชสำนักมีผู้ใดสามารถเทียบเคียงเจ้าได้ ด้วยความสามารถของเจ้า อนาคตข้างหน้า ต้องยาวไกลกว่าข้าแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้แม้แต่ฝ่าบาทยังให้ความสำคัญต่อเจ้าเพียงนี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องใจร้อนเช่นนี้ก็ได้! วันนั้นที่เกาเซี่ยงกงรับปากเจ้าต่อหน้าธารกำนัลก็เป็นเพียงคำพูดที่พูดไปโดยไม่ทันคิดในขณะนั้นเท่านั้น เรื่องอื่นยังพอพูดง่าย เรื่องนี้…เขาไม่มีทางรับปากแน่นอน เหตุใดเจ้ากลับเห็นเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจังเล่า!”
หลี่มู่บอก “ความมุ่งมาดปรารถนาที่ต้องการแต่งงานกับบุตรสาวเกาเซี่ยงกงของข้าเกิดขึ้นมานานแล้ว ในเมื่อมีโอกาสถ้าไม่ลองดูจะยอมล้มเลิกได้อย่างไร หากท่านขุนพลเห็นว่าลำบาก ข้าก็ไม่กล้าฝืนใจ ข้าขอตัวก่อน”
เขาคารวะแสดงการขอบคุณหยางเซวียน จากนั้นก็หมุนตัวจะเดินจากไป
ในเมื่อไม่อาจทำให้นายทหารที่ตนรักยอมล้มเลิกความคิดเหลวไหลนี้ไปได้ หยางเซวียนจะปล่อยให้หลี่มู่จากไปได้อย่างไร เขารีบก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ขวางหน้าหลี่มู่ไว้
“จิ้งเฉิน! หญิงสาวที่อ่อนหวานแช่มช้อยอ่อนโยนดีงาม ถือเป็นคู่ครองที่ดีของบุรุษ เรื่องนี้ข้าเข้าใจ! เพียงแต่ข้าได้ยินมาว่าสกุลเกากับสกุลลู่แต่ไรมาจะเกี่ยวดองกันด้วยการแต่งงาน ทั้งสองครอบครัวมีประสงค์จะให้บุตรหลานแต่งงานกันมานานแล้ว เวลานี้คิดว่าคงจะปรึกษาหารือเรื่องการแต่งงานเป็นที่เรียบร้อย ในเวลาเช่นนี้สกุลเกาจะทิ้งสกุลลู่ให้บุตรสาวมาแต่งกับเจ้าได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าเองก็คงรู้ ขุนนางกับสามัญชนแบ่งแยกกันอย่างเด็ดขาด ห่างไกลเกินกว่าเจ้าจะจินตนาการได้ คนที่มองตนว่าสูงส่งเหล่านั้น แม้แต่นั่งด้วยกันก็ยังไม่ยินดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องแต่งงานกันเลย ถึงบางครั้งจะมีขุนนางกับสามัญชนธรรมดาทั่วไปแต่งงานกัน ญาติมิตรของตระกูลขุนนางผู้นั้นก็จะเห็นเป็นเรื่องน่าอับอาย ตั้งแต่นั้นก็จะไม่ยอมไปมาหาสู่ด้วยอีก ด้วยความสูงศักดิ์ของสกุลเกาจะยอมลดฐานะตนเองลงได้อย่างไร”
หยางเซวียนโน้มน้าวนายทหารหนุ่มที่ตนรักใคร่เอ็นดู แต่กลายเป็นไปปลุกเร้าความคับแค้นใจที่สั่งสมอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของตนเองขึ้นมาเสียได้ จึงกล่าวด้วยความแค้นใจ “บรรพบุรุษของพวกเราสร้างคุณูปการมากมาย มีอะไรที่เทียบพวกเขาไม่ได้ เวลานี้บุตรหลานตระกูลขุนนางส่วนใหญ่เป็นพวกที่ไร้ความสามารถ บรรพบุรุษของพวกเขากลับอาศัยความยากลำบากของราชสำนักในการอพยพข้ามแม่น้ำลงใต้รวบเอาความดีความชอบเป็นของตน อาศัยความสูงศักดิ์ของตระกูลวางตนอยู่เหนือศีรษะพวกเรา เห็นคนเป็นดั่งตุ่นมดม้าวัว แล้วแต่จะเรียกใช้ ไม่เคยเห็นพวกเราอยู่ในสายตา”
เขากัดฟัน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง รออารมณ์ที่พลุ่งพล่านสงบลงแล้วก็กล่าวด้วยคำพูดที่มีความหมายลึกซึ้งเปี่ยมไปด้วยน้ำใสใจจริง “จิ้งเฉิน เจ้าฟังข้าสักคำ อย่าเห็นคำพูดในวันนั้นของเกาเซี่ยงกงเป็นเรื่องจริงจัง! ล้มเลิกความคิดนั้นเสีย ดีกว่าขอแต่งงานไม่สำเร็จแล้วยังต้องถูกคนสบประมาทเหยียดหยาม!”
ตอนหยางเซวียนพูดเกลี้ยกล่อม หลี่มู่ก็ฟังอยู่เงียบๆ มาโดยตลอด รอเขาพูดจบ จึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า “คำพูดที่ดีงามของท่านขุนพล ทุกคำล้วนมาจากความรักและหวังดี หลี่มู่ซาบซึ้งใจยิ่ง จะไม่ลืมเลือนตลอดชีวิต เพียงแต่ท่านขุนพลก็รู้ ข้าเป็นคนตื้นเขินโง่เขลา เมื่อมีความคิดที่มุ่งมั่นอยู่ในใจแล้ว ถ้าไม่ลองดูสักครั้งก็จะไม่ยินยอม ขอบคุณท่านขุนพลมาก หลี่มู่ขอลา!”
หยางเซวียนรู้ว่าหลี่มู่ยังไม่ล้มเลิกความคิดนี้ก็อับจนปัญญา เขาถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่งก่อนพูดว่า “เอาเถอะๆ ในเมื่อเจ้าขอร้องข้าเช่นนี้แล้ว ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างไร เพียงแต่เจ้าต้องรู้ไว้อย่าง เกาเซี่ยงกงอาจไม่ถือสาที่เจ้าล่วงเกิน ทั้งยินดีที่จะช่วยเจ้าปกปิดเป็นความลับ แต่โลกนี้ไม่มีกำแพงที่ลมลอดผ่านไม่ได้ เจ้าขอแต่งงานแล้วถูกปฏิเสธก็ช่างเถิด แต่วันหน้าย่อมยากหลีกเลี่ยงที่จะถูกผู้คนล่วงรู้และถูกหัวเราะเยาะ ยิ่งไปกว่านั้นทางซือถู เกรงว่าอาจจะระแวงสงสัยว่าเจ้าคิดจะแอบอิงเกาเซี่ยงกง อาจจะไม่ชอบใจ…”
หลี่มู่ยิ้มน้อยๆ “สิ่งที่ท่านกังวลก็มีเหตุผล เช่นนั้นรบกวนท่านขุนพลแจ้งเรื่องนี้ให้ซือถูทราบก่อน ถ้าซือถูเห็นว่าไม่เหมาะสม ข้าก็จะล้มเลิกความคิดนี้เสีย ไม่เอ่ยถึงอีกแม้ครึ่งคำ…เป็นอย่างไร”
หยางเซวียนเตือนแล้วเตือนอีกด้วยความหวังดี พยายามโน้มน้าวยิ่งยวด ในที่สุดก็เห็นหลี่มู่เริ่มคล้อยตามคำโน้มน้าวของตนบ้างแล้วก็ค่อยโล่งอก รีบบอก “ดียิ่งนัก! เช่นนั้นข้าจะแจ้งซือถูก่อน ถ้าไม่สำเร็จเจ้าก็อย่ายืนกรานในความคิดนี้ต่อไปอีก!”
หลี่มู่ประสานมือคารวะเขาอย่างนอบน้อม “ขอบคุณท่านขุนพล! หลี่มู่จะรอฟังข่าวจากท่านขุนพลอยู่ที่นี่!”
หยางเซวียนเกลี้ยกล่อมหลี่มู่ให้ล้มเลิกความคิดเลยเถิดที่เขาดูแล้วไม่มีทางเป็นความจริงได้ไม่สำเร็จ ที่รับปากไว้ก็ด้วยมาจากจิตใจที่รักและหวังดี
ในส่วนลึกของจิตใจ เขาเห็นหลี่มู่เป็นเหมือนลูกหลานมานานแล้ว เพียงกลัวหลี่มู่จะไปขอให้ผู้อื่นช่วย ถึงตอนนั้นเกิดพูดจาไม่เหมาะสมต่อหน้าเกาเฉียว กระทั่งไปตำหนิกล่าวโทษเกาเฉียวเข้า
ยิ่งไปกว่านั้นหลี่มู่ที่ปกติยามอยู่นอกสนามรบ แม้แต่ไรมาจะเป็นคนนิ่งเงียบพูดน้อย เปรียบกับคนในวัยเดียวกันแล้วดูสุขุมคัมภีรภาพกว่าไม่รู้เท่าไร แต่จะอย่างไรก็เป็นช่วงอายุที่จิตใจฮึกเหิมกำลังวังชาแข็งแกร่ง ท่าทีเปิดเผยตรงไปตรงมา ทั้งมาเจอเรื่องชายหญิงเช่นนี้ ถ้าเป็นเพราะอายุน้อยไม่รู้การควรไม่ควร ด้วยความหุนหันพลันแล่นหลับหูหลับตาไปเจรจาเรื่องแต่งงานด้วยตนเอง ถึงตอนนั้นเกิดหลี่มู่ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามต่อหน้า เขาเองก็คงไม่อาจทนดูได้ ด้วยไม่รู้จะทำอย่างแล้วสุดท้ายจึงจำต้องรับปาก
หยางเซวียนออกจากกระโจม มองกระโจมที่ตั้งอยู่ห่างออกไปแวบหนึ่ง ตอนนี้ในกระโจมหลังนั้นมีบุคคลสำคัญในราชสำนักหลายคนรวมตัวกันอยู่ หัวคิ้วเขาขมวดมุ่น ทางหนึ่งก็ครุ่นคิดว่าอีกสักครู่จะเอ่ยปากเช่นไร ทางหนึ่งก็เดินไป ครั้นเดินเข้ามาใกล้ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาจากด้านในกระโจมแต่ไกล
หัวหน้าตระกูลขุนนางชั้นสูงสุดของราชสำนักทั้งสามตระกูล เกาเฉียว สวี่มี่ อีกทั้งลู่กวงล้วนอยู่กันครบ คนที่หัวเราะเสียงก้องกังวานที่สุดก็คือสวี่มี่
หยางเซวียนมาถึงหน้าประตูกระโจม พูดกับทหารรักษาการณ์สองสามคำ
ทหารรักษาการณ์ผู้นั้นเข้าไปแล้ว ครู่หนึ่งม่านประตูกระโจมก็เลิกขึ้น สวี่มี่เดินออกมา ใบหน้าแดงระเรื่อไปด้วยฤทธิ์สุรา
หยางเซวียนก้าวเข้าไปคารวะเขา
สวี่มี่เมามายเล็กน้อย ถูกขัดจังหวะต้องออกมาเช่นนี้เขาก็ไม่ค่อยพอใจ ย่นหัวคิ้วถาม “มีเรื่องใด”
หยางเซวียนกล่าวอย่างนอบน้อม “เรียนซือถู ผู้น้อยมีเรื่องหนึ่งต้องแจ้งให้ซือถูทราบก่อน จึงได้ล่วงเกินเชิญซือถูออกมา ซือถูได้โปรดอภัย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลี่มู่”
“เขามีเรื่องอันใด”
ครานี้สีหน้าของหลี่มี่ค่อยผ่อนคลายลง
หยางเซวียนลังเลอยู่ชั่วขณะ แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ซือถูยังจำได้หรือไม่ขอรับ เมื่อหลายเดือนก่อนตอนเกาเซี่ยงกงไปเลี้ยงฉลองและปูนบำเหน็จกองทัพที่นอกเมืองตันหยาง ได้เคยรับปากหลี่มู่ บอกวันหน้าไม่ว่าเขาจะร้องขอสิ่งใดก็จะรับปากเขาทุกอย่าง”
สวี่มี่อืมออกมาคำหนึ่ง “อย่างไร เวลานี้เขามีเรื่องจะร้องขอแล้ว? เขาต้องการร้องขอสิ่งใด” น้ำเสียงเจือความไม่พอใจอยู่รำไร
“เรียนซือถู สิ่งที่หลี่มู่ร้องขอก็คือ…บุตรีของเกาเซี่ยงกง”
หยางเซวียนพูดอย่างระมัดระวัง เขาเหลือบตามองไปเห็นสีหน้าสวี่มี่ชะงักนิ่ง เห็นชัดว่าอีกฝ่ายประหลาดใจอย่างยิ่ง ครู่หนึ่งคล้ายเพิ่งได้สติกลับคืนมา ยิ้มหยันแล้วว่า “คนล้วนประจบและแอบอิงผู้มีอำนาจ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง! เพิ่งจะได้เป็นขุนพลจงหลางเล็กๆ คนหนึ่ง ถึงกับไม่เห็นคนในสายตาแล้ว เขาเข้าใจว่าได้ผูกสัมพันธ์กับสกุลเกาแล้วต่อไปภายหน้าไม่ว่าทำอะไรก็จะราบรื่นไปเสียทุกอย่างหรือ”
หยางเซวียนรีบบอก “ซือถูโปรดอย่าเข้าใจผิด! หลี่มู่ไม่ใช่คนที่เห็นผลประโยชน์ก็ลืมคุณธรรม ซือถูอุปถัมภ์ค้ำชูเขามาหลายปี เขามีหรือจะกล้าไม่สำนึกถึงบุญคุณ เขาเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่รู้จักหลักครองตนในสังคม บุตรีของเกาเซี่ยงกงผู้นั้นก็มีชื่อเสียงที่ดีงามมาโดยตลอด คนหนุ่มใฝ่ฝันหาขึ้นมาชั่วขณะ ควบคุมตนเองไม่ได้ก็มีให้เห็นอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อครู่เขาก็พูดเอง ทุกเรื่องล้วนฟังความเห็นจากซือถูก่อน ถ้าซือถูเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะ เขาก็ไม่กล้าฝ่าฝืนเป็นอันขาด ซือถูวางใจได้ ผู้น้อยทราบดีว่าควรให้คำตอบเขาอย่างไร ผู้น้อยจะกลับไปเดี๋ยวนี้ ไม่กล้ารบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของซือถูอีก”
หยางเซวียนค้อมตัวกล่าวลาแล้วจากไป
สวี่มี่มองจ้องเงาด้านหลังของหยางเซวียน จนเขาเดินออกไปได้หลายจั้งแล้ว ก็พลันเอ่ยปากเรียกเขาเอาไว้
หยางเซวียนรีบเดินกลับมา รอสวี่มี่เอ่ยปาก ผ่านไปครู่ใหญ่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไร เห็นเขาเพียงมองจ้องตน แววตาเปล่งประกายระยิบระยับเล็กน้อย ท่าทางเหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ ชั่วขณะนั้นตนก็อดกังวลใจขึ้นมาไม่ได้ ออกจะนึกเสียใจขึ้นมา
ไม่รู้เหตุใดเมื่อครู่ตนจึงยอมศิโรราบต่อผู้ใต้บังคับบัญชาหนุ่มผู้นั้นที่ดูจากอายุแล้วก็โตกว่าบุตรชายของตนไม่เท่าไร ถึงกับยอมอ่อนข้อให้ รับปากเรื่องที่ฟังดูแล้วเหลวไหลอย่างที่สุดนี้ได้
เรื่องนี้ทางที่ดีควรหยุดอยู่แค่ตน เดิมทีไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรให้สวี่มี่รู้เรื่อง
สวี่มี่เชี่ยวชาญการใช้คน แต่ใจคอค่อนข้างคับแคบ ติดตามเขามานานปีปานนี้หยางเซวียนย่อมรู้แก่ใจดี
“ซือถู…”
หยางเซวียนกำลังจะช่วยพูดแทนหลี่มู่สักหลายคำ กลับเห็นเขาโบกๆ มือ ค่อยๆ เผยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
สีหน้าดำคล้ำในช่วงก่อนหน้านี้เลือนหายไปหมด
“ป๋อสยง” สวี่มี่เรียกชื่อรองของหยางเซวียน น้ำเสียงใกล้ชิดสนิทสนม
“เมื่อครู่เป็นเพราะข้าขาดการไตร่ตรอง ในเมื่อหลี่มู่มีความคิดเช่นนี้ จิ่งเซินเองเมื่อก่อนก็เคยรับปากไว้ เจ้าเอ่ยปากแทนเขาก็แล้วกัน ไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดๆ”
หยางเซวียนงงงัน
“เลือกวันไม่สู้เอาวันนี้เลย จิ่งเซินก็อยู่ข้างใน ฉวยโอกาสที่วันนี้เขาเองก็กำลังดีใจ เจ้าตามข้ามา” พูดจบสวี่มี่ก็กวักมือ หมุนตัวจะเดินเข้าไปข้างใน
จู่ๆ ท่าทีของสวี่มี่ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก นี่กลับทำให้หยางเซวียนรับมือไม่ทัน เห็นเขากำลังเดินเข้าไปในกระโจม ไม่มีเวลาให้ใคร่ครวญอย่างละเอียดตนก็รีบเดินตามเข้าไป
“ขอบคุณซือถู เพียงแต่ผู้น้อยขอบังอาจพูด ซือถูได้โปรดอนุญาตให้ผู้น้อยบอกเกาเซี่ยงกงเป็นการส่วนตัวจะได้หรือไม่”
สวี่มี่หรี่ตา
“ก็ดี ตามข้ามาเถิด”
สวี่มี่เข้าไปข้างในแล้ว หยางเซวียนจำต้องแข็งใจเดินตามเข้าไป
ในกระโจมหลังใหญ่ตั้งโต๊ะจัดเลี้ยงเป็นวงอยู่เจ็ดแปดตัว เกาเฉียวอยู่ตรงกลาง ด้านขวามือคือผู่เซ่อฝ่ายซ้ายลู่กวง ที่นั่งถัดลงมาเป็นตูกวนซั่งซู จูจย่ง และคนอื่นๆ
โต๊ะด้านซ้ายมือของเกาเฉียวว่างอยู่ น่าจะเป็นที่นั่งของสวี่มี่เมื่อครู่ก่อน ทุกคนถือสุราพูดคุยยิ้มหัวกัน จูจย่งกำลังสรรเสริญลู่เจี่ยนจือบุตรชายคนโตของลู่กวงที่สร้างผลงานอย่างต่อเนื่องทั้งที่หลินอี้และเจียงเป่ย ทุกคนต่างก็คล้อยตาม
ลู่กวงย่อมเบิกบานใจ แต่กลับสั่นศีรษะติดๆ กัน เอ่ยปากถ่อมตนไม่หยุด กระทั่งเห็นสวี่มี่พาหยางเซวียนเข้ามา หลายคนต่างก็หันมามอง
หยางเซวียนเป็นขุนพลผู้ห้าวหาญอันดับหนึ่งในกองทัพของสวี่มี่ คนเหล่านี้ต่างรู้ดี เขาทำความเคารพทุกคนที่นั่งอยู่ในงานเลี้ยง เกาเฉียวพยักหน้ายิ้มน้อยๆ บอกเขาไม่ต้องมากมารยาท ลู่กวงยังไม่ได้ขยับ จูจย่งกับคนอื่นๆ เพียงมองไปที่สวี่มี่ จูจย่งบอกว่า “เมื่อครู่กำลังพูดถึงเรื่องเดือนหน้าเทศกาลฉงหยาง ต้องขึ้นที่สูง เหตุใดท่านไม่อยู่ฟังเสียเล่า”
สวี่มี่ยิ้มบอก “ป๋อสยงมาหาข้า บอกมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งอยากจะขอพบจิ่งเซิง เมื่อครู่ทุกท่านคงดื่มสนุกสนานกันพอสมควรแล้ว เก็บไว้ฉลองกองทัพคืนนี้บ้างเป็นอย่างไร”
ในเมื่อสวี่มี่เอ่ยปากเช่นนี้แล้ว คนอื่นที่เหลือย่อมไม่รั้งอยู่ต่อ เพียงมองหยางเซวียนแวบหนึ่งแล้วพากันลุกขึ้น
เกาเฉียวกล่าวลากับลู่กวงและคนอื่นแล้วก็กลับมานั่งที่ เรียกหยางเซวียนเข้ามานั่ง
หยางเซวียนย่อมไม่กล้าวางท่าทางใหญ่โต ยังคงยืนอยู่ที่นั่นและทำความเคารพอย่างนอบน้อม “ขอบคุณเซี่ยงกง ผู้น้อยยืนพูดก็ดีแล้วขอรับ”
เกาเฉียวเห็นเขาไม่นั่งก็ไม่ฝืนใจ
“เมื่อครู่ซือถูบอกเจ้ามีเรื่องสำคัญจะพบข้า มีเรื่องอันใดหรือ”
“เซี่ยงกงยังจำเรื่องที่เมื่อก่อนเคยรับปากหลี่มู่ไว้ได้หรือไม่ขอรับ วันนี้หลี่มู่มาหาผู้น้อย บอกมีเรื่องจะขอจากเซี่ยงกง…”
หยางเซวียนออกจะไม่กล้ามองสบตาเกาเฉียว ได้แต่พูดอย่างอึกๆ อักๆ
เกาเฉียวตระหนักรู้ขึ้นมาในฉับพลัน ตบหน้าผากตนเองเบาๆ ยิ้มแล้วบอก “จะลืมได้อย่างไรกัน นับว่าเขานึกออกแล้ว เขามีเรื่องอันใดหรือ”
“เรียนเซี่ยงกง เรื่องที่หลี่มู่ร้องขอก็คือ…”
ยามที่หยางเซวียนอยู่ในสนามรบ เขามีท่าทีองอาจห้าวหาญยากจะหาใครเทียบได้ แม้ต้องเผชิญกับข้าศึกนับพันนับหมื่นสีหน้าก็ไม่แปรเปลี่ยน แต่เวลานี้ต้องเผชิญหน้ากับสายตาแฝงรอยยิ้มของเกาเฉียวที่มองมา ส่วนลึกในใจของเขากลับรู้สึกหวั่นหวาด ถึงกับไม่กล้าเอ่ยคำพูดไม่กี่คำนั้นออกมาจากปาก
เกาเฉียวเห็นพักใหญ่แล้วเขาก็ยังไม่พูดต่อ ดวงตาหลบๆ เลี่ยงๆ หน้าผากกลับค่อยๆ มีเม็ดเหงื่อหยดลงมาไม่ขาดสาย ตนหรี่ตามองอยู่แวบหนึ่ง ในใจอดนึกฉงนไม่ได้ จึงยิ้มแล้วบอก “เขาร้องขอด้วยเรื่องอันใด พูดออกมาเถิด”
มาถึงขั้นนี้แล้วควรพูดหรือไม่ก็ได้แต่ต้องพูดออกมาแล้ว
“เรื่องที่หลี่มู่ร้องขอก็คือ…ต้องการแต่งงานกับบุตรีของเซี่ยงกง…”
หยางเซวียนกัดฟัน ในที่สุดก็เอ่ยคำพูดไม่กี่ประโยคที่เก็บซ่อนอยู่โคนลิ้นพลิกไปพลิกมาหลายครั้งออกมาสำเร็จ
เดือนแปดแม้จะผ่านช่วงเริ่มต้นของฤดูใบไม้ร่วงมาแล้ว แต่ดวงอาทิตย์ยังคงร้อนแผดเผาทุกวัน ในกระโจมยังคงร้อนอบอ้าว
เมื่อครู่ก่อนเกาเฉียวดื่มสุราลงไปสองจอก โคนลิ้นรู้สึกร้อนผ่าวเล็กน้อยจึงยกกาน้ำชาที่มีหูหิ้วบนโต๊ะ มารินลงในถ้วยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
พอได้ยินคำพูดเหล่านี้มือเขาพลันสั่น รอยยิ้มมุมปากชะงักค้าง มือข้างนั้นก็นิ่งค้างอยู่กลางอากาศ
เกาเฉียวเลิกเปลือกตาขึ้น มองหยางเซวียนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง เห็นเหงื่อที่หน้าผากเขาเปียกชุ่ม ทั้งร่างประหนึ่งเพิ่งช้อนขึ้นมาจากในหม้อ เกาเฉียวก็ค่อยๆ วางกาน้ำชาในมือลง
“ขุนพลหยาง เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหลี่มู่ต้องการจะขอแต่งงานกับบุตรสาวของข้าเช่นนั้นหรือ”
เขาย้อนถามอย่างเน้นย้ำทีละคำ น้ำเสียงในช่วงท้ายสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็อำพรางความรู้สึกไว้เป็นอย่างดี นอกจากสีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึมแล้วก็มองไม่ออกว่าพอใจหรือไม่พอใจกันแน่
หยางเซวียนเห็นสภาพการณ์แล้วจึงค่อยผ่อนคลายลงบ้าง รีบบอก “เซี่ยงกงวางใจ ผู้น้อยก็ทราบดีว่าเรื่องนี้เหลวไหล กลับไปจะพูดคุยกับเขาให้ดีอีกครั้ง จะต้องให้เขาล้มเลิกความคิดนี้เสีย!”
มือข้างนั้นของเกาเฉียวคลายจากหูหิ้วทองแดงของกาน้ำชาช้าๆ จัดเสื้อผ้าแล้วขยับนั่งตัวตรง ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
“หลี่มู่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้น้อยมาหลายปี เขาไม่ใช่คนที่ทำดีเพื่อหวังสิ่งตอบแทน ครั้งนี้ก็เป็นเพราะเขาอายุยังน้อยไม่รู้การควรไม่ควร ยิ่งไม่รู้ในหลักการครองตนจึงได้มีความคิดไม่สมควรเช่นนี้ เชื่อว่าเขาคงไม่ได้คิดที่จะล่วงเกิน หวังว่าเซี่ยงกงจะไม่ตำหนิเขา”
หยางเซวียนกล่าวอย่างระมัดระวัง
เกาเฉียวยังคงนิ่งเงียบ
“เซี่ยงกงมีตำแหน่งฐานะสูงส่ง งานยุ่งไม่มีเวลาแม้จะนั่งให้นานหน่อย เดิมผู้น้อยก็ไม่ควรเอาเรื่องเหลวไหลเช่นนี้มารบกวนเซี่ยงกง เซี่ยงกงโปรดอย่าได้ใส่ใจ ผู้น้อยจะไปตอบหลี่มู่เดี๋ยวนี้ ผู้น้อยขอตัวก่อน”
หยางเซวียนทำความเคารพเกาเฉียวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะอย่างนอบน้อม เขาก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วหมุนตัวจะจากไป
“ขุนพลหยาง!”
หยางเซวียนเดินมาถึงหน้าประตูกระโจมก็พลันได้ยินเกาเฉียวร้องเรียกตนจากทางด้านหลัง
เกาเฉียวเหลือบตาขึ้นช้าๆ ดวงตาทั้งสองมองมาที่หยางเซวียน กล่าวเสียงราบเรียบ
“เจ้ากลับไปแล้ว ยังไม่ต้องพูดอะไรกับหลี่มู่มากนัก เรื่องนี้ให้ข้าไตร่ตรองดูก่อน แล้วค่อยให้คำตอบ”
หยางเซวียนออกจะตื่นตะลึงไม่น้อย เขางุนงงอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็บอกอย่างนอบน้อม “น้อมรับคำสั่งเซี่ยงกง ผู้น้อยขอตัวก่อน”
เกาเฉียวไม่ได้เอ่ยปากอีก รอหยางเซวียนออกไปแล้วจึงค่อยๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวดุจหิมะที่พกติดตัวอยู่ออกมาซับเหงื่อที่ซึมออกมาจากหน้าผาก
นัยน์ตาทั้งสองมองตรงไปยังทิศทางที่หยางเซวียนเดินจากไป แววตาจับนิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอื้อมมือไปยกกาน้ำชาที่วางลงไปเมื่อครู่ขึ้นมาอีกครั้ง แล้วรินน้ำชาลงไปในถ้วย คล้ายทำไปตามสัญชาตญาณ
น้ำชาไหลโกรกจากพวยกาไหลลงในถ้วยไม่หยุด ค่อยๆ ไหลจนเต็มถ้วย เขาอยู่นิ่งไม่ขยับ มือข้างที่ถือกาน้ำชายังคงไม่วางลง
น้ำชาล้นจากปากถ้วยค่อยๆ ไหลนองลงไปบนโต๊ะ เปียกชายแขนเสื้อที่ห้อยลงมาของเขาเป็นวงกว้างไปแถบหนึ่ง เขากลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงของเกาหวนที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นที่ด้านนอกกระโจม “ท่านลุงอยู่ข้างในหรือไม่”
เกาเฉียวสะดุ้งพลันตื่นจากภวังค์ ตกใจที่เห็นว่าตนเองคุมสติไม่อยู่ เขารีบวางกาน้ำชาลง ก้มหน้าลงเช็ดแขนเสื้อกับคราบน้ำบนโต๊ะมือไม้พันกันยุ่ง
“ท่านลุง!”
เกาหวนก้าวยาวๆ เข้ามา ทำความเคารพเกาเฉียวที่นั่งอยู่
วันนี้ทัพใหญ่เคลื่อนตัวจากเจียงเป่ยมาถึงเมืองเจี้ยนคัง ฮ่องเต้เสด็จออกจากเมืองมาต้อนรับปูนบำเหน็จด้วยองค์เอง เรื่องนี้ครึกโครมไปทั้งเมือง เรื่องยิ่งใหญ่ยากจะพบเจอเช่นนี้เขาจะไม่มาได้อย่างไร ยามนี้ทั่วทั้งร่างยังจมอยู่กับความรู้สึกตื่นเต้นและตื่นตะลึงในพิธีการอันยิ่งใหญ่ช่วงก่อนหน้านี้ ดวงตาทั้งสองเปล่งประกายระยิบระยับ
เกาเฉียวสงบจิตใจ ซุกซ่อนชายแขนเสื้อที่เปียกน้ำชาไว้อย่างแนบเนียน นั่งตัวตรง กวาดตามองหลานชายที่ไม่ได้พบกันมาหลายเดือนวูบหนึ่ง ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ “จื่อเล่อ ทุกคนในบ้านสบายดีหรือ”
“สบายดีขอรับ! อาเจี่ยก่อนหน้านี้ไปกับท่านป้า พักอยู่ที่เรือนรับรองมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันหลานได้รับจดหมายจากท่านลุง รู้ว่าวันนี้ท่านลุงจะกลับเข้าเมืองจึงไปรับคนมา ไม่เพียงอาเจี่ย แม้แต่ท่านป้าก็กลับมาบ้านด้วยกันขอรับ!”
เกาเฉียวอมยิ้มพยักหน้า “ดีมาก จัดการเรื่องทางนี้เสร็จแล้วคืนนี้ข้าก็จะกลับไป เจ้ามาพบข้ามีเรื่องอันใดหรือไม่”
“ท่านลุง หลานมีเรื่องจะขอร้อง ขอท่านลุงโปรดอนุญาต”
“เจ้าพูดมา”
“เวลานี้สงครามสงบลงแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลฉงหยาง หลานคิดจะจัดงานเลี้ยงในบ้าน ถึงตอนนั้นก็เชิญพวกลู่ต้าซยงมาชมดอกเบญจมาศ แล้วเชิญหลี่มู่มาร่วมงานเลี้ยง ถ้าท่านลุงเห็นว่าเหมาะสม หลานก็จะไปเชื้อเชิญพวกเขาเดี๋ยวนี้จะได้เตรียมตัวแต่เนิ่นๆ!”
เกาหวนกล่าวจบก็มองเกาเฉียวด้วยดวงตาที่เฝ้ารอคอย
แววตาเกาเฉียววูบไหวเล็กน้อย เอ่ยเสียงราบเรียบ “ช่างเถิด ไม่ต้องหรอก”
เกาหวนตะลึงงัน
ในความคิดของเกาหวน ด้วยคุณูปการด้านการทหารของหลี่มู่ในวันนี้ ขอเพียงครอบครัวของตนเชิญเขามาเป็นแขกที่บ้าน พอข่าวแพร่กระจายออกไป ไม่ว่าชื่อเสียงบารมีหรือฐานะทางสังคมของเขาจะต้องพุ่งสูงขึ้นอย่างแน่นอน
นี่ก็เป็นวิธีตอบแทนที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งที่เขาคิดออกมาได้
เดิมเขาเข้าใจว่าเกาเฉียวต้องเห็นด้วยกับเรื่องนี้แน่นอน แต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องเช่นนี้ยังคงต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้เป็นเจ้าบ้านก่อน ดังนั้นรอถึงวันนี้เขาจึงได้เร่งรุดมาหาอย่างอดใจรอต่อไปไม่ไหว
ที่เขาคิดไม่ถึงก็คือเกาเฉียวถึงกับปฏิเสธข้อเสนอนี้ของตน
“ท่านลุง!” เกาหวนร้อนใจแล้ว “เขามีบุญคุณช่วยชีวิตหลานไว้! ก็แค่เชิญเขามาเป็นแขกที่บ้านเท่านั้น…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ตกลงตามนี้เถิด”
เกาเฉียวตัดบทหลานชาย ในน้ำเสียงเจือความเฉียบขาดห้ามต่อรองใดๆ
“หลี่มู่มีบุญคุณต่อสกุลเกาเรา ลุงย่อมต้องตอบแทนเขา เวลานี้ทัพใหญ่เพิ่งกลับมาถึง เรื่องมากมายยังสับสนยุ่งเหยิง เรื่องเหล่านี้วันหน้าค่อยว่ากันเถิด ถ้าเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็อย่าอยู่ที่นี่นาน รีบกลับเข้าเมืองไป!”
เกาหวนไม่เข้าใจจริงๆ ท่านลุงที่ให้ความสำคัญกับหลี่มู่อย่างมากมาโดยตลอด เพราะเหตุใดจึงปฏิเสธสิ่งที่สำหรับสกุลเกาแล้วถือเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง แต่สำหรับหลี่มู่นั้นอาจจะเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้เขาสามารถก้าวเข้าสู่การคบค้าสมาคมกับตระกูลขุนนางในเมืองเจี้ยนคังได้อย่างราบรื่น
“ท่านลุง…ตอนนั้นท่านไม่ใช่ยังรับปากต่อหน้าธารกำนัลว่าจะตอบแทนเขาหรือ มาบัดนี้เพราะเหตุใดกลับ…” เกาหวนออกจะไม่ยินยอม บ่นพึมพำเสียงเบา
“จื่อเล่อ ต่อไปเจ้าไปมาหาสู่กับเขาให้น้อยลงหน่อย” เกาเฉียวเอ่ยขึ้น
เกาหวนตกตะลึงอย่างที่สุด “เพราะเหตุใด”
เกาเฉียวสีหน้านิ่งขรึม สายตาที่มองเกาหวนเยียบเย็นดุจน้ำค้างแข็ง
เกาหวนลังเลอยู่ชั่วขณะ ไม่กล้าฝ่าฝืนต่อต้านเบื้องหน้าอีก กลืนความฉงนสนเท่ห์และความไม่พอใจที่มีอยู่เต็มอกกลับลงไป ทำความเคารพเกาเฉียว แล้วหมุนตัวเดินจากไปด้วยท่าทางไม่พอใจ
หลังจากเกาหวนไปแล้ว เกาเฉียวนั่งอยู่ที่นั่นก็เริ่มใจลอย หัวคิ้วค่อยๆ ขยับเข้าหากัน เงาร่างไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว คล้ายเข้าฌานไปแล้ว
รวมคำเรียกต่างๆ ภายในเรื่อง
คำเรียก ความหมาย
อาเหยีย “บิดา”
อาเหนียง / อาหมู่ “มารดา”
ต้าซยง “พี่ใหญ่”
อาซยง “พี่ชาย”
อาเจี่ย “พี่สาว”
อาเม่ย “น้องสาว”
อาตี้ “น้องชาย”
อาเส่า “พี่สะใภ้”
อาจยา “แม่สามี”
หลางจวิน คำที่ภรรยาใช้เรียกสามี และใช้เรียกชายหนุ่มทั่วไปในเชิงยกย่อง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 พ.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.