ทดลองอ่าน – บทที่ 10
เมื่อมาถึงลานเรือนเล็กๆ ของสกุลหลู หลูซื่อปล่อยมือนางแล้วไปเปิดประตู นางถึงหันเหความสนใจไปมองแม่ลูกสกุลหวังที่ติดตามมา เพียงปราดแรกก็ทำให้นางใจสั่นวูบหนึ่ง นางมองไปทางหลี่เสี่ยวเหมยที่ถูกหวังซื่อจูงมืออยู่ข้างตัว เห็นอีกฝ่ายยืนอยู่กลางกลุ่มคนด้วยหน้าตาขาวซีดแฝงรอยร้อนรนอยู่ในที พอประสานสายตากับนางยังหลบตาอย่างลุกลน
พอเห็นหญิงวัยกลางคนสองคนเดินลิ่วๆ ตามหลูซื่อเข้าไปในเรือนของตนเอง หางตาชำเลืองเห็นสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องของหวังซื่ออีกครา ห้วงสมองของอี๋อวี้อึงอลว่างเปล่าไปกะทันหัน ในปากขมปร่า ถ้าขณะนี้ยังไม่แจ่มแจ้งอีกว่าหวังซื่อวางแผนการใดไว้ในใจ ก็เสียทีที่นางอยู่มาสองภพสองชาติแล้ว เพียงแค่ว่าสุดท้ายนางยังคงรู้ช้าไปหนึ่งก้าว หญิงวัยกลางคนสองคนที่เพิ่งเข้าไป ชั่วครู่เดียวก็ย้อนกลับออกมา
หนึ่งในนั้นเป็นสตรีหน้ายาวเดินนำอยู่ข้างหน้าชูแขนข้างหนึ่งขึ้น มีเชือกสีแดงเส้นหนึ่งห้อยอยู่ที่ปลายนิ้ว ใต้ลายถักเชือกงามประณีตเป็นหยกพกรูปมัจฉาคู่เด่นสะดุดตา ภายในลานเรือนสกุลหลูพลันบังเกิดเสียงผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ดังระเบ็งเซ็งแซ่ขึ้น สายตาของชาวบ้านที่มองไปทางหลูซื่อปราศจากความเคลือบแคลงใดๆ อีก หากเปี่ยมไปด้วยแววตำหนิติเตียนและเหยียดหยามอย่างโจ่งแจ้ง
อี๋อวี้เหลือบตาขึ้นมองเห็นหลูซื่อทำหน้าตะลึงพรึงเพริดอยู่ตรงหน้าประตู รีบก้าวเข้าไปยกมือกระตุกแขนนาง หวังซื่อกลับเอ่ยปากขึ้นในเวลานี้
“หลูเอ้อร์เหนียง ตอนนี้เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก”
หลูซื่อไม่เอื้อนเอ่ยคำใด เอาแต่จ้องมองหยกพกชิ้นนั้นด้วยแววตาเหลือเชื่อ
“ฮึ พูดไม่ออกแล้วกระมัง ข้าจะบอกเจ้าให้นะ เจ้าไม่ต้องใช้อุบายซับซ้อนยอกย้อนพรรค์อย่างนั้นหรอก เรื่องนี้ใช่ว่าเจ้าบอกว่าเปลี่ยนใจแล้วก็จบเรื่อง นายท่านจางมิใช่ผู้ที่สตรีอย่างเจ้าจะลวงหลอกได้ เขาบอกเป็นมั่นเหมาะแล้วว่าก่อนถึงกลางฤดูใบไม้ผลิจะมารับตัวเจ้าไป เจ้าก็อยู่ในเรือนรอออกเรือนเถอะ”
ถ้อยคำของนางได้ยืนยันการคาดเดาของอี๋อวี้แล้วโดยสิ้นเชิง การกระทำคราวนี้ของหวังซื่อมิใช่เพื่อโยนข้อกล่าวหาให้หลูซื่อ แต่จะอาศัยสิ่งนี้บีบหลูซื่อให้ไปเป็นภรรยาคนที่สองของนายตำบลผู้นั้น
บัดนี้ชาวบ้านล้วนเชื่อถือคำพูดของหวังซื่ออย่างไร้ข้อกังขา ทั้งเป็นสถานการณ์ที่มีพยานและหลักฐานแน่นหนา มาตรว่าชาวชนบทในยุคนี้ไม่ยึดถือจารีตอย่างเคร่งครัด แต่ไม่มีทางกระทำเรื่องถอนหมั้นเด็ดขาด โดยเฉพาะเมื่อมีแม่สื่อพูดคุยทาบทามอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม อีกทั้งฝ่ายหญิงรับของแทนใจมาแล้ว ถึงแม้ไม่มีหกพิธี แบบตระกูลใหญ่ ฝ่ายหญิงจะถูกนับว่าเป็นคนของฝ่ายชายไปแล้ว ถ้าอยากเปลี่ยนใจกะทันหัน ตระกูลของฝ่ายหญิงต้องมีอำนาจบารมีอยู่บ้าง แต่หากเป็นสามัญชนอย่างหลูซื่อยืนกรานจะถอนหมั้น ฝ่ายชายสามารถตรงมาที่เรือนจับมัดพาตัวไปได้เลยโดยไม่ผิดอาญาบ้านเมือง
“เจ้าพูดเหลวไหล ข้าไม่ได้ตอบตกลง แล้วข้าก็ไม่ได้รับของแทนใจด้วย! ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยเห็นของชิ้นนี้มาก่อน เสี่ยวเหมย เป็นเจ้าใช่หรือไม่ เป็นเจ้าเอามาซ่อนไว้ตอนมาที่เรือนข้าเมื่อหลายวันก่อน”
ในที่สุดหลูซื่อก็กระจ่างแจ้งในสถานการณ์ของตนเองแล้ว ก่อนที่ทุกคนจะแสดงปฏิกิริยาใด นางวิ่งเข้าไปหาหลี่เสี่ยวเหมยด้วยสีหน้าท่าทางพลุ่งพล่าน กุมหัวไหล่ของเด็กน้อยไว้แน่นๆ แล้วเริ่มเขย่าตัวอีกฝ่าย
หลี่เสี่ยวเหมยถูกจับตัวหมับ ซ้ำหลูซื่อยังบีบมือแรงจนนางเจ็บ ประกอบกับรู้สึกผิดในใจอยู่แล้ว ทำให้นางร้องไห้ทันที ในเวลานี้ชาวบ้านพากันขยับตัวเข้าไปดึงตัวหลูซื่อออกมาอย่างรวดเร็ว
ส่วนอี๋อวี้นั้นคิดตรงกับมารดา ก่อนที่จะเห็นหยกพกชิ้นนั้น นางนึกถึงเรื่องที่วันก่อนหลี่เสี่ยวเหมยมาที่เรือนอ้างว่าจะส่งหลูจื้อออกเดินทาง ดูทีว่านางคงเอาของวางไว้ที่นี่ในตอนนั้น
ยามนี้หลูซื่อกำลังคลุ้มคลั่งจึงออกเรี่ยวแรงเต็มที่ ต้องสตรีสี่ห้าคนถึงดึงตัวนางออกมาได้อย่างทุลักทุเล อี๋อวี้เห็นอาการของมารดาแล้วฝืนข่มความปวดร้าวและเป็นห่วงในใจ สูดลมหายใจลึกๆ แล้วโผเข้าไปซบตัวหลูซื่อ ปากก็ตะโกนร้องไห้
“ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไป เสี่ยวอวี้กลัวเจ้าค่ะ”
เสียงร้องไห้ไม่หยุดดึงสติของหลูซื่อคืนมา นางเลิกดิ้นขัดขืนและหยุดร้องเสียงแหลมโดยพลัน ยกมือโอบกอดอี๋อวี้ไว้แล้วคุกเข่ากับพื้น ซบหน้าบนบ่าผอมบางของบุตรสาวแล้วเริ่มสะอื้นไห้เบาๆ
สองแม่ลูกกอดกันกลมร่ำไห้ เมื่อชาวบ้านทั้งหมายเห็นพวกนางเป็นเช่นนี้ จะทำอะไรต่อไปก็ใช่ที่ ต่อให้เวลานี้พวกนางรังเกียจเดียดฉันท์หลูซื่อ ก็ไม่มีใครเดินเข้าไปทำร้ายจิตใจคนทั้งสองอีก
ด้านหวังซื่อเห็นว่าบรรลุเป้าหมายแล้วจูงบุตรสาวกลับเรือน กลุ่มคนในลานเรือนถึงทยอยแยกย้ายกันไป คนสุดท้ายที่ออกไปคือหนิวซื่อ นางไม่มีท่าทางสนิทสนมกับหลูซื่อดังเช่นที่ผ่านมา แต่อาจเพราะเห็นแก่มิตรภาพในหนหลัง นางจึงสาวเท้าเดินไปตรงหน้าสองแม่ลูกและกล่าวขึ้น
“เอ้อร์เหนียง เจ้าไม่สมควรทำเรื่องนี้เลย เดิมทีหญิงม่ายออกเรือนใหม่ก็ไม่ผิดอะไร ข้าเพียงนึกว่าเจ้ามิได้ตอบรับ คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับก่อเรื่องถอนหมั้นเยี่ยงนี้ได้ เจ้าสงบสติอารมณ์ไตร่ตรองดู เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว พอถึงวันที่นายท่านจางมารับตัว หากเจ้าอยากอยู่อย่างสุขสบายขึ้นบ้างในวันหน้า ก็ยอมอ่อนโอนผ่อนตามจะดีกว่านะ” พูดจบแล้วก็กลับไป
หลูซื่อฟังคำพูดของคนใกล้ชิดเพียงคนเดียวตลอดที่ผ่านมาจบ สุดจะประคองตัวไว้ได้อีก นางล้มคว่ำลงข้างกายบุตรสาวแล้วสิ้นสติไป
หลูซื่อฟื้นขึ้นมาอีกทีเป็นยามพลบค่ำแล้ว ในอ่างไฟข้างเตียงมีถ่านไม้ลุกไหม้อยู่ นางนอนอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นผ่าวๆ จวบจนกลิ่นหอมลอยมากระทบปลายจมูกระลอกหนึ่ง ถึงยันตัวขึ้นพิงหัวเตียงอย่างงุ่มง่าม นางช้อนตาขึ้นมองเห็นอี๋อวี้ถือชามใบหนึ่งส่งควันฉุย เลิกม่านเดินเข้ามาจากห้องโถง พอเห็นนางตื่นแล้ว ดวงหน้าน้อยๆ มีรอยยิ้มยินดีปรากฏขึ้นทันใด พร้อมกับก้าวเท้าฉับๆ เข้ามาหา
หลูซื่ออาศัยแสงไฟแลมองใบหน้าสดใสน่ารักของบุตรสาว เพียงรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ประหนึ่งอยู่กลางห้วงฝันอันยาวนาน ในนั้นเต็มไปด้วยสายตาติเตียนของผู้อื่น นางถูกทุกคนคาดคั้นจนอับจนวาจา ได้แต่ซมซานหลบหนี
“ท่านแม่ ตื่นแล้วหรือ กินโจ๊กสักนิดก่อนนะเจ้าคะ” อี๋อวี้ใช้สองมือประคองชามโจ๊กร้อนๆ ยกไปตรงหน้ามารดา
หลูซื่อรู้สึกหิวจนท้องร้อง นางรับชามมาพลางกล่าว “อวี้เอ๋อร์ เจ้าคงไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้แม่ฝันร้ายจนเกือบไม่ตื่นขึ้นมาแล้ว”
อี๋อวี้หน้าเสีย อ้าปากแต่เปล่งเสียงใดไม่ออก นางก้มหน้ารอหลูซื่อกินโจ๊กหมดแล้วส่งชามให้ ถึงกล่าวเสียงเอื่อยๆ “ท่านแม่ ยังอยากนอนต่อไหมเจ้าคะ”
หลูซื่อส่ายหน้าอย่างงุนงง นางมองสีท้องฟ้าด้านนอกแล้วกล่าว “ข้ายิ่งแก่ตัวยิ่งไม่ได้ความจริงๆ ถึงกับนอนหลับตอนกลางวันเสียได้”
อี๋อวี้กัดริมฝีปากวางชามลงด้านข้าง รู้สึกปั่นป่วนในอกระลอกหนึ่ง นางรู้ว่าหลูซื่อกำลังหลบหนีความจริงตามจิตใต้สำนึก ถ้าทำได้นางก็ไม่อยากเปิดโปง แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ในยามนี้แล้ว นางจำต้องนั่งลงข้างเตียง ทำใจแข็งเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ ถ้าท่านพักผ่อนพอแล้ว พวกเรามาปรึกษากันว่าตอนนี้จะทำเช่นไรกันเถอะเจ้าค่ะ”
“ปรึกษาอะไรหรือ” หลูซื่อฟังนางพูดแล้วคลับคล้ายคิดอะไรขึ้นได้ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปน้อยๆ แต่ยังคงถามขึ้นอย่างมีความหวังรำไร
“ท่านแม่ ท่าน…ท่านจำเรื่องเมื่อกลางวันไม่ได้แล้วหรือ”
ครั้นคำถามนี้ดังขึ้น เป็นเรื่องยากที่หลูซื่อจะโน้มน้าวใจตนเองต่อไปอีกว่าทั้งหมดล้วนเป็นความฝัน นางหลับตาลงแล้วล้มตัวไปด้านหลัง
อี๋อวี้สะดุ้งตกใจกับกิริยาอาการของมารดา นึกว่านางหมดสติไปอีก ลุกลนจะเข้าไปประคองกลับถูกหลูซื่อยกมือปัดออก
“ขอแม่ตรองดูก่อน” หลูซื่อทิ้งตัวลงนอนหงายหลังบนเตียงดุจดอกไม้ร่วงโรย ดวงตาทั้งคู่จับอยู่ที่เพดานนิ่งๆ อย่างเลื่อนลอย ดูไม่ออกว่านางคิดอะไรอยู่
อี๋อวี้อยากจะพูดกล่อม แต่รู้ว่านอกจากหลูซื่อคิดตกได้เองแล้ว นางพูดมากแค่ไหนก็ป่วยการ มิสู้ให้เวลามารดาทำใจยอมรับสภาพการณ์นี้ให้ได้ พวกนางค่อยหารือแผนการรับมือดีๆ อีกที
ขณะนี้ในใจนางก็อึดอัดกลัดกลุ้ม ตอนไปส่งพี่ชายสองคนออกเดินทางตอนรุ่งสาง แม้จะโศกเศร้าที่ต้องจากกันแต่ยังระคนด้วยความปีติยินดี คิดไม่ถึงว่าชั่ววันเดียว จะประสบกับเภทภัยที่ไม่คาดฝันแบบนี้ สิ่งต่างๆ ที่หวังซื่อทำในวันนี้ ตอนแรกนางยังมองไม่ทะลุปรุโปร่ง กว่าจะคิดได้กระจ่างก็ปล่อยให้อีกฝ่ายงัดพยานหลักฐานมามัดตัวจนดิ้นไม่หลุดแล้ว ส่งผลให้หลูซื่อทนรับความสะเทือนใจไม่ไหวจนเป็นลมไป
นายตำบลจางคนนั้นเป็นผู้มีอิทธิพลของถิ่นนี้จริงๆ ลำพังแค่น้องชายของอนุภรรยาของเขายังกระทำเรื่องฉุดคร่าหญิงสาวชาวบ้านได้ เห็นทีว่าเขาคงมิใช่คนดิบดีไปกว่ากันเท่าไหร่ ยิ่งได้ยินทุกๆ ถ้อยคำของหวังซื่อที่ล้วนบ่งบอกว่านางกับอาหญิงของนางได้ร่วมมือกันขายมารดานางไปแล้ว อีกทั้งดูท่าทางนายตำบลจางนั่นก็หมายมั่นปั้นมือจะรับมารดานางเป็นภรรยาคนที่สองด้วย
ตั้งแต่หลูซื่อหมดสติไปจนขณะนี้ จากที่ร้อนรุ่มใจในทีแรก ต่อมานางเยือกเย็นลงจนคิดหาวิธีได้หลายวิธี แต่มีข้อแม้ว่านายตำบลจางจะต้องไม่รู้เห็นกับเรื่องนี้ เพราะถ้าเขาเกี่ยวข้องกับแผนการร้ายของหวังซื่อกับอาหญิงหวัง พวกนางสองแม่ลูกก็เหลือหนทางแค่สายเดียวแล้ว
ระหว่างที่หลูซื่อกับอี๋อวี้ต่างคนต่างจมอยู่ในภวังค์ความคิด เสียงเคาะประตูแผ่วๆ พลันดังขึ้น อี๋อวี้มองหลูซื่อที่ไม่ขยับตัวแล้วลอบถอนใจ นางลุกขึ้นไปเปิดประตูด้วยความอยากรู้เหมือนกันว่าในเวลานี้ยังมีใครมาหาอีก
ประตูเปิดออกครึ่งหนึ่ง ใบหน้าของอี๋อวี้ก็ขึงตึงกะทันหัน นางเขม้นมองผู้ที่มาอย่างเย็นชาพร้อมพูด “เจ้ามาที่เรือนข้าอีกทำไม”
ผู้มาเยือนคือหลี่เสี่ยวเหมย บุตรสาวของหวังซื่อนั่นเอง อี๋อวี้เคยนับเด็กหญิงผู้นี้เป็นสหาย แต่หลังจากค้นเจอหยกพกชิ้นนั้นในเรือน นางยากจะให้อภัยอีกฝ่ายได้อีก
“เสี่ยวอวี้ เจ้า…เจ้าให้ข้าเข้าไปก่อนได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องจะบอกให้เจ้าฟัง” ดวงหน้าของหลี่เสี่ยวเหมยทอแววรู้สึกผิดฉายชัด ถึงอี๋อวี้จะรู้สึกดีขึ้น แต่ยังไม่อาจทำสีหน้าเป็นมิตรกับอีกฝ่ายได้
“เจ้ามีอะไรก็รีบพูดมาโดยไว ข้าไม่อยากให้เจ้าเข้าเรือนข้าหนหนึ่งแล้วมีของแทนใจอะไรโผล่ออกมาอีกหรอก” อี๋อวี้ไม่ยอมเปิดทางให้นางเข้าไป
“ขะ…ข้ามีเรื่องจริงๆ พูดตรงนี้ไม่สะดวก เจ้าให้ข้าเข้าไปเถอะ” นางเห็นอี๋อวี้ไม่ยอมให้ตนเองเข้าเรือน เหลียวมองไปด้านหลังอย่างลุกลี้ลุกลน พอคล้ายว่าเห็นอะไรบางอย่างก็ทำหน้าแตกตื่น ผลักอี๋อวี้เข้าไปข้างในอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมทั้งเบียดตัวตามหลังเข้าไป
อี๋อวี้ตกใจกับท่าทางของนาง พอกุมสติได้เห็นนางยกมือลั่นดาลประตูเรือนอยู่ จึงพูดตวาดทันที “ใครให้เจ้าเข้ามา ออกไปนะ!”
หลี่เสี่ยวเหมยถูกนางตะคอกใส่ก็ยิ่งลนลาน มือสั่นกระตุกหลายทีถึงใส่กลอนได้ จากนั้นรีบหมุนกายไปปิดปากอี๋อวี้ และกระซิบพูดที่ข้างหู “ชู่ว์ๆ แม่ข้าตามหาข้าอยู่ข้างนอก อย่าเอ็ดเสียงดังสิ ข้ามีเรื่องสำคัญต้องพูดจริงๆ นะ”
อี๋อวี้อาศัยแสงจันทร์สลัวๆ ที่ส่องลอดหน้าต่างเข้ามา มองดูใบหน้านางให้ชัดถนัดตา พลางลอบใคร่ครวญว่าท่าทางของนางไม่คล้ายเสแสร้ง ทั้งยังได้ยินเสียงร้องเรียกของหวังซื่อดังขึ้นด้านนอก พาให้จิตใจเริ่มเอนเอียงน้อยๆ
นางออกแรงดึงฝ่ามือชื้นเหงื่อของหลี่เสี่ยวเหมยออกแล้วลดสุ้มเสียงลงพูด “ถ้าเจ้ากล้าโกหกข้าอีกล่ะก็ ฮึ่ม!”
เสียงข่มขู่ของอี๋อวี้ที่ลอยมากระทบหูกลับทำให้หลี่เสี่ยวเหมยดีใจ รีบเอ่ยตอบเบาๆ “ไม่แล้วๆ ข้าไม่โกหกเจ้าอีกแล้ว พวกเราเข้าไปก่อนเถอะ ดีหรือไม่”
อี๋อวี้ไม่ตอบ ดึงแขนเสื้อนางข้างหนึ่งพาเข้าไปในเรือน
หลูซื่อนั่งอยู่ในผ้าห่ม แลมองเด็กหญิงที่ก้มหน้างุดอยู่หน้าเตียง ตรงกลางอกปนเปไปด้วยอารมณ์นานัปการ เมื่อรับฟังคำอธิบายต้นสายปลายเหตุของนางจบก็ไม่พูดตอบ เพียงหันหน้ามองบุตรสาวแล้วเริ่มเหม่อลอย
ฟ้ามืดเกินไป อี๋อวี้มิได้สังเกตเห็นสายตาของหลูซื่อ หากแต่กำลังขบคิดเรื่องทั้งหมดที่เพิ่งได้ยินไป
ที่แท้นับแต่หวังซื่อกับแม่สื่อหวังสองคนมาพูดทาบทามวันนั้นก็วางอุบายเล่นงานหลูซื่อแล้ว จะเพราะเงินทองก็ดีหรือคับแค้นใจก็ช่าง รวมความได้ว่าพวกนางมุ่งหมายจะส่งตัวหลูซื่อไปให้นายตำบลจาง แม่สื่อหวังเป็นคนเจ้าเล่ห์ รู้ว่าใช้ไม้อ่อน หลูซื่อไม่มีทางตอบตกลงแน่ เลยหารือกับหวังซื่อคิดแผนรับมือ
หลังจากกลับไปที่ตำบลจาง แม่สื่อหวังเล่าเรื่องของหลูซื่อให้นายท่านจางฟัง ซ้ำเยินยอรูปโฉมและนิสัยใจคอของหลูซื่อเสียเลิศลอยโดยไม่พูดถึงเรื่องที่นางไม่เต็มใจออกเรือนใหม่สักนิด นายท่านจางฟังแล้วมีใจหมายปองนาง ขอให้แม่สื่อหวังจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ยังไหว้วานให้นำหยกพกมัจฉาคู่ไปมอบต่อแก่หลูซื่อเป็นของแทนใจ
แม่สื่อหวังรับของแทนใจไว้แล้วมาที่หมู่บ้านเค่าซานอีกครั้ง หลังปรึกษากับหวังซื่อ ทั้งคู่ตัดสินใจรอให้ประกาศผลการสอบขุนนางของหลูจื้อออกมาจึงวางแผนกันอีกที ถ้าหลูจื้อสอบไม่ผ่าน ย่อมสะสางได้โดยง่าย แต่ถ้าสอบผ่านก็ต้องให้หลูจื้อจากไปก่อนแล้วค่อยจัดการกับหลูซื่อ ถึงเวลานั้นต่อให้หลูจื้อได้เป็นขุนนางสักตำแหน่งแล้วหวนกลับมา ทุกอย่างก็สายเกินแก้ มารดาของเขาเข้าสู่ประตูเรือนสกุลจางไปแล้ว นายท่านจางกลายเป็นบิดาของเขา หรือเขายังจะเอะอะโวยวายได้อีกเล่า
ฝ่ายนายท่านจางกลับถูกปิดหูปิดตา หากเขารู้ว่าบุตรชายของหลูซื่อเดินทางไปเข้าร่วมการสอบในเมืองหลวง เกรงว่ายังต้องชั่งน้ำหนักเรื่องการแต่งงานคราวนี้อีกสักหน่อย
ส่วนแม่สื่อหวังนั้นปิดบังหลอกลวงทั้งสองฝ่าย ทันทีที่แผนการของนางเป็นผลสำเร็จ ถึงนายท่านจางล่วงรู้ว่าหลูซื่อปฏิเสธการแต่งงาน คงคิดแค่ว่านางผิดคำพูด ไม่ใช่เพราะว่านางไม่ตอบตกลงแต่แรก และยิ่งเมื่อรู้เรื่องของหลูจื้อ ด้วยนิสัยของเขาที่เมื่อเริ่มทำอะไรแล้วก็จะไม่รามือ คงต้องบังคับให้หลูซื่อแต่งงานโดยไม่ไยดีว่านางจะขัดขืน
ความจริงทั้งหมดเป็นดังนี้ หลี่เสี่ยวเหมยยังสารภาพกับพวกนางว่าก่อนหน้านี้ตนเองพูดเท็จ รวมถึงเรื่องที่มาซ่อนหยกพกในเรือนนาง ถึงแม้อี๋อวี้คาดเดาได้แล้ว แต่เมื่อได้ยินนางพูดออกจากปาก ยังยากจะทำใจยอมรับ ได้แต่รำพึงในใจว่า ใจคนหยั่งยาก รู้หน้าไม่รู้ใจ
“เมื่อเป็นเช่นนี้ วันพรุ่งนี้เจ้าบอกให้พวกเพื่อนบ้านเข้าใจสิ จะได้ล้างมลทินให้แม่ข้าด้วย” อี๋อวี้กล่าวอย่างโล่งอก ถ้าหลี่เสี่ยวเหมยเต็มใจเป็นพยานให้ท่านแม่ นางคงไม่อาจผูกใจเจ็บอีกฝ่ายต่อไปได้อีก
ไหนเลยจะคาดคิดว่าหลี่เสี่ยวเหมยได้ยินถ้อยคำของนางแล้ว จะสั่นศีรษะโบกไม้โบกมือเป็นพัลวันพลางพูด “ไม่ได้ๆ”
“ไม่ได้?” อี๋อวี้อึ้งงันไป จากนั้นไม่โมโหกลับคลายยิ้ม “เหตุใดไม่ได้ หรือว่าเจ้าทำได้ แต่ไม่อาจยอมรับได้?”
“ไม่…ไม่ใช่…” หลี่เสี่ยวเหมยลังเลใจครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากบอกในที่สุด “ข้าเป็นพยานให้พวกเจ้าไม่ได้ ถ้าหาก…ถ้าหากข้าพูดความจริง แม่…แม่ข้าจะให้ข้าออกเรือนไปกับเจ้าขาเป๋แซ่ซุนที่ตำบลจางคนนั้น”
อี๋อวี้เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แต่ไม่รู้ว่าหวังซื่อจะใช้เรื่องนี้ข่มขู่บุตรสาว นางยังคิดขึ้นได้ว่าตอนได้ยินเรื่องนี้ หลี่เสี่ยวเหมยมิได้แสดงท่าทีคัดค้าน ไฉนตอนนี้กลับมีท่าทางแบบนี้ “ก่อนหน้านี้เจ้ารู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือว่าแม่เจ้าตั้งใจจะให้เจ้าแต่งงานกับเขา ทำไมถึงกลัวขึ้นมา”
“แม่ข้ายังไม่ได้ตกลงกับทางนั้นเป็นมั่นเหมาะ ข้านึกแค่ว่านางพูดล้อเล่นกับคนอื่นถึงไม่ใส่ใจ ตอน…ตอนนั้นข้าไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเขามาก่อน จนปีที่แล้วได้พบเขาครั้งหนึ่ง ทั้งหน้าตาปุปะ ทั้งพูดติดอ่าง ข้าไม่อยากออกเรือนไปกับเขา นางกลับบอกว่าถ้าข้าไม่เชื่อฟัง จะตอบตกลงการแต่งงานนี้แทนข้า แล้วข้าจะไม่ทำตามที่นางบอกได้อย่างไร”
อี๋อวี้กล่าวเสียงเยาะ “นั่นนางแค่ข่มขู่เจ้า ถ้าเจ้าไม่เต็มใจจริงๆ มีหรือที่แม่เจ้าจะผลักเจ้าเข้ากองไฟ”
“แม่ข้าไม่ทำ แต่ยายข้าทำได้” หลี่เสี่ยวเหมยพูดเสียงหลง “ยายข้าไม่สนใจความรู้สึกนึกคิดของข้าหรอก ขอแค่มีเงินตอบแทนให้ นางไม่สนใจหรอกว่าข้าเป็นบุตรสาวเรือนใด ทั้งแม่ข้ายังเชื่อฟังนางเป็นที่สุด ยากจะรับรองได้ว่าจะไม่ถูกนางหลอกลวง จับข้าแต่งงานโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว”
“เจ้ากลัวว่าจะได้คู่ครองผิด กลับไม่นำพาว่าแม่ข้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรรึ” อี๋อวี้รู้ว่านางไม่ใช่คนบงการ แต่พอได้ยินถ้อยคำของนางแล้วยังยากจะสะกดไฟโทสะไว้ได้
แต่ไรมาครอบครัวของอี๋อวี้ไม่เคยระแวงระวังหลี่เสี่ยวเหมย นางถึงลงมือได้สำเร็จ หากมิใช่นางร่วมมือด้วย เห็นทีว่าเรื่องในวันนี้คงลุล่วงได้ยากมาก พูดวนไปวนมาอยู่นานสองนานที่แท้นางเห็นแก่ความสุขชั่วชีวิตของตนเองถึงได้ใจดำอย่างนี้
ใจคนก็เป็นเยี่ยงนี้เอง มิไยว่าเปลือกนอกเป็นคนซื่อสัตย์จิตใจงามสักปานใด แต่เมื่อกระทบกับผลประโยชน์ของตนจริงๆ ก็พร้อมจะผลักคนอื่นออกมาเป็นแพะรับบาปได้ แม้นการกระทำของหลี่เสี่ยวเหมยมิได้มาจากใจจริง แต่การช่วยคนเลวก่อกรรมชั่วของนางกลับเป็นการเอาอนาคตของหลูซื่อแลกกับความสุขของตน จิตใจของอี๋อวี้ซึ่งอ่อนยวบลงหลังจากฟังนางเปิดเผยความจริงแล้ว พลันชืดชาไปในชั่วอึดใจ
“ขะ…ข้าไม่ได้…ฮือๆๆ…เสี่ยวอวี้ เจ้าอย่าโกรธข้าเลยนะ ข้าไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ข้าแค่…แค่กลัว ตอนนี้ข้าก็มาบอกกับพวกเจ้าอย่างแจ่มแจ้งแล้วไม่ใช่หรือ ไยเจ้ายังโกรธข้าอีก…” หลี่เสี่ยวเหมยจับน้ำเสียงเฉยชาจากคำพูดของอี๋อวี้ได้ พาให้ในใจร้อนรน ทั้งยังรู้สึกคับข้องหมองใจก็ร่ำไห้ออกมา กว่านางจะเล็ดลอดสายตาของมารดาวิ่งออกมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ เดิมทีคิดว่าพอบอกให้อี๋อวี้กับหลูซื่อเข้าใจแล้ว ทั้งสองคนจะอภัยให้นาง ทว่าอี๋อวี้ไม่เพียงไม่ไยดีนาง กลับตำหนิติเตียนนางแบบนี้
“พอแล้ว” อี๋อวี้เพิ่งสังเกตเห็นว่าหลูซื่อใจลอยตั้งแต่แรก นางย่นหัวคิ้วเข้าหากัน กล่าวกับหลี่เสี่ยวเหมยที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างหงุดหงิด “ข้ารู้ว่าเจ้ามาทำอะไร ปากบอกว่าจะช่วย ผลสุดท้ายแค่อยากให้ตนเองสบายใจเท่านั้นเอง เจ้ากลับไปเถอะ วันหลังอย่ามาที่นี่อีก ถือเสียว่าข้าไม่รู้จักคนอย่างเจ้า”
“เช่น…เช่นนั้นพี่หลูจื้อกลับมา เจ้าอย่าบอกเรื่องที่ข้าทำลงไปให้เขารู้ได้หรือไม่” หลี่เสี่ยวเหมยเห็นอี๋อวี้เริ่มไล่คน นางกลั้นน้ำตาแล้วเอ่ยถามเสียงเครืออย่างกล้าๆ กลัวๆ
ครานี้อี๋อวี้โกรธนางถึงขีดสุดแล้วจริงๆ ความอดทนที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดเป็นอันหมดลง นางเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้ารีบไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
หลังจากหลี่เสี่ยวเหมยกลับไป สองแม่ลูกล้วนไม่พูดจาอยู่เนิ่นนาน ตราบจนถ่านในอ่างไฟเจียนดับมอด กระไอเย็นแผ่เข้ามาจากสี่ทิศทีละน้อย ในเวลานี้เองหลูซื่อดึงสติคืนมาได้เห็นท่าทางกลัดกลุ้มของบุตรสาว เด็กหญิงตัวน้อยทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างนั้น กลับชวนให้ขบขันมากกว่าน่าเป็นห่วง
หลูซื่อเอ่ยปากเนิบๆ “อวี้เอ๋อร์ หนนี้เป็นแม่ที่ทำให้เจ้าพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
อี๋อวี้รีบเอ่ยตอบ “ท่านแม่อย่าพูดแบบนี้สิ ข้าพลอยเดือนร้อนไปด้วยอะไรกัน”
หลูซื่อถอนใจเฮือกหนึ่งก่อนกล่าว “ถ้าวันนั้นแม่ไม่หุนหันพลันแล่นเกินไป คงไม่สร้างความเจ็บแค้นให้พวกหวังซื่อ ไหนเลยแม่สื่อหวังผู้นั้นคิดจะให้ร้ายคนที่ไม่รู้จักมักคุ้นกันอย่างข้าเล่า”
อี๋อวี้ส่ายหน้าแล้วพูดตามตรง “หากวันนั้นท่านแม่เชิญพวกนางกลับอย่างบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น พวกนางจะไม่หาเรื่องพวกเราหรือเจ้าคะ ข้าว่าสองคนนั้นล้วนใจแคบเห็นแก่ตัว หวังซื่อยิ่งขวางหูขวางตาครอบครัวเราตั้งแต่ต้น ท่านแม่ดีต่อนางปานใดก็ไร้ความหมาย หลี่เสี่ยวเหมยไม่ได้เป็นอย่างนี้หรือ พวกเรานับว่าเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อนางเต็มที่ แต่นางยังอตัญญูไม่รู้คุณคนอยู่ดี”
หลูซื่อได้ยินนางพูดจาคารมคมคาย มีหลักการเป็นเหตุเป็นผลก็ไม่แปลกใจ เรื่องที่บุตรสาวคนนี้ฉลาดเฉลียวหาใช่เพิ่งรู้เป็นวันแรก ในสถานการณ์เยี่ยงนี้ บุตรชายสองคนไม่อยู่ข้างกาย ทั้งนางยังเป็นต้นตอของเภทภัยครานี้ ดังคำกล่าวว่าผงเข้าตาตนเอง ตอนนี้นางคิดอย่างไรก็คิดหาหนทางรับมือไม่ออกเลยเอ่ยถามขึ้น “อวี้เอ๋อร์ เจ้าว่าตอนนี้พวกเราสองคนจะทำอย่างไรดี แม่น่ะมืดแปดด้านแล้ว เฮ้อ”
อี๋อวี้ถูกถามก็นึกถึงแผนการสองสามอย่างของตนเองก่อนหน้านี้ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เสี่ยวเหมยแล้ว นางปัดความคิดพวกนั้นทิ้งไปหมด แม่สื่อหวังผู้นั้นเจ้าเล่ห์แสนกลจริงๆ อย่างที่หลี่เสี่ยวเหมยพูด ทันทีที่นายท่านจางล่วงรู้ความจริง จะต้องบังคับหลูซื่อแต่งงาน มิใช่ด้วยเหตุอื่นใด แต่เป็นเพราะหลูจื้อคนเดียว ถ้าเขารามือเท่านี้ พอหลูจื้อกลับมาพร้อมกับยศศักดิ์ตำแหน่ง จะต้องสร้างความลำบากให้เขาอย่างที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ ในทางตรงกันข้าม เขาตบแต่งหลูซื่อเป็นภรรยาแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดปัญหาตามมาภายหลังอีก หนำซ้ำยังมีบุตรชายมากความสามารถเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอเพียงเป็นผู้มีสติปัญญาล้วนต้องเลือกทางนี้ นายท่านจางสามารถไต่เต้ามาถึงระดับนี้ได้ย่อมเจนจัดชั้นเชิงสูงเป็นแน่ ประกอบกับมีแม่สื่อหวังคอยขัดแข้งขัดขา หมายให้ลงเอยด้วยดี มิใช่แค่ยากเท่านั้น หากแต่เป็นไปไม่ได้เลยต่างหาก
“อวี้เอ๋อร์ อย่าขมวดคิ้วอีกเลย คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้ว” หลูซื่อยื่นมือไปโอบตัวบุตรสาวที่นั่งอยู่ข้างเตียงไว้ในอ้อมแขน
อี๋อวี้พิงศีรษะซบอกนาง สูดไออุ่นจางๆ จากกายมารดา นานพักใหญ่ถึงเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับนางพลางกล่าว “ท่านแม่ ท่านจะไม่แต่งงานกับนายท่านจางคนนั้นใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หลูซื่อพยักหน้า “ถึงตายแม่ก็ไม่ออกเรือนใหม่ แต่ตอนนี้กลับมิได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเราแล้ว”
อี๋อวี้หายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ผละจากอกนาง สองมือเล็กๆ วางทาบหลังมือมารดาที่วางอยู่บนผ้าห่ม พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านแม่ พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
“ไป?” หลูซื่อย้อนถาม ไม่อาจจับความนัยของถ้อยคำนางออกได้ในชั่วขณะ
อี๋อวี้พยักหน้าพร้อมกล่าว “ใช่ พวกเราไป ไปจากที่นี่ พวกเขาหาตัวพวกเราไม่พบ ก็จะหมดปัญหาเป็นธรรมดา”
ใบหน้าของหลูซื่อเผยรอยตระหนกออกมา “เจ้าจะบอกให้พวกเราหนีไปหรือ” เห็นบุตรสาวพยักหน้า นางส่ายหน้ากล่าวขึ้น “หนีไปที่ใดเล่า พวกเรายังมีบ้านช่องไร่นา จะเอาของเหล่านี้ติดตัวไปด้วยก็ไม่ได้”
“ท่านแม่ ในเวลาอย่างนี้ท่านยังเป็นห่วงเรื่องพวกนี้อีกหรือ ทางนั้นบอกว่าพอเข้าฤดูใบไม้ผลิจะมารับตัวแล้ว นี่เหลืออีกไม่กี่วัน อะไรที่ขายได้ก็แอบขายให้หมดแล้วไปจากที่นี่ ไม่อย่างนั้นท่านแม่จะรอออกเรือนไปกับคนผู้นั้นจริงๆ หรือ”
ความคิดของอี๋อวี้ไม่เหมือนคนยุคโบราณที่ยึดติดกับถิ่นฐานไม่ยอมไปไหน จะหันหลังให้บ้านเกิดก็ต่อเมื่อไม่มีทางเลือกจริงๆ เช่นเดียวกับหลูซื่อที่หนีออกจากบ้านด้วยความจำเป็นบังคับ อีกทั้งนางถือว่าตนมีพลังพิเศษอยู่ เป็นเหตุให้ไม่กลัวว่าพออยู่แปลกที่แปลกทางแล้วจะเอาตัวไม่รอด เหนืออื่นใดสถานการณ์ขณะนี้เปรียบดั่งขี่หลังเสือแล้วลงยาก หวั่นใจว่าหนทางเดียวที่จะรอดพ้นเคราะห์ภัยได้คือหลบไปซ่อนตัว
หลูซื่อฟังนางกล่าวจบแล้วไม่ตอบคำใด อี๋อวี้ไม่บีบคั้น รู้ว่านางอาลัยอาวรณ์ทรัพย์สมบัติพวกนี้ ดูทีว่าเมื่อแรกที่หลูซื่อมาถึงที่นี่ต้องพบความลำบากไม่น้อยกว่าจะปักหลักได้มั่นคงในภายหลังตอนที่อี้อวี้ข้ามภพมาแล้ว
“แม่…แม่ไม่เต็มใจแต่งงานกับคนคนนั้นจริงๆ” ยามหลูซื่อกล่าวคำนี้ รู้สึกผิดในใจสุดจะเปรียบ บัดนี้นางรู้เช่นกันว่าถ้าตนเองยืนกรานไม่ออกเรือน ก็ต้องทิ้งเหย้าทิ้งเรือนพาบุตรสาวไปที่อื่น ถึงเวลาต้องตกระกำลำบากนานเท่าไหร่ก็สุดรู้ นางเคยผ่านชีวิตอย่างนั้นมาก่อน เพียงสงสารบุตรสาวที่ยังเยาว์วัย ส่งผลให้ตัดสินใจไม่ถูกไปชั่วขณะ
“ท่านแม่ไม่เต็มใจแต่งงานก็ไม่ต้องแต่งงานเจ้าค่ะ พวกเราไปจากที่นี่ได้หรือไม่ เสี่ยวอวี้ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วเหมือนกัน” เห็นหลูซื่อมีสีหน้าเอนเอียง นางกล่าวต่อ “ท่านแม่ ท่านยังจำน้องชายของอนุของนายท่านจางได้หรือไม่ แค่ดูจากจุดนี้ เขาต้องไม่ใช่คนที่มีน้ำใจไมตรีอะไร ถ้าท่านแม่ออกเรือนไปกับเขา พวกพี่ชายไม่อยู่เรือน ดีไม่ดีท่านกับข้าอาจถูกกดขี่ข่มเหงก็เป็นได้”
คำกล่าวนี้กึ่งจริงกึ่งเท็จ หากหลูจื้อได้ดิบได้ดีกลับมาบ้านเดิมจริงๆ ผู้ใดยังจะกล้าดีรังแกพวกนาง ทว่าหลูซื่อกำลังยุ่งเหยิงใจมิได้ตริตรองอย่างลึกซึ้ง จับได้แต่น้ำเสียงหวาดกลัวแกมกังวลของบุตรสาว และเมื่อคิดถึงอีกว่าของนอกกายเหล่านี้ไม่สำคัญเท่าความปลอดภัยของสองแม่ลูกจริงๆ นางจึงพยักหน้ารับอย่างตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
“ตกลง พวกเราไปจากที่นี่กัน ในเมื่อพวกบ้านช่องไร่นาเคลื่อนย้ายไปไหนไม่ได้ และถ้าถูกคนจับได้ก็จะหนีไม่สำเร็จ ฉะนั้นพวกเราต้องขายของชิ้นเล็กๆ แลกเป็นเงินเตรียมเป็นค่าเดินทาง จะได้เข้าสู่เมืองหลวง…” พอพูดถึงคำว่า ‘เมืองหลวง’ ออกมา หลูซื่อก็พลันชะงักไปเล็กน้อยคล้ายลังเลใจ ก่อนกล่าวต่อ “เสาะหาหมู่บ้านใกล้ๆ เมืองหลวงเป็นที่พำนักก่อน จากนั้นค่อยไปหาพวกพี่ใหญ่ของเจ้า” นางพูดจบแล้วดูเหมือนกลัวว่าอี๋อวี้ไม่เข้าใจ ยังเอ่ยต่อท้าย “พี่ใหญ่ใกล้สอบเต็มที พวกเราอย่าไปรบกวนสมาธิของเขา หลังสอบเสร็จ เขายังต้องรั้งอยู่ในเมืองหลวงระยะหนึ่ง ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยไปหาพวกเขาดีหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะ” พวกนางไม่ได้หยุดใคร่ครวญสักนิดว่าสมควรทำเช่นใด หากว่าหลูจื้อไม่ผ่านการสอบชุนเหวยแล้วเดินทางกลับบ้านล่วงหน้า กระนั้นโชคดีที่หลูจื้อเป็นคนเอาถ่าน และมีผู้มีสายตาแหลมคมเห็นความสามารถของเขาจริงๆ
หลังจากสองแม่ลูกวางแผนเรียบร้อยแล้ว หลูซื่อก็รู้สึกเบาสบายไปทั้งตัว ความอึดอัดตรงกลางอกคลายลงไปกว่าครึ่ง นางเริ่มคำนวณเงินทองในเรือนกับอี๋อวี้
พวกนางนึกแค่ว่าพรุ่งนี้จะตื่นแต่เช้าตรู่ไปขายทรัพย์สินแลกเป็นเงินที่โรงรับจำนำสักแห่งในตำบล เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้วก็จะออกเดินทางในวันมะรืน หาได้รู้ไม่ว่ามีเงาดำสายหนึ่งนั่งยองๆ อยู่ใต้หน้าต่างนอกเรือนได้ยินบทสนทนาของพวกนางไปเจ็ดส่วน
ชะรอยว่าเรื่องที่อยู่ในใจคลี่คลายลง แม้สองแม่ลูกนอนหลับไม่สนิททั้งคืน ยามรุ่งสางตื่นขึ้นมา จิตใจกลับปลอดโปร่งสดใส ฉวยจังหวะที่แสงแรกเพิ่งจับขอบฟ้าทิศบูรพา คนทั้งหมู่บ้านยังไม่ตื่นนอน พวกนางไม่กินอาหารมื้อเช้า เพียงนำเสบียงกับน้ำสะอาดติดตัวขี่เกวียนเทียมวัวออกจากหมู่บ้านไปเงียบๆ
จนกระทั่งเที่ยงวันสะสางธุระเสร็จถึงได้กลับเรือนมา ระหว่างทางเข้าหมู่บ้านยังหนีไม่พ้นต้องถูกคนชี้หน้าซุบซิบนินทา แต่พวกนางกำลังจะจากไป ทำให้ไม่ใคร่ใส่ใจสายตาของผู้อื่น พอกลับถึงเรือนสกุลหลูแล้วลงกลอนอย่างมิดชิดแน่นหนา อี๋อวี้ไปจุดเตาต้มน้ำ ด้านหลูซื่อเริ่มจัดเก็บสัมภาระ
“เสี่ยวอวี้เอาชุดฤดูหนาวไปให้หมดดีหรือไม่ ส่วนผ้าห่มติดตัวไปสองผืน แล้วก็…” อี๋อวี้ต้มน้ำอยู่ เห็นหลูซื่อแหวกม่านกั้นประตูห้องครัวสาวเท้าเข้ามา ใต้ตานางหมองคล้ำเล็กน้อย แต่สีหน้าไม่ขาวซีดดุจเดียวกับเมื่อวานอีก
“ท่านแม่จัดการไปตามที่เห็นชอบได้เลยเจ้าค่ะ พวกเราไม่ได้เดินเท้าไป ขอแค่เกวียนลากไหว ท่านแม่ก็เอาไปเถอะ”
หลูซื่อตบหน้าผากตนเองเบาๆ ทีหนึ่งแล้วพูด “ดูแม่สิ เลอะเลือนใหญ่แล้ว” ว่าแล้วก็หมุนกายออกไป
พวกนางกินอาหารมื้อเที่ยงแล้วเริ่มตระเตรียมเสบียงอาหารระหว่างทาง หลูซื่อเอาผูกงอิงที่ปลูกในเรือนมากกว่าครึ่งหนึ่งผสมกับแป้ง ทำเป็นแป้งย่างแผ่นใหญ่เท่าฝาหม้อรสชาติแสนอร่อยทีเดียวแปดแผ่น จากนั้นเอาน้ำที่ต้มเดือดแล้วทิ้งไว้ให้เย็นกรอกใส่กระบอกไม้ไผ่จนเต็มห้ากระบอก และห่อเก็บไว้ในถุงสัมภาระทั้งหมด
ถึงพลบค่ำจึงเตรียมการพร้อมสรรพ เพียงรอหลังเที่ยงคืน พวกนางก็จะแอบจากไปเงียบๆ หลูซื่อกลัวอี๋อวี้เดินทางกลางคืนจะง่วงนอน บอกให้นางไปงีบหลับบนเตียงครู่หนึ่ง ขณะที่ตนเองมองดูสีท้องฟ้าทางนอกหน้าต่าง เฝ้ารอม่านรัตติกาลคลี่คลุมลงมา
อี๋อวี้สะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงเคาะประตูถี่รัวระลอกหนึ่ง ลืมตาขึ้นเห็นหลูซื่อนั่งอยู่ตรงหัวเตียงกำลังจะลุกขึ้นยืน นางส่งเสียงเรียกมารดาเบาๆ
หลูซื่อหันไปเห็นนางตื่นแล้ว ขานตอบคำหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเบา “เจ้าลุกขึ้นมาผลัดอาภรณ์ก่อน แม่จะออกไปดูว่าเป็นผู้ใด”
เสียงเคาะประตูดังมากขึ้น ดูคล้ายคละเคล้าเสียงพูดคุยของคนกลุ่มหนึ่ง จากรอยแยกทางหน้าต่างยังมองเห็นแสงไฟหลายจุดได้วับๆ แวมๆ
หลูซื่อเพิ่งเลิกม่านขึ้นก้าวเท้าออกจากห้องนอน อี๋อวี้ตื่นเต็มตาแล้วสัมผัสถึงบรรยากาศที่แปลกชอบกลของยามราตรีได้ในพริบตา กลิ่นอายตึงเครียดในอากาศทำให้นางกระสับกระส่าย เมื่อเห็นหลูซื่อเดินไป นางพลิกตัวลงจากเตียง ไม่ทันได้สวมรองเท้าก็ก้าวพรวดๆ ไล่ตามหลังไปดึงรั้งมารดาไว้
“มีอะไรหรือ” หลูซื่อกระซิบถาม ในใจนางก็เริ่มกระวนกระวายรางๆ เพราะเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอกที่ดังขึ้นทุกที
อี๋อวี้ไม่กล่าวตอบ กลับเบี่ยงร่างเล็กๆ แซงขึ้นหน้าไปยืนอยู่หลังประตูห้องโถง มองไปข้างนอกทางรอยแยกของประตู เสี้ยวขณะต่อมานางยกมือปิดปากถอยหลังสองก้าว หลูซื่อก้าวเท้าขยับเข้าไปชิดประตูมองลอดช่องออกไป
ใต้แสงสว่างจากคบเพลิงหลายอันข้างนอก เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่นของแม่สื่อหวังเด่นชัดอยู่หน้าประตู มีหวังซื่อยืนอยู่ใกล้ๆ กำลังช่วยกันเคาะประตูเรือนสกุลหลูเสียงดังลั่น เมื่อมองผ่านข้างตัวพวกนางไป เห็นในลานมีชายฉกรรจ์สองคนถือคบไฟในมือ อีกสามคนมือเปล่า ตรงกลางพวกเขาเป็นบุรุษร่างเตี้ยในเสื้อคลุมยาวสีน้ำเงิน สวมเสื้อคลุมป้ายข้างสีส้มทับด้านนอก เขากำลังยกมือลูบเรียวหนวดงามสีดำเหนือริมฝีปาก พลางแลมองมาทางประตู
ทันใดนั้นแม่สื่อหวังยื่นหน้ามาชิดรอยแยกประตู หลูซื่อผงะถอยหลายก้าวจนเกือบชนตัวอี๋อวี้ด้วยความแตกตื่น พร้อมกับได้ยินเสียงสนทนากระซิบกระซาบลอยมาจากด้านนอก
“กุ้ยเซียง พวกนางคงไม่ได้หนีไปแล้วกระมัง”
“เป็นไปไม่ได้ วัวตัวนั้นยังอยู่ในลาน เมื่อคืนข้าได้ยินชัดเจนเลย พวกนางพูดว่าคืนนี้หลังยามสี่ จะขี่เกวียนออกเดินทาง”
“ถ้าอย่างนั้นเคาะต่อไป เคาะแรงๆ”
กล่าวจบทั้งสองคนตบประตูอีกระลอกหนึ่ง คนที่ผ่านมาสองภพสองชาติแล้วอย่างอี๋อวี้ไม่เคยพานพบสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ได้แต่อาศัยจิตใจที่เข้มแข็งฝืนสะกดความตระหนกตกใจไว้ได้ อึดใจเดียวก็กระจ่างแจ้งว่ามีคนแอบฟังพวกนางสองแม่ลูกพูดคุยกันเมื่อคืนแน่นอน ขณะนางโอดครวญว่าเคราะห์ร้ายอยู่ในใจ ถูกหลูซื่อที่กุมสติได้แล้วจูงเดินย่องกลับไปที่ห้อง
“ท่านแม่ พวกนั้นมาดักจับพวกเราแล้ว” อี๋อวี้ยังคงเยือกเย็นอยู่บ้าง พอเข้าไปในห้องแล้ว นางเอ่ยกับหลูซื่อเสียงแผ่วๆ
หลูซื่อทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ภายในห้องที่มืดทึบเพียงเห็นใบหน้าของนางที่แฝงรอยว้าวุ่นใจได้อย่างเลือนราง นานสองนานก็ไม่ได้ยินนางเปล่งวาจาใด จวบจนเสียงตวาดกร้าวของบุรุษดังขึ้นในลาน ถึงทำให้นางถลันไปที่หน้าเตียงอย่างลนลาน ตะคอกใส่อี๋อวี้เบาๆ “เร็วเข้า! หยิบห่อผ้ามา พวกเรากระโดดออกทางหน้าต่างด้านหลังห้องครัวกัน”
ไหนเลยจะคาดคิดว่ามือนางเพิ่งคลำไปที่ห่อผ้าบนเตียง ประตูใหญ่ด้านนอกถูกคนกระแทกเปิดออก ต่อจากนั้นไม่เปิดช่องให้นางได้ตั้งตัวติด หวังซื่อก็แหวกม่านเดินเข้ามาพร้อมกับชายฉกรรจ์ถือคบไฟคนหนึ่งตามมาด้านหลัง
“อุ๊ย! นี่จัดหีบห่อสัมภาระไปไหนกันหรือ” เสียงถากถางแหลมสูงของหวังซื่อดังขึ้น สายตาของนางมองกวาดไปที่ห่อผ้ากับถุงสัมภาระหลายชิ้นซึ่งวางเรียงกันไว้เต็มหัวเตียง
ถึงขั้นนี้แล้ว หลูซื่อไม่มีแก่ใจหวาดกลัวอีก นางเอื้อมมือดึงอี๋อวี้ไปอยู่ด้านหลังตน กล่าวด้วยสุ้มเสียงดุดัน “ข้ากลับอยากถามว่าดึกดื่นป่านนี้ เจ้ามาทำอะไรที่เรือนข้า!”
“เอ้อร์เหนียง เจ้านี่พอได้ดีแล้วช่างลืมง่ายเสียจริง ก็ตกลงกันไว้แล้วว่าอีกสองสามวันให้หลังจะรับตัวเจ้าไปที่ตำบลจางไม่ใช่หรือ นายท่านจางกลัวเจ้าร้อนใจจนรอไม่ไหว สั่งให้พวกข้ามารับเจ้าไปแต่งงานล่วงหน้า” แม่สื่อหวังก้าวออกมาทางข้างหลังหวังซื่อ ถ้อยคำนี้ของนางเป็นการพูดโกหกทนโท่ ด้วยมีใครที่ไหนกันบุกไปที่เรือนผู้อื่นรับตัวเจ้าสาวดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้บ้าง
“ยายเฒ่าใจดำสมควรตาย เป็นเจ้าที่วางอุบายให้ร้ายข้าจนตกอยู่ในสภาพนี้!” อันว่าศัตรูประจันหน้า ต่างฝ่ายยิ่งเดือดดาล เมื่อคืนหลูซื่อรู้จากหลี่เสี่ยวเหมยว่าที่ตนเองถูกใส่ความล้วนเป็นแผนการร้ายของคนตรงหน้านี้ ถ้ามิใช่อี๋อวี้ยังอยู่ด้านหลัง นางแทบอยากจะกระโจนเข้าไปกัดอีกฝ่ายสักสองทีให้หายแค้นจนใจจะขาด
“ดูเจ้าพูดเข้าสิ เป็นเจ้าขอร้องข้าเองมิใช่หรือ ตอนนี้กลับเอาแต่พูดว่าข้าให้ร้ายเจ้า เฮ้อ ทุกวันนี้เป็นแม่สื่อไม่ง่ายดาย กลัวก็แต่เจอพวกที่ถึงเวลาแล้วไม่รักษาคำพูดอย่างเจ้า ดีที่นายท่านจางของพวกข้าเป็นคนมีหน้ามีตา ไหนเลยจะปล่อยให้เจ้าหลอกลวงตามใจชอบ” ว่าแล้วนางก็ดึงตัวหวังซื่อหลบไปด้านข้าง
อี๋อวี้กัดริมฝีปากชะโงกหัวออกมาจากข้างหลังของหลูซื่อ มองปราดเดียวก็เห็นบุรุษอีกคนแหวกม่านเดินเข้ามา เป็นชายร่างเตี้ยไว้หนวดเรียวงามซึ่งยืนอยู่กลางลานที่นางมองเห็นก่อนหน้านี้นั่นเอง ดูท่าทางน่าจะมีอายุราวสามสิบเศษ คงไม่ใช่นายท่านจางที่ย่างวัยห้าสิบกว่าแล้ว
“มัวพล่ามอะไรกันอยู่ พี่เขยข้าตบแต่งนางเป็นภรรยาถือว่าให้เกียรตินางแล้ว ตอนแรกตกลงกันไว้ดิบดี ตอนนี้ยังทำท่าจะเป็นจะตายเสียให้ได้อีกหรือ… นางตัวดี เอาตัวไป!” คนผู้นี้คือนักเลงหัวไม้นามว่า ‘เจิ้งลี่’ พี่ชายของอนุภรรยาของนายท่านจาง วันนี้ได้เห็นตัวแล้วสมเป็นเดรัจฉานในร่างคนจริงๆ
ไม่ทันสิ้นเสียงเขา มีชายฉกรรจ์ชุดเทาท่าทางคล้ายบ่าวในเรือนอีกสองคนพรวดพรวดเข้ามา เห็นสองแม่ลูกสกุลหลูก็ปรี่เข้าไป
“อย่าเข้ามานะ!” หลูซื่อร้องตวาดพลางยึดตัวบุตรสาวที่ขยับยุกยิกอยู่ข้างหลังไว้ เอาร่างบังไม่ให้นางมุดลอดออกมา
อี๋อวี้ถูกนางจับไว้แน่น ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด นางตะโกนเสียงดังอย่างร้อนรุ่มใจ “พวกเจ้ากล้ารึ! ไม่กลัวพี่ชายข้ากลับมาแล้วสั่งสอนพวกเจ้าให้รู้สำนึกหรือไร”
บ่าวผู้ชายสองคนนั้นละล้าละลังไม่รู้ว่าจะสืบเท้าขึ้นหน้าต่อไปหรือไม่ ในเวลานี้เจิ้งลี่ถึงสังเกตเห็นเด็กหญิงที่ซ่อนอยู่หลังหลูซื่อ คิ้วสั้นๆ ของเขาเลิกขึ้นขณะกล่าวเสียงเยาะ “เจ้าพูดถึงว่าที่จวี่เหรินในเรือนเจ้าผู้นั้นหรือ ฮ่าๆ รอเมื่อมารดาเจ้าแต่งเข้าสกุลจางแล้ว ต้องกลัวด้วยหรือว่าเขาพบหน้าข้าแล้วจะไม่เรียกว่าท่านน้าสักคำ”
หลายปีที่ผ่านมาคนผู้นี้กำเริบเสิบสานและเกะกะระรานจนเคยตัว ทั้งน้องสาวเขายังได้รับความโปรดปรานจากนายท่านจางอย่างยิ่งยวด กระทั่งเป็นต้นเหตุให้ภรรยาเอกจบชีวิตลงก็ไม่เห็นนายท่านจางบันดาลโทสะ ย่อมบ่มเพาะนิสัยไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินเพิ่มขึ้นหลายส่วน ในครั้งนั้นที่เขาเป็นอันธพาลเจ้าถิ่นได้ด้วยอาศัยความโหดร้ายอำมหิต มีหรือจะเห็นคำข่มขู่ของแม่นางน้อยอี๋อวี้อยู่ในสายตา ต่อให้หลูจื้อสอบผ่านเป็นจวี่เหรินกลับมา ในความคิดเขาก็แค่มีศักดิ์ฐานะทัดเทียมกับพี่เขย หากนับตามอาวุโสยังต่ำกว่าตนเองชั้นหนึ่ง นอกจากนี้เขายังโกรธแค้นที่หลูซื่อชิงตำแหน่งที่น้องสาวไม่ได้ครอบครองมาโดยตลอด ทั้งรู้ว่านายท่านจางตบแต่งหลูซื่อเป็นภรรยาเพียงเพื่อมีทายาทสืบสกุล แล้วจะให้ความเป็นมิตรกับพวกนางสองแม่ลูกได้อย่างไร
“ยังยืนทื่ออยู่ทำไม เดือนนี้ไม่อยากได้เงินค่าจ้างแล้วรึ เอาตัวไป!”
ตอนที่หลูซื่อกับอี๋อวี้ถูกพาตัวออกจากเรือน มีชาวบ้านตกใจตื่นขึ้นมาไม่น้อย พวกเขาไม่ได้จับเสื้อผ้าผมเผ้าให้เรียบร้อยก็ออกมายืนเป็นกลุ่มเล็กๆ กระจายกันอยู่นอกลาน
อี๋อวี้ถูกบ่าวชายคนหนึ่งอุ้มไว้ในวงแขนและกดหน้าแนบบ่า ขณะที่หลูซื่อถูกควบคุมตัวอยู่ ได้แต่เดินไปข้างหน้าอย่างสงบเสงี่ยมโดยมีแม่สื่อหวังกับหวังซื่อช่วย ‘ประคอง’
หวังซื่อยังพูดกับคนที่ล้อมวงมุงดูอยู่อย่างยิ้มแย้ม “นายท่านจางใจร้อนรอไม่ไหว ไหว้วานพวกข้ามารับคนก่อนล่วงหน้าหลายวัน ตำบลจางถือว่าห่างไปไกลอยู่บ้าง ฉะนั้นต้องรบกวนเวลาพักผ่อนของทุกคนกลางดึกแล้ว ส่วนเจ้าเด็กน้อยคนนี้ยังนอนหลับอยู่ เลยต้องให้คนอุ้มไว้”
อี๋อวี้ทำได้แค่โผล่ดวงตาทั้งคู่ออกมาจากหัวไหล่ของบ่าวคนนั้น นางอาศัยแสงไฟมองเห็นชาวบ้านรอบตัวได้ชัดเจน แรกเริ่มยังตั้งความหวังริบหรี่ว่าบางทีเพื่อนบ้านที่จิตใจซื่อตรงเหล่านี้จะขัดขวางคนชั่วกลุ่มนี้ไว้ แต่ครั้นได้ยินเสียงพูดจากปากหวังซื่อ นางก็เริ่มร้อนรน รู้ว่าชาวบ้านทั้งหลายคงเข้าใจผิดเพราะคำพูดของหวังซื่อ รวมถึงลักษณะท่าทางของพวกนาง จนนึกว่าพวกนางยินยอมพร้อมใจ
ดังคาดคนทั้งกลุ่มไม่เห็นมีใครสักคนเข้ามาขัดขวาง อี๋อวี้อดออกแรงดิ้นรนไม่ได้ พอนางขยับตัว ทำให้เสี่ยวชุนเถาที่ตามหนิวซื่อมายืนอยู่นอกลานมองเห็น ด้วยเหตุนี้เด็กหญิงตัวน้อยกระตุกมือมารดา ชี้นิ้วมาที่นางพร้อมกล่าว
“ท่านแม่ เสี่ยวอวี้เป็นอะไรไปเจ้าคะ”
อี๋อวี้ลอบตื่นเต้นยินดี พยายามยกศีรษะขึ้นสุดแรงอีก ดวงตาทั้งคู่จ้องเขม็งไปที่หนิวซื่อกับบุตรสาว หวังเพียงว่าพวกนางจะพบความผิดปกติทางนี้ ทว่าความเป็นจริงสร้างความผิดหวังให้นางซ้ำสอง ไม่สิ…หนาวเหน็บใจถึงจะถูก
เห็นหนิวซื่อใช้มือหนึ่งดึงเสี่ยวชุนเถากลับไป ไม่แม้แต่จะมองมาทางอี๋อวี้สักแวบ นางเอ็ดบุตรสาวเบาๆ “คงจะฝันร้ายนะ แม่พาเจ้ากลับไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้า” พูดจบก็ก้มหน้าจูงเสี่ยวชุนเถาสาวเท้าเร็วรี่จากไป
อี๋อวี้กล้ายืนยันได้ว่าอีกฝ่ายสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลได้แล้ว จนใจที่ในยามนี้มิตรภาพที่ผ่านมากลับแปรเป็นน้อยนิดจนไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง
หนิวซื่อยังเป็นเช่นนี้ นับประสาอะไรกับคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน ตอนแรกก็หลี่เสี่ยวเหมย ตอนนี้ยังมีหนิวซื่ออีกคน เมื่อพวกนางขอความช่วยเหลือในยามยาก ทั้งคู่ต่างเลือกที่จะหลีกลี้หนีหน้า ไม่ว่าอยู่แห่งหนใด จิตใจคนล้วนไม่แตกต่างกัน มือเท้าของนางเย็นเยียบ รู้สึกคับอกคับใจจนลืมดิ้นขัดขืน ปล่อยให้พวกเจิ้งลี่พาตัวออกไปที่นอกหมู่บ้าน นั่งรถม้าที่เตรียมไว้แต่แรกเข้าสู่ตำบลจาง
พออี๋อวี้กับหลูซื่อไปถึงตำบลจาง ถูกคนกุมตัวไปเข้าทางประตูหลังของจวนสกุลจาง เพียงได้ยินเจิ้งลี่สั่งการให้บ่าวที่ออกมายืนต้อนรับอยู่ด้านข้างพาพวกนางไปพักที่สวนตะวันตก และกำชับพวกบ่าวไพร่ให้เฝ้าเอาไว้ดีๆ จากนั้นอ้าปากกว้างหาวหวอดๆ เดินจากไป
หลังถูกพาตัวไปที่เรือนคั่นสองหลังเล็กๆ บ่าวชายคนที่จับอี๋อวี้ไว้ตลอดทางถึงปล่อยตัวนาง หลูซื่อรีบรับนางมากอดไว้กับอก พวกนางถูกบ่าวไพร่หลายคนผลักให้เดินไปข้างหน้าสิบกว่าก้าวผ่านห้องเล็กๆ เรียงเป็นแถวด้านหน้าจนไปถึงเรือนด้านหลัง นางมองสำรวจทั้งสี่ด้านรอบหนึ่งอย่างรอบคอบ เห็นต้นไหว เก่าแก่แค่สองต้นในลานว่างเปล่าโหรงเหรง กับเรือนสูงสองชั้นขนาดเล็กมีประตูบานคู่สีแดงเข้มหลังหนึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวเบื้องหน้าสายตา กลิ่นอายน่าขนลุกขนพองแผ่ซ่านมาระลอกหนึ่งกลางผืนราตรีหม่นมัว
บ่าวไพร่ร่างหนาเทอะทะสองสามคนผลักหลูซื่อกับอี๋อวี้เข้าไปในเรือนหลังนี้ ไม่นำพาอาการขัดขืนตามสัญชาตญาณของพวกนาง หญิงวัยกลางคนนางหนึ่งคลำทางในความมืดเข้าไปควานหาแท่งจุดไฟแล้วจุดเชิงเทียนในห้องโถง ภายในเรือนสว่างพรึบทันใด
“นี่มันที่ไหนกัน” หลูซื่อเปล่งเสียงถามอย่างห้ามใจไม่อยู่ นางรู้สึกอยู่ไม่วายว่าแม้การประดับตกแต่งของเรือนหลังนี้จะเรียบร้อยหมดจด กลับแฝงความรู้สึกชวนให้วังเวงใจ
“ที่นี่จะเป็นที่ไหนได้เล่า หรือท่านยังไม่แจ่มแจ้งว่าตนเองจะมาทำอะไรที่สกุลจาง” บ่าวผู้นั้นรู้ดีว่าหลูซื่อจะเป็นฮูหยินใหญ่ของสกุลจางในวันหน้า ทว่าคำพูดคำจาก็ไม่ให้ความเคารพยำเกรงสักเท่าไหร่ นางสั่งให้บ่าวอีกสองคนไปปูเตียงโดยไม่มองหน้าหลูซื่อสักแวบ
หลูซื่อนิ่งคิดครู่เดียวก็ใจหายวาบ นางกล่าวอย่างตื่นตะลึง “นี่…นี่เป็นเรือนของจางฮูหยินท่านนั้นหรือ” หลูซื่อได้ยินจากหลี่เสี่ยวเหมยว่าอนุสองคนในเรือนมีส่วนพัวพันกับการสิ้นชีพของจางฮูหยินอย่างมาก ครั้นคิดถึงว่าขณะนี้ตนเองอยู่ในเรือนพำนักเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ของคนที่ถูกให้ร้ายจนถึงแก่ความตาย นางก็อดขนลุกเกรียวไปทั้งตัวไม่ได้
“ท่านกล่าวอย่างนี้ก็ไม่ผิด เพียงแต่จากนี้ไปที่นี่คือเรือนของท่าน ฮูหยินของสกุลจางคนใหม่” บ่าวคนนั้นพูดจบก็ไม่สนใจหลูซื่ออีก ปิดปากเงียบรอจนอีกสองคนปูเตียงในห้องเรียบร้อยแล้วออกมารายงาน นางค้อมตัวเล็กน้อยเป็นการคารวะพร้อมเอ่ย “ฮูหยิน เชิญท่านพักผ่อน อาหารสามมื้อจะมีคนนำมาส่งให้ตรงเวลาทุกวัน สามวันให้หลังก็จะเป็นฤกษ์มงคลแล้ว ถึงเวลานายท่านจึงจะต้อนรับท่านตามธรรมเนียม”
บ่าวพวกนั้นไม่รอดูท่าทีของหลูซื่อกับบุตรสาว พากันออกไปจากห้องและลั่นกุญแจจากทางด้านนอกเสียงดังกริ๊ก
จนเสียงฝีเท้าของพวกนางห่างไปไกล อี๋อวี้ผละจากอ้อมอกของมารดา กล่าวขึ้นทันที “ท่านแม่ ไปดูกันว่าหน้าต่างปิดหมดหรือไม่”
หลูซื่อได้ยินวาจานี้รีบเดินไปตรวจดูหน้าต่างหลายจุด น่าเสียดายที่พวกนางเสาะหาไปทั่วทั้งเรือนแล้ว ไม่พบหน้าต่างที่เปิดอยู่สักครึ่งบาน ประตูบานเดียวที่เชื่อมต่อไปยังชั้นสองก็ลงกลอนไว้อย่างแน่นหนา
“ท่านแม่” อี๋อวี้ถูกหลูซื่อจูงเข้าไปห้องนอนแล้วนั่งบนเตียงที่ปูผ้าไว้เรียบร้อย นางซุกหน้ากับอกมารดา ร้องเรียกอย่างคับข้องใจ
หลูซื่อถอนใจเฮือกหนึ่งเบาๆ ไม่พูดไม่จาเป็นนานจนอี๋อวี้รู้สึกเย็นวูบหนึ่งตรงหน้าผาก นางเงยหน้ามองเข้าไปในดวงตาฉาบด้วยม่านน้ำตาของมารดาแล้วแตกตื่นโดยพลัน “ท่านแม่ ท่านอย่าร้องไห้ พวกเราคิดให้ดีๆ อีกที จะอย่างไรก็ต้องหาทางออกได้นะเจ้าคะ”
หลูซื่อส่ายหน้าเบาๆ กล่าวเสียงเครือ “อวี้เอ๋อร์ แม่ไม่เอาไหนมากใช่หรือไม่ ถึงขั้นนี้แล้วยังต้องให้เจ้าปลอบใจ”
อี๋อวี้รีบสั่นศีรษะ นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่กอดมารดาแน่นๆ เวลานี้นางเองก็หมดปัญญา ในเมื่อถูกพาตัวมาถึงที่นี่แล้ว ด้านนอกต้องมีคนเฝ้าดูอยู่แน่นอน ถึงหนีออกจากห้องนี้ได้คงยากจะหนีพ้นจวนหลังนี้ หนทางสุดท้ายของพวกนางถูกปิดตายไปแล้ว หลูซื่อจะร่ำไห้น้ำตารินด้วยความหวั่นวิตกก็เป็นเรื่องธรรมดา
กระนั้นชาติที่แล้วอี๋อวี้เป็นพวกดันทุรังที่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ยามเข้าตาจน นางอาจรู้สึกแตกตื่น หวาดกลัว และอับจนปัญญา แต่ไม่เคยคิดถอดใจยอมแพ้ ตราบใดที่มารดาของนางยังไม่ได้เป็นจางฮูหยิน นางก็ไม่ยอมงอมืองอเท้า จะพยายามคิดหาวิธีการให้หลุดพ้นจากสถานการณ์ลำบากนี้ให้จงได้ คืนนี้ก่อนจะถูกพาตัวออกจากหมู่บ้านเค่าซาน นางอาจสะเทือนใจกับการกระทำของหนิวซื่อก็จริง ทว่ามิได้ท้อแท้สิ้นหวัง คงเพราะนางเป็นคนที่ตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ส่งผลให้ไม่ว่าเรื่องใดล้วนปลงตกได้มากกว่า
ฝ่ายหลูซื่อร้องไห้อยู่แค่ครู่เดียวก็เช็ดน้ำตาจนแห้ง สายตาของนางแข็งกร้าวขึ้นทีละน้อยละม้ายคิดอะไรได้ ใต้แสงเทียนอี๋อวี้เห็นสีหน้าฉายอารมณ์ปรวนแปรของมารดาได้ชัดถนัดตา ขณะที่กำลังฉงนใจอยู่ ได้ยินนางกล่าวเสียงลอดไรฟัน “นอกจาก…แล้วแม่ไม่เคยเจ็บช้ำน้ำใจเช่นนี้มาก่อน เพียงนึกชังที่พวกเราสองแม่ลูกอ่านคนไม่เป็นแล้วยังพานพบกับคนถ่อย อีกทั้งเป็นสตรีอ่อนแอไร้ทางสู้ แต่พวกเขานึกว่ารับข้าเป็นภรรยาแล้วไม่ต้องวิตกอะไรอย่างนั้นหรือ หากวันหนึ่งพวกพี่ชายของเจ้ากลับมา แม่จะให้เจ้าคนบัดซบพวกนี้ต้องชดใช้แน่”
อี๋อวี้ได้ยินวาจานี้รวมถึงท่าทางที่กลับมาหลักแหลมเฉียบขาดดังเดิมของมารดา กลับสร้างความกังวลให้นางยิ่งขึ้น เพราะถ้อยคำนี้เผยให้รู้ว่ามารดาคิดที่จะยอมรับชะตากรรมนี้แล้วอย่างโจ่งแจ้ง นางเร่งรีบพูดปราม “ท่านแม่ ท่านอย่าพูดเหลวไหลสิ ตอนนี้แผนการของพวกเขายังไม่สำเร็จมิใช่หรือเจ้าคะ บ่าวคนนั้นก็บอกแล้วว่ายังต้องรออีกสามวัน”
สีหน้าของหลูซื่อคลายความดุดันลง นางหันไปมองบุตรสาวด้วยแววตาที่เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนพลางกล่าว “เด็กโง่ แม่โกรธจนเหลืออดถึงพูดแบบนี้ ให้แต่งงานกับคนต่ำช้าพรรค์นั้น ถึงตายแม่ก็ไม่ยอม แม่ไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจะกล้าไม่ไยดีความเป็นความตายของคนอื่นจริงๆ เอาล่ะ ลูกแม่เอนตัวลงนอนครู่หนึ่งเถอะ วุ่นวายมาทั้งคืนคงเหนื่อยแล้ว มีอะไรไว้ตื่นขึ้นมาพวกเราค่อยหารือกันอีกที”
อี๋อวี้รู้ว่าตอนนี้ดึงดันต่อไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ถึงอย่างไรร่างกายของเด็กน้อยอ่อนล้าได้ง่าย มิสู้นอนพักผ่อนให้เต็มที่ดีกว่าจริงๆ นางซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มอย่างเชื่อฟัง ให้หลูซื่อโอบกอดไว้และตบก้นกล่อมนอน จากนั้นค่อยๆ เข้าสู่ภวังค์นิทราลึก
กระนั้นความเป็นจริงทำให้ความหวังที่เหลืออยู่ของทั้งสองต้องดับมอดลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภายหลังพวกนางลองแอบหนีตอนมีคนมาส่งข้าวส่งน้ำและจังหวะไปเข้าเวจ แต่เล็ดลอดไปถึงประตูลานเรือนก็ถูกจับตัวกลับมาขังดังเก่า ซ้ำยังมีคนเฝ้าเอาไว้อย่างแน่นหนายิ่งขึ้นในคราวต่อไป จวบจนวันที่สาม แม่ลูกสองคนก็คิดหาทางออกใดๆ ไม่ได้อีก
กลางดึก บ่าวไพร่ที่เฝ้าประตูเรือนผลัดเปลี่ยนเวรยามกัน หัวหน้าหญิงรับใช้คนที่พาหลูซื่อกับบุตรสาวเข้ามาในวันแรกกำลังพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับหญิงรับใช้ที่เพิ่งเข้าเวรเฝ้าหน้าประตูแทน
“เป็นอย่างไรบ้าง สองคนข้างในยังคิดจะหนีอีกหรือไม่”
“วันนี้สงบเสงี่ยมดี ไม่ได้เล่นลวดลายลูกไม้อะไร เห็นทีคงรู้ว่าพรุ่งนี้พอเข้าพิธีแล้ว ถึงก่อกวนไปก็เปล่าประโยชน์กระมัง เฮ้อ…ว่าง่ายๆ แต่แรกคงดี ทำให้พวกเราดึกๆ ดื่นๆ พลอยไม่ได้นอนหลับพักผ่อน แม้แต่ท่านยังถูกส่งตัวมาด้วย”
“ฮึ ตอนนี้ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว วันหลังพวกนางไม่แคล้วต้องเจอดี หลิ่วอี๋เหนียงกำลังรอระบายความโกรธที่สุมอกอยู่”
“นั่นน่ะสิ บอกว่ามีทายาทสืบสกุลอะไรกัน อย่าว่าแต่แม่ไก่แก่พรรค์นั้นยังออกไข่ได้หรือไม่ ตามความเห็นข้า ต่อให้ตั้งครรภ์ก็ใช่ว่าจะคลอดออกมาได้เสมอไป”
“ชู่ว์… คำนี้เจ้าพูดได้หรือ”
พวกนางเงียบเสียงไปพักหนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน “ท่านป้าทั้งสอง”
“อุ๊ย! นี่มิใช่หูเตี๋ยหรือ ไฉนผ่านมาทางนี้ได้ หรือว่าคุณชายเจิ้งมีอะไรจะสั่งกำชับ”
“อื้อ คุณชายบอกให้ข้าเข้าไปหว่านล้อมคนที่อยู่ข้างใน เลี่ยงมิให้นางก่อเรื่องขึ้นในงานมงคลวันพรุ่งนี้ ช่วยเปิดประตูเถอะเจ้าค่ะ”
หญิงรับใช้สองคนขานรับแล้วเปิดประตูให้นางเข้าไป
หลูซื่อกับอี๋อวี้นั่งอยู่บนเตียงในห้องกำลังเค้นสมองครุ่นคิดแผนการว่าจะหลบหนีตอนพิธีมงคลวันพรุ่งนี้อย่างไร อีกทั้งคนข้างนอกเบาเสียงสนทนาลงไม่ให้พวกนางได้ยิน ครั้นในเรือนมีเสียงไขกุญแจ เปิดประตู ปิดประตู และใส่กุญแจดังต่อๆ กันฉับพลัน ทำให้พวกนางดึงความคิดคืนมา
ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเข้ามาใกล้ หลูซื่ออดกระชับสองแขนกอดอี๋อวี้ไว้กับอกแน่นๆ ไม่ได้ พวกนางเบิ่งตาโตจับจ้องไปที่ประตูห้องนอนอย่างระแวดระวัง เห็นร่างคนผู้หนึ่งถือเชิงเทียนไว้ในมือแหวกม่านเดินเข้ามา
ถึงอยู่ห่างไปเจ็ดแปดก้าว และมีแค่แสงเทียนสลัวๆ ยังคงเห็นเงาร่างอรชรอ้อนแอ้นของหญิงสาวนางนั้นได้รำไร น่าเสียดายที่หลูซื่อกับอี๋อวี้มิใช่บุรุษเจ้าสำราญ ย่อมไร้อารมณ์ชื่นชมความงามของเรือนร่างสตรีเป็นธรรมดา อีกทั้งยามนี้เป็นกลางดึกในต้นฤดูใบไม้ผลิ พวกนางเพียงรู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้าที่ปรากฏกายในเรือนหลังนี้ยามดึกสงัด ช่างน่าสะพรึงกลัวสุดจะเปรียบ
หลูซื่อนึกขึ้นได้ว่าเรือนหลังนี้เดิมเป็นที่พำนักของจางฮูหยิน ยิ่งคิดเลอะเทอะเหลวไหล ยิ่งคิดยิ่งขนพองสยองเกล้า นางเอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงสั่นเทาอยู่บ้าง “เจ้าเป็นใคร เป็นคนหรือผี!”
คนผู้นั้นดูเหมือนจับน้ำเสียงตื่นกลัวของนางได้ จึงหยุดฝีเท้าไม่ก้าวเข้ามาใกล้ กลับเลื่อนเชิงเทียนมาเบื้องหน้าให้พวกนางเห็นใบหน้าของตนชัดๆ และพูดกับหลูซื่อด้วยสุ้มเสียงเบายิ่งขึ้น “ท่านน้า ไม่ต้องกลัว เป็นข้าเอง”
หลูซื่อซึ่งใจเต้นไม่เป็นส่ำแลเห็นกิริยาท่าทางของนางแล้วอึ้งงันไป ยังคงเป็นอี๋อวี้ที่ตาไว หลังพิศดูแล้วรู้สึกว่ารูปโฉมของคนตรงหน้าคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมาก่อน ความคิดหนึ่งสว่างวาบขึ้นในหัว ไม่ใช่ง่ายๆ กว่านางจะสะกดเสียงอุทานที่แล่นขึ้นมาถึงลำคอไว้แล้วกระซิบถาม “พี่เซียงเซียง?”
สตรีผู้นั้นคิดไม่ถึงว่าอี๋อวี้จะจดจำนางได้ก่อน หลังจากหายตกตะลึงแล้วนางก็หยักยิ้มมุมปาก กล่าวเสียงเบาๆ “เป็นข้าเอง เจ้าคือเสี่ยวอวี้กระมัง โตขนาดนี้แล้วหรือนี่”
เวลานี้หลูซื่อถึงจำได้ว่านางคือหลิวเซียงเซียงที่ถูกลูกน้องของเจิ้งลี่พาตัวไปจากหมู่บ้านเค่าซานในครั้งนั้นนั่นเอง พริบตาเดียวผ่านไปสี่ปีแล้ว บัดนี้หลิวเซียงเซียงสลัดคราบอ่อนเยาว์ออกไปจนหมดสิ้น แม้จะสางผมมวยแบบหญิงสาว แต่ใบหน้าของนางแฝงเค้าของสตรีที่ผ่านมือชายมาก่อน หลูซื่อเพ่งสายตามองเห็นความแตกต่างนี้ พลางหวนนึกถึงเรื่องราวในตอนนั้นแล้วอดแปลบปลาบใจไม่ได้
“ที่แท้เป็นเซียงเซียง เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
หลิวเซียงเซียงเห็นพวกนางจดจำตนเองได้แล้ว จึงวางเชิงเทียนลงบนโต๊ะใกล้ตัว สืบเท้าขึ้นหน้าสองก้าวไปนั่งบนขอบเตียง ยกนิ้วชี้จรดริมฝีปาก จากนั้นลดสุ้มเสียงลงเล่าเรื่องให้หลูซื่อฟังคร่าวๆ
สี่ปีก่อนหลังจากถูกพาตัวกลับมาที่ตำบลจาง นางก็เป็นสาวใช้อยู่ในเรือนของเจิ้งลี่ ต่อมาเพราะนางเชื่อฟังคำสั่ง เลยพอจะทนอยู่ไปได้อย่างแกนๆ เนื่องจากเจิ้งลี่พำนักอยู่ในเรือนด้านข้างของสกุลจาง ทำให้ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาไม่ขาดสาย พอวันปีใหม่ผ่านไป นางได้ยินว่านายท่านจางจะตบแต่งภรรยาคนที่สอง ทั้งมีคนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นมาบอกนางอีกว่าว่าที่ฮูหยินคนใหม่เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันกับนาง ด้วยล่วงรู้เบื้องหลังที่สกปรกโสมมพวกนั้นของสกุลจางดี นางบังเกิดความวิตกกังวลจึงสืบข่าวอย่างละเอียด แล้วก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินว่าเจ้าสาวคือหลูซื่อ เดิมนึกว่าเป็นความยินยอมพร้อมใจกันสองฝ่าย และคิดแค่ว่าหลูซื่อไม่รู้ถึงความชั่วช้าเลวทรามในจวนสกุลจาง ถึงได้เพียรหาโอกาสพบหน้าหลูซื่อสักครั้ง
จนใจที่เจิ้งลี่ควบคุมคนในเรือนเข้มงวดยิ่งนัก ปกติจะไม่ยอมให้นางห่างกายนานเกินไป จนกระทั่งได้ยินว่าหลูซื่อกับบุตรสาวถูกขังอยู่ในเรือนพำนักของจางฮูหยินที่ล่วงลับไป นางรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลของเรื่องนี้ ดังนั้นวันนี้อาศัยจังหวะเจิ้งลี่เมาสุราตะล่อมถามได้ความจริงมาไม่น้อย นางตระหนกตกใจจนต้องรีบลอบมาที่เรือนแห่งนี้ลับหลังเขา ยามเฝ้าประตูรู้ว่านางเป็นสาวใช้คนสนิทข้างกายเจิ้งลี่ พอได้ยินคำอธิบายก็ปล่อยให้นางเข้ามาโดยไม่เฉลียวใจ
หลูซื่อไม่มีเวลาสะทกสะท้อนใจ ฟังจบนางคว้ามือของเด็กสาวที่วางอยู่บนผ้าห่มมาจับไว้แน่นๆ พร้อมเอ่ยถาม “เจ้าแอบมาที่นี่ไม่เป็นไรกระมัง รีบกลับไปเสียเถอะ ประเดี๋ยวเขาจับได้จะลงโทษเจ้าอีก” แม้คำบอกเล่าของหลิวเซียงเซียงไม่ใคร่ชัดเจนนัก แต่มีหรือหลูซื่อจะไม่แจ่มแจ้งสถานะในยามนี้ของอีกฝ่าย นางเป็นแค่สาวใช้ห้องข้าง ที่พอจะอวดสายตาใครๆ ได้บ้างในเรือนของคุณชายคนหนึ่งเท่านั้น หากกระทำเรื่องที่ไม่สำนึกในฐานะตน ผู้เป็นนายย่อมทุบตีหรือฆ่าแกงได้ตามอำเภอใจมิใช่หรือ
อี๋อวี้กลับคิดไปไกลกว่ามารดา หัวสมองของนางเริ่มแล่นอีกครั้งหลังจากเห็นหลิวเซียงเซียง พอหายตื่นตกใจก็บังเกิดความหวังเพิ่มขึ้นหลายส่วน แต่เมื่อได้ยินหลูซื่อถามจบ นางจำต้องปัดความคิดที่ผุดขึ้นในหัวทิ้งไป หลิวเซียงเซียงมิได้อยู่ในสถานะที่ดีนักจริงๆ ในเวลาคับขันอย่างนี้ยังกล้าเสี่ยงอันตรายมาหาพวกนางสองแม่ลูกเป็นเรื่องไม่ง่ายดายแล้ว เทียบกับการกระทำของหวังซื่อกับบุตรสาวรวมถึงหนิวซื่อ นางเหนือกว่าตั้งไม่รู้กี่เท่า แล้วตนเองจะทำให้นางเดือดร้อนไปด้วยอย่างเห็นแก่ตัวได้เช่นไรกัน
คาดไม่ถึงว่าหลิวเซียงเซียงฟังคำกล่าวของหลูซื่อแล้วจะย้อนถาม “ท่านน้า ข้ารู้แค่ว่าท่านถูกขังอยู่ที่นี่รอเข้าพิธีมงคล แสดงว่าท่านคงไม่เต็มใจ จะเล่าให้ข้ารู้สักนิดได้หรือไม่ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร”
หลูซื่อเห็นนางมีท่าทางสุขุมเยือกเย็น ก็เล่าสั้นๆ ว่าหวังซื่อกับบุตรสาวและแม่สื่อหวังวางอุบายให้ร้ายตนเอง และถูกจับตัวมาที่นี่กลางดึกได้อย่างไรรอบหนึ่ง
หลิวเซียงเซียงฟังนางเล่าจบ ลุกขึ้นย่ำเท้าวนไปวนมาในห้องอยู่หกเจ็ดรอบถึงหมุนกายก้าวฉับๆ มาที่หน้าเตียง พูดกับหลูซื่อเสียงเบาๆ “ท่านน้า ท่านกับเสี่ยวอวี้รีบเก็บข้าวของโดยไว ข้ามาที่เรือนหลังนี้หลายครั้ง ชั้นสองมีหน้าต่างอยู่บานหนึ่งสามารถกระโดดออกไปที่ถนนด้านหลังได้ ตอนข้ามาที่นี่ กลัวพวกหญิงรับใช้จะไม่ให้เข้าเลยขโมยพวงกุญแจของเจิ้งลี่มา ในนั้นมีกุญแจของชั้นสองด้วย ประเดี๋ยวข้าจะปล่อยให้พวกท่านหนีไป หลังจากนั้นพวกท่านก็รีบหนีไปให้ไกลที่สุด”
หลูซื่อกับอี๋อวี้ตกใจไปตามๆ กัน อี๋อวี้อดพูดขึ้นไม่ได้ “พวกข้าไปแล้ว ท่านจะทำอย่างไร”
หลิวเซียงเซียงหัวร่อเบาๆ แล้วกล่าว “ข้าแค่แกล้งนอนหมดสติไป รอเมื่อมีคนมาพบ ค่อยบอกว่าพวกเจ้าตีหัวข้าจนสลบแล้วหนีไปก็หมดเรื่อง เจิ้งลี่โปรดปรานข้ามาก คงไม่เอาผิดกับข้าหรอก”
อี๋อวี้อาจไม่แจ่มแจ้งเรื่องในเรือนหลังของตระกูลใหญ่เหล่านี้ แต่หลูซื่อรู้ซึ้งดี นางจับมือหลิวเซียงเซียงไว้พลางพูด “ไม่ได้ เจ้านึกว่าข้าเป็นคนโง่หรือ” ถ้าหลิวเซียงเซียงได้รับความโปรดปรานมากจริงๆ ไฉนผ่านมาสามปีแล้ว เจิ้งลี่ไม่แม้แต่จะยกฐานะนางขึ้นเป็นอนุ
อี๋อวี้นึกแค่ว่าหลูซื่อกลัวว่าพวกนางไปแล้ว หลิวเซียงเซียงจะถูกเอาผิด เมื่อนางคิดไปถึงเจิ้งลี่ที่ได้พบหน้าเมื่อหลายราตรีก่อน ส่งผลให้พลอยเป็นห่วงไปด้วย นางกลอกตาทีหนึ่งแล้วเอ่ยกับหลิวเซียงเซียง “พี่เซียงเซียง ข้าว่าท่านไปพร้อมกับพวกข้าเถอะ”
หลูซื่อพูดผสมโรงอยู่ด้านข้าง “นั่นสิ เซียงเซียง ไปกับน้านะ”
มารดาของหลิวเซียงเซียงแซ่จ้าว ล้มป่วยจากไปในปีที่บุตรสาวถูกพาตัวไปชดใช้หนี้แทน พิธีศพยังต้องให้คนในหมู่บ้านช่วยกันจัดให้ ตอนนั้นทุกคนเคยไปหาสองพี่น้องสกุลหลิว ตัวพี่ใหญ่หลิวกุ้ยนั้นไม่รู้ว่าไปอยู่แห่งหนตำบลใด ส่วนหลิวเซียงเซียงถูกกักอยู่ในจวนสกุลจางไม่ให้พบปะผู้ใด ฉะนั้นบัดนี้นับได้ว่านางมีตัวคนเดียวโดดเดี่ยวแล้ว
หลิวเซียงเซียงได้ยินคำพูดของพวกนางแล้วจิตใจเอนเอียงอยู่มาก แต่พอคิดถึงว่าสัญญาขายตัวยังอยู่ในมือเจิ้งลี่ จะไปที่ใดล้วนต้องเป็นบ่าวไพร่อยู่ดี ด้วยเหตุนี้นางจึงกล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมอง “ข้าไปไม่ได้ ในมือของเจิ้งลี่มีสัญญาขายตัวของข้าอยู่”
หลูซื่อรู้ว่านางกังวลใจอะไรอยู่ รีบจับมือนางแล้วพูดทันที “เซียงเซียง พวกเราไปที่ด่านใน กัน พวกนั้นตามไปไม่ถึงที่นั่นหรอก พอเข้าใกล้เขตเมืองหลวงแล้วหาหมู่บ้านเงียบสงบสักแห่งเป็นที่พำนัก ถึงตอนนั้นหลูจื้อสอบเข้ารับราชการเสร็จแล้ว ต่อให้พวกนั้นตามมาพบจริงๆ จะทำอะไรพวกเราได้ หรือว่าเจ้าชมชอบชีวิตในเวลานี้เล่า”
หลิวเซียงเซียงใคร่ครวญชั่วอึดใจก็คล้อยตามคำหว่านล้อมของพวกนาง สองแม่ลูกสกุลหลูปีติยินดีอยู่ครู่หนึ่งถึงจัดเก็บสัมภาระอย่างเบาไม้เบามือ อี๋อวี้สำรวจไปทั่วห้องรอบหนึ่งอย่างว่องไวแล้วตามหลิวเซียงเซียงออกไปเงียบๆ พวกนางวางเชิงเทียนทิ้งไว้บนโต๊ะ คลำทางในความมืดขึ้นไปชั้นสอง
หลิวเซียงเซียงยืนอยู่หน้าบานประตูที่ปิดสนิทของชั้นสอง ลองไขกุญแจอยู่พักหนึ่ง พอมีเสียงกริ๊กดังขึ้น ทั้งสามดีอกดีใจไปตามๆ กัน พวกนางค่อยๆ ผลักประตูไม้ที่ไม่มีคนแตะต้องมาเนิ่นนานบานนี้เปิดออกอย่างเบามือไม่ให้มันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด จากนั้นเบี่ยงกายเข้าไปทีละคน
หลูซื่อกระโดดลงจากหน้าต่างกว้างราวสองช่วงบ่าบานนั้นเป็นคนแรก ใต้แสงจันทร์ อี๋อวี้เห็นได้ชัดเจนว่าข้างนอกหน้าต่างนี้เป็นตรอกสายหนึ่งบนถนนด้านหลังของตำบลจาง เนื่องจากลักษณะของพื้นที่เป็นเหตุ เรือนหลังนี้ถูกสร้างตรงเชิงเนิน ทำให้ชั้นสองห่างจากตรอกราวคนสองคนยืนต่อตัวกัน ถึงจะดูสูงจนน่าพรั่นใจ แต่พื้นถนนเป็นดินอ่อนนุ่ม ขอแค่ระวังไม่ให้ข้อเท้าพลิกตอนกระโดดลงไปก็นับว่าปลอดภัยมาก
ขณะที่อี๋อวี้นึกด้วยความยินดีเต็มอกว่าพวกนางกำลังหนีออกจากสถานที่อัปมงคลแห่งนี้ได้ เสียงร้องเอะอะของสตรีพลันลอยแว่วมาเป็นระลอกๆ นางเงี่ยหูฟัง รู้ว่าเป็นหญิงรับใช้ที่เฝ้าอยู่นอกประตูพวกนั้นตะโกนเรียกคนมา เพราะพบว่าพวกนางไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว
หลิวเซียงเซียงได้ยินเสียงเอ็ดอึงจากชั้นล่างเช่นกัน สีหน้าผ่อนคลายในทีแรกแปรเป็นตึงเครียดขึ้นอีกครา นางละล้าละลังอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะผลักอี๋อวี้เบาๆ ทีหนึ่งพลางบอก “เสี่ยวอวี้ เจ้าลงไปก่อน” ว่าแล้วหมุนกายตั้งท่าจะไป
อี๋อวี้กลับไม่ฟังเสียงนาง นอกจากไม่กระโดดลงไป ยังยื่นมือไปยุดข้อศอกนางไว้ และกล่าวเสียงร้อนรน “พี่เซียงเซียง พี่จะทำอะไร”
หลิวเซียงเซียงฝืนเก็บงำสีหน้าหม่นเศร้า หันไปส่งยิ้มให้นางพร้อมพูด “ข้าจะไปปิดประตูให้สนิท เจ้าลงไปก่อนนะ”
“ไม่เอา พวกเราลงไปด้วยกัน” ใต้แสงจันทร์ วงหน้างามเกลี้ยงของหลิวเซียงเซียงซีดเผือดกว่าแสงเทียนในห้องชั้นล่าง อี๋อวี้เห็นรอยยิ้มของนาง ใจลอยหวนคิดถึงเงาร่างใต้แสงแดดยามเที่ยงเมื่อสี่ปีก่อนแล้วรู้สึกวาบลึกในอก ไม่ว่าพูดอย่างไรก็ไม่ยอมคลายมือออก นางสังหรณ์ใจว่าถ้าปล่อยหลิวเซียงเซียงไปตอนนี้ เกรงว่าภายภาคหน้าจะไม่ได้พบกับสตรีมากน้ำใจผู้นี้อีก
หลิวเซียงเซียงไม่ได้ระวังตัวสักนิดก็ถูกเด็กหญิงดึงรั้งไว้ ซ้ำไม่ทันตั้งสติได้ยังถูกผลักไปที่ข้างหน้าต่างอีก ยามนี้มีเสียงฝีเท้าจากชั้นล่างดังกระชั้นเข้ามา เมื่อสถานการณ์จวนตัว นางไม่คิดมากอีก อุ้มอี๋อวี้แล้วโผนตัวกระโดดลงไป ทั้งคู่ได้ยินเสียงลมผ่านริมหูวูบหนึ่ง ตัวก็หล่นลงมาอยู่บนพื้นแล้ว
หลูซื่อไม่รู้ถึงบทสนทนาสั้นๆ ของพวกนางตอนอยู่ข้างบน เพียงรีบเข้าไปพยุงทั้งสองคนลุกขึ้น ได้ยินอี๋อวี้กล่าวเสียงร้อนรน “ท่านแม่ รีบไปเร็วเข้า พวกนั้นไหวตัวทันแล้ว”
ทั้งสามคนต่างประคองกันและกัน พร้อมทั้งเร่งฝีเท้าวิ่งหนีไปอีกทางหนึ่งอย่างสุดกำลัง ทิ้งเสียงโหวกเหวกโวยวายอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงของหญิงรับใช้หลายคนไว้ด้านหลัง พอพวกนางทะลุผ่านตรอกสองสายมาถึงถนนใหญ่นอกตำบลก็เริ่มหมดแรง ยังคงเป็นหลูซื่อที่ร่างกายแข็งแรง พอได้ยินเสียงร้องตวาดของบุรุษดังแว่วๆ อยู่เบื้องหลัง มือหนึ่งฉุดเด็กสาว มือหนึ่งฉุดเด็กหญิงฝืนวิ่งต่อไปข้างหน้า
หลิวเซียงเซียงกับอี๋อวี้ได้ยินเสียงร้องตวาดว่า “หยุดนะ!” บ้าง “อย่าหนี!” บ้างที่ลอยมาเป็นระลอก ทำให้คนทั้งคู่ที่หมดกำลังแล้วมีแรงฮึดขึ้นมากะทันหัน กัดฟันวิ่งตามฝีเท้าของหลูซื่อมุ่งหน้าไปทางป่าผืนหนึ่งนอกตำบลในความทรงจำ
พวกนางไม่กล้าเอื้อนเอ่ยวาจาสักครึ่งคำ เพราะพออ้าปากออก ลมดึกเย็นเยียบจะไหลพรูเข้ามาจนเจ็บคอเหมือนกลืนน้ำแข็งที่มีเหลี่ยมมุมแหลมคมลงเข้าไป เสียงอึกทึกข้างหลังดังขึ้นทุกขณะ อี๋อวี้หันหน้าไปมองอย่างอดใจไม่อยู่ เห็นคบไฟหลายอันอยู่ไม่ไกลนักกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้พวกนางมากขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำร้ายได้ยินเสียงคนตะโกนปนเปกับเสียงสุนัขเห่า
อี๋อวี้รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน ขนลุกชันไปทั้งสรรพางค์กาย นางกระชับมือจับฝ่ามือใหญ่ของหลูซื่อไว้ ชำเลืองหางตาไปรอบๆ มองหาที่ซ่อนตัว จนใจที่ที่แห่งนี้กว้างใหญ่เหลือเกิน มีแค่ผืนป่าไกลๆ ที่พอหลบซ่อนได้ แต่เกรงว่ากว่าพวกนางจะไปถึงที่นั่นก็ถูกจับตัวได้แล้ว
“กุบกับ! กุบกับ! กุบกับ!” อี๋อวี้พยายามเบิ่งตากว้างๆ กลางลมหนาว นางเหลือบเห็นรถม้าแล่นพรวดออกมาจากกลางป่าไกลออกไป อาชาพ่วงพีสีปลั่งแก่สองตัวถูกอาบไล้ด้วยแสงจันทร์ แผ่ประกายสีโลหิตน่าพรั่นพรึงรอบกาย ขณะที่ตัวรถม้าสีดำสนิทคล้ายจะกลืนไปกับม่านราตรี กระทั่งสารถีสวมงอบสีน้ำตาลซึ่งกุมสายบังเหียนไว้ในมือหนึ่ง ยังละม้ายยมฑูตจากอเวจีชวนให้รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
อี๋อวี้เอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใดก็สุดรู้ ใช้มือข้างที่กุมมือหลูซื่อไว้แน่นฉุดลากอีกสองคนวิ่งทะยานเข้าไปหารถม้าแปลกประหลาดคันนั้น ยามที่เหลืออีกเพียงสิบกว่าก้าว รถม้าจะแล่นห่างจากพวกนางสองจั้ง ห้วงสมองพลันว่างเปล่าอึงอล นางสะบัดมือของมารดาทิ้งแล้วพุ่งถลาออกไป…
“ฮี้–ฮี้–!” สารถีรั้งสายบังเหียนไว้ก่อนที่รถม้าจะชนเด็กหญิงกระเด็น เจ้าอาชาลักษณะงามสง่าสองตัวยกขาหน้าขึ้นกลางอากาศพร้อมแผดเสียงร้อง
อี๋อวี้ไม่สนใจหลูซื่อกับหลิวเซียงเซียงที่ยังตะลึงพรึงเพริดอยู่ เดินสองก้าวเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้ารถม้า ตะเบ็งเสียงที่สั่นเครือน้อยๆ กล่าวว่า “นายท่านบนรถม้าโปรดช่วยเหลือพวกข้าสามแม่ลูกด้วยเจ้าค่ะ”
สารถีผู้นั้นมองสำรวจคนทั้งสามที่อาภรณ์ผมเผ้ายุ่งเหยิงรุ่ยร่าย ทั้งไม่ตะคอกดุอี๋อวี้ที่กระทำเรื่องอันตรายเมื่อครู่ ทั้งไม่แยแสคำวิงวอนของนางขณะนี้ หมุนกายไปแง้มม่านกั้นประตูรถม้าออกเป็นช่องเล็กๆ เพื่อให้คนข้างในมองเห็นเหตุการณ์ด้านนอกได้ชัดเจน เขาไต่ถามเสียงเบาๆ อย่างนอบน้อม “คุณชาย?”
พอหูได้ยินถ้อยคำนี้ของสารถี ดวงตาเฉกมณีหยดน้ำของอี๋อวี้เพ่งมองเข้าไปในรถม้าผ่านทางมุมหนึ่งของม่านกั้นที่ถูกเปิดออก แต่เพราะไร้แสงสว่างทำให้มองไม่เห็นเงาร่างของคนข้างในสักนิด นางกัดริมฝีปากแน่นทีหนึ่ง โขกศีรษะแรงๆ ให้กับรถม้า ฝืนสะกดอาการสั่นสะท้านไว้แล้วตะโกนพูดขึ้นเป็นคำรบที่สอง “คุณชายได้โปรดช่วยพวกข้าสามแม่ลูกด้วยเจ้าค่ะ ได้โปรดช่วยพวกเราด้วยเจ้าค่ะ”
ท่าทางของอี๋อวี้สร้างความขัดเคืองใจให้สารถี ทว่าคนที่นั่งอยู่ในรถม้าไร้ปฏิกิริยาใดๆ เวลาเพียงครู่เดียวบ่าวในเรือนสกุลจางที่ไล่ตามหลังพวกนางสามคนกลุ่มนั้นก็เข้ามาใกล้ ยามนี้อี๋อวี้ร้อนใจดุจไฟลน ตอนแรกเห็นคนที่ไล่ล่าตามมา นางอยากจะให้บนพื้นดินมีโพรงสักโพรงหนึ่งโผล่ออกมา พวกนางจะได้กระโดดลงไปซ่อนตัวได้ แต่ยังหาโพรงไม่เจอกลับเห็นรถม้าพุ่งออกมากะทันหัน ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด ตอนนั้นหัวสมองไม่ทันได้หยุดคิดใคร่ครวญ สองเท้าก็ออกวิ่งไปทางรถม้าคันนี้ จวบจนนางสะบัดมือจากการเกาะกุมของมารดา เข้าไปขวางหน้ารถม้าตามลำพังแล้วขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย ทั้งหมดล้วนทำไปตามสัญชาตญาณทั้งสิ้น
เพียงเพราะลึกๆ ในใจนางมีลางสังหรณ์บางอย่างว่าสารถีกับคนที่อยู่ในรถม้าตรงหน้านี้จะต้องเก่งกาจกว่าคนที่ไล่ตามพวกนางมาด้านหลังเป็นอย่างมาก ลำพังแค่ดูจากอากัปกิริยาของสารถีผู้นั้นก็ไม่สามัญแล้ว หากไม่มีฝีมือติดตัวอยู่บ้าง มีหรือจะกล้าเดินทางยามวิกาล
แต่หลังจากโขกศีรษะครั้งแรก อี๋อวี้ได้หยุดพักหายใจก็เยือกเย็นลง พร้อมกับตระหนักได้ว่าการกระทำของตนเองแทบไม่ต่างกับการชักพาเภทภัยสู่ผู้อื่นอันเป็นเรื่องที่แล้งน้ำใจอย่างยิ่งเลยทีเดียว ถ้าคนบนรถม้ามีอุปนิสัยโหดเหี้ยมอำมหิต นางคงยั่วโทสะของอีกฝ่ายแล้ว ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงขอความช่วยเหลือ กลัวแต่ว่าจะลงเอยด้วยการหนีเสือปะจระเข้ แม้กระนั้นพอนางขวางหน้ารถม้าไว้ กลับเป็นดังลูกธนูขึ้นสายเต็มเหนี่ยวแล้วไม่ยิงไม่ได้ จำต้องฝากความหวังไว้กับโชคดวงที่เชื่อถือไม่ได้มากที่สุด และวิงวอนต่อสวรรค์ให้อีกฝ่ายมีใจฝักใฝ่คุณธรรมอยู่บ้าง นางถึงโขกศีรษะขอความช่วยเหลือนายท่านในรถม้าซ้ำอีกครั้ง
ทั้งหมดนี้เป็นความคิดที่แล่นอยู่ในหัวของอี๋อวี้ในชั่วไม่กี่อึดใจ ตอนนี้ดวงหน้าที่แดงปลั่งจากการโหมกำลังวิ่งเริ่มเผือดลงเพราะนึกเสียใจทีหลัง จะอย่างไรนี่เป็นร่างกายของเด็กน้อยแปดเก้าขวบ ต้องเหน็ดเหนื่อยมาครึ่งค่อนคืนแบบนี้ก็ถึงขีดจำกัดของมันแล้ว เมื่อได้ยินเสียงคนเอ็ดตะโรกับเสียงสุนัขเห่าด้านหลังคลับคล้ายดังอยู่ข้างหู ประกอบกับสายตาที่แลลอดรอยแยกของม่านกั้นมองเข้าไปภายในตัวรถม้าที่มืดมิด ยังปะทะกับแสงสีเขียวสลัวๆ สองจุดฉับพลัน นางสะดุ้งโหยงในใจ จากนั้นก็สิ้นสติสัมปชัญญะไป
อี๋อวี้ลืมตาขึ้นอย่างเลื่อนลอย รู้สึกแต่เพียงว่าปวดตุบๆ ที่ขมับสองข้าง เธอลุกขึ้นนั่งเหลียวมองรอบตัวอย่างงุนงงอยู่บ้าง ตรงหน้าเป็นผนังสีซีดจางที่ปิดแผ่นโปสเตอร์ไว้เต็มไปหมด มีเตียงนอนสองชั้นตั้งเรียงกันสองเตียง ด้านข้างเป็นตู้เสื้อผ้าแบบอเนกประสงค์วางชิดผนัง เธอลูบผ้าปูเตียงสีเขียวใบไม้ที่ซักจนซีดใต้ตัว แล้วก็หยิบหนังสือเล่มบนสุดจากตั้งหนังสือที่กองพะเนินอยู่ข้างหมอน มองดูชื่อบนปกที่เป็นอักษรตัวบรรจงว่า… ‘ภาษาจีนระดับอุดมศึกษา’ ด้านล่างเป็นตัวอักษรขนาดเล็กลงว่า… ‘เล่มสาม’
เธอพลันรู้สึกว่าสมองชักจะใช้การไม่ค่อยได้แล้ว นี่มันหมายความว่าอะไรกัน ถ้าเธอไม่ได้แก่ชราจนความจำเสื่อมหลงๆ ลืมๆ ที่นี่น่าจะเป็นหอพักนักศึกษาที่เธอเคยอยู่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ตึกหมายเลขสี่ซึ่งเป็นห้องราคาถูกที่สุดอยู่รวมกันได้แปดคน แต่ละชั้นมีห้องน้ำห้องเดียว นักศึกษาหนึ่งร้อยหกสิบคนต้องใช้ก๊อกน้ำหกหัวด้วยกัน
เธอก้มหน้ามองสองมือ แล้วค่อยลูบแขนขยับขา จากนั้นสวมรองเท้าแตะสีแดงเข้มตรงข้างเตียง เดินไปส่องกระจกที่แขวนอยู่เหนือเตียงฝั่งตรงข้าม…หน้าตาธรรมดาๆ ดวงตาธรรมดาๆ จมูกธรรมดาๆ
เธอหมุนตัวกลับไปที่เตียงของตนเอง พลิกเปิดหนังสือหนาๆ เล่มนั้น มันเป็นหนังสือเรียนเทอมแรกของชั้นปีสอง สองบทแรกมีลายมือของเธอจดเลกเชอร์ในห้องไว้อย่างละเอียด ส่วนด้านหลังมีแค่เครื่องหมายที่ทำไว้ตอนอ่านล่วงหน้า เห็นชัดว่าเทอมนี้เพิ่งเริ่มต้นเรียนได้ไม่นาน
อี๋อวี้ถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่งแล้วนั่งลงตรงขอบเตียง เธอคิดในใจอย่างจนปัญญาว่าถ้าไม่ใช่เพราะเธอมั่นใจว่าตนเองเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว รวมถึงมีความทรงจำเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่ในยุคโบราณเกือบห้าปีอย่างชัดเจนในหัว เธอคงนึกว่าตนเองตกอยู่ในห้วงฝันที่ยาวนานมากจริงๆ แต่ตอนนี้มันอะไรกัน หลังจากเธอข้ามภพย้อนอดีตไปห้าปี ก็ฟื้นชีพกลับมาตอนอยู่มหาวิทยาลัยปีสองอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอีกแล้วหรือ
เสียงพูดคุยลอยแว่วมาจากนอกประตู พอเธอพบว่าตนเองออกมาหลบอยู่ที่ระเบียงก็หัวเราะฝืดๆ โดยไม่ออกเสียง นี่เธอจะหลบอะไรกันหรือ
หญิงสาวสองสามคนเดินคุยกันเข้ามาในห้องแล้ว อี๋อวี้ซ่อนอยู่ด้านหลังม่านหน้าต่างตรงระเบียงได้ยินเสียงสนทนาของพวกเธอชัดเจน
“เฮ้อ อี๋อวี้นี่ซวยจริงๆ เพิ่งเลือกตั้งหัวหน้าชั้นคนใหม่ไม่ถึงเดือน ก็ถูกเฉินอิ๋งแกล้งเป็นหนที่สามแล้ว ฉันเห็นอี๋อวี้อยู่โต้รุ่งมาสองคืนเพื่อเร่งทำรายงานบ้าบอคอแตกนั้น” ได้ยินเพื่อนนักศึกษาเอ่ยชื่อของเฉินอิ๋ง แววตาของอี๋อวี้หม่นลง ในหัวมีภาพใบหน้าสวยน่ารักผุดขึ้นอย่างเลือนราง
“นั่นน่ะสิ ทั้งบ้านพักคนชราทั้งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เฉินอิ๋งเป็นคนออกความคิดแท้ๆ แต่พอแบ่งงานจริงๆ กลับโยนให้อี๋อวี้ทั้งหมด เฉินอิ๋งไม่มีน้ำใจเกินไป เหล่าโหวก็จริงๆ เลย ได้ยินว่าเป็นอาจารย์ที่ปรึกษามาสี่ห้าปี ทำไมถึงแยกแยะไม่เป็นนะ กระทั่งว่าคนไหนทำงาน คนไหนพูดแต่ปากก็ยังดูไม่ออก”
“ฮึ เธอจะไปรู้อะไร ที่เฉินอิ๋งกล้าทำแบบนี้เพราะเหล่าโหวทำไม่รู้ไม่ชี้น่ะสิ เฮ้อ…จะเล่าเรื่องหนึ่งให้พวกเธอฟัง พวกเธอต้องเก็บเป็นความลับนะ ตอนเปิดเทอมเลือกตั้งหัวหน้าชั้นคนใหม่ พวกเราสามคนลงคะแนนให้อี๋อวี้ไม่ใช่หรือ ตอนหลังฉันยังถามเหวินเหวินที่นั่งติดกัน ยังมีเพื่อนๆ ผู้ชายอย่างพวกเสี่ยวหลี่จื่อ ก็ลงคะแนนให้อี๋อวี้ทั้งนั้น รวมๆ กันแล้วต้องมีสิบเจ็ดสิบแปดเสียง ห้องของพวกเรามีกันอยู่ทั้งหมดสามสิบห้าคน ต่อให้คนอื่นๆ ที่ฉันไม่สนิทลงคะแนนให้เฉินอิ๋งหมด ตอนเหล่าโหวประกาศผล อี๋อวี้ก็ไม่น่าจะได้แค่หกเสียง พวกเธอว่าจริงไหม”
อี๋อวี้ใจกระตุกวูบหนึ่งอย่างแรง สำหรับเธอแล้วเรื่องนี้นับได้ว่าเป็นการถูกตีแสกหน้าเข้าอย่างจัง ในมหาวิทยาลัยมีกฎตายตัวอยู่ว่าตอนปีหนึ่งให้นักศึกษาเสนอตนเอง เพื่อว่าทุกคนจะได้ใช้เวลาช่วงปีหนึ่งทำความรู้จักและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันเพื่อเลือกตัวแทนของสามปีหลังได้อย่างมั่นใจ พอขึ้นปีสองถึงใช้วิธีลงคะแนนเสียงเลือกตัวแทนคนใหม่
ตำแหน่งหัวหน้าชั้นตอนปีหนึ่งไม่มีส่วนช่วยเหลือใดๆ ในการหางานทำหลังเรียนจบ ขณะที่หัวหน้าชั้นที่ได้รับเลือกตั้งใหม่ในปีสอง ทางมหาวิทยาลัยจะช่วยจัดหางานที่มั่นคงให้ อี๋อวี้จำได้แม่นว่าในการเลือกตั้งหัวหน้าชั้นที่มีแค่เธอกับเฉินอิ๋งสองคน ตนเองพ่ายแพ้ให้อีกฝ่ายอย่างยับเยินด้วยคะแนนหกต่อยี่สิบเก้าเสียง ตอนนั้นนอกจากตื่นตะลึงแล้ว เธอยังรู้สึกงุนงงและน้อยใจ นึกว่าพวกเพื่อนๆ ไม่พอใจการทำงานและผลการเรียนของเธอ คิดไม่ถึงเลยว่ามันยังมีลับลมคมในซ่อนอยู่อย่างนี้
หญิงสาวสามคนที่พูดคุยกันอยู่เป็นเพื่อนร่วมหอของอี๋อวี้ เมื่อครั้งที่อี๋อวี้เป็นหัวหน้าชั้นตอนปีหนึ่ง ทุกคนยังสนิทสนมกันดี แต่หลังจากแพ้การเลือกตั้งใหม่ตอนปีสอง เธอก็หลบหน้าพวกเพื่อนร่วมห้องโดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้ค่อยๆ ห่างกันไป ตอนนี้มาคิดดูแล้ว แรกๆ คนรอบข้างมากมายยังเป็นมิตรกับเธอดี ทว่าตอนนั้นเธอถูกภาพลวงบังตา เอาแต่นึกว่าทุกคนไม่พอใจเธอเลยปลีกตัวอยู่คนเดียวมากขึ้น นอกจากรุ่นพี่สองคนที่รู้จักในวิชาพละศึกษาแล้ว เธอไม่มีเพื่อนเลยสักคน
“ไม่จริงมั้ง เหล่าโหวจะใจกล้าเกินไปแล้ว เรื่องแบบนี้ยังกล้าทำ!”
“ชู่ว์…เบาๆ หน่อยสิ คนอื่นได้ยินเข้าจะทำอย่างไร”
“นี่เธอก็ทำเกินไปแล้วนะ เรื่องใหญ่ขนาดนี้น่าจะบอกกันแต่แรก อี๋อวี้น่าสงสารชะมัด ถูกเหล่าโหวแกล้งแบบนี้”
“เชอะ! เจ้าตัวยังไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลย คืนนั้นพอฉันรู้เรื่องนี้ก็เสียบกระดาษโน้ตไว้ในหนังสือวิชาการเมือง เพราะอยากจะคุยด้วย ขอแค่อี๋อวี้ต้องการ ฉันกับเพื่อนๆ อีกหลายคนก็พร้อมเป็นพยานให้ ไปฟ้องร้องเหล่าโหวซะให้เข็ด แต่เจ้าตัวไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ แล้วฉันจะทำอะไรได้ บางทีอี๋อวี้อาจจะกลัวทำให้เหล่าโหวไม่พอใจ ถึงไม่อยากออกหน้าน่ะ”
คำสนทนาต่อจากนั้นของหญิงสาวทั้งสามอี๋อวี้ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะฟังแล้ว เสียงหัวใจที่เต้นรัวแรงกับเสียงอื้ออึงในหูทำให้เธอกำมือเป็นหมัดแน่นอย่างห้ามไม่อยู่ หนังสือวิชาการเมืองหรือ? ตลอดสามปีในมหาวิทยาลัย เธอช่วยงานเฉินอิ๋งมากมายหลายเรื่อง แต่มีครั้งเดียวที่ได้รับคำ ‘ขอบคุณ’ ก็คือตอนปีสองที่อีกฝ่ายยืมหนังสือวิชาการเมืองของเธอไปแล้วเอามาคืนให้! ถ้าเธอรู้ว่ามีความจริงที่สุดแสนจะสำคัญเสียบอยู่ในหนังสือเล่มนั้นล่ะก็ เธอไม่มีวันตอบว่า ‘ไม่เป็นไร’ ตอนเฉินอิ๋งกล่าวคำขอบคุณอย่างเด็ดขาด
เรื่องราวล่วงเลยมาจนบัดนี้แล้วเพิ่งประจักษ์ได้ว่าตนเองช่างน่าขำอย่างนี้ เธอกลับหวังว่าสิ่งที่ได้ยินได้เห็นตอนนี้เป็นเพียงความฝัน ทำไมสวรรค์ต้องเล่นตลกกับเธอแบบนี้ด้วย ให้เธอข้ามภพไปในอดีตตั้งหลายปีแล้วดันส่งตัวเธอกลับมา หนำซ้ำยังให้เธอได้ยิน ‘ความจริง’ พวกนี้อีก
เวลานี้เธอคิดแต่จะกลับไป กลับไปอยู่ข้างๆ แม่ของเธอ ยังมีพี่ชายอีกสองคน เธออยากพบหน้าพวกเขาเดี๋ยวนี้แทบใจจะขาด แต่จะทำอย่างไรได้ เธอกลับไปไม่ได้แล้วใช่ไหม
ในใจอี๋อวี้ปั่นป่วนพลุ่งพล่านระลอกหนึ่ง ทันใดนั้นมีเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างหู
“เสี่ยวเฮย เจ้าทำงานประสาอะไรกัน ให้เจ้าตรวจดูร่างกายของนาง เจ้ากลับพานางมาที่นี่ทำอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะข้าตามมาดู เจ้าคิดจะยัดนางกลับเข้าไปในท้องแม่ด้วยเลยไหมล่ะ”
เธอหันขวับไปด้านหลัง กลับมองเห็นแค่ราวรั้วระเบียงที่ว่างเปล่า แต่ยังได้ยินอีกเสียงหนึ่งพูดตอบอย่างคับข้องหมองใจ “ก็มันเกิดปัญหาขึ้นกับมิติเวลานี่ เหล่าไป๋ เจ้าอย่าดุนักสิ นี่ข้าตรวจเสร็จก็ว่าจะส่งนางกลับไปแล้ว”
ถ้ามีกระจกอยู่ตรงหน้า อี๋อวี้จะรู้ว่าขณะนี้สีหน้าของเธอน่ากลัวขนาดไหน สำหรับเธอแล้ว สองเสียงนี้ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหู แต่คำเรียกขานนั่น ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ลืมไม่ลง…
หลังจากตกตึกตาย คนที่พาวิญญาณของเธอวิ่งเพ่นพ่านไปทั่วก็คือเจ้าสองตัวนี้ที่เรียกอีกฝ่ายว่า ‘เหล่าไป๋’ กับ ‘เสี่ยวเฮย’
อี๋อวี้ไม่สนใจแล้วว่าคนในห้องจะรู้ว่าตัวเธออยู่ที่นี่ ตะโกนเสียงดังอย่างร้อนรุ่มใจ “นี่! พวกนายสองคนเป็นคนพาฉันมาที่นี่สินะ พวกนายออกมานะ! รีบออกมาเดี๋ยวนี้ ส่งฉันกลับ…”
(ติดตามต่อในฉบับเต็ม)
Comments
comments
No tags for this post.