ทดลองอ่าน – บทที่ 3
วันถัดมา หลูซื่อตื่นขึ้นมาจัดเก็บข้าวของแต่เช้าตรู่ อี๋อวี้ถูกเสียงความเคลื่อนไหวของนางปลุกตื่นก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียง
หลูซื่อเขยิบตัวไปตรงมุมติดผนังซึ่งหลูจื้อนอนอยู่แล้วเลิกผ้าห่มขึ้น สอดนิ้วงัดอยู่นานพักหนึ่งก่อนจะยกแผ่นไม้กระดานกว้างราวสามกำปั้นที่ขยับได้แผ่นหนึ่งออก จากนั้นนางก็ล้วงมือเข้าไปดึงถุงผ้าใบหนึ่งออกมา หยิบเงินเหรียญพวงหนึ่งในถุงมานับอย่างละเอียดและแบ่งออกมาส่วนหนึ่ง
ก่อนหน้านี้อี๋อวี้เคยเห็นนางวางเงินไว้ตรงนั้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ยังนึกในใจว่ามารดาช่างสรรหาที่ซ่อนของได้ดีแท้ สามพี่น้องล้วนรู้ว่ามารดาของพวกตนเก็บเงินไว้ที่ไหน เพราะหลูซื่อไม่เคยปิดบังเช่นกัน
ปีนี้ครอบครัวของพวกนางได้เงินจากที่นาสามพันกว่าอีแปะ ถือได้ว่าเป็นปีที่อุดมสมบูรณ์แล้ว วันก่อนหลูซื่อยังให้เงินพวกนางคนละสองสามอีแปะด้วย
วันนั้นพอได้รับเหรียญเงินสำริดมา อี๋อวี้ก็พินิจพิจารณาอย่างละเอียดพักหนึ่ง ในรัชศกอู่เต๋อปีที่สี่เริ่มหล่อเหรียญไคหยวนทงเป่า แต่เนื่องจากบ้านเมืองไม่ส่งเสริมให้ผลิตเหรียญกษาปณ์เป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้เขตแดนห่างไกลจะใช้เหรียญทรงกลมมีรูสี่เหลี่ยมตรงกลางที่หล่อกันขึ้นเองในท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทางราชสำนักอนุโลมเป็นนัยๆ ให้ทำแบบนี้ได้
เงินที่หลูซื่อมอบให้นางก็คือเหรียญสำริดทรงกลมมีรูสี่เหลี่ยมตรงกลางที่หล่อกันเองเฉพาะที่นั่นเอง ขนาดใกล้เคียงกับเหรียญหนึ่งหยวนของยุคปัจจุบัน แต่มีความหนาน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ทำให้น้ำหนักเบากว่ามาก ในยุคนี้ไม่ใช่แค่ใช้เหรียญสำริดในการซื้อขาย ยังพบเห็นการแลกเปลี่ยนโดยใช้ของแลกของกันอยู่ทั่วไป ส่วนใหญ่จะเอาของจำพวกแพรพรรณแลกกับของใช้ ผ้าเนื้อดียาวหนึ่งจั้ง เท่ากับประมาณร้อยกว่าอีแปะ
ครู่หนึ่งต่อมา บุตรชายสองคนตื่นนอนแล้ว หลูจวิ้นสวมอาภรณ์เรียบร้อยวิ่งออกไปเอาหญ้าเลี้ยงวัวในคอก ส่วนหลูจื้อไปจัดเตรียมเกวียนรอเทียมวัว
ช่วงเวลานี้ยังไม่มียานพาหนะอะไร โดยทั่วไปพวกชาวนาจะเอาสัตว์เลี้ยงที่ใช้ไถนาเป็นแรงงานลากจูงพาหนะเพื่อทุ่นแรงในการเดินทาง
ที่ตั้งตลาดอยู่ใกล้ๆ เขตตำบล แม้จะมีทุกวัน แต่ทุกวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าจะจัดเป็นตลาดนัดค่อนข้างใหญ่สองครั้ง
วันนี้เป็นวันที่สิบห้า มีโอกาสได้ไปงานตลาดนัดครั้งใหญ่ จึงโทษมิได้ที่เมื่อวานหลูจวิ้นจะตื่นเต้นคึกคักปานนั้น
อี๋อวี้หยิบอาภรณ์ที่เมื่อคืนหลูซื่อตระเตรียมไว้ให้พร้อมสรรพอยู่ใต้ผ้าห่มมาสวมด้วยตนเอง หลังย้อนเวลากลับมาในอดีตเป็นวันที่สาม นางก็เริ่มขอสวมเสื้อผ้าเอง หลูซื่อเห็นนางมือไม้คล่องแคล่วก็ปล่อยให้ดูแลตนเอง รอเมื่อนางแต่งตัวเสร็จแล้วถึงมัดผมให้
พูดถึงเสื้อผ้าอาภรณ์ในยุคราชวงศ์ถังนั้นมีเอกลักษณ์มาก เพียงแต่เด็กในครอบครัวชาวนาจะไม่ค่อยพิถีพิถันนักเพื่อสะดวกต่อการทำงานและเล่นซุกซน ไม่อย่างนั้นอี๋อวี้ควรจะสวมกระโปรงไว้ด้านนอก ส่วนพี่ชายสองคนก็ควรสวมเสื้อคลุมยาวตัวเดียว ไม่ใช่ชุดสองท่อนเป็นเสื้อกับกางเกง
เมื่ออี๋อวี้แต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อย หลูซื่อก็ผลัดชุดเป็นเสื้อป้ายข้างตัวสั้นทำจากผ้าเนื้อหยาบสีเหลืองแก่กับกระโปรงยาวสีเทากรอมเท้า
ถึงดูแล้วไม่สวยงามหรูหราเท่าชุดของชาวราชวงศ์ถังอย่างที่อี๋อวี้เห็นในละครพวกนั้น แต่มีดีที่ฝีมือการตัดเย็บประณีตและแบบที่เรียบง่ายสบายตา
สำหรับเสื้อผ้าของสามพี่น้อง หลูซื่อเป็นคนซื้อผ้าทอใยเก๋อ มาตัดเย็บเองทั้งหมด ในยุคโบราณ แพรพรรณต่างๆ มีราคาค่อนข้างแพง เครื่องแต่งกายของชาวบ้านส่วนใหญ่จะทำจากผ้าเนื้อหยาบซึ่งมีอยู่ไม่กี่สี อีกทั้งหนึ่งฤดูมีหนึ่งชุดก็เพียงพอแล้ว ว่ากันว่าตอนต้นราชวงศ์ถัง ธรรมดาสามัญชนจะสวมใส่เสื้อผ้าได้แค่สองสีคือเหลืองกับขาว ตอนนี้ดูท่าว่าจะไม่ใช่เรื่องเท็จ นางเคยดูตู้เสื้อผ้าในเรือนแล้ว นอกจากสีเทาแล้วส่วนใหญ่เป็นสีเหลืองกับสีขาว
นับตามจริงหลูซื่อจะมีอายุสามสิบสี่ปีแล้ว กลับไม่ใคร่ดูมีอาวุโสนัก แต่ยามไม่แย้มยิ้ม ดวงตาทั้งคู่แฝงรอยน่าเกรงขามอยู่หลายส่วน และปราศจากท่าทางมิดเมี้ยนละม้ายหญิงชาวนาที่ออกเรือนแล้วทั่วไป นางมีผิวกายออกขาว แม้นระยะนี้การเก็บเกี่ยวพืชผลทำให้ต้องกรำแดด ผิวของนางก็แค่เป็นสีแดงเรื่อๆ ดูมีเลือดฝาด ดุจคำกล่าวว่าหนึ่งขาวกลบสามอัปลักษณ์ เห็นทีว่าเมื่อครั้งเยาว์วัย นางจะต้องเป็นหญิงงามผู้หนึ่งเช่นกัน
ในเรือนไม่มีคันฉ่องสำริด ด้วยราคาของมันเพียงพอให้พวกนางกินแป้งขาวได้ครึ่งเดือน ฉะนั้นจนบัดนี้อี๋อวี้จึงเคยเห็นรูปโฉมของตนเองจากเงาในน้ำเท่านั้น ซึ่งจัดได้ว่าน่ารักจิ้มลิ้ม แค่ว่าดวงหน้ายังกลมๆ ป้อมๆ แฝงรอยอ่อนเดียงสาตามประสาเด็กน้อยวัยเยาว์
จวบจนในหมู่บ้านมีเสียงไก่ขันดังขึ้นสามหน ทุกคนถึงเตรียมตัวเสร็จสรรพ หลูจื้อมองส่งคนอื่นๆ นั่งเกวียนเทียมวัวออกจากหมู่บ้านไป วัวของเรือนนางบึกบึนล่ำสันมาก หลูจวิ้นนั่งอยู่ด้านหน้าถือแส้บังคับให้มันออกวิ่งเหยาะๆ ซึ่งเร็วพอๆ กับขี่จักรยานธรรมดา ตลอดทางกระแทกกระเทือนอย่างยิ่ง ช่วงเวลานี้น่าจะยังไม่มีถนนหลวงอย่างทั่วถึงทุกแห่ง ปกติเส้นทางในชนบทล้วนขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ แม้ว่าจะได้นั่งตักหลูซื่อ ตัวอี๋อวี้ยังโคลงเคลงไปมาจนวิงเวียนศีรษะอยู่บ้าง ดีที่ว่าร่างกายนี้ของนางไม่มีอาการเมารถ
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม พื้นถนนค่อยๆ ราบเรียบขึ้น ได้ยินหลูซื่อบอกว่าจวนเจียนจะถึงแล้ว อึดใจต่อมา รอบๆ ก็มีคนนั่งเกวียนหรือเดินเท้าเพิ่มขึ้นทุกที เมื่อมองไปยังข้างหน้าไม่ไกลนักอีกทีเห็นฝูงชนคลาคล่ำเดินขวักไขว่ไปมา อี๋อวี้ก็รู้ว่าถึงที่หมายแล้ว
ที่นี่มีคนช่วยดูแลพาหนะเทียมสัตว์ให้โดยเฉพาะ คนเฝ้าเป็นบ่าวผู้ชายในตระกูลใหญ่ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงละแวกหมู่บ้าน เพียงจ่ายสองอีแปะก็ฝากไว้ได้ถึงเที่ยงวัน หลูซื่อหาที่จอดเกวียนเรียบร้อยแล้ว สะพายถุงใส่ของที่นำติดตัวมา จูงลูกไว้ในมือคนละข้างสาวเท้าไปทางตลาดนัด
เมื่อเบียดแทรกเข้าไปอยู่กลางฝูงชน อี๋อวี้ได้รู้ในที่สุดว่าตลาดนัดเป็นอย่างไร มันคล้ายคลึงกับตลาดเช้าของยุคปัจจุบัน บนพื้นที่ว่างโล่งผืนหนึ่งมีแผงขายของตั้งอยู่ทุกซอกทุกมุมอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย บางร้านยังตั้งเพิงแบบง่ายๆ อีกด้วย ประเภทของสินค้านับว่าหลากหลายดี มีทั้งของกินของใช้ของเล่นไม่ขาดสักอย่างเดียว ถึงเทียบไม่ได้กับซูเปอร์มาร์เก็ตของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดที่หาซื้อได้ทุกสิ่ง หากแต่ในความคิดของคนสมัยโบราณ ตลาดนัดใหญ่ขนาดนี้ก็หาได้ยากแล้ว ลำพังแค่ดวงตาทั้งคู่ที่ส่องประกายระยับของหลูจวิ้นก็รู้ได้แล้วว่าที่แห่งนี้ดึงดูดใจคนยุคนี้มากเพียงใดโดยเฉพาะกับพวกเด็กๆ
สองข้างทางมีเสียงตะโกนขายของดังไม่ขาดสายเป็นสำเนียงซื่อชวนชัดเจน เรียกความสนใจจากอี๋อวี้ได้เป็นอย่างดี ตลอดทางมีของเล่นชิ้นเล็กชิ้นน้อยวางขายมากมาย หลูจวิ้นกลับไม่รบเร้าให้ซื้อสักครั้ง ส่วนนางซึ่งมีจิตใจเป็นผู้ใหญ่วัยยี่สิบแล้วย่อมไม่ร่ำร้องว่าอยากได้เป็นธรรมดา ทั้งสองตามหลูซื่อไปจนถึงด้านหน้าเพิงขายของแห่งหนึ่งกลางตลาดนัด
เจ้าของร้านเป็นบุรุษวัยยี่สิบเศษคนหนึ่ง นั่งอยู่บนเสื่อยาวห้าหกฉื่อผืนหนึ่ง มีพวกแพรพรรณกับเส้นด้ายวางอยู่ข้างตัว ดูท่าทางจะขายวัสดุเย็บปักถักร้อย
เขามองเห็นหลูซื่อเดินมาก็ยืดหลังตรงเผยสีหน้าแย้มยิ้มทันควัน และทักทายไต่ถามอย่างกระวีกระวาด “เอ้อร์เหนียงมาแล้วหรือ มีงานฝีมือมาขายอีกแล้วใช่หรือไม่”
“อื้อ มีผ้าเช็ดหน้าหลายผืนกับถุงผ้าปักสองใบ” หลูซื่อพูดพลางคลายมือที่จูงลูกไว้ ปลดถุงสัมภาระบนไหล่ลงมาควานหาของที่ใช้ผ้าห่อไว้ออกมายื่นส่งให้อีกฝ่าย
คนผู้นั้นรีบรับมาเปิดออกอย่างระมัดระวัง และหยิบวางเรียงบนเสื่อด้านข้างทีละชิ้น ประกอบด้วยผ้าเช็ดหน้าปักลายบุปผาวิหคสี่ผืน รวมถึงถุงใบเล็กๆ ฝีมือละเอียดประณีตอีกสองใบ พักก่อนอี๋อวี้เห็นหลูซื่อเย็บของเหล่านี้ หลังจากถามไถ่ก็รู้ว่าคนในยุคนี้ส่วนใหญ่จะพกเหรียญเงินติดตัว แต่มีเศรษฐีบางคนชอบเก็บเงินไว้ในถุงหูรูดแบบมีก้นที่มีลักษณะและการใช้สอยคล้ายคลึงกับถุงเงินเหน็บเอว
เขาดูฝีเข็มและลวดลายอย่างละเอียด ก่อนจะยิ้มแฉ่งพูดกับหลูซื่อ “ร้อยอีแปะ”
เห็นหลูซื่อส่ายหน้า คนผู้นั้นกล่าวขึ้นอีก “ร้อยห้าสิบอีแปะ”
หลูซื่อยอบตัวลงนั่งยองๆ เอื้อมมือไปตั้งท่าจะเก็บของพวกนั้นกลับคืนมา ชายหนุ่มรีบเร่งยื่นมือขวางไว้ เอ่ยด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นยิ้มฝืดๆ “เอาล่ะๆ เอ้อร์เหนียง สามร้อยอีแปะได้หรือไม่”
อี๋อวี้ตื่นตะลึงอยู่ในใจ ของชิ้นเล็กๆ ไม่กี่ชิ้นนี้ถึงกับขายได้ตั้งสามร้อยอีแปะ เทียบเท่ากับผลเก็บเกี่ยวหนึ่งปีของที่นาสามหมู่เชียวหรือนี่ นางดูสิ่งของที่วางอยู่บนแผงอีกที พบว่าเป็นวัสดุซึ่งต่างจากที่มารดาใช้สอนนางก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด เป็นไปได้มากว่าจะเป็นไหมแท้ พอคิดถึงตรงนี้ หูของนางก็ได้ยินเสียงพูดกลั้วหัวเราะของหลูซื่อ
“เนื้อผ้าที่ข้าใช้เป็นแพรต่วนชั้นดี ด้ายปักยังเป็นไหมแท้ราคาหนึ่งตำลึงร้อยอีแปะ ส่วนฝีมือข้าเอ้อร์เหนียงย่อมมิต้องเอ่ยถึงเป็นธรรมดา ท่านกลับดีดลูกคิดเก่งนัก ให้ราคาของหกชิ้นนี้ของข้ายังไม่ได้กระทั่งต้นทุน จะรังแกที่ข้าขายให้ได้แต่ท่านใช่หรือไม่”
อี๋อวี้ฟังจบแล้วลอบคิดคำนึงว่าใช้วัสดุไม่เหมือนกันดังคาด ไม่รู้ว่าท่านแม่ซื้อวัสดุพวกนี้จากที่ใดกัน คงต้องทุ่มเงินลงไปมากพอดู ในความคิดของนาง ถ้านำผ้าปักหลายชิ้นนี้ไปขายให้ผู้สูงศักดิ์ในเมืองใหญ่ อย่างน้อยต้องได้กำไรห้าเท่าขึ้นไป
ชายหนุ่มเจ้าของร้านเกาหัวยิ้มเจื่อนๆ “เอ้อร์เหนียงอย่าได้ถือโทษที่ข้าถามเซ้าซี้เลยนะ แต่ก่อนท่านเอาวัสดุธรรมดาจากข้าไปปัก ครั้งนี้กลับหยิบของพวกนี้ออกมา ก็ไม่รู้ว่าท่านได้ไหมปักมาจากที่ใด หากท่านบอกข้า ข้าคิดราคาให้หกร้อยอีแปะดีหรือไม่”
หลูซื่อนิ่งคิดแล้วพยักหน้าพร้อมพูด “บอกให้ท่านรู้ก็ไม่เสียหาย นี่เป็นสินเจ้าสาวของข้า แต่ไม่เคยใช้มาก่อน หมู่นี้เงินทองขาดมือ ถึงได้ตัดแบ่งมาเย็บเป็นอย่างอื่นบ้าง”
ชายหนุ่มฟังแล้วมีสีหน้าเคลือบแคลงใจ แต่ยังพยักหน้าเอ่ยตอบ “ที่แท้เป็นเช่นนี้ เอาอย่างนี้ ถ้าวันหลังท่านยังมีสินค้าแบบนี้อีก ขายให้ข้าทั้งหมดได้หรือไม่”
เห็นหลูซื่อผงกศีรษะเบาๆ เขาถึงเอื้อมมือไปหยิบไหใส่เงินข้างตัว ดึงพวงเหรียญยาวๆ พวงหนึ่งออกมานับอย่างละเอียดจำนวนหกท่อน และแบ่งมากองบนพื้นแล้วผลักไปให้หลูซื่อ
หลูซื่อนับอีกรอบหนึ่งอย่างรอบคอบก่อนเก็บพวงเงินเข้าไปในถุงสัมภาระ
อี๋อวี้มองอยู่ด้านข้างยังรู้สึกว่าเงินเหรียญเป็นพวงยาวๆ นั่นคงต้องหนักน่าดูจริงๆ นางลอบทอดถอนใจที่การค้าขายของสมัยนี้ไม่สะดวกเอาเสียเลย
พอได้เงินมาครึ่งก้วนเศษ หลูซื่อดูเบิกบานใจอย่างเห็นได้ชัด จับจูงลูกสองคนเดินจากแผงขายของแห่งนี้เลี้ยวไปที่อื่นต่อ ปากก็พูดว่า “แม่ขายของก้นหีบออกไปบางส่วน ปีนี้เลยมีเงินเหลือเพิ่มขึ้น พวกเจ้าสองคนอยากกินอะไรหรืออยากได้อะไรก็บอกกับแม่ แล้วซื้ออีกชิ้นหนึ่งกลับไปฝากพี่ใหญ่ของพวกเจ้าด้วย”
เมื่อครู่นี้อี๋อวี้ได้ยินนางพูดถึงเรื่องสินเจ้าสาว ตอนนี้ยังได้ยินนางเอ่ยถึงของก้นหีบอีก อดมิได้ที่จะนึกไปถึงเรื่องเมื่อหลายวันก่อน
อี๋อวี้เห็นตอนหลูซื่อทำของพวกนี้ โดยเลาะอาภรณ์ซึ่งเย็บจากเนื้อผ้าชั้นเลิศตัวหนึ่งที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ ยังมีไหมปักสีต่างๆ ที่หลูซื่อเอามาให้ดูตอนสอนนางจับคู่สี มันใส่อยู่ในถุงผ้าปักงามวิจิตรใบหนึ่งที่ถูกเก็บไว้ในซอกหนึ่งของก้นตู้ในเรือน
ถ้านี่เป็นสินเจ้าสาวของหลูซื่อ เช่นนั้นชาติตระกูลของนางต้องไม่ต่ำต้อยเป็นแน่แท้ เพียงแต่ว่าหลังจากสามีจากไปก็ถูกตระกูลของสามีขับไล่ไสส่ง นางมิได้หวนกลับไปที่สกุลเดิม แต่ระเหเร่ร่อนมาอยู่ในชนบท ถ้ามิใช่ตระกูลตกอับก็ต้องมีความลับที่ยากจะบอกกล่าว
แม้จะสนใจใคร่รู้ แต่เห็นหลูซื่อดีอกดีใจ นางก็พลอยแช่มชื่นตามไปด้วยอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อชะเง้อคอไปดูหลูจวิ้นอีกด้านหนึ่ง เห็นเขามีสีหน้ายินดี ขณะมองสำรวจของกระจุกกระจิกบนแผงขายของสองข้างทางไปมา ด้วยเหตุนี้ นางจึงสลัดข้อกังขาในใจทิ้งไป และเริ่มตั้งอกตั้งใจเดินเที่ยวตลาดนัดที่คึกคักแห่งนี้
หลูซื่อซื้อน้ำมันตะเกียงกับของใช้จิปาถะ แล้วก็ซื้อของกินเช่นพวกขนมหวานให้อี๋อวี้ ตอนท้ายยังย้อนกลับไปที่เพิงขายงานผ้าปักของชายหนุ่มซื้อผ้าและเข็มกับด้าย
หลูจวิ้นเอ่ยปากอย่างกระมิดกระเมี้ยนว่าอยากได้ธนูไม้เล็กๆ คันหนึ่งราคาหนึ่งร้อยห้าสิบอีแปะซึ่งนับว่าไม่ถูกเลย แต่สุดท้ายก็ได้ซื้อ
นอกเหนือจากนี้ยังซื้อของประดับกายเด็กหญิงชิ้นเล็กชิ้นน้อย มีเชือกผูกผมราคาหนึ่งอีแปะหลายเส้น ส่วนพวกปิ่นปักผมที่ราคาถูกที่สุดยังต้องสิบกว่าอีแปะ ซ้ำแกะสลักจากไม้ เมื่อหลูซื่อไต่ถามบุตรสาวแล้วเห็นนางไม่อยากได้จริงๆ ถึงเลิกล้มความคิดไป
อันที่จริงอี๋อวี้ชื่นชอบเครื่องแต่งกายของสตรีราชวงศ์ถังอย่างยิ่งยวด ในฐานะหญิงสาวคนหนึ่ง เป็นธรรมดาที่นางอยากแต่งตัวงดงาม แต่เวลานี้นางมีอายุแค่สี่ขวบ เส้นผมยังยาวไม่พอจะมุ่นมวยด้วยซ้ำ อย่างมากก็มัดผมแกละได้สองข้าง ด้วยเหตุนี้อี๋อวี้จึงไม่ร้อนใจ รอไว้วันหน้ามีเงินเหลือเฟือและผมยาวมากพอแล้วค่อยรักสวยรักงามก็ยังได้
นางยังรู้อีกว่าหญิงงามในสมัยราชวงศ์ถังต้องผิวขาวอวบท้วม นางไม่อยากเป็นคนอ้วน ขอเป็นสาวน้อยผิวขาวอย่างสบายใจก็พอ เด็กน้อยหลูอี๋อวี้คงจะสืบทอดผิวกายขาวลออมาจากหลูซื่อ แม้ทุกมื้อมิได้แตะของมัน ผิวพรรณยังขาวผุดผ่อง
หลูซื่อยังซื้อหนังสือสองเล่มไปให้หลูจื้อ หนึ่งในนั้นเป็นหนังสือปกิณกะที่มีภาพวาดแทรกอยู่ หนังสือสองเล่มนี้ นางต่อรองราคาอยู่นานสองนานยังต้องจ่ายไปร้อยอีแปะ
ตลอดช่วงเช้า คนทั้งสามซื้อของไปไม่น้อย ใช้เงินหกร้อยอีแปะที่ได้จากการขายงานปักก่อนหน้านี้ไปจนเหลือไม่กี่อีแปะ อี๋อวี้เห็นแล้วปวดใจอยู่บ้าง แต่หลูซื่อกลับยิ้มร่าอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ พอเดินเที่ยวจนใกล้ยามเที่ยงตรง พวกนางถึงถือของที่ซื้อไว้ไปรับเกวียนเทียมวัวแล้วเดินทางกลับเรือน
หลังกลับถึงเรือน หลูซื่อไปเตรียมอาหารมื้อกลางวัน ส่วนพี่น้องสามคนเก็บของที่ได้มาในวันนี้ให้เข้าที่เข้าทาง พอทำเรียบร้อย หลูจื้อหยิบหนังสือใหม่สองเล่มไปนั่งอ่านอย่างจดจ่ออยู่ในลานเรือน ด้านหลูจวิ้นเล่นธนูไม้คันเล็กของเขาอยู่ใกล้ๆ
หลายวันนี้การเก็บเกี่ยวธัญพืชเสร็จแล้ว และยังไม่ถึงฤดูหว่านเมล็ดพันธุ์ หลูซื่ออยู่ในเรือนว่างๆ ก็เริ่มเย็บอาภรณ์ให้ลูกๆ นางบอกว่าตอนวันปีใหม่ไม่ได้เย็บชุดใหม่ให้เด็กทั้งสามคน จึงทำชดเชยให้ตอนนี้
แท้จริงแล้วเท่าที่อี๋อวี้รู้ ก่อนหน้านี้ที่ในเรือนฝืดเคืองเรื่องเงินทอง เหตุผลประการสำคัญที่สุดคือเจ้าของร่างนี้คนเดิมไม่อาจดูแลตนเองได้ เป็นเหตุให้ดึงกำลังคนในเรือนไปไม่น้อย หลูซื่อยังหมดเงินไปกับค่ายาของนางไม่ขาดสาย เพียงแต่ไม่เห็นอาการกระเตื้องขึ้นเท่านั้นเอง
เด็กเล็กๆ มักตัวโตเร็วมาก อี๋อวี้สังเกตเห็นตั้งนานแล้วว่าเสื้อผ้าของสามพี่น้องสั้นเต่อไปบ้าง คิดไม่ถึงว่าหลูซื่อก็มีความตั้งใจที่จะตัดเย็บอาภรณ์ใหม่ให้พวกนางอยู่แล้ว พี่ชายสองคนต่างดีใจกันยกใหญ่เมื่อได้ยินว่าหลูซื่อจะทำชุดใหม่ให้ ส่วนนางใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาเดือนกว่าๆ ย่อมแจ่มแจ้งดีว่าชาวบ้านทั่วไปนานทีปีหนจะมีเสื้อผ้าใหม่สักชุดจริงๆ เพราะเป็นอาภรณ์ที่มารดาเย็บเองกับมือ ทำให้นางรู้สึกตั้งตารอคอยอยู่ลึกๆ แม้ว่ามันจะเป็นผ้าธรรมดาๆ เทียบมิได้กับผ้าแพรผ้าไหมของราชวงศ์ถังตามที่นางรู้มาก็ตามที
มาถึงที่นี่หลายสิบวัน นับแต่แรกเริ่มที่ไม่คุ้นเคยเล็กน้อย จนบัดนี้กลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งได้แล้ว บางครั้งอี๋อวี้ก็คิดไปถึงเมืองที่เจริญรุ่งเรืองและพรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งบันเทิงเริงใจ กระนั้นเมื่อเปรียบกับชีวิตชนบทที่แท้จริงในยามนี้ มันกลับคล้ายเป็นห้วงฝันที่ห่างไกลยิ่งกว่า แม้นสภาพความเป็นอยู่ในยุคโบราณจะค่อนข้างลำบาก หากแต่คุณค่าของมันอยู่ที่คนทุกคนล้วนทำมาหากินด้วยความพากเพียรบากบั่น คิดหาทุกวิถีทางในการยังชีพ ต่างจากพวกคนในโลกปัจจุบันที่ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง กลับใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย
อี๋อวี้มีความสุขกับชีวิตในขณะนี้มาก นางเคยชินกับยืดเหยียดร่างกายเล็กผอมที่กำลังเจริญเติบโตในลานเรือนหลังจากตื่นนอนตอนเช้าทุกวัน ถึงจะแขนสั้นขาสั้น ทำท่าอะไรดูงุ่มง่ามเงอะงะจนหลูซื่อกลั้นหัวร่อไม่อยู่ด้วยความขบขันบ่อยๆ
พอกินอาหารเช้าแล้ว อี๋อวี้ฝึกคัดตัวอักษรอยู่ในลานเรือน กิ่งไม้กิ่งหนึ่งกับพื้นโรยทรายก็คือโต๊ะหนังสือของนาง สภาพอาจจะไม่พร้อมสักเท่าไหร่ แต่นางรู้ดีว่ายามนี้ตนเองไม่เหมือนกับชาติก่อนแล้วที่ทุ่มความพยายามลงไปเท่าใดล้วนไม่ได้รับผลตอบกลับ
ช่วงบ่ายเป็นเวลาเย็บปักถักร้อยของนาง คราวก่อนกลับมาจากตลาดนัด หลูซื่อมอบสะดึงเล็กๆ อันใหม่กับผ้าไหมชิ้นหนึ่งให้ และบอกให้นางตั้งใจปักผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งเป็นการฝึกปรือฝีมือ
เมื่อนางฝึกปักผ้าตามที่หลูซื่อมอบหมายให้เสร็จ ชุดใหม่ของสามพี่น้องก็ทำออกมาเรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้หลูซื่อเย็บเสื้อคลุมยาวจากผ้าทอใยเก๋อสีขาวเหมือนกันให้บุตรชายสองคน แบบใกล้เคียงกับพวกเสื้อคลุมชุดนอนในปัจจุบัน ตัวเสื้อยาวกรอมเท้า สาบเสื้อสองข้างป้ายทบกันรัดด้วยสายคาดเอว แค่สวมกางเกงยาวไว้ข้างในก็ออกไปข้างนอกได้แล้ว
หลูซื่อยังบรรจงทำสายคาดเอวเป็นพิเศษ ของหลูจื้อเป็นพื้นขาวปักลายกิ่งหลิวเขียวสดตลอดเส้น ส่วนของหลูจวิ้นเป็นพื้นดำปักลายดอกอิ๋งชุน สีเหลืองอ่อนตลอดเส้น เมื่อสองพี่น้องสวมใส่ชุดนี้ แล้วรวบผมขึ้นมัดด้วยเชือกผูกผมเส้นใหม่จนเรียบตึง ดูไปแล้วเหมือนคุณชายน้อยของราชวงศ์ถังที่นางเคยดูในละครจริงๆ คนหนึ่งรูปงามเกลี้ยงเกลา คนหนึ่งคิ้วเข้มตาคม มองเห็นเค้าความโดดเด่นในอีกไม่กี่ปีให้หลังได้รางๆ
อี๋อวี้นึกในใจ เด็กวัยเดียวกันคนอื่นๆ ยังวิ่งเล่นน้ำมูกไหลยืดอยู่เลย แต่พี่ชายของนางเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อยที่เคร่งขรึมแล้ว ท่านแม่มีวิธีอบรมสั่งสอนได้ดีเหลือเกิน ถึงทำให้เด็กชนบทสองคนเจริญวัยขึ้นมาอย่างดีเยี่ยมเสียยิ่งกว่าเด็กในเมืองเหล่านั้น
หลูจวิ้นเห็นสีหน้าอิ่มเอมใจของมารดากับน้องสาว เขาเอ่ยถามอย่างเก้อเขิน “เป็นอย่างไรบ้าง ข้าแต่งตัวอย่างนี้ไม่ดูแปลกประหลาดหรือ ปกติเห็นแต่อาจารย์ในหมู่บ้านที่สวมเสื้อคลุมยาวแล้วดูงามดี ข้าใส่แล้วไม่เหมาะใช่หรือไม่”
หลูจื้อชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งแล้ว กล่าวต่อขึ้นพร้อมอมยิ้มตรงมุมปาก “เจ้าใส่แล้วไม่ค่อยจะเหมาะ เหมือนลิงใส่เสื้อคน มิสู้ถอดออกดีแล้ว ถึงอย่างไรพวกเราตัวสูงไล่เลี่ยกัน ถือเสียว่าท่านแม่ทำให้ข้าสองชุดก็แล้วกัน”
หลูซื่อยังผสมโรงอยู่ด้านข้าง “นั่นสิ แม่ดูจื้อเกอเอ๋อร์ใส่แล้วดูหล่อเหลากว่า” ว่าแล้วก็มองหลูจวิ้นที่ข่มกลั้นความร้อนใจขุ่นเคืองจนหน้าตาแดงก่ำแล้วหัวร่อออกมา
“พี่ชายสองคน…ทั้งงดงามทั้งหล่อเหลาเจ้าค่ะ” อี๋อวี้เอ่ยพลางแย้มปากเล็กๆ ออกส่งยิ้มให้พวกเขา
“ยังคงเป็นเสี่ยวอวี้ที่ดีกว่าใครๆ! พี่ใหญ่ชอบหัวเราะเยาะข้า ข้าก็รู้สึกว่าตนเองใส่แล้วดูเข้าท่าดีนี่นา ฮึ!”
หลูจื้อเห็นน้องชายไม่ขวยอายอีก ก็หันไปบอกกับหลูซื่อ “เสี่ยวอวี้ต่างหากที่สวมชุดใหม่แล้วงามจริงๆ ท่านแม่มีฝีมือเย็บปักถักร้อย ทำชุดอะไรออกมาก็สวยงามเสมอขอรับ” ทั้งสามพากันมองท่าทางเป็นเด็กดีน่ารักของอี๋อวี้ด้วยแววตารักใคร่อาทร
อาภรณ์ใหม่ของอี๋อวี้เป็นเสื้อคลุมป้ายข้างสวมกับกระโปรงตามแบบฉบับสตรีราชวงศ์ถัง นี่เป็นชุดที่ค่อนข้างเป็นแบบแผนของยุคนี้ที่นางได้รับเป็นชุดแรก เห็นสีหน้าปลาบปลื้มของหลูซื่อกับรอยยิ้มบนใบหน้าของพี่ชายสองคนแล้ว นางรู้สึกว่าตอนนี้มีความสุขมาก เสื้อผ้าชุดนี้ที่มาจากแรงกายแรงใจของมารดาผู้หนึ่งบรรจุไว้ด้วยความรักลึกซึ้ง ยามสวมอยู่บนตัวราวกับยังเจือไว้ด้วยกลิ่นหอมสดชื่นของข้าวสาลีจางๆ
ล่วงเข้ายามบ่าย หลูจวิ้นสวมชุดใหม่วิ่งหน้าระรื่นออกไปอวดกับเพื่อนเล่นของเขา ขณะที่หลูจื้อถอดชุดใหม่ออกอย่างทะนุถนอมแล้วกลับไปอ่านตำราต่อในลานเรือน
หลูซื่อพึงพอใจมากกับผ้าเช็ดหน้าที่อี๋อวี้จงใจปักอย่างช้าๆ พูดชมการจับคู่สีของนาง แล้วยังจุปากอย่างอัศจรรย์ใจกับฝีมือปักของนาง มันทำให้นางยิ่งซาบซึ้งถึงประโยชน์ของพรวิเศษจากการข้ามภพอยู่ในใจ ถ้ามิใช่สติปัญญาดีขึ้น อย่าว่าแต่หลูซื่อสั่งสอนชี้แนะอย่างละเอียดและชำนิชำนาญกว่านี้ ลำพังแค่เรื่องเครื่องไม้เครื่องมือฝึกปักผ้าชั้นเลวพวกนี้อย่างเดียว ต่อให้เปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงรุดหน้าได้ยากเย็นเป็นแน่
อี๋อวี้สวมชุดใหม่นั่งอยู่ตรงหัวเตียงมองดูหลูซื่อจัดของด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า นางพูดอย่างอ่อนหวาน “ท่านแม่ อวี้เอ๋อร์ดีใจมาก” นางมักแสร้งทำท่าน่ารักน่าเอ็นดูให้หลูซื่ออารมณ์ดีจนเป็นนิสัยไปแล้ว
หลูซื่อวางของในมือข้างหนึ่งลงแล้วเขี่ยปลายจมูกนาง พร้อมกล่าวยิ้มๆ “ได้ชุดใหม่ก็ดีใจถึงขนาดนี้เชียว วันหลังในเรือนมีเงินเหลือเก็บ แม่จะเย็บให้เจ้าอีก ให้อวี้เอ๋อร์ของแม่ได้สวมเสื้อผ้าใหม่บ่อยๆ”
“ท่านแม่ไม่สวมชุดใหม่บ้างหรือ”
“ตัวแม่ไม่โตขึ้นแล้ว สวมอะไรก็เหมือนกันหมด เสี่ยวอวี้เอ๋อร์ของแม่ต้องรีบโตไวๆ เจ้ายิ่งโตไว แม่จะได้ทำชุดใหม่ให้มากขึ้น”
“อื้อ อวี้เอ๋อร์จะโตไวๆ”
อี๋อวี้ฟังคำกล่าวของนางแล้วแปลบปลาบในใจ วันนี้นางเพิ่งรู้ว่าหลูซื่อเย็บอาภรณ์ให้แต่พวกนางพี่น้อง ตนเองกลับสวมชุดเก่า ทั้งที่รู้แก่ใจว่านี่เป็นคำพูดเฉไฉ นางก็ได้แต่แสร้งทำท่าเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างและพยักหน้ารับ
เมื่อครั้งอยู่ในยุคปัจจุบัน นางเป็นเด็กกำพร้า ตอนเด็กๆ มักจะสวมเสื้อผ้าที่คนอื่นบริจาคให้ จนกระทั่งเข้าเรียนชั้นมัธยม เริ่มต้นทำงานไปเรียนไปถึงซื้อเสื้อผ้าใหม่มาใส่ได้ แต่พอกลับมาสู่ยุคอดีตอยู่ในครอบครัวชาวนาเล็กๆ นี้ นางกลับได้สวมชุดใหม่ที่แม่แท้ๆ ตัดเย็บให้ จะไม่ให้นางตื้นตันใจได้อย่างไร
การที่นางสามารถกลมกลืนเข้ากับชีวิตในสมัยโบราณได้รวดเร็วปานนี้มิใช่แค่เพราะปรับตัวได้เก่ง สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือความรักความอบอุ่นของครอบครัวนี้ที่ห้อมล้อมนางไว้ ถ้าก่อนหน้านี้นางยังรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ที่ยึดครองร่างกายนี้ไว้ ตอนนี้กลับยอมรับฐานะใหม่ของตนได้อย่างสบายใจแล้วจริงๆ
ไม่สำคัญว่าแต่ก่อนนางเป็นใคร ด้วยนั่นกลายเป็นอดีตไปหมดแล้ว ในใจนางเห็นว่าชีวิตตลอดยี่สิบปีนั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชาติก่อน ขณะนี้สิ่งที่นางต้องทำก็คือมุ่งมั่นมานะให้อยู่รอดต่อไปพร้อมกับมารดาและพี่ชายสองคน เป็นบุตรสาวและน้องสาวที่ดี รักและเคารพพวกเขา อีกทั้งพยายามทำให้พวกเขามีความสุขอย่างสุดความสามารถ
เหนืออื่นใดนางไม่ใช่อี๋อวี้ที่มีสติปัญญาธรรมดาคนนั้นอีกต่อไป ถึงยังคงขยันพากเพียรดุจเก่า แต่นางมีครอบครัวและพรสวรรค์ที่ใฝ่ฝันมานานแสนนานแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องหลบหนีความจริง ตัดพ้อต่อว่าและอิจฉาริษยาผู้ใดอีก นางจะทะนุถนอมชีวิตใหม่ที่หาได้ยากนี้ไว้ให้ดีๆ
ชีวิตมักเกิดเรื่องวุ่นวายไม่เคยขาด วันเวลาที่สุขสงบจำเป็นต้องมีเหตุไม่คาดฝันมาเพิ่มสีสันบ้าง จะได้ไม่ไร้รสชาติเกินไป
วันนี้หลูซื่อลงนาดูแลควบคุมคนงานรับจ้างพลิกหน้าดิน ส่วนหลูจวิ้นไปสำนักยุทธ์ตามปกติ ในเรือนเหลือแค่พี่ชายคนโตกับน้องสาวสองคน
หลูจื้อนั่งอ่านตำราอยู่ในลานเรือนดังเคย ฝ่ายอี๋อวี้ฝึกปักผ้าอยู่ใกล้ๆ
“พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่หรือ”
อี๋อวี้ได้ยินเสียงก็เงยหน้ามองไปทางหน้าประตู เห็นเด็กหญิงมัดจุกชี้ฟ้าคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น นางมองปราดเดียวก็จดจำได้ว่าเป็นเด็กหญิงที่หวังซื่อสตรีวัยกลางคนช่างนินทาที่มายืมไม้คานหาบในวันนั้นพามา เด็กหญิงอายุหกขวบนางนี้มีนามว่า ‘หลี่เสี่ยวเหมย’
“ข้าปักผ้า พี่ใหญ่กำลังอ่านตำรา” อี๋อวี้เห็นสายตาของหลี่เสี่ยวเหมยจับจ้องอยู่ที่หลูจื้อข้างกายอย่างชัดเจน แต่เขาหาได้แยแสนางแม้สักนิด เลยหลุดปากตอบออกไป
วันนี้แม่นางน้อยหลี่เสี่ยวเหมยเบื่อหน่ายเหลือแสน บิดามารดาไปลงนากันหมด ทิ้งนางอยู่เฝ้าเรือนคนเดียว นางนึกขึ้นได้ว่าไม่พบหน้าพี่ชายสกุลหลูมานานมากก็อยากจะมาเยี่ยมสักหน่อย ไม่คิดว่าน้องสาวโง่งมของเขาคนนั้นจะอยู่ด้วย แม้ได้ยินว่าตอนนี้อีกฝ่ายไม่โง่แล้ว แต่ภาพที่น้องสาวคนเล็กสกุลหลูมีน้ำมูกน้ำลายเปรอะเต็มหน้าในกาลก่อนยังติดตรึงอยู่ในหัว คราวก่อนมายืมของที่เรือนสกุลหลูพร้อมกับมารดาก็เห็นน้องสาวโง่งมคนนี้ที่ดูสะอาดสะอ้านขึ้น ทว่ามันยากมากจะเปลี่ยนแปลงความคิดในใจนางที่มีต่อคนปัญญาอ่อนผู้นี้ได้
เพราะหลูจื้อไม่สนใจไยดีนาง หลี่เสี่ยวเหมยไม่รู้ว่าเหตุใดถึงน้อยอกน้อยใจอยู่บ้าง ก็พุ่งเป้าไปเล่นงานอี๋อวี้ที่พูดตอบตนเอง
“เจ้าเป็นคนปัญญาอ่อนมิใช่หรือ เหตุใดถึงได้พูดเป็นล่ะ”
อี๋อวี้ลอบยุ่งยากในใจ นางเห็นว่าเด็กหญิงผู้นี้ไม่เพียงหน้าตาธรรมดาๆ ยังพูดจาน่าตีเหลือเกิน กระนั้นนางไม่อาจถือสาหาความกับเด็กไม่ประสีประสาที่เพิ่งย่างหกเจ็บขวบคนหนึ่ง จึงก้มหน้าปักผ้าต่อโดยไม่พูดตอบอะไรอีก แต่นางไม่ใส่ใจ ใช่ว่าผู้อื่นจะไม่ใส่ใจ ทันทีที่หลูจื้อซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างตั้งสมาธิจดจ่อกับหนังสือได้ยินแม่นางน้อยพูดคำว่า ‘ปัญญาอ่อน’ ก็เงยหน้าขึ้นจากหนังสือ พอมองเห็นว่าเป็นเด็กหญิงในหมู่บ้านที่ชอบวิ่งตามหลังหลูจวิ้นต้อยๆ คนนั้น หัวคิ้วของเขาย่นเข้าหากันอย่างห้ามไม่อยู่
แม้ว่าเป็น ‘คนคุ้นเคยกัน’ แต่หลูจื้อยังไม่คิดจะละเว้นคนที่เอ่ยเรื่องสะเทือนใจของตนขึ้นมา ด้วยเหตุนี้เขาหรี่ตาพลางเอ่ยถามเสียงเรียบ “เจ้ารู้ว่าอะไรคือปัญญาอ่อนหรือไม่”
หลี่เสี่ยวเหมยอยากตอบคำถามของเขามาก นางเองก็รู้ว่าปัญญาอ่อนมิใช่ถ้อยคำที่ดีอะไร แต่กลับบอกเหตุผลไม่ออก ได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกล่าวตอบ “ข้าไม่รู้ อะไรคือปัญญาอ่อนหรือ”
หลูจื้อได้ยินคำพูดของนางแล้วก้มหน้ามองหนังสือดังเก่า มีเพียงเสียงตอบดังลอดจากปาก “คนที่ไม่รู้ว่าปัญญาอ่อนคืออะไรก็คือคนปัญญาอ่อน”
อี๋อวี้นั่งเหงื่อแตกพลั่ก พี่ชายคนโตที่ไม่ชมชอบพูดจากับคนแปลกหน้าของนางผู้นี้ ทันทีที่ปริปากก็นับเป็นอาวุธลับเฉพาะตัวได้เลยทีเดียว อายุเพียงเท่านี้สามารถสังหารคนด้วยลมปาก ทำร้ายคนด้วยมือที่มองไม่เห็นแล้ว
แต่เห็นได้ชัดว่าสติปัญญาของแม่นางน้อยหลี่เสี่ยวเหมยยังไม่ถึงขั้น หลูจื้อพูดขนาดนี้แล้ว นางยังยืนเบิ่งตาโตทำหน้างงงวย ผ่านไปครู่ใหญ่หลูจื้อไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็เงยหน้ามองนางอีกแวบหนึ่ง ใบหน้าเขามีรอยยุ่งยากใจผุดขึ้นวูบหนึ่ง คล้ายสะท้อนใจในความด้อยปัญญาของสหายน้อยหลี่เสี่ยวเหมย เขาพึมพำถ้อยคำหนึ่งเบาๆ กลับทำให้เด็กหญิงร้องไห้โฮวิ่งกลับไป
“กระทั่งคำพูดของข้ายังฟังไม่รู้เรื่อง มิใช่คนปัญญาอ่อนแล้วเป็นอะไร”
อี๋อวี้มองตามหลี่เสี่ยวเหมยที่วิ่งร้องไห้กลับไป แล้วค่อยมองหลูจื้อที่ก้มหน้าจดจ่อสมาธิกับหนังสืออีกที อยู่ดีๆ ก็รู้สึกถึงความอบอุ่นไหลรินผ่านกลางอกระลอกหนึ่ง นางรู้ว่าเขาทำเช่นนี้เพื่อระบายความโกรธแทนตน แต่นางไม่อยากให้เขามีปมในใจจากเรื่องที่นางปัญญาอ่อนในอดีตอีก จะอย่างไรแม่นางน้อยคนนั้นด่าว่านางเป็นคนปัญญาอ่อนโดยไร้เจตนา
“พี่ใหญ่ไม่โกรธๆ” เสียงออดอ้อนอ่อนหวาน เมื่อแสร้งทำตัวเป็นเด็กจนเคยชิน นางก็ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจอีก
“ข้าไม่ได้โกรธ”
ไม่ได้โกรธแล้วขมวดคิ้วแน่นขนาดนั้นทำไม
“เสี่ยวอวี้ไม่ใช่คนปัญญาอ่อน เสี่ยวอวี้จำตัวอักษรได้ ปักผ้าได้ ฉลาดอย่างมาก”
“อื้อ ข้ารู้” หลูจื้อเบนสายตาจากหนังสือมาที่เด็กหญิงตัวน้อยด้านข้าง เห็นดวงตาคู่โตทอประกายแวววาว ยังมีปากที่ยื่นน้อยๆ ความไม่พึงใจเมื่อครู่ก็หายวับไปทันใด
“พี่ใหญ่ เสี่ยวอวี้จะฉลาดแบบนี้ตลอดไปเลย” ใช่แล้ว ไม่ว่าคนอื่นยังเห็นนางเป็นคนปัญญาอ่อนหรือไม่ มันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าตอนนี้นางเป็นเด็กหญิงที่น่ารักหัวไวคนหนึ่ง
“อื้อ” หลูจื้อผงกศีรษะเบาๆ ดวงตาทั้งคู่มีรอยยิ้มอ่อนโยนแผ่ซ่านออกมา เขายื่นมือข้างหนึ่งไปหยิกแก้มเด็กน้อยข้างกายเบาๆ พอได้ยินนางร้องว่า “เจ็บ” อย่างน่าสงสารถึงได้ปล่อยมือ
จากนั้นทั้งสองต่างคนต่างง่วนกับสิ่งที่อยู่ในมือต่อไป จวบจนเสียงตะโกนด่าทอดังขึ้นในลานเรือนเล็กๆ ถึงตระหนักว่าเป็นเวลาเที่ยงตรงแล้ว
“เจ้าลูกสุนัขสองตัวนี้! เหตุใดต้องรังแกเสี่ยวเหมยลูกข้าด้วย” หวังซื่อบุกเข้ามาในลานเรือนสกุลหลูด้วยความโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ มือหนึ่งเท้าเอว มือหนึ่งชี้นิ้วตรงมาที่สองพี่น้องซึ่งนั่งอยู่
อี๋อวี้กะพริบตาปริบๆ แล้วหันหน้ามองหลูจื้อ เห็นเขาทำท่างุนงงดุจเดียวกัน นางสะกดความกังขาใจไว้มองไปที่ผู้มาเยือน ใคร่ครวญว่าจะถามให้แจ่มแจ้งดีหรือไม่ว่านี่เป็นเรื่องอะไรกันแน่ ถึงได้นั่งอยู่ในเรือนดีๆ ก็ยังถูกด่า
หวังซื่อไม่รอให้พวกนางอ้าปากกล่าววาจา สาวเท้าฉับๆ มาตรงหน้าจนนิ้วชี้เกือบจิ้มถูกจมูกของอี๋อวี้ “เสี่ยวเหมยลูกข้าทำอะไรให้ถึงโดนพวกเจ้าด่าทอ”
หลูจื้อรีบยื่นมือไปดึงตัวอี๋อวี้มาอยู่ด้านหลังตนเองเพื่อหลบน้ำลายที่แตกเป็นฟองฝอยๆ ของหวังซื่อ เขามุ่นหัวคิ้วเงยหน้ามองหวังซื่อพลางกล่าวถาม “ท่านอาสะใภ้หลี่ ท่านพูดให้รู้เรื่อง พวกข้าทำอะไรหรือ”
คำถามนี้ทำให้ไฟโทสะของหวังซื่อโหมแรงขึ้น นางอ้าปากสบถด่า “เจ้าลูกสุนัข! เจ้าเห็นข้าหวังกุ้ยเซียงรังแกได้ง่ายๆ หรือไร ด่าบุตรสาวข้าแล้วยังทำไขสือ มารดาของเจ้าอบรมสั่งสอนเจ้ามาอย่างนี้รึ ฮึ…สมน้ำหน้าคลอดลูกออกมาปัญญาอ่อน”
หลูจื้อได้ยินคำกล่าวของนาง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ดวงตาสีดำคู่โตหรี่ลงน้อยๆ เขาดึงอี๋อวี้ถอยหลังสองก้าวแล้วพูดค่อยๆ “หญิงชาวบ้านปากร้าย ไม่รู้กาลเทศะ”
อี๋อวี้ฟังเขาพูดจบไม่ทันไร มีเงาดำสายหนึ่งทาบทับมา เห็นหวังซื่อเงื้อฝ่ามือขึ้นตั้งท่าจะฟาดใส่หลูจื้อที่ยืนบังอยู่หน้านาง ม่านตาของเด็กน้อยหดแคบลง นางหมุนตัวผลักคนตรงหน้าออกไปตามสัญชาตญาณแล้วยืนตัวนิ่งๆ รอถูกตี
“สะใภ้หลี่! ลูกของข้าหลูเอ้อร์เหนียงไม่ต้องให้คนอื่นมาอบรมสั่งสอนกระมัง” สุดท้ายฝ่ามือนั้นมิได้ฟาดลงมา สุ้มเสียงคุ้นหูแฝงรอยปึ่งชาก็ดังขึ้น อี๋อวี้ช้อนตาขึ้นมองเห็นแขนที่เงื้อง่าอยู่กลางอากาศถูกมืออีกข้างหนึ่งแทรกเข้ามายึดไว้แน่น ฝ่ามือที่ข้อนิ้วปูดโปนเห็นเส้นเลือดรำไรข้างนี้ ในเวลากลางวันจะถือเข็มปักผ้าแทงผ่านผ้าไหมกลับไปกลับมา พอล่วงเข้ายามราตรีก็จะตบตัวนางเบาๆ เพื่อกล่อมนอนเสมอ มันเย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ ทำกับข้าวต้มน้ำแกง สางผมมัดจุก ล้างมือเช็ดหน้าให้นาง แต่ขณะนี้มันยังปกป้องนางได้อีกด้วย
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอแลเห็นดวงตาที่มีไฟโทสะลุกโชนของหลูซื่อ อี๋อวี้เพียงรู้สึกใจสงบ
ก่อนหน้านี้หลูจื้อตกใจที่หวังซื่อลงมืออย่างกะทันหัน ครั้นอี๋อวี้กระแทกตัวเขาออกไปถึงตั้งสติได้ รอเมื่อเห็นมารดาของตน เขาถึงโอบกอดน้องสาวที่อยู่ด้านข้างไว้แล้วถอยหลังไปอีกหลายก้าว ยืนมองผู้ใหญ่สองคนที่กำลังประจันหน้ากันอยู่โดยไม่เปล่งวาจาสักคำ
“ปล่อยมือ! เจ้าจับข้าไว้ทำไม วันนี้ข้าต้องสั่งสอนเจ้าลูกสุนัขตัวนี้สักหน่อย…”
“เพียะ!” เสียงตบหน้าดังชัดกังวาน อี๋อวี้เบิกตากว้างมองมารดาใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น
“โอ๊ย! เจ้าตบข้า เจ้ากล้าตบข้ารึ ข้าขอแลกชีวิตกับเจ้าแล้ว!” หวังซื่อถูกตบหน้าเต็มแรง พอกุมสติได้ก็ปรี่เข้าใส่หลูซื่อ
“ว้าย!” หลูซื่อเบี่ยงหลบได้อย่างคล่องแคล่ว ซ้ำขัดขานางจนล้มลงกับพื้น จากนั้นหมุนกายเดินไปที่ข้างกำแพงคว้าไม้กวาดที่ยาวเลยศีรษะของอี๋อวี้มาได้ก็ประเคนใส่ร่างหวังซื่อที่หมอบอยู่บนพื้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“โอ๊ยๆ…หยุดนะ อย่านะ โอ๊ย อย่าตีเลย!”
อี๋อวี้แอบกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง มองดูหวังซื่อที่เมื่อครู่นี้ยังวางท่าเหิมเกริมอยู่ถูกมารดาของนางไล่ตีไปรอบลานจนต้องหนีตะลีตะลาน นางรู้สึกเย็นวาบๆ ที่ท้ายทอยอย่างช่วยไม่ได้
“พะ…พี่ใหญ่…” นี่คงไม่เอากันถึงตายกระมัง
“ไม่เป็นไร ท่านแม่รู้ขอบเขตดี” ไม้กวาดอันนั้นหวดลงไปอย่างน้อยยี่สิบกว่าทียังไม่พลาดเป้าสักครั้ง แล้วดูสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงของคนที่ถูกตีนั่น ยังจะเรียกว่ารู้ขอบเขตดี?
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 ต.ค. 62)
Comments
comments
No tags for this post.