X
    Categories: ทดลองอ่านนวลหยกงามมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นวลหยกงาม เล่ม 10 บทที่ 12

หน้าที่แล้ว1 of 4

          บทที่ 12

“โปรดเสด็จกลับไปตอนนี้เถอะ ถือเสียว่าไม่ได้มาหานาง ถือเสียว่านางหนีการแต่งงาน ถือเสียว่าในแผ่นดินไม่มีนางคนนี้”

เที่ยงวันแสงแดดแรงกล้า หลังหลูซื่อกล่าวคำนี้ ดวงหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้าแปรเป็นเย็นเยียบในพริบตา กระทั่งบรรยากาศรอบตัวก็เย็นยะเยือกลง ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงสะพรึงกลัวแต่แรก ทว่านางไม่ เพราะขณะนี้นางคือมารดาผู้หนึ่ง

หลูซื่อไม่ต้องเผชิญหน้าตามลำพังนานนัก หานลี่ก็เดินเข้ามายืนเคียงข้างปกป้องนางโดยไม่ให้ผิดสังเกต บุรุษวัยกลางคนที่สุภาพนุ่มนวลผู้นี้มีรอยยิ้มบางๆ ประดับบนหน้า ละม้ายไม่รับรู้ถึงอำนาจบารมีของหลี่ไท่สักกระผีก

หลี่ไท่สบตากับเขาแวบหนึ่งแล้วทอดสายตาข้ามเขาไปมองหลูซื่อดังเดิม เขาทำหน้าเคร่ง อ้าปากพูดเสียงขรึม “ข้าเคยให้โอกาสนางเลือกครั้งหนึ่งแล้ว ไม่มีครั้งที่สอง ไม่มี”

เขาพูดคำว่า ‘ไม่มี’ นี้ด้วยเสียงเบาเนิบช้า แต่กลับจริงจังกว่าถ้อยวาจาใดๆ ทั้งมวล และปราศจากความลังเลปะปนอยู่ นี่เป็นการปฏิเสธคำขอร้องของหลูซื่ออย่างตรงไปตรงมาที่สุด นางนิ่งเงียบเป็นเวลาสั้นๆ แล้วไม่ยืนกรานความคิดตน โคลงศีรษะพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเนือยๆ อย่างจนใจ

“ผู้เป็นมารดาล้วนมีความเห็นแก่ตัว หม่อมฉันไม่ปรารถนาเห็นนางเสียใจตอนนี้ แต่ยิ่งไม่ปรารถนาจะเห็นนางทนทรมานในวันหน้า ทว่าเรื่องของนางยังต้องให้นางเป็นผู้ตัดสินใจเอง หม่อมฉันจะพูดเตือนครั้งนี้ครั้งเดียว ท่านอ๋องไม่เต็มพระทัยก็แล้วกันไป” นางเบี่ยงกายชี้ไปที่ห้องปีกตะวันตก “เสด็จไปทอดพระเนตรเถอะ เด็กคนนี้ไม่อาจหักใจปล่อยให้พระองค์ต้องตามหาอีกนานหลายวัน แอบเรียกคนไปส่งข่าว กลัวแค่ว่าจะทรงเป็นห่วงนาง ท่านอ๋องทรงต้องเห็นความดีของนางจึงจะถูก”

ร่างของหลี่ไท่ชะงักค้าง เขากดคางลงเป็นการพยักหน้านิดเดียวจนแทบสังเกตไม่เห็น จากนั้นก้าวเท้าออกเดินไปทางห้องเล็ก จวบจนมือแตะบานประตู ชายหนุ่มหยุดนิ่งชั่วอึดใจแล้วผลักเปิดอย่างเด็ดขาด

หลูซื่อมองประตูถูกงับปิดจากทางข้างใน ยกมือรับผ้าจากด้านข้างมาเช็ดรอยเปียกบนหน้า นางเบือนหน้าประสานสายตาซึ่งจับอยู่ที่ตัวนางของหานลี่ แววอ่อนโยนลึกล้ำไม่จางหายในนั้นเรียกรอยเก้อเขินปรากฏบนหน้านาง

“ท่านมองอะไร”

“หลันเหนียง วันนี้ข้าเพิ่งพบว่าตนเองกระทำความผิดอีกเรื่องหนึ่งแล้ว เจ้ายกโทษให้ข้าได้หรือไม่” ตอนเขาพานางไปจากเมืองฉางอันเมื่อสองปีก่อนละเลยจุดหนึ่งไป ยามนั้นเขามิได้ตระหนักเลยว่าสตรีที่เขารักมาครึ่งค่อนชีวิตคนนี้เป็นมารดาอย่างแท้จริง

“ถึงข้าไม่ยกโทษให้ ท่านก็หน้าด้านหน้าทนรั้งอยู่ที่นี่เช่นเดิม”

นางเดินไปทางห้องครัวแล้ว หานลี่ยังยืนอึ้งงันอยู่ที่เดิม แต่จู่ๆ ก็เปล่งเสียงหัวร่อกับตนเองแล้วลูบจมูกสาวเท้าตามไป หลูซื่อไปถึงข้างหน้าต่างก็หยุดฝีเท้า ชะโงกตัวมองไปทางข้างนอก

“ท่านหมอเหยาฉุดจื่อชีกระโดดหน้าต่างหนีไปเมื่อครู่นี้ ท่านจะไปตามหาหรือไม่”

“ไม่ต้องตามหาแล้ว เว่ยอ๋องอยู่ที่นี่ เขาไม่มีทางกลับมา”

“เอ๊ะ? เพราะเหตุใด หรือว่าเว่ยอ๋องก็อยากจับตัวเขา”

“ไม่ใช่ นี่เป็นเรื่องเก่า วันหลังข้าค่อยเล่าให้เจ้าฟังนะ”

 

หน้าต่างบนผนังฝั่งที่หันหลังให้ดวงตะวันด้านนอกเปิดออกบานหนึ่ง ภายในห้องจึงทั้งไม่มืดสลัวทั้งไม่สว่างแยงตา ห้องนี้ตกแต่งอย่างสามัญเรียบง่าย แต่โต๊ะเก้าอี้และม้านั่งเช็ดถูอย่างสะอาดหมดจด กลิ่นยาขมปนหวานชื่นใจลอยอวลในอากาศ หลี่ไท่ไพล่มือไปข้างหลังปิดประตู มองปราดเดียวก็เห็นร่างแบบบางบนเตียง จึงอดผ่อนน้ำหนักฝีเท้าให้เบาลงไม่ได้

เขายืนอยู่ข้างเตียงมองสตรีที่ยังนิทราอยู่ด้วยแววตานิ่งขรึม เรือนผมอ่อนนุ่มสีดำสนิทของนางแผ่กระจายเปะปะบนหมอน สองแก้มอิ่มดูตอบไป ปลายคางกลมมนก็แหลมเล็กลง ดวงตานางปิดเบาๆ อยู่บนใบหน้าซีดเซียวอย่างคนไม่สบาย หญิงสาวในสภาพนี้ไม่นับว่าชวนมองจริงๆ ทว่าเขาก็จับจ้องนางไปอย่างนี้อยู่เนิ่นนาน

ชายหนุ่มมองไปเรื่อยๆ จนกลางอกเริ่มร้อนผ่าวอึดอัด ถึงเหยียดมือไปวางบนหน้าผากนางอย่างเชื่องช้า สัมผัสในอุ้งมือเย็นเล็กน้อยแต่เป็นจริง ฝ่ามือของเขาลูบจากหน้าผากเล็กสู่เชิงผมไปทางด้านหลังอย่างแผ่วเบาหนึ่งครั้ง…สองครั้ง…จนถึงครั้งที่สามแตะผ่านกลางกระหม่อมของนางก็หยุดลงฉับพลันแล้วชักกลับไปหันหลังให้ เพราะเห็นเปลือกตาของนางขยับดุกดิกแล้วยังย่นจมูก ท่าทางกำลังจะตื่นนอน

อี๋อวี้ถูกกลิ่นหอมระลอกหนึ่งปลุกให้ตื่น นางพยายามยกเปลือกตาหลายทีถึงลืมตาขึ้น รู้สึกปวดศีรษะจากการนอนบนเตียงนานๆ นางครางในลำคออย่างไม่สบายตัวก่อนสูดหายใจสองเฮือก กลิ่นอันคุ้นเคยนั่นก็กำซาบตรงเข้าสู่สมองทำให้สติแจ่มใสทันควัน นางเอียงหน้ามองเงาร่างที่หันหลังให้ตนตรงข้างเตียง แม้ไม่เคยเห็นเสื้อคลุมสีเขียวอมม่วงเข้มชุดนี้มาก่อน แต่เรือนกายสูงชะลูดนั่นกลับคุ้นตาคุ้นใจนางเกินจะกล่าว

“ทะ…ท่านอ๋อง” อี๋อวี้เรียกขานคำหนึ่ง นางเห็นเขาเพียงด้านหลังก็เริ่มขอบตาร้อนผ่าว แต่พอได้ยินเสียงของตนเอง นางก็คับใจขึ้นมาอีก ปกติเสียงนางไม่ไพเราะอยู่แล้ว ตอนนี้ยังไม่หายป่วยเลยทั้งแหบทั้งแห้งเหมือนเป็ดถูกบีบคอ ฟังแล้วน่าเกลียดน่าชังอย่างยิ่ง

หญิงสาวลอบเยาะหยันตนเอง ครั้นเห็นแผ่นหลังนั่นไม่เคลื่อนไหว นางพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่อาการอ่อนแรงไม่บรรเทาลงเป็นเหตุให้กะปลกกะเปลี้ยไปทั้งกาย นางแค่เปลี่ยนอิริยาบถง่ายๆ ก็มีเม็ดเหงื่อผุดซึมตรงปลายจมูกแล้ว

“ข้านึกว่ากว่าท่านจะตามมาเจอก็ต้องย่ำบ่ายแล้ว” อี๋อวี้บังเกิดความอิ่มอกอิ่มใจเมื่อคิดว่าเหยาจื่อชีส่งข่าวกลับไปเมื่อเช้า ตอนเที่ยงเขาก็ปรากฏกายที่นี่ แล้วความรู้สึกนี้ส่งผลให้นางมองข้ามเรื่องที่เขาไม่ได้ไปสวนผูเจินตอนนางล้มป่วยอย่างทันท่วงที ถึงอย่างไรนี่มิใช่ความผิดของเขา

“เจ้านึกว่า?”

หลี่ไท่กล่าวทวนคำขึ้นต้นประโยคของนางแล้วหมุนตัวขวับกลับมา ดวงตาทั้งคู่ปะทะกับใบหน้าสงบนิ่งของนาง จับสังเกตทุกๆ อารมณ์ความรู้สึกที่ฉายอยู่บนนั้นอย่างว่องไว ไม่ว่าปลาบปลื้มยินดี ประหลาดใจ อ่อนโยน หรือกระทั่งประจบประแจงจางๆ แต่กลับปราศจากวี่แววตัดพ้อต่อว่าหรือไม่พอใจสักน้อยนิด เฉกเช่นหลังจากนางรอดตายมาได้บนเขาต้าหมั่ง สมควรเป็นโชคดีของเขาหรือไม่ที่สตรีผู้นี้รู้จักพอจนไม่กล้านึกถึง

“ท่านเป็นอะไรไปหรือ” ไม่พบหน้ากันนานเจ็ดแปดวัน อี๋อวี้มองออกว่าเขาไม่ดีใจเท่าตนเอง นางดึงผ้าห่มอย่างกระสับกระส่าย พลางเอ่ยอธิบายเสียงอ่อย “วันนั้นป่วยกะทันหัน ถึงจากไปโดยไม่รอพบท่าน ไม่คิดว่าหานลี่จะพาข้ามาหาเหยาปู้จื้อ ท่านไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าไม่เป็นไรแล้ว”

“ไม่เป็นไร?” หลี่ไท่มองดูท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงจากอาการป่วยของนางด้วยสีหน้าเฉยชา ท่ามกลางสายตางุนงงของนาง เขาโน้มตัวยื่นมือจับปลายคางแหลมเล็กแล้วออกแรงบีบจนนางร้องอุทานเบาๆ “ตากฝนทีเดียวก็ล้มหมอนนอนเสื่ออย่างนี้ เจ้ากลายเป็นคนอ่อนแอปวกเปียกขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด”

อี๋อวี้ไม่ใช่ไม่เคยได้ยินหลี่ไท่พูดจาระคายหู แต่จำนวนครั้งน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย นางกะพริบตาปริบๆ อย่างงงงัน อากัปกิริยาที่ไม่คุ้นตาของเขานี้สร้างความฉงนสงสัยให้ นางทนความเจ็บตรงปลายคาง เอ่ยถามอีกหน “ท่านเป็นอะไรไป ใช่หรือไม่ว่าในเมืองหลวงเกิดเรื่องใดขึ้น”

หลี่ไท่หน้าขรึมลง เอ่ยเสียงเย็น “เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถอะ นอกจากสร้างปัญหาให้ข้า เวลานี้เจ้ายังทำอะไรได้อีก”

อี๋อวี้ได้ยินเขากล่าววาจาถากถาง ชั่วพริบตาหนึ่งนางคล้ายหายใจไม่ออก “ขะ…ข้า…ขอโทษ…” นางหลุบตาลง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรยังเอ่ยปากขอขมาเขาอย่างง่ายดายได้ ทั้งๆ ที่กำลังปวดใจอย่างยิ่งยวด บางทีนางอาจรู้สึกอยู่ลึกๆ ในใจว่าตนสร้างปัญหาให้เขาจริงๆ

หลี่ไท่ปล่อยนิ้วมือออก ใช้นิ้วโป้งถูไถกับปลายคางที่ถูกบีบเป็นรอยแดงของนาง สุ้มเสียงของเขายังคงจับอารมณ์ใดๆ ไม่ออก หากคำพูดที่เปล่งออกมากลับทำให้หัวใจของอี๋อวี้ราวกับพลัดหล่นลงสู่โพรงน้ำแข็งก็ไม่ปาน

“ข้าจะแต่งเจ้าเป็นชายา ทั้งทำตามสัญญาแล้วครึ่งหนึ่งตอนวันเกิดเจ้า แต่ถ้าเจ้ากลายเป็นตัวถ่วง ข้าไม่ถือสาที่จะไม่รักษาสัญญาอีกครึ่งหนึ่งนั่น วังเว่ยอ๋องใหญ่โต ไม่กลัวมีที่ไม่พอสำหรับสตรีหลายคน”

“ท่านพูดอะไร” อี๋อวี้ยกมือขึ้นช้าๆ กุมข้อมือข้างที่จับปลายคางนางของเขาแล้วกำไว้จนแน่น สองตาของนางจ้องตาเขาเขม็ง เพราะถ้าไม่ทำเช่นนี้ นางกลัวตนเองจะตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ จากนั้นความพรั่นพรึงจะแผ่ลามไปทั้งสรรพางค์กาย หากแต่เสียงที่สั่นเทาได้เปิดเผยความกลัวในเสี้ยวเวลานี้ของนางแล้ว

หลี่ไท่มองนางนิ่งๆ ใบหน้าพลันปรากฏแววเยาะหยันจางๆ เขาอ้าปากจะพูดซ้ำคำเดิมเมื่อครู่นี้อีกรอบให้นางฟังอย่างชัดเจน

“ข้าพูดว่าวังเว่ยอ๋องใหญ่โต ไม่กลัวมีที่ไม่พอ…”

“หยุดพูด” อี๋อวี้น้ำตาคลอเบ้า ตวาดเสียงต่ำแกมแหบพร่า นางแทบจะใช้กำลังสุดตัวถลันเข้าไปใช้มือหนึ่งคว้าข้อมือหลี่ไท่ มือหนึ่งปิดปากเขาแน่นๆ จนเขาหงายหลังลงกับพื้น ส่วนตนเองถลาล้มลงนั่งบนร่างเขา นางก้มหน้าหายใจกระหืดกระหอบ น้ำตาไหลหยดลงบนหน้าผากเขาไม่ขาดสาย

“หยุดพูดๆ”

หลี่ไท่นอนหงายบนพื้นแข็งๆ เย็นๆ มองนางด้วยหน้าตาเรียบเฉยแกมปึ่งชาดุจเก่า แต่ไม่มีคนเห็นว่าฝ่ามือที่ประคองเอวหญิงสาวไว้หมิ่นๆ กำเข้าหากันทีละน้อยทีละนิดจนเส้นเอ็นหลังมือปูดโปนเห็นชัดถนัดตา เพราะหยดน้ำตาอุ่นร้อนบนหน้าผาก

“หยุดพูด…” อี๋อวี้เบิ่งดวงตาแดงก่ำไว้ กล่าวเสียงสั่น “ท่านบอกไม่ใช่หรือว่าให้ข้าเชื่อใจท่าน บอกว่าท่านจะทำตามที่สัญญาไว้ทุกอย่าง แต่ท่านจะกลับคำพูดอีกแล้ว ท่านทำแบบนี้ได้อย่างไร”

หลี่ไท่จับข้อมือนางแล้วดึงออกจากปากตนโดยไม่เปลืองแรง “แล้วเจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่”

ชายหนุ่มถามกลับคำเดียวก็ทำให้อี๋อวี้เซื่องซึมไปกะทันหัน แววตานางหม่นลง “ใช่ ข้าไม่เชื่อใจท่าน”

“เพราะอะไร”

นางแลมองนัยน์ตาคู่งามของเขาอย่างเหม่อลอย ค่อยๆ เผยสีหน้าโศกเศร้ายิ่งกว่ายามร่ำไห้

“ท่านไม่รู้จริงๆ หรือ ท่านเคยทอดทิ้งข้ามาสองครั้งแล้ว หนหนึ่งที่นอกป่าหมอกบนเขาต้าหมั่ง ท่านบอกไว้ว่าให้ข้ารอท่าน บอกว่าท่านจะรีบกลับมา แต่พอข้าถูกพาเข้าไปในนั้น ท่านกลับจากไป อีกหนหนึ่งที่เมืองผู่ซาหลัว ท่านยายให้ท่านไปทำงานที่ผิงโจว ข้าบอกแล้วว่าจะไปพร้อมกับท่าน แต่ท่านเล่า จากไปโดยไม่บอกไม่กล่าว ไม่ฝากคำพูดไว้แม้แต่คำเดียว ท่านบอกกับท่านแม่ข้าว่าให้ข้าเลือก แต่ท่านเคยถามข้าหรือเปล่า ท่านรู้ไหมว่าข้าไม่อยากแยกจากท่าน หลี่ไท่ ท่านทำแบบนี้ได้อย่างไร”

หญิงสาวพูดถึงความเจ็บช้ำใจก็เรียกขานนามเขาตรงๆ ไม่รู้ว่านางไปเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด รัวกำปั้นเล็กๆ ทุบแผ่นอกกว้างไม่หยุด เพราะน้ำตากบตา นางไม่เห็นสีหน้าปนเปไปด้วยอารมณ์หลายหลากของเขา

“เหตุใดเมื่อก่อนไม่พูด”

“ท่านเห็นว่าข้าจะพูดอะไรได้ พูดว่าข้าไม่เชื่อใจท่าน ท่านจะได้มีข้ออ้างให้ข้าเลือกใหม่อีกครา ท่านจะได้ทิ้งข้าไปเมื่อไรก็ได้หรือ”

อี๋อวี้ตะโกนเสียงแหบจบ หน้าอกก็กระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรงระลอกหนึ่ง นางใช้พลังเฮือกสุดท้ายหมดก็หน้ามืดตัวอ่อนล้มทับตัวหลี่ไท่ และเริ่มสะอึกสะอื้นเบาๆ อารมณ์ด้านร้ายต่างๆ ไม่ว่าเป็นความน้อยอกน้อยใจ ความทุกข์ทรมาน ความหวาดกลัว พากันประดังประเดถาโถมเข้าใส่จนนางหายใจไม่ออก นางถึงขั้นอุปาทานไปเองว่าจะขาดใจตายในอึดใจต่อไป ทว่าสุดท้ายมันเป็นแค่อุปาทาน ยังไม่ทันดำดิ่งไปกับอารมณ์บั่นทอนจิตใจเหล่านั้น วงแขนทรงพลังคู่นั้นก็สวมกอดนางไว้ทั้งตัวอย่างแนบแน่น ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดใบหูพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำเรียบเฉยหากแฝงความอ่อนโยนผิดแผกไปอยู่ในทีดังขึ้นดุจเดียวกับในความทรงจำ

“ดีมาก ถ้าข้าทำเรื่องที่สร้างความกระวนกระวายใจให้เจ้าอีก ก็ทำอย่างเมื่อครู่นี้ บอกออกมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ข้าอนุญาตให้เจ้าไม่เชื่อใจ แต่เจ้าต้องบอกให้ข้ารู้”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 04 พ.ค. 63

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: