X
    Categories: 14 วัน 14 เรื่องทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ภรรยาจำนนรัก

หน้าที่แล้ว1 of 22

บทที่หนึ่ง

 มู่เซียงหนิงยืนอยู่ตรงหน้าประตู เกล็ดหิมะเล็กละเอียดโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า วันนี้เป็นวันสิ้นปีที่ผู้คนกินอาหารส่งท้ายปีเก่ากัน

โต๊ะกลมที่อยู่ข้างหลังนางเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสนานาชนิด อาหารสิบกว่าอย่างนี้ล้วนเป็นอาหารที่ปรุงขึ้นมาอย่างประณีต ครบครันทั้งหน้าตาและกลิ่นหอมชวนกิน อีกทั้งยังเป็นของโปรดของชายผู้นั้นทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังมีสุราชั้นดีที่หมักบ่มมานานปี

ความหวังว่าเขาจะมานั้นมีไม่มาก แม้นางจะรู้ดี แต่ก็ยังอยากลองดูสักตั้ง

ถึงอย่างไรเสียนางก็เป็นภรรยาเอกของเขาไม่ใช่หรือ

แม้วันปกติเขาไม่เคยมาหา แต่วันพิเศษเช่นนี้เขาก็ควรมา ต่อให้เป็นการมาตามมารยาทก็ยังดี

อาหารอร่อยบนโต๊ะไม่เหลือควันร้อนๆ มานานแล้ว น้ำแกงที่ตุ๋นไว้ก็เย็นชืดจนขึ้นไข ทว่านางก็ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าประตูมองความเงียบเหงาวังเวงของลานหน้าเรือนต่อไป บนพื้นหิมะไม่มีแม้แต่รอยเท้าสักรอยให้เห็น

อากาศหนาวจัด แม้จะมีกระถางไฟวางตั้งอยู่ในห้องสี่ใบก็ไม่ช่วยให้ใจนางอุ่นขึ้นมาได้เลย เพราะภายในใจก็มีหิมะตกเช่นกัน

“ฮูหยิน กับข้าวเย็นหมดแล้ว ให้ไปอุ่นซ้ำอีกครั้งดีหรือไม่เจ้าคะ” ฉาเอ๋อร์สาวใช้ถามเบาๆ

ริมฝีปากของมู่เซียงหนิงหยักมุมโค้งทว่าไร้รอยยิ้ม น้ำเสียงแฝงนัยเยาะเย้ยตนเอง “อุ่นซ้ำมาตั้งหลายครั้งแล้วยังจะอุ่นอีกด้วยเหตุใดเล่า ไม่ต้อง เขาไม่มาหรอก”

แม่นมชุยเดินเข้ามาเกลี้ยกล่อม “ฮูหยิน อย่ายืนหน้าประตูเลยเจ้าค่ะ เข้าไปข้างในดีกว่า ประเดี๋ยวจะหนาว”

“ไม่ ข้าอยากยืนตรงนี้ หากหัวใจหนาวเป็นน้ำแข็งจนด้านชาไปได้ก็คงดี แต่นี่มันยังเจ็บ มันยังมีความรู้สึก แม่นม ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน อยากจะคว้านตรงนี้ทิ้งไปมันจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดอีก” มู่เซียงหนิงกล่าวพร้อมกับชี้ไปที่อกด้านซ้ายของตนเอง

แม่นมชุยฟังแล้วอดทำตาแดงๆ ไม่ได้ ก่อนจะพูดเสียงเครือ “ฮูหยิน ปลงเสียเถิดเจ้าค่ะ บุรุษมีหลายภรรยาเป็นเรื่องปกตินะเจ้าคะ”

ป่านนี้ท่านแม่ทัพคงอยู่เรือนอนุคนใดคนหนึ่ง มู่เซียงหนิงไม่อยากให้คนไปสืบถาม เพราะรู้แล้วมีแต่จะอับอายและช้ำใจเปล่าๆ

ฉาเอ๋อร์ยกน้ำขิงมาให้ “ฮูหยินดื่มน้ำขิงร้อนๆ เสียหน่อยนะเจ้าคะ ร่างกายจะได้อุ่นขึ้น”

นางมองถ้วยน้ำขิงควันฉุยในมือสาวใช้ แล้วพูดอย่างเหม่อลอย “ฉาเอ๋อร์ น้ำขิงนี่ดื่มไปก็ไม่ช่วยให้หัวใจข้าอุ่นขึ้นมาได้หรอก ข้าอยากได้น้ำแกงยายเมิ่ง* มากกว่า ดื่มแล้วจะได้ลืมชีวิตในชาติที่ผ่านมาไปเสีย”

“ฮูหยินอย่าพูดเหลวไหลสิเจ้าคะ” แม่นมชุยอุทานพลางกอดเจ้านายเอาไว้เพื่อให้ร่างกายของอีกฝ่ายอุ่นขึ้น

น้ำแกงยายเมิ่งมีแต่คนตายเท่านั้นถึงจะได้ดื่ม ฮูหยินกล่าวเช่นนี้เท่ากับอยากตายชัดๆ นางฟังแล้วก็รู้สึกหวั่นใจ ทั้งยังปวดใจเหลือเกิน

ฉาเอ๋อร์ก็ยืนร้องไห้เงียบๆ อยู่อีกทาง

ฮูหยินรักท่านแม่ทัพมากเท่าไร นางและแม่นมชุยประจักษ์ด้วยตามาโดยตลอด พวกนางทั้งสองติดตามฮูหยินออกเรือนมาด้วย คุณหนูผู้ร่าเริงเปิดเผยในอดีตหายไปที่ใดเสียแล้วเล่า พวกนางคิดถึงคุณหนูผู้ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน และไม่กลัวผีสางเทวดาผู้นั้นเหลือเกิน

ความรักเป็นได้ทั้งการหลุดพ้นและมีดแหลมที่คร่าชีวิต ดูอย่างฮูหยินที่ถูกปีศาจแห่งความรักเข้าสิงนี่ก็ได้ นางถูกทารุณทางจิตใจเสียจนไม่เหลือแล้ว

พวกนางอยากเห็นฮูหยินเป็นคุณหนูผู้มีนิสัยโผงผางดิบห่ามเหมือนชายหนุ่มผู้นั้น มากกว่าจะเป็นหญิงสาวผู้เปราะบางระทมทุกข์อย่างในตอนนี้

“ฉาเอ๋อร์ แม่นม เพื่อเขาแล้ว ข้าสู้อุตส่าห์ไปหาข่าวสำคัญมาให้อย่างไม่กลัวอันตราย ข้าอยากบอกเขาด้วยตนเอง อยากเห็นเขาทำหน้าซาบซึ้ง แต่เขาไม่ยอมมาหาข้าด้วยซ้ำ…”

“ฮูหยินพูดว่าอะไรนะเจ้าคะ” เจ้านายพึมพำกับตนเอง ฉาเอ๋อร์จึงได้ยินไม่ชัด

ทันใดนั้นมู่เซียงหนิงก็ผลักแม่นมชุย แล้ววิ่งออกไปบนพื้นหิมะ

“ฮูหยิน…เดี๋ยวตัวเปียก อย่าทำเช่นนี้เจ้าค่ะ ฉาเอ๋อร์ เร็วเข้า รีบไปเอาร่มกับเตาอุ่นมือมา!”

แม่นมชุยวิ่งตามไปโดยไม่รอช้า หิมะโปรยปรายลงมาบนร่างจนเสื้อผ้าเปียกชื้น เวลานี้ฮูหยินร่างกายอ่อนแอไม่เหมือนเมื่อก่อน ประเดี๋ยวได้ล้มป่วยเป็นแน่

มู่เซียงหนิงเหมือนไม่ได้ยินเสียงเรียกของทั้งสอง ยังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆ เหมือนถูกผีสิง อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ล่ะดีแล้ว และจะดียิ่งกว่าหากทำให้หัวใจของนางกลายเป็นน้ำแข็ง ไม่ต้องรู้สึกรู้สา เมื่อหมดความรู้สึกก็จะไม่เจ็บปวด

การรักใครสักคนแต่ไม่สมปรารถนาช่างขมขื่นเหลือเกิน นางไม่อยากเป็นเช่นนี้ นางอยากหลุดพ้น…

น้ำตาแข็งเป็นคราบอยู่บนใบหน้า ร่างกายชาจนไม่รับรู้ถึงลมหนาวที่บาดเข้ามาถึงกระดูก นางอธิษฐานขอให้สวรรค์นึกสงสารตนเอง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามได้โปรดทำให้นางลืมเขา ได้โปรดลบบุรุษผู้นั้นไปจากใจนาง นางจะได้เป็นอิสระเสียที

“ฮูหยิน กลับเข้าไปดีกว่าเจ้าค่ะ” แม่นมชุยสังหรณ์ใจไม่ดี ฮูหยินมีท่าทางราวกับวิญญาณจะหลุดลอยออกจากร่าง เห็นแล้วพรั่นใจอย่างบอกไม่ถูก

แต่มู่เซียงหนิงเหมือนไม่ได้ยิน และไม่สนใจว่าหญิงสูงวัยจะพยายามดึงตนกลับไป

ทันใดนั้นคล้ายกับว่าสวรรค์ตอบสนองความปรารถนาในใจนาง ลมพายุลูกหนึ่งถึงได้พัดกระโชกเข้าใส่จนนางทรงตัวยืนไม่อยู่ ร่างกายเสียสมดุลล้มลง หัวกระแทกถูกของแข็งบางอย่างจนสลบไป

“ฮูหยิน! ฮูหยินเจ้าคะ!”

สติของมู่เซียงหนิงค่อยๆ พร่าเลือน หากหลับไม่ตื่นไปทั้งอย่างนี้ได้จะดีสักเพียงใดกันนะ การปลดปล่อยเช่นนี้ล่ะคือการหลุดพ้นที่นางปรารถนา

เสียงหวีดร้องของแม่นมชุยกับฉาเอ๋อร์ดังห่างออกไปเรื่อยๆ สติของนางจมสู่ความมืดมิดในที่สุด…

 

มู่เซียงหนิงลืมตาตื่นขึ้นมาอีกคราด้วยดวงตาฉายแววเลื่อนลอย แต่เพียงครู่เดียวก็กลับคืนสู่ความกระจ่างใสเหมือนเก่า ในความกระจ่างใสนั้นยังมีเชาวน์ปัญญาแฝงอยู่ด้วย

นางเหลือบมองไปข้างบนเห็นเพดานเตียงที่ไม่เคยเห็น ฟูกที่ไม่เคยนอน กลิ่นในห้องที่ไม่เคยคุ้น หญิงสาวผู้มีประสาทสัมผัสฉับไวเกร็งตัวด้วยความระแวงทันที แต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกลนลานมากนัก

ที่นี่ที่ใดกัน

แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

ในห้องไม่มีใครเลยสักคน นางลุกขึ้นมานั่งบนฟูกนอนอย่างคล่องแคล่ว เนตรงามกวาดมองรอบตัวด้วยความระมัดระวังโดยไม่ปล่อยให้รายละเอียดใดเล็ดลอด แน่นอนว่านางยังไม่ลืมจะตรวจดูว่าตนมีบาดแผลตรงที่ใดหรือไม่

มีแผลอยู่บริเวณหัว?!

นางลูบหน้าผาก บนนั้นพันผ้าเอาไว้และมีความรู้สึกเจ็บนิดๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากเมื่อพยายามทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นกลับพบว่าจำไม่ได้

หญิงสาวลุกจากเตียงไปที่หน้าคันฉ่องสัมฤทธิ์ แล้วก็อดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อเห็นภาพสะท้อนของตนเองบนนั้น

อะไรกัน! หญิงสาวในนั้นคือข้าอย่างนั้นหรือ

เหตุใดถึงได้มีสารรูปเช่นนี้เล่า!

ใบหน้าผอมตอบลงมาก สีหน้าย่ำแย่ขาวซีดราวกับป่วยซมมานานปี ทั้งยังดูขี้โรคอ่อนแอ เหตุใดนางถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ไปได้

พอนางขมวดคิ้ว คนในกระจกก็ขมวดคิ้วตาม ท่าทางน่าสงสารเช่นนั้นทำให้นางสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ นางแทบจำตนเองในกระจกไม่ได้แล้ว ซูบเซียวน่าเวทนาราวกับหญิงอมทุกข์จากที่ใด เห็นแล้วชวนรังแกยิ่งนัก แม้แต่ตัวนางเองก็ยังรับสารรูปเช่นนี้ไม่ได้

หรือว่าข้าจะถูกพิษ!

หญิงสาวสะดุ้งเฮือกอยู่ในใจแล้วรีบทดลองเดินลมปราณ พบว่าเลือดลมไหลเวียนดี ร่างกายเป็นปกติปลอดภัย ไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่าถูกพิษ

หัวใจของมู่เซียงหนิงเต็มไปด้วยคำถาม ทว่าเสียงที่ดังขึ้นข้างหลังทำให้นางระงับความรู้สึกไว้ ก่อนจะหันขวับไปมอง

คนสามคนยืนอยู่ตรงหน้าประตู มีหนึ่งชายสองหญิง แต่สายตาของนางตรึงอยู่ที่บุรุษผู้นั้นเป็นอันดับแรก ไม่ใช่ว่าเพราะเขามีใบหน้าสง่างาม แต่การฝึกฝนตนมานานปีทำให้นางพุ่งความสนใจไปหาสิ่งที่ดูอันตรายและน่าสงสัยที่สุดก่อน

บุรุษแปลกหน้าผู้นั้นกำลังจ้องมองนางอย่างเย็นชา

ชิงชัง…นั่นคือความรู้สึกแรกที่นางสัมผัสได้จากสีหน้าของอีกฝ่าย

บุรุษผู้นี้ชิงชังนางมาก แต่นางไม่รู้ว่าตนไปทำอะไรให้เขาตั้งแต่เมื่อไร

แม้จะนึกสงสัยอยู่ในใจ ทว่านางก็รู้จักแม่นมชุยกับฉาเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาดี คนหนึ่งเป็นสาวใช้ประจำตัวนาง ส่วนอีกคนเป็นแม่นม

“ฮูหยิน ในที่สุดก็ฟื้นแล้ว!”

ฉาเอ๋อร์วางยาไว้บนโต๊ะ แล้วรีบเดินเข้ามาประกบนางซ้ายขวาพร้อมกับแม่นม

หญิงสูงวัยยกมือลูบผ้าพันแผลบนหน้าผากของนางแผ่วเบา “ฮูหยินยังเจ็บอยู่หรือไม่เจ้าคะ”

มู่เซียงหนิงมองพวกนางสลับกันไปมาด้วยความฉงน “แม่นม ฉาเอ๋อร์ เหตุใดถึงเรียกข้าว่าฮูหยินเล่า”

ทั้งคู่พากันตกตะลึงพรึงเพริด “ฮูหยินเป็นอะไรไปเจ้าคะ อย่าบอกนะว่าล้มไปทีเดียวจะลืมทุกอย่างไปหมดแล้ว”

“พวกเจ้าต่างหากเล่าที่ลืม ข้าเป็นสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือนจะเรียกขานข้าว่าฮูหยินได้อย่างไร”

ได้ยินนางถามเช่นนี้สีหน้าของฉาเอ๋อร์กับแม่นมชุยก็เปลี่ยนไปทันที ทั้งสองประคองฮูหยินให้เดินไปอีกทางพลางกระซิบกระซาบ

“ฮูหยินพูดจาเลอะเลือนอะไรอยู่เจ้าคะ ท่านออกเรือนนานแล้ว พวกบ่าวถึงได้เรียกท่านว่าฮูหยินอย่างไรเล่า” ฉาเอ๋อร์บอกเบาๆ

มู่เซียงหนิงผงะไปอีกครั้ง แต่ความเยือกเย็นมีสติคือข้อดีของนางเสมอมาจึงถามกลับไปขันๆ “ข้าแต่งงานแล้ว?”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้พยักหน้า

“ถ้าเช่นนั้นแต่งกับใครกัน”

“ฮูหยินเป็นอะไรไปเจ้าคะ บุรุษที่ท่านแต่งงานด้วยยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไรเล่า” แม่นมชุยลอบหันสายตาไปอีกทางเพื่อบอกเป็นนัย

มู่เซียงหนิงมองตามสายตาแม่นมไปพบบุรุษที่กำลังจ้องมองนางอย่างเย็นชา แล้วขมวดคิ้วมุ่นทันที

“อย่าล้อเล่นสิ ข้าแต่งงานตั้งแต่เมื่อไร”

คำถามของนางทำให้แม่นมชุยกับฉาเอ๋อร์สูดหายใจเฮือก พร้อมกันนั้นก็มีเรียกเสียงหัวเราะเหยียดๆ ดังมาจากชายหนุ่ม

เสียงแค่นหัวเราะขึ้นจมูกทำให้มู่เซียงหนิงหรี่ตามองเขาอย่างน่ากลัว “หัวเราะด้วยเหตุใดกัน สารรูปอย่างเจ้าเนี่ย มีแต่ผีเท่านั้นล่ะที่จะแต่งงานด้วย!”

ชายผู้นั้นชะงักไปก่อนที่สองตาจะเป็นประกายวาวโรจน์ แม่นมชุยกับฉาเอ๋อร์รีบคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความตื่นกลัว

“ท่านแม่ทัพโปรดอย่าได้โมโห คงเพราะฮูหยินล้มหัวกระแทก ถึงได้พูดจาเลอะเลือนเช่นนี้เจ้าค่ะ” หญิงสูงวัยขอขมาเขา

ทว่าฉาเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ กลับมองมู่เซียงหนิงตาเป็นประกายแล้วถามขึ้นว่า “ฮูหยินจำท่านแม่ทัพไม่ได้หรือเจ้าคะ”

“ก็ต้องจำไม่ได้อยู่แล้วสิ อีกอย่างที่นี่คือที่ใดกัน แล้วข้ามาอยู่ในนี้ได้อย่างไร”

ฉาเอ๋อร์ฟังแล้วฉุกคิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นจึงลองถามหยั่งเชิง “ฮูหยินยังจำเรื่องที่พวกเราไปท่องเที่ยวแม่น้ำเซียงเจียงกันได้หรือไม่”

“เหตุใดจะจำไม่ได้ เดือนห้าปีที่แล้วอย่างไรล่ะ”

สาวใช้ลุกพรวดขึ้นด้วยความยินดี แล้วดึงมือมู่เซียงหนิงมากุมอย่างตื้นตัน

“คุณหนู ความทรงจำของท่านกลับมาแล้ว!” ฉาเอ๋อร์ตื่นเต้นเสียจนหลุดปากเรียก ‘คุณหนู’ อย่างที่ชินปากในอดีต

มู่เซียงหนิงมองสาวใช้ประจำตัวราวกับเห็นผี “ความทรงจำกลับมาแล้ว? เจ้าพูดอะไรของเจ้า”

“เดิมทีคุณหนูจำเรื่องที่ไปท่องเที่ยวแม่น้ำเซียงเจียงไม่ได้ แต่ตอนนี้จำได้แล้ว แม่นมชุย ความทรงจำของคุณหนูกลับมาแล้วจริงๆ!”

การท่องเที่ยวแม่น้ำเซียงเจียงเกิดขึ้นก่อนที่คุณหนูจะสูญเสียความทรงจำ ตอนแรกจำไม่ได้ ตอนนี้มาจำได้ ถ้าไม่ใช่ความทรงจำหวนกลับมายังเป็นอะไรได้อีกเล่า

ความกังวลของแม่นมชุยเปลี่ยนเป็นความยินดีเช่นกัน “ประเสริฐเหลือเกิน! ฮูหยิน ในที่สุดท่านก็นึกออกเสียที…” ทันใดนั้นนางก็คิดได้ รอยยิ้มเลือนหายกลายเป็นถามอย่างหวาดๆ “ฮูหยิน หรือว่าท่านจะจำท่านแม่ทัพไม่ได้”

คนสนิททั้งสองจ้องมองมู่เซียงหนิงเขม็ง พวกนางเคยได้ยินมาว่าคนที่ความจำเสื่อมนั้น เมื่อความทรงจำกลับมาแล้วอาจลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างสูญเสียความทรงจำ หรือว่าฮูหยินจะเป็นเช่นนั้น

หญิงสาวมองแม่นมชุยกับฉาเอ๋อร์ก่อน จากนั้นก็มองไปทางบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู

นางรู้นิสัยคนสนิทสองคนนี้ดีว่าไม่ใช่คนที่จะเอาเรื่องเช่นนี้มาพูดส่งเดช อีกทั้งท่าทางกระวนกระวายของพวกนางก็ไม่ใช่การเสแสร้ง ก่อนหน้านี้จะต้องเกิดเรื่องที่นางไม่รู้ขึ้นเป็นแน่

นางกวาดตามองชายผู้นั้นตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะมองไล่ตั้งแต่เท้าขึ้นไปจรดหัวอีกหนึ่งตลบ

เขาเป็นบุรุษหน้าตางามคมคาย ใบหน้าเย็นชาราวกับรูปสลัก จมูกโด่งเป็นสันตรงบ่งบอกว่าเป็นคนตรงไปตรงมา ดวงตาอินทรีเป็นประกายคมกล้าราวกับจะดูดวิญญาณเข้าไปยามที่มองใคร

แค่ยืนตัวตรงตระหง่านเป็นต้นสนอยู่ตรงนั้นก็แผ่พลังกดดันคนอื่น ดูแข็งแกร่งห้าวหาญผิดกับความสุภาพนุ่มนวลของบุรุษทางใต้

และคงเพราะสายตาที่มองเขาคงโผงผางและบังอาจเกินไป ฉู่ชิงหยางถึงได้ขมวดคิ้ว

สตรีผู้นี้อ่อนแอและขี้ขลาด ปกติทำได้แค่มองเขาอย่างน่าสงสาร ไม่มีทางมองเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้

เขาผงะไปเพียงครู่เดียวก็กลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง ความชิงชังในใจทำให้เขามองข้ามไปว่านางทำตัวต่างจากปกติ แม้จะได้ยินบทสนทนาของสตรีสามคนในห้อง เขาก็มองแค่ว่านางคงสรรหาวิธีการมาเรียกร้องความสนใจจากเขาอีกแล้ว

นางไม่เบื่อ แต่เขาเบื่อเต็มทน

“เท่าที่ข้าเห็น คุณหนูของเจ้าก็แข็งแรงดีนี่ ไม่เห็นจะบาดเจ็บตรงที่ใด”

น้ำเสียงเช่นนี้เหตุใดฟังแล้วเหมือนเหน็บแนมกันเลยนะ!

มู่เซียงหนิงโต้ตอบด้วยการทำหน้ารังเกียจ แล้วหันไปเอาเรื่องกับฉาเอ๋อร์และแม่นมชุย “พวกเจ้าหลอกข้า บุรุษที่พูดจาร้ายกาจเช่นนี้ ข้าจะแต่งงานด้วยได้อย่างไร”

วาจาเหิมเกริมเช่นนี้ไม่เพียงแต่แม่นมชุยกับฉาเอ๋อร์ที่ฟังแล้วอ้าปากค้าง แม้แต่ฉู่ชิงหยางยังชะงักแล้วหน้าบึ้งทันควัน

“เจ้าว่าอย่างไรนะ”

“ข้าก็พูดว่าใครมาเห็นข้ามีผ้าพันแผลอยู่บนหัวกับสีหน้าของข้าในตอนนี้ก็ต้องรู้ทั้งนั้นว่าข้าบาดเจ็บ อีกทั้งยังอ่อนแอมาก ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านมองไม่ออก ข้ายังไม่ทันได้ดูถูกว่าท่านตาไม่ดี ท่านก็รังเกียจข้าก่อนเสียแล้ว ข้ามีความแค้นกับท่านหรือ”

นางถามอย่างเป็นเหตุเป็นผล แต่เขาฟังแล้วเหมือนการท้าทาย

“เจ้ากล้าพูดจากับข้าเช่นนี้หรือ” นี่คือคำเตือนอย่างชัดเจน

“ข้าพูดความจริงนี่” นางตอบโดยไม่สะทกสะท้าน แล้วยกมือขึ้นกอดอกอย่างเป็นธรรมชาติ นี่เป็นท่าประจำตัวของนาง แต่นางไม่รู้เลยว่าระหว่างสูญเสียความทรงจำนั้น ตนไม่เคยแสดงกิริยาเช่นนี้เลยสักครั้ง

ฉู่ชิงหยางโมโหและประหลาดใจไปพร้อมกัน เพราะหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าผิดปกติเกินไป

ไม่ว่าจะกิริยาท่าทาง น้ำเสียง หรือสีหน้า ทั้งที่เป็นคนเดียวกันแท้ๆ เหตุใดเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนได้ เขาเลยต้องพิจารณานางใหม่ หรือว่าความทรงจำของนางจะกลับมาแล้วและลืมเขาไปจริงๆ

ก่อนจะแต่งนางเข้าสกุล แม้จะเคยได้ยินว่านางได้รับบาดเจ็บจนความจำเสื่อม แต่เพราะไม่ชอบนาง เขาจึงไม่เคยใส่ใจเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับนางเลย

แม่นมชุยรีบไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “ฮูหยิน อย่าพูดเหลวไหลสิเจ้าคะ ท่านแม่ทัพเป็นสามีท่านนะเจ้าคะ”

“ข้าแต่งงานกับเขาตั้งแต่เมื่อไร ไม่ยักจำได้แม้แต่นิดเดียว”

“ฮูหยิน ท่านแต่งงานกับท่านแม่ทัพเมื่อหนึ่งปีก่อนเจ้าค่ะ” ฉาเอ๋อร์อธิบายให้ฟัง

“หนึ่งปีก่อน?!” มู่เซียงหนิงอุทาน “นี่ข้าความจำเสื่อมมาหนึ่งปีแล้วหรือ”

สาวใช้ประจำตัวเล่าต้นสายปลายเหตุให้นางฟังอย่างรวดเร็วว่าระหว่างที่มู่เซียงหนิงสูญเสียความทรงจำ บิดามารดานางให้นางแต่งเข้าจวนแห่งนี้แล้วกลายเป็นฮูหยินท่านแม่ทัพ

บุรุษท่าทางดุดันหยิ่งผยองผู้นี้คือฉู่ชิงหยาง แม่ทัพฤทธิ์ขจรผู้ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากจักรพรรดิรัชกาลปัจจุบันอย่างยิ่งยวด มีชั้นเชิงการนำทัพอันเยี่ยมยุทธ์ ชื่อเสียงเลื่องลือทั่วแดน

คนผู้นี้คือสามีนาง

ได้ฟังฉาเอ๋อร์เล่าอย่างรวบรัด มู่เซียงหนิงรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงโดยไม่มีเมฆฝน นี่ท่านพ่อท่านแม่ฉวยโอกาสที่นางความจำเสื่อมขายนางทิ้งอย่างนั้นหรือ!

ความจริงที่นางยังไม่รู้ก็คือนี่ไม่ใช่ความคิดของบุพการี แต่เป็นเพราะนางยืนกรานเอง

ก่อนที่นางจะเกิดรักแรกพบเมื่อได้เจอฉู่ชิงหยาง หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรนางก็ไม่ยอมออกเรือน คิดเพียงอยากออกไปเดินทางท่องเที่ยวให้ทั่วยุทธภพ ทำเอาบิดาโมโหจนแทบกระอักเลือด

ทว่าเมื่อนางตกหลุมรักฉู่ชิงหยางจนถึงขั้นลั่นสาบานว่าหากไม่ใช่เขาจะไม่แต่งงานด้วย ท่านผู้เฒ่ามู่ผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมอาญาและเป็นขุนนางคนโปรดของจักรพรรดิก็รีบทูลขอสมรสพระราชทาน แล้ว ‘ขาย’ นางออกไปอย่างยินดีปรีดา

ความตกตะลึงของมู่เซียงหนิงในเวลานี้ไม่สามารถใช้ถ้อยคำใดมาบรรยายได้เลย นางกลายเป็นภรรยาของเขาไปแล้ว นี่เป็นความจริงไม่ใช่เรื่องโกหก นางไม่ได้กำลังฝันอยู่…

ระหว่างที่มู่เซียงหนิงยังมัวแต่ตะลึงงันไม่ได้สติ แม่นมชุยก็รีบขอขมาฉู่ชิงหยาง

“ท่านแม่ทัพ ความทรงจำของฮูหยินเพิ่งกลับมาเลยพูดจาไม่ระวัง ขอท่านแม่ทัพโปรดอภัยให้ฮูหยินด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

แม่ทัพหนุ่มมองหญิงสูงวัย จากนั้นก็เหลือบตามองไปทางมู่เซียงหนิง เห็นนางเหมือนจะหน้าซีดยิ่งกว่าเก่าก็ไม่สนใจแต่อย่างใด เขารู้ตั้งแต่แต่งงานกันแล้วว่านางความจำเสื่อม ตอนนี้ความทรงจำกลับมาแล้วอย่างไรเล่า ใช่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ นางยังคงเป็นนาง ไม่มีสิ่งใดแตกต่าง

“ดูแลคุณหนูของพวกเจ้าให้ดี”

น้ำเสียงของฉู่ชิงหยางเย็นชาอย่างยิ่ง ไม่มีความอบอุ่นหรือการปลอบโยนอยู่เลยแม้แต่น้อย กลับห่างเหินหมางเมินราวกับไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตน พอพูดจบเขาก็หมุนตัวเดินจากไปทันที

ฉาเอ๋อร์กับแม่นมชุยเห็นท่านแม่ทัพยังเย็นชาใส่ฮูหยินเหมือนเดิมก็ต่างผิดหวังกันยกใหญ่

ฮูหยินสะดุดล้ม พวกนางพยายามแทบตายกว่าจะขอร้องให้ท่านแม่ทัพมาเยี่ยมอีกฝ่ายได้ ตอนแรกหวังจะให้เขานึกสงสารภรรยาบ้าง แต่ใครจะรู้ว่าความทรงจำของฮูหยินจะกลับฟื้นคืนมาในเวลานี้ แล้วพูดจาโผงผางทำให้สามีไม่ชอบหน้ายิ่งกว่าเดิม

พอชายหนุ่มไปแล้ว ทั้งคู่ก็หันไปมองมู่เซียงหนิง พบว่าเจ้านายยังตกตะลึงไม่หายก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

“ฮูหยิน ท่านกินยาเถิดเจ้าค่ะ”

มู่เซียงหนิงได้สติกลับมา มือหนึ่งคว้าคอเสื้อฉาเอ๋อร์ อีกมือจับแขนแม่นมชุย แล้วเค้นเสียงถามลอดไรฟัน…

“ปกติข้าก็ดีกับพวกเจ้า ต่อให้ข้าความจำเสื่อม แต่พวกเจ้าความจำยังดี แล้วเหตุใดถึงไม่ห้ามปรามท่านพ่อท่านแม่ไม่ให้ทำเรื่องเลอะเลือนเช่นนี้”

ฉาเอ๋อร์ทำคอหดลิ้นจุกปาก คอเสื้อที่ถูกดึงแทบจะรัดคอนางตายอยู่แล้ว นางรีบรั้งคอเสื้อลงมาแล้วสูดหายใจพลางเอ่ยถาม “ฮูหยิน อย่าบอกนะว่าท่านลืมไปหมดแล้ว”

“ถามบ้าๆ หากข้าจำได้จะต้องถามพวกเจ้าหรือ”

ฉาเอ๋อร์เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้จึงถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะให้ความกระจ่างทีละคำ

“ก็ตอนนั้นท่านทั้งร้องไห้ทั้งอาละวาดจะแขวนคอตาย ร่ำร้องจะแต่งงานกับท่านแม่ทัพให้ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ”

ไม่ผิดจากที่คิด คำพูดของฉาเอ๋อร์ทำให้มู่เซียงหนิงนิ่งตะลึงไป ก่อนจะหันไปมองแม่นมชุยอย่างไม่อยากเชื่อ

แม่นมสูงวัยพยักหน้าให้ จากนั้นทั้งคู่ก็เล่าความเป็นมาของเรื่องราวโดยละเอียด เมื่อฟังแล้วนางก็รู้สึกตกใจอย่างมากทีเดียว…

ที่แท้หลังจากความจำเสื่อม นางกับมารดาเคยนั่งรถม้าไปจุดธูปสักการะอารามเหยียนหลิง ขากลับได้เจอแม่ทัพฤทธิ์ขจรขี่ม้ากลับเข้าเมืองหลวงโดยบังเอิญ ตอนนั้นมีแผงขายของยกแผงหลบไม่ทันหวุดหวิดจะถูกชนเต็มที ทันใดนั้นแม่ทัพฤทธิ์ขจรก็บังคับม้าให้ทะยานตัวละลิ่วข้ามแผงนั้นไป

ความงามสง่าเมื่ออยู่บนหลังอาชาและชั้นเชิงบังคับม้าอันเลิศล้ำของเขาในตอนนั้นทำให้ใจนางเต้นระส่ำ กลับไปแล้วไม่เป็นอันกินอันนอน ซ้ำยังทะเลาะกับมารดาว่าจะแต่งงานกับแม่ทัพฤทธิ์ขจรให้จงได้

เมื่อมารดานำความไปบอกบิดา บิดาก็ไปทูลขอร้องจักรพรรดิในวันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าจักรพรรดิพระราชทานสมรสมาให้นางได้เป็นฮูหยินท่านแม่ทัพสมใจ

มู่เซียงหนิงไม่คิดเลยว่าตนเองจะหน้าด้านร่ำร้องอยากแต่งงานกับฉู่ชิงหยาง เท่าที่ฟังฉาเอ๋อร์กับแม่นมชุยเล่า นางทำตัวเหมือนหลงใหลในความรูปงามของเขา จะแต่งงานกับเขาเท่านั้น รักเขาเสียจนไม่เหลือศักดิ์ศรีใดๆ ทั้งสิ้น ฉู่ชิงหยางแค่ขมวดคิ้วนิดเดียว นางก็ระวังจนตัวเกร็ง หากเขาบอกให้ไปซ้าย นางไม่มีวันกล้าไปขวา

พูดง่ายๆ คือสำหรับนางแล้ว ฉู่ชิงหยางคือฟ้า คือดิน คือทุกสิ่งทุกอย่างของนาง

“…เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้ล่ะเจ้าค่ะ” คนสนิททั้งสองผายมือออกเมื่อเล่าจบ

ยิ่งพวกนางเล่านานเท่าไร มู่เซียงหนิงก็อ้าปากค้างนานเท่านั้น นางรู้สึกเหมือนกำลังฟังเรื่องราวของคนอื่น แทบไม่กล้าเชื่อเลยว่าหญิงที่คลั่งไคล้ความองอาจงดงามผู้นั้นคือตัวนางเอง นางอยากยกมือขึ้นนวดขมับเลยด้วยซ้ำ และในความเป็นจริงนางก็ทำเช่นนั้นไปเรียบร้อยแล้ว

“หัวข้าจะต้องถูกกระทบกระเทือนจนสมองเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ ถึงได้กลายเป็นเช่นนั้น” นางแก้ต่างให้ตนเอง

ฉาเอ๋อร์พยักหน้า “บ่าวเองก็คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ ฮูหยินจะต้องได้รับผลกระทบจากการความจำเสื่อม สมองเลยผิดเพี้ยนไป”

มู่เซียงหนิงพลันนึกอะไรขึ้นมาได้เลยรีบถามต่อ

“คนแซ่ฉู่นั่นไม่ดีกับข้าใช่หรือไม่ ไม่อย่างนั้นข้าจะซูบผอมถึงเพียงนี้ได้อย่างไร” นางไม่ใช่คนโง่ แค่เห็นสายตาที่ชายหนุ่มมองมาเมื่อครู่ก็รู้ชัดแล้วว่าเขาเกลียดนาง

ฉาเอ๋อร์มองฮูหยินด้วยท่าทางลังเล มู่เซียงหนิงจึงหันไปสั่งแม่นมชุยแทน

“แม่นมว่ามาซิ อย่าปิดบังข้า พวกเจ้าก็รู้ว่าสิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดคือการทำอะไรอ้อมค้อม อีกอย่างข้าไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น ไม่ว่าแต่ก่อนข้าจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ความทรงจำของข้าก็กลับมาแล้ว พวกเจ้าน่าจะรู้นะว่าคุณหนูของพวกเจ้ามีนิสัยแท้จริงเช่นไร”

หญิงสูงวัยตอบ “เมื่อเป็นเช่นนี้ บ่าวก็จะเรียนตามจริง…”

เมื่อได้แม่นมชุยอธิบาย มู่เซียงหนิงจึงได้เข้าใจว่าเพราะเหตุใดฉู่ชิงหยางถึงได้พูดจาร้ายกาจกับนาง

ที่แท้ฉู่ชิงหยางทำสัญญาปากเปล่ากับตู้อวิ๋นซาน ธิดาผู้ช่วยเสนาบดีกรมพิธีการไว้นานแล้ว เพียงแต่ยังไม่ทันได้สู่ขอก็ถูกสมรสพระราชทานจับพรากจากกันเสียก่อน

หลังจากแต่งงานกับนางได้เพียงหนึ่งวัน วันรุ่งขึ้นแม่ทัพฤทธิ์ขจรก็แต่งอนุเข้าจวนทันทีเพื่อเป็นการตบหน้านางต่อหน้าธารกำนัล ตอนที่รู้ว่าเขาแต่งอนุเข้าจวน นางร้องไห้ฟูมฟายอยากฆ่าตัวตายทำให้กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนผู้คนรู้กันทั่ว

บุรุษจะมีอนุ แม้แต่จักรพรรดิก็มายุ่งด้วยไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ให้ตำแหน่งภรรยาเอกแก่นาง จะแต่งอนุสี่คนเข้าจวนก็ถูกต้องตามจารีตประเพณี ไม่ถือว่าทำเกินไป

หลังได้รับฟังเรื่องราวทุกอย่าง มู่เซียงหนิงก็หุบปากที่อ้าค้างแล้วยกมือนวดกระบอกตา

“พัง…ข้าพังแล้ว…”

แม่นมชุยตอบอย่างเจ็บปวด “ก็ใช่น่ะสิเจ้าคะ ขุนนางและชนชั้นสูงในเมืองหลวงรู้กันทั่วหมดแล้วว่าฮูหยินเป็นสตรีขี้หึงขี้ริษยา”

มู่เซียงหนิงลดมือลง แล้วถลึงตาใส่แม่นมทีหนึ่ง

“ข้าไม่สนใจหรอกว่าคนจะรู้ว่าข้าขี้หึงสักกี่คน ที่ข้าสนใจคือเรื่องอื่น ไม่อยากเชื่อเลยว่าข้าจะแต่งงานแล้ว ซ้ำยังแต่งกับคนเช่นนี้ ชีวิตข้าทั้งชีวิตพังหมดแล้ว แต่งงานได้เพียงวันเดียวเขาก็พาอนุเข้าจวน แล้วเช่นนี้จะครองคู่รักเดียวใจเดียวจนแก่เฒ่าได้อย่างไร…”

ฉาเอ๋อร์ที่อยู่อีกทางเสริมขึ้นมาว่า “ฮูหยิน ความจริงไม่ใช่แค่อนุคนเดียวด้วยนะเจ้าคะ”

“อะไรนะ!”

“ท่านแม่ทัพมีอนุทั้งหมดสี่คนเจ้าค่ะ”

มู่เซียงหนิงเริ่มทำหน้าบิดเบี้ยว

อนุสี่คน? บุรุษผู้นั้นหลายใจดีแท้!

การได้แต่งงานกับสามีที่รักตนเพียงคนเดียว ไม่มีอนุเลยชั่วชีวิตถือเป็นความปรารถนาของสตรีทุกคน ตัวนางเองก็ไม่เว้น น่าเสียดายที่โลกนี้มีสามีรักเดียวใจเดียวน้อยยิ่งกว่าขนหงส์เกล็ดกิเลน แต่สตรีที่มั่นในรักกลับมีเยอะยิ่งกว่าปลาในแม่น้ำ

ยิ่งคนใหญ่คนโตด้วยแล้ว จะมีอนุเป็นพรวนก็เป็นเรื่องปกติ

ถ้าหน้าตางดงาม หญิงอื่นมีแต่จ้องจะแย่ง

หากนิสัยดีจะติดกับคนอื่นได้ง่าย

ลองว่าถูกตาต้องใจ ไม่มีเสียล่ะที่จะยอมมีภรรยาเพียงคนเดียว

สรุปสั้นๆ ก็คือยาก!

จะหาคนที่หน้าตาดี คุณสมบัติดี รักเดียวใจเดียวนั้นหรือ ต่อให้จุดไฟส่องหายังไม่พบ ดีไม่ดีโอกาสที่จะโดนฟ้าผ่ายังมีสูงกว่าโอกาสจะได้เจอบุรุษที่ตรงใจหมดทุกอย่างเสียด้วยซ้ำ

แม่นมชุยปลอบ “ฮูหยิน ในเมื่อแต่งงานกับท่านแม่ทัพไปแล้วก็หักอกหักใจเถิดเจ้าค่ะ เก็บความฝันไว้เป็นความฝันก็พอ การรีบหาทางให้ท่านแม่ทัพเข้าหอกับท่าน และให้กำเนิดลูกโดยเร็วเพื่อชีวิตที่ดีต่างหากเล่าถึงเป็นความจริง”

มู่เซียงหนิงที่กำลังเอามือกุมหัวฟุบอยู่บนโต๊ะเงยหน้าพรวดขึ้นมามองคนพูด “แม่นมพูดว่าอย่างไรนะ! พูดอีกครั้งซิ”

“บ่าวบอกว่าหาทางเข้าหอกับท่านแม่ทัพ ให้กำเนิดลูก…”

“ข้ากับเขายังไม่ได้เข้าหอกันหรือ!” นางถามแทรกขึ้นมาด้วยเสียงตื่นเต้น

ฉาเอ๋อร์ตอบแทนแม่นมชุย “วันส่งตัวเข้าหอ ท่านแม่ทัพไม่ยอมมาเจ้าค่ะ พอวันรุ่งขึ้นท่านแม่ทัพพาอนุเข้าจวน ฮูหยินก็จะฆ่าตัวตายอีก ชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด จนถึงตอนนี้เลยยังไม่ได้เข้าหอกันเสียที”

สาวใช้เล่าอย่างน่าสงสาร แต่มุมปากของมู่เซียงหนิงกลับยกสูงขึ้นเรื่อยๆ ความหม่นหมองบนใบหน้าหายวับเหมือนหมอกสลาย และถูกแทนที่ด้วยความมีชีวิตชีวา ดวงตาเป็นประกายวิบวับด้วยรอยยิ้ม

“วิเศษมาก!” นางชูมือร้องลั่นด้วยความลิงโลด ทำเอาฉาเอ๋อร์กับแม่นมชุยสะดุ้งด้วยความตกใจ

“ฮูหยิน?”

“เหตุใดถึงไม่รีบบอกเล่าว่าที่แท้ข้ากับเขายังไม่ได้เข้าหอกัน ประเสริฐแท้ เช่นนั้นข้าจะหย่า!”

คนสนิททั้งสองรีบเอื้อมมือมาปิดปากนางด้วยความตระหนก รนหาที่ตายจริงเชียว หากคนอื่นในจวนมาได้ยินคำพูดนี้เข้าก็จบเห่กันหมด

แม่นมชุยส่งสัญญาณให้ฉาเอ๋อร์รีบไปตรวจดูประตูหน้าต่าง สาวใช้ดูจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นก็ส่ายหน้าให้หญิงสูงวัย

จากนั้นแม่นมชุยก็เอ็ดเบาๆ “ฮูหยิน สมองท่านผิดเพี้ยนไปแล้วจริงๆ หรือเจ้าคะ การแต่งงานของท่านเป็นสมรสพระราชทานเชียวนะ”

มู่เซียงหนิงปัดมือที่อยู่บนปากตนเองทิ้ง แล้วตอบด้วยสีหน้าไม่กลัวตาย

“หึ สมรสพระราชทานแล้วอย่างไร ฉู่ชิงหยางผู้นั้นเองก็ต้องอยากหย่าเช่นกัน ไม่เห็นสายตาที่เขามองข้าเมื่อครู่นี้หรือ เขาเกลียดชังข้า ข้าเองก็ไม่ชอบเขา เขาคงแค้นที่ข้าไปทำลายการแต่งงานของเขากับตู้อวิ๋นซาน นางไม่มีวันยอมเป็นอนุแน่ ทั้งคู่รักกันแทบเป็นแทบตาย ลองคิดดูสิว่าพอเป็นเช่นนี้จะไม่ขมขื่นทรมานหรือ ข้าจึงจะทำความดีช่วยชดเชยให้พวกเขาได้ครองคู่กันอย่างไรเล่า ข้าจะไปพูดกับคนแซ่ฉู่นั่นเดี๋ยวนี้เลย”

ภายในเวลาหนึ่งถ้วยชา* นางก็มองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว

การแต่งงานครั้งนี้เป็นความผิดพลาดมาตั้งแต่แรก โชคดีที่ยังไม่สายเกินการ การหย่าคือทางแก้ปัญหาเพียงหนึ่งเดียว ฉู่ชิงหยางจะได้ตบแต่งหญิงในดวงใจมาเป็นภรรยาเอก ส่วนนางก็จะได้ตามหาบุรุษที่ยินดีจะรักมั่นต่อนางคนเดียวไปตลอดชีวิต

เมื่อตัดสินใจทำสิ่งใดแล้ว มู่เซียงหนิงจะไม่ลังเลอีก นางพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วจนแม่นมชุยจับไว้ไม่ทัน ได้แต่ตะโกนอยู่เบื้องหลังอย่างร้อนใจ “ฮูหยิน อย่าวู่วามสิเจ้าคะ!”

มู่เซียงหนิงหันมาสั่งทั้งคู่อย่างจริงจัง “ห้ามเอาแต่เรียกฮูหยินอย่างนั้นฮูหยินอย่างนี้ ข้าฟังแล้วขัดหูยิ่งนัก ให้เรียกข้าว่าคุณหนู!”

จากนั้นนางก็สาวเท้าก้าวสวบๆ ออกจากเรือนโดยไม่สนใจคนสนิททั้งสองอีก

แม่นมชุยอายุมากแล้ว ไหนเลยจะตามทัน อีกทั้งคุณหนูของนางยังเป็นวรยุทธ์ จึงต้องร้องสั่งให้ฉาเอ๋อร์ที่รู้วรยุทธ์เช่นกันตามไปแทน…

บทที่สอง

 มู่เซียงหนิงเพิ่งจะเดินออกจากเรือนได้ไม่นานก็หลงทางเสียแล้ว

จวนแม่ทัพแห่งนี้กว้างใหญ่เหลือเกินจนนางแยกไม่ถูกว่าที่ใดเป็นที่ใด จำต้องจับตัวฉาเอ๋อร์ที่ไล่ตามมาข้างหลังไว้ แล้วบังคับให้นำทาง

ฉาเอ๋อร์ไม่ได้ต่อต้านเหมือนแม่นมชุย เทียบกับฮูหยินผู้เปราะบางอ่อนแอแต่ก่อน นางชอบคุณหนูที่เป็นเช่นนี้มากกว่า อีกอย่างท่านแม่ทัพก็ไม่ได้รักคุณหนูสักนิด คุณหนูอยู่ที่นี่ต่อไปมีแต่จะเป็นทุกข์ หากเจ้านายหย่าจริง ตัวนางเองก็จะคอยติดตามรับใช้ ไม่คิดจะแต่งงานไปชั่วชีวิต

เมื่อตัดสินใจแล้ว ฉาเอ๋อร์จึงไม่ห้ามปรามและเป็นผู้นำทางอย่างเต็มใจ

ปรากฏว่าพวกนางไม่ได้เจอฉู่ชิงหยาง เห็นว่าเขาออกไปข้างนอก มู่เซียงหนิงเลยต้องรอให้เขากลับมา

ทว่าสามวันหลังจากนั้นนางก็ยังไม่มีโอกาสได้เจอชายหนุ่มเสียที หากพวกบ่าวไพร่ไม่บอกว่าท่านแม่ทัพออกไปข้างนอกก็ต้องบอกว่าท่านแม่ทัพกำลังรับรองแขกสำคัญ ไม่มีเวลาว่างมาพบนาง

อย่างมู่เซียงหนิงน่ะหรือจะไม่เข้าใจ ออกไปข้างนอกหรือ ยุ่งจนไม่ว่างพบนางหรือ นี่ล้วนเป็นข้ออ้างทั้งสิ้น!

ตอนแรกนางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่คิดอีกทีฉู่ชิงหยางคงนึกว่านางจะหาทางเอาใจเขากระมัง ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนวิธีมาเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้คนรับใช้ถือไปส่ง เพื่อเป็นการสื่อสารกันก่อน

ตอนที่ฉู่ชิงหยางได้รับจดหมายแล้วแกะอ่าน เนื้อความในนั้นเขียนไว้ชัดเจนว่านางประสงค์จะหย่า ทว่าเขาเพียงแค่แค่นยิ้มแล้วฉีกจดหมายโยนเข้าเตาไฟ

มู่เซียงหนิงรอแล้วรอเล่า สุดท้ายก็ยังไม่ได้รับการโต้ตอบใดๆ จากแม่ทัพหนุ่ม

พอแม่นมชุยรู้ว่านางเขียนจดหมายไปขอหย่ากับท่านแม่ทัพ ก็ถึงกับตีอกชกหัวร้องไห้ฟูมฟายว่าตนผิดต่อฮูหยิน หากคุณหนูหย่าจริง ตนขอโขกหัวตายเพื่อชดใช้ความผิด

มู่เซียงหนิงปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างมาก นางจำต้องยอมแพ้ชั่วคราวเอ่ยปลอบแม่นมว่านั่นเป็นเพียงความคิดชั่ววูบ ตอนนี้นางไม่อยากหย่าแล้ว

ได้ยินเช่นนี้แม่นมชุยก็เลิกร้องไห้และยินดีปรีดาอย่างยิ่งกลายเป็นมู่เซียงหนิงที่ห่อเหี่ยวแทน นางเหมือนนกที่ควรได้โผบินอยู่บนท้องฟ้าอย่างอิสระ ทว่าเวลานี้กลับต้องทรมานถูกขังอยู่ในจวนแม่ทัพ

นางฝึกยุทธ์มาตั้งแต่เด็กและเคยอาศัยอยู่บนเขา นางในตอนนั้นไร้ความทุกข์ความกังวลใดๆ กับศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกคนก็สนิทสนมกันเป็นอย่างดี วันๆ ชวนกันออกไปวิ่งเล่น จับปลา ล่าสัตว์ ว่ายน้ำ มีความสุขสนุกสนานทุกเมื่อเชื่อวัน

แต่ตอนนี้นางถูกตำแหน่งฮูหยินท่านแม่ทัพพันธนาการไว้ นางอยากหลุดพ้นใจแทบขาด พอเอ่ยปากขอหย่ากับบุรุษผู้นั้น เขากลับไม่ยอมตอบจดหมายนางด้วยซ้ำ ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน

หรือกลัวว่าการหย่าร้างจะทำให้ตนเองเสียหน้าอย่างนั้นหรือ

ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นไปได้ พวกบุรุษกลัวเสียหน้ากันทั้งนั้น แต่ถ้าจะพูดเรื่องเสียหน้า คนที่เสียเปรียบที่สุดคือนางต่างหากเล่า หญิงที่เคยผ่านการหย่าร้างมาแล้วจะถูกตั้งข้อรังเกียจ แม้แต่นางยังไม่กลัว แล้วเขาจะกลัวไปด้วยเหตุใดกัน

อย่าบอกนะว่าฉู่ชิงหยางคิดจะเมินนางไปชั่วชีวิต แล้วขังนางให้อยู่ตามยถากรรมในเรือนแห่งนี้! อย่าล้อเล่นน่า เขาไม่สนใจนาง นึกว่านางเสียดายนักหรือ

เพราะลืมไปหมดสิ้นแล้วว่าตนเคยรักบุรุษผู้นี้อย่างลึกซึ้ง นางจึงไม่แยแสที่ถูกฉู่ชิงหยางเย็นชาใส่ เขาจะสนใจนางหรือไม่ นางก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยสักนิด

ยุ่งจนไม่มีเวลาจะเจอกันอย่างนั้นหรือ หึ! สิ่งที่นางต้องทำมีมากกว่าเขาเสียอีก!

สิ่งที่นางต้องทำประการแรกสุดคือการฝึกฝนร่างกาย

ดูสีหน้าเช่นคนจะตายแหล่มิตายแหล่นี่ปะไร นางพบว่าเพิ่งจะเดินได้แค่ไม่กี่ก้าวตนเองก็เหนื่อยเสียแล้ว ดังนั้นจึงบ่นกับฉาเอ๋อร์เป็นเชิงติ

“เหตุใดร่างกายข้าถึงอ่อนแอลงถึงเพียงนี้ เดินได้แค่ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกขาหนักเสียแล้ว ฉาเอ๋อร์ เจ้าดูแลข้าที่เป็นนายของเจ้าเช่นใดกัน”

มู่เซียงหนิงไม่พอใจอย่างยิ่งยวด เพราะก่อนจะสูญเสียความทรงจำ ร่างกายของนางแข็งแรงมาก

“คุณหนู ก็ตอนนั้นท่านไม่ยอมกินข้าวกินปลา ตกกลางคืนก็เอาแต่ร้องไห้น้ำตานองหน้า ร่างกายจึงทรุดโทรมลงถึงเพียงนี้ บ่าวพยายามเกลี้ยกล่อมท่านก็ไม่ฟัง” ฉาเอ๋อร์พยายามอธิบาย

“เช่นนั้นเลยหรือ”

ฉาเอ๋อร์พยักหน้าแรงๆ เป็นคำตอบ

มู่เซียงหนิงฟังแล้วเหงื่อตก นี่นางยอมทำเพื่อบุรุษผู้หนึ่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ

นางรู้สึกขยะแขยงตนเองระหว่างความจำเสื่อมเหลือเกิน นางต้องถูกผีเข้าแน่ๆ หาไม่วันๆ จะเอาแต่ร้องไห้น้ำตานอง เจ็บปวดชอกช้ำเพียงเพราะบุรุษผู้หนึ่งไม่สนใจได้อย่างไร

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความผิดของสมองที่ผิดเพี้ยนไป นั่นไม่ใช่ตัวจริงของนางเลยแม้แต่นิด

ต่อให้ไม่คิดเพื่อตนเองก็ควรคิดเพื่อคนที่รักนางบ้าง ท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้ให้กำเนิดนางมาเพื่อให้นางย่ำยีตนเองเช่นนี้ แล้วยังจะท่านป้าใหญ่ของนางอีก หากท่านป้าใหญ่มาเห็นนางซูบผอมตรอมตรมเช่นนี้จะต้องด่าว่านางยกใหญ่ แน่นอนว่ายังมีอาจารย์และศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย…ฉะนั้นนางจะต้องบำรุงร่างกายให้กลับมาแข็งแรงดังเดิมให้ได้!

ดังนั้นมู่เซียงหนิงจึงเริ่มกิจวัตรกินอิ่มนอนหลับ แต่ละวันจะต้องนั่งเดินลมปราณหนึ่งชั่วยาม และฝึกหมัดมวยอีกหนึ่งชั่วยาม

ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ในวัยดรุณ ปีนี้นางเพิ่งอายุได้สิบเจ็ดเท่านั้น นอกจากจะปรับอาหารการกินและเดินลมปราณแล้ว การดูแลจิตใจให้แจ่มใสเบิกบานคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ร่างกายคือฟ้าดิน จิตใจเป็นนาย เช่นเดียวกันการฝึกยุทธ์ที่วิถีจิตสำคัญเหนือวิถีพลัง จิตว้าวุ่นจะพลอยให้ร่างกายบาดเจ็บ ใจและกายผสานกันเป็นหนึ่ง ดังนั้นปวดใจก็เท่ากับปวดกายด้วยเช่นกัน โชคดีที่นางลืมเรื่องทุกข์ใจพวกนั้นไปหมดแล้ว แต่ละวันจึงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หลังจากที่สิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าของนางก็ดีขึ้นผิดหูผิดตา เรี่ยวแรงฟื้นฟูกลับมาไม่น้อย

นางกินจุ แต่ละมื้อกินข้าวเยอะ ร่างกายจึงบริบูรณ์ขึ้นภายในเวลาอันสั้น ฝึกหมัดมวยแต่ละทีฮึกเหิมคล่องแคล่ว เหงื่อไหลเป็นสายน้ำ เลือดลมไหลเวียนสะดวก

แน่นอนว่าเท่านี้ยังไม่พอ ปกตินางเป็นคนชอบหาความบันเทิงใส่ตัวอยู่แล้ว…

“ไป ไปล่าสัตว์กัน”

“คุณหนูจะล่าสัตว์หรือเจ้าคะ!” ฉาเอ๋อร์อุทานถาม

“เหตุใดต้องตกใจถึงเพียงนี้ด้วย เมื่อก่อนพวกเราก็ขึ้นเขาไปล่าสัตว์กันบ่อยๆ ไม่ใช่หรือ”

แม้จะเป็นธิดาเสนาบดี ทว่าตอนที่ยังไม่ได้ออกเรือน มู่เซียงหนิงมักพาฉาเอ๋อร์ออกไปล่าสัตว์แล้วจุดไฟย่างกินกันในป่าตรงชานเมืองบ่อยครั้ง ไม่เหมือนคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไปที่วันๆ เอาแต่เก็บตัวดีดพิณหรือปักผ้าอยู่ในห้อง

ความจริงแล้วนางฉลาดเฉลียว เรียนรู้เร็ว สิ่งใดที่ธิดาขุนนางควรเป็นควรรู้ นางไม่ตกหล่นเลยสักอย่าง ทั้งพิณ หมาก อักษร ภาพ หรือการศึกษาเล่าเรียนล้วนแต่ทำได้ดีทั้งสิ้น เพียงแต่นางชอบขี่ม้ายิงธนูและกระตือรือร้นจะฝึกยุทธ์ฝึกกระบี่มากกว่าเท่านั้น

ธิดาขุนนางคนอื่นอ่าน ‘จรรยาสตรี’* และโคลงกลอน แต่นางชอบอ่านพงศาวดารต่างแคว้น บันทึกป่าเขาลำเนาไพร และหนังสือทั่วไปอื่นๆ

คอกม้าของจวนแม่ทัพมีม้าดีๆ มากมาย ฮูหยินท่านแม่ทัพอยากขี่ม้านั้นง่ายนิดเดียว หลังจากเลือกม้าพันธุ์ดีสองตัวจากในคอก นางก็นำฉาเอ๋อร์ขี่ม้าออกจากจวนแม่ทัพมุ่งหน้าไปยังชายป่าฝั่งตะวันตก

ตอนที่มาถึงป่า มู่เซียงหนิงรู้สึกปลอดโปร่งเหมือนวิหคคืนถิ่น เวลานี้ยังเป็นฤดูหนาว สัตว์หลายชนิดกำลังจำศีล จะล่าสัตว์ไม่ใช่เรื่องง่ายจำต้องใช้ชั้นเชิงกันหน่อย

ทั้งคู่ผูกม้าไว้อีกด้านแล้วเดินเข้าไปสำรวจลักษณะพื้นที่ในป่า จากนั้นมู่เซียงหนิงก็เอ่ยสั่งฉาเอ๋อร์ “ตรงนี้ล่ะ ส่งถุงมาให้ข้า”

“เจ้าค่ะคุณหนู”

มู่เซียงหนิงรับถุงหนังสัตว์มาเปิด ล้วงกระต่ายปลอมสีเทาออกมาวางล่อบนพื้น แล้วไปแอบหลังโขดหินพร้อมด้วยฉาเอ๋อร์ก่อนจะส่งเชือกเส้นบางให้นาง ส่วนตนเองหยิบธนูออกมาถือรอเหยื่อติดกับ

พอฉาเอ๋อร์กระตุกเชือก เชือกก็ดึงกระต่าย มองไกลๆ คล้ายมีกระต่ายตัวน้อยกระโดดอยู่บนพื้นหิมะจริงๆ

กับดักเช่นนี้ล่อสัตว์ป่าตัวอื่นได้แน่ หากล่อจิ้งจอกได้ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ จะได้เอาขนจิ้งจอกมาทำถุงมือกับเสื้อกั๊ก

ทั้งคู่กลั้นหายใจรอคอยอย่างอดทน ระหว่างฤดูหนาวจะมีสัตว์ที่ตุนเสบียงไว้ไม่พอกินออกมาหาอาหาร หากออกไปแฝงตัวหลังต้นไม้แห้งๆ จะอำพรางร่องรอยไม่ดีพอ ดังนั้นการรอให้เหยื่อมาติดกับเองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด

ล่าสัตว์ไม่เพียงช่วยฝึกความเพียรและความมานะ ยังช่วยฝึกประสาทหู เราต้องปราดเปรียวและว่องไวกว่าสัตว์ ไม่เช่นนั้นก็ไม่แน่ว่าใครจะเป็นเหยื่อใคร ทั้งยังช่วยเสริมพลังยุทธ์ให้แกร่งขึ้น นอกจากนั้นศิษย์พี่ยังสอนนางว่าล่าสัตว์ในฤดูหนาวยังใช้ชั้นเชิงแตกต่างจากการล่าในฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูใบไม้ร่วง

ระหว่างเฝ้ารออย่างอดทน ลูกศรแหลมคมดอกหนึ่งก็แหวกอากาศเข้ามาปักลงบนตัวกระต่ายน้อยอย่างแม่นยำ พละกำลังที่แฝงมากับลูกศรนั้นยังกระชากกระต่ายให้ปลิวไปปักอยู่กับโคนต้นไม้ เชือกบางที่ผูกกระต่ายไว้จึงขาดผึง

มู่เซียงหนิงนิ่งอึ้งมองกระต่ายตาค้าง ร่างของมันถูกปักด้วยลูกศรสีดำ เสียงสุนัขเห่าดังตามมาติดๆ สุนัขสองตัววิ่งเข้ามาหากระต่ายพลางส่งเสียงเห่าเรียกเจ้านายของพวกมัน

ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งเดินเข้ามาเอื้อมมือลูบหัวสุนัขหันข้างให้ในตอนแรก พอหันมาทางพวกนางจนเห็นหน้าชัดเจน ฉาเอ๋อร์ก็สูดหายใจเฮือกโดยไม่รู้ตัว

สุนัขสองตัวนั้นได้ยินทันทีจึงวิ่งปรี่เข้ามาตรงหน้าโขดหินที่พวกนางใช้กำบังตัว แล้วเห่าอย่างเอาเป็นเอาตาย

สายตาคมกริบดุจอินทรีของเจ้าของสุนัขพุ่งตรงมาทางนี้ ยกธนูในมือขึ้นเล็งที่ซ่อนตัวของพวกนางพลางสั่งเสียงเข้ม “ออกมา!”

ฉาเอ๋อร์ตกใจลนลานจนทำอะไรไม่ถูก ทว่ามู่เซียงหนิงกลับลุกขึ้นยืนอย่างเยือกเย็นแล้วเดินอาดๆ ออกไป

ฉู่ชิงหยางประหลาดใจที่ได้เห็นนาง คิ้วหนาขมวดมุ่น ใบหน้าคมคายบึ้งตึง “เจ้าเองหรือ”

“ถูกต้อง ข้าเอง”

มู่เซียงหนิงรับอย่างตรงไปตรงมา นางไม่ลนลานเลยแม้แต่นิดเดียวเมื่อได้เผชิญหน้ากับเขา แต่รู้สึกขันมากกว่า เวลาอยากเจอเขาคอยหนีหน้าไม่ยอมเจอ พอไม่อยากเจอกลับโผล่มาให้เห็น อีกทั้งยังมายิงกระต่ายของนางเสียด้วย

ฉู่ชิงหยางกวาดตามองมู่เซียงหนิงตั้งแต่หัวจรดเท้าทีหนึ่ง วันนี้นางสวมชุดล่าสัตว์ เรือนผมถักเป็นเปียเดี่ยว มู่เซียงหนิงที่เป็นเช่นนี้แตกต่างออกไปอย่างมาก ดูแคล่วคล่องปราดเปรียว ซ้ำยังสดใสงดงามอย่างบรรยายไม่ถูก เขาเพิ่งเคยเห็นนางในมุมนี้เป็นครั้งแรก

ดวงตาอินทรีส่องประกายวาบหนึ่ง ก่อนจะกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

สุนัขสองตัวเห็นคนแปลกหน้าก็ขู่คำรามเบาๆ ในคอ ท่าทางน่ากลัวยิ่ง พวกมันเป็นสุนัขล่าเนื้อที่ดุร้าย แยกเขี้ยวทีก็ชวนอกสั่นขวัญแขวน ทรงพลังมากพอจะกัดสัตว์ขนาดใหญ่ให้ตายได้

แต่มู่เซียงหนิงไม่กลัว นางรู้ว่าสุนัขล่าเนื้อดุจริง แต่ก็ผ่านการฝึกฝนมาแล้ว หากเจ้าของไม่สั่งจะไม่กระโจนเข้ามาโจมตีสุ่มสี่สุ่มห้าเด็ดขาด ทว่าถึงอย่างไรพวกมันก็เป็นเดรัจฉาน ถูกเดรัจฉานทำท่าทางขู่ข่มก็ยังทำให้นางหงุดหงิดมากอยู่ดี

มู่เซียงหนิงกวาดตามองสุนัขสองตัวนั้นด้วยสายตาคมกริบส่องประกายวาวโรจน์

คนที่เคยใช้ชีวิตวัยเด็กช่วงหนึ่งในป่าอย่างนางรู้ดีว่าสัตว์ก็รังแกคนเป็นเช่นกัน พวกมันจะสัมผัสได้ว่าฝ่ายตรงข้ามดุร้ายหรือง่ายต่อการรังแก ดังนั้นในเวลานี้นางจะแสดงความอ่อนแอออกไปไม่ได้ แต่ต้องแผ่รังสีแข็งแกร่งไปข่มพวกมันแทน

ล้อเล่นน่า หากนางแพ้ก็เท่ากับสู้เดรัจฉานยังไม่ได้น่ะสิ เพราะเหตุนี้นางจึงถลึงตาดุดันใส่สุนัขล่าเนื้อสองตัวนั้นพร้อมแผ่จิตสังหารออกไป

แล้วนางก็ทำสำเร็จจริงๆ เสียงคำรามในคอของสุนัขทั้งสองตัวหายไปแล้ว พวกมันเลิกทำท่าข่มขู่ แสดงท่าทีว่าต่างคนต่างอยู่ และจะไม่ท้าทายนางอีก

ทั้งหมดนี้ตกอยู่ใต้สายตาฉู่ชิงหยางมาโดยตลอด เขาไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่านางจะกล้าถึงเพียงนี้

ที่ผ่านมาไม่มีสตรีคนใดเห็นสุนัขล่าเนื้อสองตัวนี้แล้วจะไม่กลัว แม้แต่บุรุษยังพรั่นพรึงไม่มากก็น้อยเมื่อเห็นพวกมัน

แต่นางไม่เพียงไม่กลัว ยังสุขุมเยือกเย็น แตกต่างจากภาพลักษณ์ของนางที่เขาเคยเห็นลิบลับ

ทว่าเขาก็แค่มองแล้วลดธนูลงเท่านั้น ก่อนจะเดินไปหาต้นไม้ที่ถูกธนูปัก เอื้อมมือใหญ่ไปจับก้านธนู ออกแรงดึงด้วยมือเดียว…ทั้งที่ต้องใช้พละกำลังมหาศาล แต่เขากลับทำได้สบายๆ เหมือนเป่าเศษผง จากนั้นก็หิ้วกระต่ายหมุนตัวทำท่าจะเดินจากไป

“กระต่ายตัวนั้นเป็นของข้า!” นางร้องขึ้นเสียงดัง

ร่างสูงใหญ่ชะงักไม่ได้พูดอะไร ทั้งยังไม่หันมามองนาง เพียงอึดใจเดียวก็ออกเดินต่อ

ท่าทางบุรุษผู้นี้จะเลือกเมินนางโดยสมบูรณ์เลยทีเดียว

มู่เซียงหนิงไม่พูดมาก นางยกธนูขึ้นมาเล็งศีรษะด้านหลังของเขาอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็น้าวสายจนสุด

เท้าของฉู่ชิงหยางหยุดชะงักอีกครั้ง คราวนี้เขาค่อยๆ หันมาจ้องนางเขม็ง ดวงตาคมเป็นประกายวาวโรจน์อย่างน่ากลัว สตรีผู้นี้ถึงกับกล้ายกธนูขึ้นเล็งเขา!

ฉาเอ๋อร์ที่ดูอยู่อีกทางลนลานจนเหงื่อแตก “คุณหนู…”

มู่เซียงหนิงเลิกคิ้วกล่าวยิ้มๆ “คนที่อยู่ในสนามรบแตกต่างออกไปจริงๆ สัมผัสอันตรายได้รวดเร็วยิ่งนัก”

ความจริงนางไม่คิดจะยิงเขาให้ตายหรอก แค่ตั้งใจใช้วิธีนี้หยุดเขาเท่านั้น ไม่คิดว่าจะได้ผล

นางบอกเสียงดังโดยไม่สะทกสะท้านกับสายตาข่มขู่ของเขา “คืนกระต่ายมาให้ข้า!”

ชายหนุ่มตอบกลับมาอย่างเย็นชา “ใครล่าได้ก็ต้องเป็นของคนนั้น กระต่ายเนื้อหวานตัวนี้เป็นของข้า”

มู่เซียงหนิงเบิกตากว้าง ไม่เพียงจะไม่โกรธยังส่งเสียงขำพรวด

“หัวเราะอะไร” ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด

“ข้าดีใจน่ะสิ นอกจากอาจารย์แล้วท่านเป็นคนที่สองที่ชมฝีมือข้า กระต่ายตัวนั้นเป็นของปลอมที่ข้าทำขึ้นมา ท่านไม่เพียงจะคิดว่ามันเป็นกระต่ายจริง แต่ยังบอกว่ามันเนื้อหวานอีกด้วย…”

ฉู่ชิงหยางชะงัก ก่อนจะมองไปยังกระต่ายในมือ

ของปลอมหรือ!

เขายังคงไม่เชื่อ ทว่าพอลองเพ่งมองดูดีๆ ก็เห็นความผิดปกติ กระต่ายที่โดนธนูยิงตัวนี้ไม่มีเลือดสักหยด

เห็นเขาทำหน้าประหลาดใจ นางก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดียิ่งกว่าเดิม “เป็นอย่างไร เหมือนใช่หรือไม่”

น้ำเสียงที่นางใช้เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ แม้ล่อเหยื่อมาติดกับไม่ได้ แต่กลับหลอกแม่ทัพฤทธิ์ขจรผู้ยิ่งใหญ่ได้ เหตุใดนางจะไม่ปลาบปลื้มเล่า

ฉู่ชิงหยางจับกระต่ายด้วยสองมือแล้วฉีกทึ้งออกจากกัน กระต่ายขาดแควกเป็นสองเสี่ยง เศษหญ้าที่ยัดอยู่ในท้องร่วงลงมากระจายบนพื้น ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่ากระต่ายตัวนี้เป็นของปลอมจริงๆ

“อ้าว เหตุใดถึงได้แยกศพกระต่ายของข้าเสียเล่า” แม้จะเป็นถ้อยคำกล่าวโทษ แต่น้ำเสียงกลับแฝงความกระเซ้าเย้าแหย่ไว้อย่างเข้มข้น

แม่ทัพหนุ่มจ้องมองมู่เซียงหนิงตรงหน้า รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยการล้อเลียน ทว่างดงามยิ่งนัก

นางไม่เพียงหัวเราะเยาะ แต่ยังไม่กลัวเขาด้วย ดวงตาคู่นั้นสุกใสแจ่มกระจ่างสะท้อนความโผงผางเปิดเผยที่ไม่เคยเห็นในอดีต ผิดกันเป็นคนละคนกับหญิงที่มักจะมองเขาด้วยแววตาขมขื่นในตอนนั้น

ชั่วพริบตาหนึ่ง เขารู้สึกว่านางที่เป็นเช่นนี้ดูมีเสน่ห์เหลือเกิน

มู่เซียงหนิงเก็บธนู ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดกับสาวใช้คนสนิทว่า “เห็นทีวันนี้จะล่าไม่ได้เสียแล้ว กลับไปนอนดีกว่า”

พูดจบนางก็หมุนตัวเดินลิ่วๆ จากไปอย่างคล่องแคล่ว ไม่สนใจสายตาเคร่งเครียดที่แม่ทัพหนุ่มมองมาสักนิด

ฉาเอ๋อร์เห็นคุณหนูเดินออกไปแล้วก็รีบย่อตัวคำนับฉู่ชิงหยางลวกๆ แล้วหมุนตัวเดินตามไป

ฉู่ชิงหยางมองสตรีเหิมเกริมผู้นั้นเดินจากไป ก่อนจะมองซากกระต่ายในมืออย่างครุ่นคิด

ใช้กระต่ายปลอมเป็นเหยื่ออย่างนั้นหรือ เป็นวิธีที่ฉลาดมาก

นับตั้งแต่ความทรงจำของนางกลับมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเพิ่งสังเกตเห็นอย่างจริงจังว่านางเปลี่ยนไปจากเดิม

แม้ว่าหลายวันหลังจากนั้นเขาจะยังเย็นชาใส่นางเหมือนที่แล้วมา ทว่าก็จะแบ่งความคิดส่วนหนึ่งคอยสังเกตพฤติกรรมของนางอยู่เนืองๆ

บ่าวไพร่เล่าว่านางไม่เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในเรือนอีกแล้ว และมักจะออกมาฝึกหมัดมวยในตอนเช้า

ที่แท้นางก็เป็นวรยุทธ์ เรื่องนี้เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

ทว่าเขาฟังแล้วก็เพียงแค่แค่นยิ้ม เพราะคิดว่าวรยุทธ์ที่นางรู้คงอยู่ในระดับแค่ทำท่าทำทางสวยๆ รำหมัด พออวดผู้อื่นได้ แต่ไม่สามารถป้องกันตัวได้

ถึงอย่างไรเขาก็ดูถูกนางมานานแล้วจึงประเมินทุกสิ่งทุกอย่างของนางไว้ต่ำจนชิน

ตอนที่เขาให้ความสนใจกับนางอย่างจริงจังอีกครั้งคือสามวันหลังจากนั้น…

แต่ไหนแต่ไรห้องฝึกยุทธ์เป็นเขตหวงห้ามของเขา แม้ไม่ได้บัญญัติกฎเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน ทว่าทุกคนในจวนต่างก็รู้กันหมด

หากไม่มีเรื่องสำคัญต้องรายงาน สตรีในจวนจะไม่เข้าไปยุ่มย่ามในห้องฝึกยุทธ์เป็นอันขาด เพราะที่นี่คืออาณาเขตของบุรุษ อีกอย่างทุกครั้งที่แม่ทัพฝึกยุทธ์ก็จะให้ลูกน้องมาเป็นคู่มือ

บุรุษมักถอดเสื้อฝึกยุทธ์เป็นเรื่องปกติ หากจะมาหาแม่ทัพที่ห้องฝึกยุทธ์ก็ต้องให้บ่าวไปรายงาน และต้องรออยู่ในห้องโถงด้านหน้าเท่านั้น…

มู่เซียงหนิงรอแล้วรอเล่าจนดื่มชาหมดกา เขาก็ยังไม่มาเสียที นางขมวดคิ้วแล้วถามลูกน้องของเขาที่รออยู่ในห้อง

“เหตุใดท่านแม่ทัพยังไม่มาอีกเล่า”

นางเรียกฉู่ชิงหยางว่า ‘ท่านแม่ทัพ’ เพราะนางไม่ได้มองว่าชายผู้นั้นเป็นสามีของตน

จะให้เรียกเขาว่า ‘นายท่าน’ หรือว่า ‘ท่านพี่’ นางได้ขนลุกกันพอดี นางไม่อยากเรียกแล้วก็ไม่เต็มใจเรียก ถึงอย่างไรก็ต้องหย่ากันอยู่แล้ว คำเรียกขานบางคำไม่ใช้จะดีกว่า

ถูกต้อง เรื่องหย่านางยังไม่ตัดใจหรอก แค่กำลังหาโอกาสเหมาะๆ อยู่เท่านั้น

“เรียนฮูหยิน ท่านแม่ทัพกำลังฝึกยุทธ์อยู่ขอรับ” ลูกน้องที่เฝ้าห้องโถงด้านหน้าตอบ

“ข้ารู้ ถึงได้ให้พวกเจ้าไปรายงานเขาอย่างไรเล่า”

“รายงานไปแล้วขอรับ ฮูหยินโปรดรออยู่ที่นี่สักครู่”

มู่เซียงหนิงรอต่ออีกประมาณสองเค่อก็ลุกขึ้นเดินไปเดินมาอย่างหมดความอดทน

สุดท้ายยิ่งคิดก็ยิ่งแปลก นางจึงถามคนสนิทผู้นั้น “แม่ทัพของพวกเจ้าต้องฝึกยุทธ์นานเท่าไร”

“เรียนฮูหยิน แม่ทัพฝึกยุทธ์แต่ละครั้งกินเวลาหลายชั่วยามขอรับ”

มู่เซียงหนิงเข้าใจทันที นางค่อยๆ หรี่ตาลงมองชายหนุ่มตรงหน้า คนผู้นี้รูปร่างหน้าตาไม่เลว มีความละเอียดอ่อนในความหยาบกระด้าง สูงใหญ่พอกับแม่ทัพหนุ่ม ปกติไม่ค่อยพูดนัก

แม้จะถูกนางมองจ้อง ชายหนุ่มก็ยังทำหน้าเยือกเย็นไม่เปลี่ยน

“เจ้าชื่ออะไร” นางถามยิ้มๆ

“เรียนฮูหยิน ผู้น้อยสือซงขอรับ”

“สือซงอย่างนั้นหรือ ข้าได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพมีคนสนิทที่เก่งกาจอยู่สี่คน คือ ‘ซงป๋อจู่หลิ่ว’* ที่แท้สือซงก็คือเจ้านี่เอง เป็นคนสนิทรับใช้ท่านแม่ทัพได้ก็แสดงว่าวรยุทธ์ไม่ด้อยสินะ”

“มิกล้า ผู้น้อยมีฝีมือแค่พอใช้เท่านั้น”

“ฝีมือเป็นอย่างไรทดสอบดูก็รู้แล้ว” พูดจบนางก็คว้าแจกันลายครามบนโต๊ะขึ้นมาเขวี้ยงใส่สือซงโดยไม่ให้ตั้งตัว

ข้าวของในห้องนี้ล้วนแต่ได้รับพระราชทานมาจากในวังหลวงหรือไม่ก็ของที่ขุนนางใหญ่กำนัลแก่กัน บางส่วนเป็นของรักที่แม่ทัพหนุ่มสะสมไว้ พอเห็นนางโยนใส่เช่นนี้ สือซงจึงรีบเอื้อมมือไปรับไว้ทันใด

ชิ้นแล้วชิ้นเล่า ฮูหยินเขวี้ยงของใส่เขาราวกับลูกตะกร้อ ทั้งแจกันกระเบื้อง ม้าแกะสลักจากหยก กระถางแกะสลักจากปะการัง ถ้วยกระจกสี จานหยกขาว ล้วนมีแต่ของล้ำค่าที่แตกหักง่ายทั้งนั้น

มู่เซียงหนิงเขวี้ยงของมาติดๆ กัน สือซงทำได้แค่รับไม่มีเวลาวางบนพื้น พอสองมือเต็มหมดแล้วก็ใช้เท้ารับ ใช้ข้อศอกหนีบ ใช้หัวเทินไว้ จนสุดท้ายเหลือแค่ปากที่ยังว่าง

มู่เซียงหนิงปรบมือพลางกล่าวชื่นชม “ยอดเยี่ยมสมเป็นยอดฝีมือจริงๆ แต่ระวังหน่อยล่ะ หากทำตกแตกไปแม้แต่ใบเดียวจะหักจากเบี้ยรายเดือนของเจ้า” นางกล่าวยิ้มๆ พลางเดินผ่านเขาไปทางห้องฝึกยุทธ์ ดูซิว่าทีนี้เขาจะขวางนางไว้อย่างไร

สือซงขวางนางไว้ไม่ทันก็รีบวางของพวกนั้นลงบนพื้น ทว่าเพิ่งขยับได้นิดเดียว เขาก็ตัวแข็งทื่อ เพราะเหลือบไปเห็นสตรีอีกคนเข้าเสียก่อน

ฉาเอ๋อร์ยกแจกันใบใหญ่ขึ้นมาด้วยสองมือ ท่าทางเหมือนหากเขากล้าวางของลงแม้แต่ชิ้นเดียว นางจะทุ่มแจกันใบนั้นใส่เขา

เขามองนาง นางเองก็มองเขาเช่นกัน อีกทั้งยังมองอย่างไร้ความกลัวเกรงแม้แต่นิดเดียว

เขาอยู่นิ่ง นางก็นิ่ง พอขยับได้เล็กน้อย นางก็ชูแจกันใบนั้นขึ้นสูง ทั้งคู่เลยได้แต่จ้องตากันอย่างไม่ลดละ

สือซงถามอย่างหัวเสีย “กล้าทุ่มหรือ หากทำแตกเจ้ามีปัญญาชดใช้หรือไม่”

ฉาเอ๋อร์แค่นเสียงขึ้นจมูก “ฮูหยินบอกไว้ว่าเรื่องนี้นางจะจัดการเอง ให้ข้าทุ่มได้เต็มที่ แต่ท่านสิ หากทำของล้ำค่าพวกนี้แตกไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพจะยอมละเว้นหรือไม่”

สือซงหน้ากระตุก เขาหรือจะกล้า จะขวางฮูหยินก็ขวางไม่ทันเสียแล้ว ตอนนี้ยิ่งไม่กล้าทำข้าวของแตกแม้แต่ชิ้นเดียว เลยได้แต่ถลึงตาจ้องฉาเอ๋อร์อย่างเป็นเดือดเป็นแค้น

 

มู่เซียงหนิงใช้แผนเล็กๆ น้อยๆ ก็ผ่านทางเข้ามาได้แล้ว คนอย่างนางไล่ไม่ยอมไปง่ายๆ ในเมื่อขุนเขาไม่เคลื่อนมาหานาง นางก็จะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาขุนเขา ฉู่ชิงหยางไม่อยากพบนางก็ไม่เป็นไร นางจะไปหาเขาเอง

ภายในห้องฝึกยุทธ์ กลุ่มชายหนุ่มเปลือยท่อนบนกำลังพูดคุยกัน บ้างนั่งบ้างยืน บางคนกำลังใช้ผ้าเปียกเช็ดเนื้อเช็ดตัวระหว่างช่วงพัก

“ท่านแม่ทัพอยู่ที่ใด”

เสียงสตรีที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้เหล่าชายฉกรรจ์ที่กำลังสรวลเสเฮฮาเงียบกริบไปทันที สายตาทุกคนมองมาทางนางอย่างพร้อมเพรียง

ไม่แปลกหรอกที่พวกเขาจะอึ้ง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีสตรีล่วงล้ำเข้ามาในห้องฝึกยุทธ์ของท่านแม่ทัพ ทุกคนจึงเบิกตามองนางกันใหญ่

มู่เซียงหนิงกวาดตามองโดยรอบแล้วถามเสียงเย็น “มองอะไร ข้าถามเจ้าก็ตอบมาสิ” นางพูดกับบุรุษรูปร่างบึกบึนผู้หนึ่ง

น้ำเสียงของนางเป็นธรรมชาติไม่มีความเขินอายเจือปน บุคลิกท่าทางทรงอำนาจนี้กดดันให้คนถูกถามชี้ไปทางฝั่งตะวันออกโดยไม่รู้ตัว

มู่เซียงหนิงมองตามปลายนิ้วอีกฝ่าย เห็นฉู่ชิงหยางอยู่ในกลุ่มคนจริงจึงเดินเข้าไปหาทันที

แม้จะถูกบุรุษในห้องมองมาเป็นตาเดียว นางก็ไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น ซ้ำยังทำเหมือนไม่เห็นว่าพวกเขาเปลือยท่อนบนด้วยซ้ำ

“นางเป็นใคร” คนผู้หนึ่งถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่

“ฮูหยินใหญ่อย่างไรเล่า” มีคนจำนางได้และกล่าวตอบไป

“อะไรนะ! นางน่ะหรือ”

ท่านแม่ทัพไม่โปรดปรานฮูหยินผู้นี้ หลังจากแต่งเข้ามาก็ถูกทอดทิ้งหมางเมินไว้ในเรือน เรื่องนี้ทุกคนในจวนรู้กันทั้งนั้น

พวกเขาส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นฮูหยินใหญ่มาก่อน เพราะนางเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนตลอด ยกเว้นวันนี้…

ฮูหยินใหญ่ถึงกับบุกเข้ามาในห้องฝึกยุทธ์อันเป็นเขตหวงห้ามของท่านแม่ทัพ ถ้าท่านแม่ทัพรู้จะต้องโกรธแน่นอน เตรียมตัวรอดูเรื่องสนุกได้เลย!

บทที่สาม

มู่เซียงหนิงเดินผ่านทุกคนในห้องอย่างไม่แยแส นางก้าวเข้ามาอยู่ข้างหลังฉู่ชิงหยาง โดยหยุดยืนห่างออกไปประมาณสามก้าว

“ท่านแม่ทัพ”

ฉู่ชิงหยางที่กำลังคุยกับกลุ่มลูกน้องชะงักไปโดยไม่รู้ตัว แล้วหันหน้ามาตามเสียงช้าๆ พอเห็นมู่เซียงหนิงก็มองนางอย่างประหลาดใจเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

“ท่านแม่ทัพ ข้ามีเรื่องอยากหารือด้วย ช่วยหาที่ให้คุยกันหน่อยเถิด”

นางแสดงเจตนารมณ์อย่างตรงไปตรงมา ซ้ำยังเรียกตนเองว่า ‘ข้า’ ไม่ใช่ ‘น้องหญิง’ เพราะเขากับนางยังไม่ได้ร่วมหอลงโรงกัน ดังนั้นนางจึงไม่คิดว่าตนเป็นคนของเขา และตัวฉู่ชิงหยางเองก็สังเกตเห็นเช่นกันว่านางเปลี่ยนคำเรียกขาน

สิ่งที่เขาประหลาดใจมีอยู่สามอย่าง การที่นางบุกเข้ามาในห้องฝึกยุทธ์คืออย่างแรก วิธีพูดจาของนางเปลี่ยนไปคืออย่างที่สอง ห้องนี้เต็มไปด้วยชายฉกรรจ์ที่เปลือยท่อนบน ทว่านางกลับไม่หน้าแดง ไม่เคอะเขิน และเผชิญหน้ากับเขาซึ่งเปลือยท่อนบนเช่นกันได้อย่างไม่รู้สึกรู้สา นี่คืออย่างที่สาม

ฉู่ชิงหยางมองดวงตาใสกระจ่างไร้ความหวาดหวั่นของนาง แล้วรู้สึกเหมือนตนเพิ่งรู้จักสตรีผู้นี้เป็นครั้งแรก

ทว่าเขาประหลาดใจแค่เพียงครู่เดียวเท่านั้น พอคิดได้ว่านางบุกรุกเข้ามาในนี้ประกอบกับพวกลูกน้องของเขาก็อยู่ด้วย อีกทั้งเขายังเข้มงวดใส่นางจนชินแล้ว ดังนั้นจึงทำหน้าบึ้งตึง

“เจ้าเข้ามาได้อย่างไร”

ตอนที่ลูกน้องเข้ามารายงานว่านางขอพบ เขาสั่งไปอย่างชัดเจนว่าให้นางรออยู่ในห้องโถงด้านหน้า และให้สือซงคอยเฝ้าไว้ นึกไม่ถึงว่านางจะอาจหาญบุกเข้ามาในห้องฝึกยุทธ์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางจงใจท้าทายอำนาจของเขา

“ก็เดินเข้ามาน่ะสิ” นางตอบหน้าตาย

“ออกไป”

มู่เซียงหนิงขมวดคิ้ว นี่เขาคิดจะไล่นางอย่างนั้นหรือ ในเมื่อกล้าเข้ามาในนี้นางก็ไม่กลัวอะไรแล้ว

หากมู่เซียงหนิงที่สูญเสียความทรงจำถูกเขาไล่ตะเพิดเช่นนี้จะต้องวิ่งร้องไห้ออกไปทันที แต่มู่เซียงหนิงในปัจจุบันลืมความรักที่มีต่อสามีไปหมดแล้ว สำหรับนางฉู่ชิงหยางเป็นเพียงคนแปลกหน้า ซ้ำยังเป็นบุรุษโง่เง่าที่แสนอารมณ์ร้ายอีกด้วย

ดังนั้นนางจึงไม่มีความหวาดกลัว ความยำเกรงที่ภรรยามีต่อสามี ตลอดจนความรักให้ฉู่ชิงหยางที่อยู่ตรงหน้า แล้วเหตุใดนางจะต้องใส่ใจเขาด้วยเล่า

“นึกไม่ถึงเลยว่าที่แท้แม่ทัพฤทธิ์ขจรผู้ยิ่งใหญ่ก็เป็นคนขี้ขลาด”

พอนางพูดออกไปเช่นนั้น ผู้คนรอบตัวก็สูดหายใจเฮือกขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันทันที

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฉู่ชิงหยางจะหน้าบึ้งกว่าเก่าเมื่อได้ยินคำพูดของนาง

“เจ้าว่าอย่างไรนะ!”

มู่เซียงหนิงไม่สะทกสะท้านตอบกลับไปเนิบๆ “ก็หรือไม่จริงเล่า หากท่านแม่ทัพไม่ใช่คนขี้ขลาด เหตุใดถึงต้องหนีข้าด้วย”

“ข้าไม่ได้หนีเจ้า!”

“ในเมื่อไม่ได้หนี เหตุใดข้ามาขอพบท่านแม่ทัพตั้งหลายครั้ง ท่านก็มีอันต้องออกไปข้างนอกหรือกำลังยุ่งอยู่ตลอด บางทีก็กำลังกินข้าว กำลังนอน กำลังอาบน้ำ กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ไม่มีเวลาให้ข้าพบ ถ้าไม่เรียกว่าหนีจะเรียกว่าอะไร”

“เจ้า!”

“ข้าพูดผิดตรงที่ใด ท่านแม่ทัพโปรดช่วยชี้แนะ ข้ากำลังรอฟังอย่างตั้งใจ” นางกะพริบตาปริบๆ อย่างใสซื่อ

พวกลูกน้องที่อยู่ในที่นั้น บางคนเบือนหน้าไปแอบยิ้ม บางคนเหงื่อตกแทนนาง ขณะที่ส่วนใหญ่รอดูต่อไปอย่างสนุกสนาน

ฉู่ชิงหยางลอบกัดฟันเงียบๆ ดวงตาหรี่ลงส่องประกายวาววับอย่างน่ากลัว ดูไม่ออกเลยว่าหลังจากที่ความทรงจำฟื้นขึ้น ไม่เพียงนิสัยของนางที่เปลี่ยนไป ฝีปากยังกล้าขึ้นเป็นกอง

เขาไม่อยากต่อปากต่อคำด้วยจึงกล่าวออกมาทันใด “เช่นนั้นก็ว่ามา เจ้ามีธุระอะไร!”

“ท่านแม่ทัพแน่ใจหรือว่าจะให้คุยกันตรงนี้” นางแกล้งกวาดตามองไปรอบตัว ก่อนจะหันกลับมามองเขา ตัวนางน่ะไม่ว่าอะไรหรอกหากคนมากมายจะได้ยิน แต่นางแค่อยากเตือนเขาไว้ด้วยความหวังดี

ฉู่ชิงหยางจ้องมองนางสักพักก็โยนผ้าเช็ดเหงื่อให้ลูกน้องคนหนึ่ง “ตามข้ามา!”

เขาบอกเช่นนั้นแล้วหมุนตัวก้าวออกไปยังเฉลียงทางเดิน มู่เซียงหนิงตามไปติดๆ นางเข้ามาอย่างผ่าเผย ตอนออกไปก็ไม่มีความลนลานให้เห็น

พอก้าวเข้ามาในห้องโถง ฉู่ชิงหยางก็ผงะไป แล้วถลึงตาจ้องสือซงที่ทำตัวราวกับนักแสดงเร่ตามถนน ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีจุดใด ‘ว่าง’ กลับหนีบของมีค่าไว้ทั้งตัว ดูราวกับต้นไม้แผ่กิ่งก้านอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อครู่ฉู่ชิงหยางยังนึกสงสัยว่าเหตุใดสือซงถึงได้ปล่อยให้นางเข้าไปโดยไม่ขัดขวาง พอเห็นเช่นนี้ก็พอจะเข้าใจได้เลาๆ แล้วรู้สึกเหลือเชื่ออยู่ไม่น้อย

นี่ก็เป็นผลงานของสตรีผู้นี้อย่างนั้นหรือ เขาหันไปมองนาง

“ลูกน้องของท่านคนนี้เก่งกว่าพวกนักแสดงเร่ตามถนนเสียอีก” มู่เซียงหนิงปั้นหน้าใสซื่อไร้พิษภัยจนเกินจริงพลางกล่าวปัดความรับผิดชอบออกจากตัวได้อย่างหมดจด

ฉู่ชิงหยางประหลาดใจอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าสือซงติดกับใครบางคนเข้าแล้ว ตอนแรกเขายังนึกว่าหญิงผู้นี้ทำเป็นแค่รำหมัดรำมวยด้วยท่าทางสวยงาม แต่เท่าที่ดูตอนนี้เห็นจะไม่ใช่ วรยุทธ์ของสือซงเป็นอย่างไร เขาที่เป็นนายรู้ดีอย่างยิ่ง แต่หญิงผู้นี้กลับควบคุมสือซงได้โดยง่าย

สายตาที่ฉู่ชิงหยางมองนางเปลี่ยนไปจากเดิม ทว่าสายตาที่เขามองสือซงกลับเต็มไปด้วยคำตำหนิ

สือซงเป็นนายกองคนสำคัญของเขา ลูกน้องถูกปั่นหัว เจ้านายอย่างเขาก็พลอยเสียหน้าไปด้วย

“เห็นตนเองเป็นนักแสดงเร่ขายวิชาตามถนนจริงๆ หรือไร!”

“ไม่ใช่นะขอรับ ท่านแม่ทัพ นาง…”

สือซงอยากอธิบายว่าฉาเอ๋อร์คอยควบคุมตนไว้ แต่พอมองไปทางสาวใช้คนงามก็พบว่าสองมือของนางว่างเปล่า แจกันใหญ่ใบนั้นถูกวางคืนที่เดิมนานแล้ว เวลานี้นางกำลังยืนกุมมือก้มศีรษะทำคิ้วตกด้วยท่าทางต่ำต้อยสงบเสงี่ยมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น และตัวนางก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาด้วย

สือซงอ้าปากค้างลืมแก้ตัวไปโดยสิ้นเชิง

“มัวแต่อึ้งอยู่ด้วยเหตุใด วางลงแล้วไปขอรับโทษเองยี่สิบไม้!”

“ขอรับ!” สือซงไม่กล้าพูดอะไรมาก เขาประเมินฝ่ายตรงข้ามต่ำเกินไปเลยถูกปั่นหัวเล่น ตนเองเลินเล่อเอง โทษใครไม่ได้ทั้งนั้น

ของล้ำค่าทั้งหมดถูกวางคืนที่ ก่อนจะเดินออกจากห้องโถง เขาเหลือบมองฉาเอ๋อร์อีกทีหนึ่ง มุมปากเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม จากนั้นก็ก้าวออกไปข้างนอก

ฉาเอ๋อร์เติบโตมากับคุณหนูของนางจึงเรียนรู้ความเจ้าเล่ห์แสนกลจากเจ้านายมาไม่น้อย ตอนเห็นท่านแม่ทัพกำลังจะเดินเข้ามา นางรีบยกแจกันใหญ่ไปวางที่เดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอเห็นว่าคุณหนูเดินตามท่านแม่ทัพเข้ามาด้วยถึงค่อยโล่งใจอย่างแท้จริง แล้วรีบเตรียมชาให้ทั้งคู่

ฉู่ชิงหยางเดินเข้าไปนั่งตำแหน่งเจ้าบ้าน “ว่ามา อยากพบข้ามีธุระอะไร”

มู่เซียงหนิงนั่งลงอย่างไม่เกรงใจแล้วพูดเข้าประเด็นทันที “ข้าอยากหารือกับท่านเรื่องหย่า”

ถ้อยคำนั้นโผงผางแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจน ไม่อ้อมค้อมแม้แต่นิดเดียว แม้ฉาเอ๋อร์คิดไว้อยู่แล้วว่าคุณหนูจะต้องพูดเช่นนี้ก็ยังเหงื่อตกอยู่ดี

แม่ทัพหนุ่มผงะไปอีกครั้ง ก่อนจะมองนางด้วยสายตาน่ากลัว

“คิดจะก่อเรื่องอีกแล้วหรือ”

“ใครจะก่อเรื่องเล่า ข้าจริงจังต่างหาก ของบางอย่างต้องพูดกันตรงๆ ถึงจะหารือกันง่าย ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ แล้วก็ไม่ได้ชวนท่านทะเลาะด้วย แค่อยากหารือกันในเรื่องนี้เท่านั้น ขอเล่าตามจริงอย่างไม่ปิดบัง ตั้งแต่ความทรงจำของข้ากลับมาแล้วได้ฟังเรื่องราวจากแม่นมชุยกับฉาเอ๋อร์ ข้าถึงเพิ่งรู้ว่าระหว่างความจำเสื่อมได้เผลอบังคับให้ท่านแม่ทัพแต่งงานกับข้า ข้าอยากชดเชยให้”

นางจงใจเน้นเสียงคำว่า ‘เผลอ’ เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้ตั้งใจ และหลังจากรับรู้เรื่องราวทั้งหมดตนก็รู้สึกผิดอย่างมาก แม้นี่จะเป็นสมรสพระราชทานจากจักรพรรดิ ทว่าหากใช้เรื่องที่นางความจำเสื่อมไปอ้อนวอนขอความเมตตา เชื่อว่าจักรพรรดิจะต้องให้อภัย

มู่เซียงหนิงถึงขั้นบอกว่านางจะให้บิดาช่วย ในเมื่อบิดาสามารถขอจักรพรรดิให้พระราชทานสมรสมาได้ ก็ต้องอ้อนวอนจักรพรรดิให้อนุญาตให้เขากับนางหย่าร้างได้เช่นกัน ทีนี้เขาก็จะได้มีโอกาสแต่งงานกับหญิงในดวงใจ ส่วนนางก็จะได้แต่งงานกับคนที่เหมาะสม

“แน่นอนว่ามีความเสี่ยงที่จักรพรรดิจะกริ้วแล้วลงพระอาญา แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่าพวกเราสองคนถูกผูกติดกันไปชั่วชีวิต คนสองคนใช้ชีวิตร่วมกันอย่างไม่มีความสุขต่างหากเล่าถึงจะเป็นโทษทัณฑ์ที่ร้ายแรงที่สุด ท่านว่าจริงหรือไม่”

นางรอคำตอบจากเขาด้วยสีหน้าคาดหวัง และเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าหากพูดโน้มน้าวไปเช่นนี้ เขาจะต้องตอบตกลงให้สมปรารถนากันทุกฝ่ายอย่างแน่นอน

ฉู่ชิงหยางมองสีหน้าสดใสของอีกฝ่าย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางพูดเรื่องหย่า เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้เขานึกว่านางถอยเพื่อรอจังหวะรุกต่อ แกล้งบอกเช่นนี้เพื่อให้เขาสงสารและเรียกร้องความสนใจจากเขาเท่านั้น เขาถึงได้ไม่เก็บมาใส่ใจ

ทว่าพอวันนี้นางพูดเรื่องหย่าขึ้นมาอีกครั้ง เขาถึงได้พบว่านางไม่ได้แกล้งพูด เพราะเขาสัมผัสความอาลัยใดๆ จากนางไม่ได้เลย ทั้งแววตาหรือท่าทีที่นางใช้พูดกับเขาเหมือนกำลังคุยอยู่กับคนนอกไม่มีผิด

ราชโองการที่บังคับให้เขาแต่งงานกับนางในตอนนั้นทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก แต่ใครเล่าจะขัดพระบัญชาจักรพรรดิได้ เขาจึงจำใจยอมทำตาม

แต่งงานกันมาหนึ่งปีที่เขาไม่เคยแตะต้องนางเลยสักครั้งก็เพื่อแสดงให้รู้ว่าในเมื่อนางใช้ราชโองการมาบังคับเขา เขาก็จะโต้ตอบกลับด้วยความเย็นชา ที่แต่งอนุเข้าจวนพร้อมกันสี่คนก็เพื่อบอกนางว่าเมื่อทำให้เขาโมโห นางต้องแลกกับอะไรบ้าง

สตรีที่ตรอมตรมอมทุกข์เพราะความเย็นชาของเขาในวันนั้น กลับเอ่ยปากขอหย่ากับเขาอย่างตื่นเต้นในวันนี้

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นแปลกประหลาดสิ้นดี เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานนางยังมักจะร้องไห้น้ำตานองหน้า แรกสุดร่ำร้องจะฆ่าตัวตาย ต่อมาก็ล้มป่วย ล้วนแต่เป็นลูกไม้ของนางทั้งสิ้น ยิ่งนางทรมานตนเองให้น่าสงสารเพียงใด เขาก็ยิ่งชิงชังและไม่อยากสนใจนางเท่านั้น

เขาเกลียดสตรีที่ดีแต่ร้องไห้ ดังนั้นทุกคราวที่ได้ยินว่านางทำให้ตนเองได้แผลหรือล้มป่วย เขาจะทำหูทวนลมเสมอ

ที่ผ่านมาเขาจงใจหมางเมินไม่เอาใจใส่นาง แต่เมื่อมองนางในตอนนี้ มุมมองที่มีต่อนางในอดีตก็ผุดขึ้นมาซ้อนทับอยู่บนร่างคนตรงหน้า กลายเป็นการเปรียบเทียบที่เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

ฉู่ชิงหยางใจลอยไปชั่วขณะ

“มองอะไรของท่าน ท่านแม่ทัพพูดอะไรบ้างสิ” มู่เซียงหนิงเอ่ยเตือน ไม่เข้าใจว่าเหตุใดบุรุษผู้นี้ถึงได้เงียบไปและเอาแต่จ้องนาง

ฉู่ชิงหยางพิจารณาอย่างถ้วนถี่ ไม่เพียงแค่สีหน้าแววตาของนางที่เปลี่ยนไปจากเดิม แม้แต่น้ำเสียงก็ไม่เหมือนเก่า ซ้ำยังไม่เกรงกลัวเขา มู่เซียงหนิงที่เป็นเช่นนี้ช่างทำให้เขารู้สึกแปลกใหม่อย่างบอกไม่ถูกจริงๆ

“ท่านแม่ทัพ…”

“วรยุทธ์ของเจ้าใครเป็นผู้สอน อาจารย์ของเจ้าเป็นใคร อยู่สำนักใด” เขาถามแทรกขึ้นมา

มู่เซียงหนิงชะงักไปเล็กน้อย จู่ๆ เหตุใดเขาถึงได้เปลี่ยนเรื่องแล้วถามถึงวรยุทธ์ของนางเสียแล้วล่ะ

“อาจารย์ของข้าเป็นยอดฝีมือที่ถือสันโดษ ไร้ชื่อไร้สำนัก” นางตอบ ความชื่นชมบูชาสะท้อนอยู่ในแววตาเมื่อเอ่ยถึงอาจารย์

“พวกเรามาประมือกันสักตั้ง”

“หา?!”

ฉู่ชิงหยางลุกขึ้นเดินกลับไปยังห้องฝึกยุทธ์โดยไม่รอคำตอบจากนาง เพราะนี่ไม่ใช่การถามแต่เป็นคำสั่ง

มู่เซียงหนิงเห็นเขาเดินออกไปโดยไม่สนใจว่าตนเองจะเห็นด้วยหรือไม่ก็หงุดหงิดยิ่งนัก

“ฉู่ชิงหยาง…” นางตะโกนเรียกชื่อเขาตรงๆ

“อยากหารือก็ประมือก่อนค่อยว่ากัน จะมาหรือไม่มา” เขาหันกลับมาถาม เหมือนจะบอกว่าไม่ประมือก็ช่าง นี่ล่ะอหังการของชาวยุทธ์

มู่เซียงหนิงเองก็ไม่ยอมลั่นกลองถอยทัพตอนนี้อยู่แล้ว “ข้าขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”

ชุดกระโปรงที่สวมอยู่ตอนนี้เกะกะเกินไป จำต้องเปลี่ยนเป็นชุดอื่น

“ได้” เขาพยักหน้ายินยอม “ข้าจะรอ”

มู่เซียงหนิงหมุนตัวเดินออกมาอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไม่ได้รับคำตอบจากเขาไม่พอ ยังถูกยื่นเงื่อนไขให้ประมือกันอีก ก็ได้ ประมือเป็นประมือสิ นางกลัวเสียที่ใด เมื่อก่อนนางก็ประลองฝีมือกับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องอยู่บ่อยๆ

มู่เซียงหนิงเปลี่ยนเป็นชุดแขนสอบเข้ารูปกับกางเกงขายาว ดึงเครื่องประดับศีรษะออกทุกชิ้นแล้วหวีผมเกล้ามวยง่ายๆ แทน

ฉาเอ๋อร์ถามขึ้นอย่างเป็นกังวล “คุณหนูจะสู้กับท่านแม่ทัพจริงหรือเจ้าคะ”

“สู้เป็นสู้ แต่เรี่ยวแรงของข้ายังไม่ฟื้นตัวดีนี่สิ”

นางตอบพลางขยับข้อต่อต่างๆ บริหารร่างกายให้อุ่นขึ้น หนึ่งปีที่ความจำเสื่อมทำให้หมัดและเท้าของนางฝืดลงไม่น้อย แม้จะกลับมาฝึกใหม่ แต่ระยะเวลายังสั้นเกินไป

ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ ฉู่ชิงหยางถึงได้ขอประลองยุทธ์กับนาง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตนเองติดค้างอีกฝ่าย นางก็จะคิดเสียว่ายอมทำตามเพื่อชดเชยให้ชายหนุ่มอารมณ์ดี เมื่อเขาอารมณ์ดีและยินยอมหย่ากับนางเมื่อไร นางจะได้กลับบ้านตนเองเสียที

รอยแผลบนหน้าผากที่หกล้มก่อนหน้านี้ยังมีผ้าพันไว้ นางเห็นว่าเกะกะจึงแกะออก ทำเอาฉาเอ๋อร์ร้องโวยวายยกใหญ่ นางบอกว่าไม่เป็นไรพลางส่องกระจก แล้วคิดว่าแผลภายนอกเพียงแค่นี้ไม่จำเป็นต้องแตกตื่นเหมือนเป็นเรื่องใหญ่เลยสักนิด ซ้ำแผลยังเริ่มตกสะเก็ดแล้วด้วย

ข่าวฮูหยินท่านแม่ทัพจะประลองฝีมือกับท่านแม่ทัพนี้กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อดูเรื่องสนุก แต่กลับถูกสายตาคมกริบของท่านแม่ทัพมองจ้อง ระหว่างที่พวกเขากำลังฉงนสงสัยว่าเหตุใดถึงได้ถูกมองนั้น เจ้านายก็ออกคำสั่งเหมือนฟ้าฟาดให้ใครก็ตามที่กึ่งเปลือยอยู่สวมเสื้อให้หมด ใครกล้าเปลือยท่อนบนจะโดนดี

หลังชุลมุนวุ่นวายอยู่สักพัก ชายฉกรรจ์เหล่านั้นก็สวมเสื้อกันครบทุกคน ไม่มีใครกล้าเปลือยอกแม้แต่คนเดียว

แต่ไหนแต่ไรท่านแม่ทัพจะเลือกคู่ประมือจากพวกเขา ทว่าวันนี้คู่ประมือกลับเป็นฮูหยิน ช่างแปลกใหม่เสียนี่กระไร

“นี่ สือซง ฮูหยินท่านแม่ทัพมีวรยุทธ์เลิศล้ำมากเลยหรือ เหตุใดท่านแม่ทัพถึงได้จะประมือกับนางเล่า”

“สือซง ได้ยินว่าฮูหยินท่านแม่ทัพเอาชนะเจ้าได้ถึงได้บุกเข้าไปถึงห้องฝึกยุทธ์ เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ”

“ไม่จริงน่าสือซง อย่าบอกนะว่าเจ้ายอมออมมือให้”

กู่ป๋อ จ้าวจิ้งจู๋ พร้อมด้วยหลินชิงหลิ่วจับสือซงมาซักถามเป็นการใหญ่ พวกเขาทั้งสี่มีฉายาว่า ‘ซงป๋อจู๋หลิ่ว’ เป็นองครักษ์คนสนิทของท่านแม่ทัพ พอได้ยินว่าสือซงถูกฮูหยินเล่นงานก็ประหลาดใจไปตามๆ กัน

สือซงมองสหายทั้งสาม ปากบอกว่าไม่เชื่อ แต่ลูกตายิ้มอยู่ชัดๆ เขาแค่นเสียงหึขึ้นจมูก “อีกเดี๋ยวพวกเจ้าได้เห็นก็จะรู้เอง”

“สหาย แม้ฉาเอ๋อร์ที่เป็นสาวใช้คนสนิทของฮูหยินจะหน้าตางดงามจริง แต่เจ้าก็ไม่น่าถึงกับทำตัวเป็นนักแสดงเร่เอาใจนางเลยนี่นา ดูสิ ต้องถูกโบยยี่สิบไม้เป็นการลงโทษเลย”

หลินชิงหลิ่วล้อเลียน กู่ป๋อกับจ้าวจิ้งจู๋หัวเราะตัวโยนไปตามๆ กัน

จ้าวจิ้งจู๋พูดขึ้นว่า “สหาย พวกเราไม่ยักรู้มาก่อนเลยนะ ปกติเห็นเจ้าชอบทำตัวเคร่งขรึม ที่แท้ก็เป็นพวกเสือซ่อนเล็บนี่เอง”

กู่ป๋อส่ายหน้าแล้วพูดอย่างสะท้อนใจ “ฤดูใบไม้ผลิยังมาไม่ถึง มีความรักในตอนนี้ยังเร็วไป…เฮ้ย!”

เห็นสือซงทำท่าจะออกหมัดออกเท้า ทั้งสามก็รีบเผ่นหนีแล้วหัวเราะลั่น

สือซงที่ถูกกระเซ้าทั้งโมโหทั้งขัน ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี

รับรองว่าอีกเดี๋ยวสหายเหล่านี้จะต้องตกใจกันยกใหญ่ เขารู้ว่าฮูหยินท่านแม่ทัพมีดี ไม่เช่นนั้นท่านแม่ทัพคงไม่สนใจให้นางมาเป็นคู่ประลอง

ตอนที่มู่เซียงหนิงเดินกลับเข้ามา ฉู่ชิงหยางก็ต้องชะงักไปอีกครั้ง ชุดรัดกุมเข้ารูปที่อยู่บนร่างนางทำให้คนเห็นตาวาว ความนุ่มนิ่มอ่อนหวานของสตรีที่ดีแต่เก็บตัวอยู่ในเรือนหายไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยบุคลิกเปิดเผยตรงไปตรงมาของจอมยุทธ์หญิง ดูสง่างามสะกดสายตายิ่งนัก

อันที่จริงตั้งแต่คราวที่นางสวมชุดล่าสัตว์ เขาก็คิดแล้วว่าแต่งตัวเช่นนี้เข้ากับนางมากกว่า วันนี้บุคลิกปราดเปรียวมั่นใจยิ่งแสดงออกมาอย่างชัดเจน ทำให้นางเปล่งประกายจับตาตั้งแต่หัวจรดเท้า

ความจริงมู่เซียงหนิงก็หน้าตาสะสวยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่ถูกความตรอมตรมที่มีมานานกลบหมดเท่านั้น

สตรีจะสวยได้นั้นรูปร่างหน้าตาเป็นสิ่งสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือความสุขและความมั่นใจในตนเองที่สะท้อนออกมาจากข้างใน ดวงตานางถึงเป็นประกายได้ถึงเพียงนี้

ต่อให้หน้าตาสะสวยเพียงใด หากทำตัวอมทุกข์ตลอดเวลา ช้าเร็วก็ต้องถูกคนอื่นตีตัวออกห่าง

มู่เซียงหนิงในเวลานี้โดดเด่นงดงาม ทั้งที่ไม่มีเครื่องประดับติดตัวแม้แต่นิดเดียว แต่กลับน่ามองอย่างประหลาด

ฉาเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็เปลี่ยนเป็นชุดรัดกุมเช่นกัน นางอาศัยบารมีคุณหนูถึงได้รับการอนุญาตจากท่านแม่ทัพให้เข้ามาในห้องฝึกยุทธ์ด้วยได้ เวลานี้นางยืนอยู่อีกทางคอยถือกระบี่ให้คุณหนูด้วยท่าทางขึงขัง

สองนายบ่าวล้วนเป็นหญิงงาม เจ้านายงามสะกดใจ สาวใช้งามผุดผ่องน่ารัก เมื่อยืนด้วยกันต่างมีบุคลิกสง่างามเช่นจอมยุทธ์หญิงทั้งคู่

ฉู่ชิงหยางจ้องมองมู่เซียงหนิงในภาพลักษณ์ใหม่อย่างใจลอยครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อสังเกตเห็นสายตาแวววาวที่อยู่รอบห้อง

“ข้ามาแล้ว จะสู้กันอย่างไร ประลองมือเปล่าหรือใช้อาวุธ”

เขาเพิ่งจะได้สติกลับมาเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถาม

“ข้ามือเปล่า ส่วนเจ้าใช้อาวุธได้”

นางกะพริบตาปริบๆ แล้วถามอย่างเข้าใจ “ท่านแม่ทัพจะอ่อนข้อให้ข้าหรือ”

“แผลเจ้าเพิ่งหาย ข้าจะอ่อนข้อให้ก็สมควรแล้ว” เขามองแผลบนหน้าผากนาง ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม

ที่จริงก็แค่แผลภายนอกเท่านั้น ซ้ำยังตกสะเก็ดแล้วด้วย แต่เมื่ออยู่บนผิวขาวผ่องของนางก็ยังเตะตามากอยู่ดี

สำหรับสตรีผู้หนึ่งคงล้มกระแทกแรงเอาเรื่องเลยสินะ

ไม่รู้ด้วยเหตุใดเขาถึงได้ใจอ่อนและรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย

“ได้ ถ้าเช่นนั้นข้าไม่เกรงใจล่ะ”

นางไม่พูดพล่ามให้มากเรื่อง มีคนอยากทำตัวเป็นผู้กล้าเสนอตัวเป็นกระสอบทรายให้นางซ้อม นางก็ไม่ปล่อยให้เขาเสียน้ำใจหรอก

เนื่องจากเรี่ยวแรงไม่ดีเท่าแต่ก่อน นางจึงไม่ใช้อาวุธที่มีน้ำหนักมากเกินไปนัก ตัวนางเองมีกระบี่ดีอยู่เล่มหนึ่งที่เบาและคล่องมืออย่างยิ่งเหมาะกับนางในเวลานี้พอดี

“ข้าใช้กระบี่ก็แล้วกัน” นางกล่าว

เขาพยักหน้า “เริ่มได้เลย”

“ท่านแม่ทัพระวังด้วย” เพิ่งจะเอ่ยเตือน แสงขาวจ้าก็สว่างวาบ นางชักกระบี่ออกจากฝักอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแล้วพุ่งทะยานเข้าโจมตีทันใด

นางกระหน่ำจู่โจมตั้งแต่แรกเพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามมีจังหวะใช้ความคิด เพลงกระบี่ของนางปราดเปรียว ไม่มีลูกเล่นมากนัก หากแต่ละครั้งที่แทงออกไปล้วนหนักแน่นว่องไว

ฉู่ชิงหยางประหลาดใจอยู่เงียบๆ พร้อมกับตาเป็นประกาย แล้วพุ่งเข้ารับการโจมตี

ตอนที่อ๋องเก้าก้าวลงจากรถม้าแล้วเดินเข้ามาในจวน ก็ได้ยินเสียงจอแจดังออกมาจากข้างใน

“เกิดอะไรขึ้นถึงได้คึกคักกันถึงเพียงนี้” เขาถามด้วยความฉงน

“เสียงดังมาจากห้องฝึกยุทธ์พ่ะย่ะค่ะ ท่านแม่ทัพของกระหม่อมกำลังประลองฝีมืออยู่” พ่อบ้านหลิวจื่อเซ่าที่มาต้อนรับตอบอย่างนอบน้อม

“เอ๋?” คิ้วอยู่ที่บนใบหน้าคมคายของอ๋องเก้าเลิกสูง เขาสนิทสนมกับฉู่ชิงหยาง วันนี้ตั้งใจจะมาเดินหมากด้วย ปกติเวลามีโอกาสก็ชอบขอประลองฝีมือด้วยเช่นกัน แต่เพิ่งจะเคยเห็นบรรยากาศคึกคักเช่นนี้เป็นครั้งแรกจึงอดสงสัยไม่ได้ “ท่านแม่ทัพประลองอยู่กับใครหรือ”

“กระหม่อมจะให้คนไปดู เชิญท่านอ๋องประทับทางนี้ก่อน” พ่อบ้านพาอ๋องเก้าไปที่เรือนรับรองแขก แล้วยกชามาต้อนรับด้วยตนเอง พร้อมกันนั้นก็ส่งคนไปรายงานเจ้านายที่ห้องฝึกยุทธ์

คนที่ไปสืบข่าวนำความกลับมารายงานอย่างรวดเร็ว พ่อบ้านชะงักไปพร้อมสีหน้าครุ่นคิด อ๋องเก้าที่กำลังยกถ้วยชาขึ้นจิบเห็นแล้วประหลาดใจ

“เกิดอะไรขึ้นหรือ”

“ทูลท่านอ๋อง ท่านแม่ทัพของพวกเรากำลังประลองกับ…ฮูหยินใหญ่ สั่งไว้ว่าห้ามรบกวนพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าท่านอ๋อง…”

“ท่านแม่ทัพของพวกเจ้ากำลังประลองยุทธ์กับฮูหยินใหญ่อย่างนั้นหรือ” อ๋องเก้าแปลกใจอย่างยิ่ง

ฮูหยินใหญ่ของท่านแม่ทัพ? ธิดาเสนาบดีมู่ไม่ใช่หรือ

เมื่อครั้งมีราชโองการให้ธิดาสกุลมู่แต่งงานกับแม่ทัพฉู่ เขาเองก็รู้ ทั้งยังรู้ด้วยว่ามู่ชิงหยางไม่พอใจการสมรสครั้งนี้มากเพียงใด ติดที่เป็นราชโองการไม่อาจขัด จำต้องแต่งฝ่ายหญิงเข้าจวน ถือเสียว่าเอาคนมา ‘เลี้ยง’ ไว้เพิ่มอีกคน

นี่ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาเลวร้ายถึงขั้นลงมือลงไม้กันแล้วหรือ

 

 

(ติดตามต่อในเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 22

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: