X
    Categories: ทดลองอ่านนวลหยกงามมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นวลหยกงาม เล่ม 10 บทที่ 17

หน้าที่แล้ว1 of 4

          บทที่ 17

สุดท้ายภาพหญิงงามใต้แสงจันทร์เหนือลำน้ำของหลี่ไท่ขายออกไปในราคาหนึ่งหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยตำลึง ส่วนว่าผู้ซื้อภาพนี้ที่นั่งอยู่หลังม่านคลุม พอได้รับภาพแล้วก็จากไปอย่างรีบเร่ง กลับไม่มีคนรู้ว่าเป็นใคร

ราตรีนี้หอขุยซิงขายภาพวาดสองภาพได้ในราคาแพงลิบลิ่วนับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีมานี้ สร้างความอิจฉาริษยาให้ผู้อื่นอย่างเลี่ยงได้ยาก พอแขกกล่าววาจาถากถางสองสามคำอย่างห้ามไม่อยู่ และมีเสียงขานรับไม่ขาดสายทางเบื้องล่าง ผู้ดูแลก็ทำหน้าที่ได้ดี ไม่เก็บค่าสุราในคืนนี้ของแขกทุกคนด้านล่าง เสียงต่างๆ ถึงได้เงียบหายไป

ในห้องส่วนตัวชั้นสามเปิดหน้าต่างเล็กบานหนึ่งออก ฉู่ปู้หลิวเอาพัดกลมบังหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง จับตาดูโต๊ะใต้เฉลียงสองสามมุมเป็นพิเศษ มีสาวใช้ผลักประตูก้าวเข้ามากระซิบรายงานใกล้ๆ นางหมุนพัดกลับไปกลับมาแล้วโบกมือบอกให้พาคนเข้ามา

ชั่วอึดใจต่อมา นางได้ยินเสียงเปิดประตูก็เอี้ยวตัวชายตามองอีกครา เห็นสตรีคลุมหน้าร่างสูงระหงนางหนึ่งเดินออกจากหลังฉากกั้น เป็นคนที่ชิงประมูลกับหญิงม่ายโฉมงามก่อนหน้านี้เองหรือนี่

“มาหาข้าทำไม คงมิใช่ว่ามีการค้ากำไรงามอีกนะ”

สตรีคลุมหน้าหัวร่อแผ่วๆ ก่อนถือวิสาสะนั่งลงข้างโต๊ะ รินน้ำชาลงถ้วยแล้วหมุนคลึงเล่นในมือ “การจับเสือมือเปล่ามิใช่ทำกันได้ทุกเวลา เถ้าแก่เนี้ยฉู่อย่าละโมบเกินไป ของที่ซื้อมาสองร้อยตำลึงได้กำไรสองหมื่น ท่านยังจะเอาอย่างไรอีก”

“เป็นท่านจะเอาอย่างไรมากกว่ากระมัง” ฉู่ปู้หลิวโบกพัดเดินไปข้างหลังอีกฝ่าย “ก็เงินมาของไปด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่าย เมื่อครู่ท่านอยู่ข้างล่าง ‘ก่อกวน’ แบบนั้น หรือยังคิดจะมาขอส่วนแบ่งเพิ่มทีหลังอีก”

“คิกๆ นี่เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว ข้าน่ะคิดแต่จะให้เถ้าแก่เนี้ยฉู่ได้กำไรมากขึ้น จะได้ผูกมิตรกับท่าน”

“ฮ่าๆ” เสียงหัวร่อร่วนดังระลอกหนึ่ง คล้ายฉู่ปู้หลิวได้ยินอะไรชวนหัวยิ่ง นางวางมือข้างหนึ่งบนไหล่อีกฝ่าย พูดกระซิบข้างหู “แม่นางยกยอปู้หลิวเกินไปแล้ว ข้าเป็นคนค้าขาย ในสายตาเห็นแต่คำว่าผลประโยชน์ แทนที่จะเป็นสหายกับข้า ท่านทำการค้ากับข้าจะดีกว่า มีเรื่องใดก็ว่ามาตรงๆ ได้เลย แต่ถ้าเป็นการค้าขาดทุน เช่นนั้นก็ไม่ต้องเอ่ยแล้ว”

นางกล่าวจบก็เห็นสตรีคลุมหน้ายกมือสอดเข้าอกเสื้อ ล้วงม้วนบันทึกขาดวิ่นเล่มเล็กๆ ออกมาวางริมโต๊ะ และกล่าวเสียงเนิบ “นี่เป็นเงินมัดจำ ท่านเรียกคนตรวจดูว่าเป็นของจริงของปลอมก่อนได้”

ฉู่ปู้หลิววางพัดลงแล้วหยิบมันขึ้นดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางเพิ่งพลิกเปิดสองหน้า สองตาก็ทอแววตื่นตะลึงแล้วกลายเป็นแข็งกร้าว แต่กลับไต่ถามด้วยหน้าตาเยือกเย็น “ไม่ทราบว่าแม่นางจะขอให้ทำงานใด”

“เถ้าแก่เนี้ยฉู่เป็นคนฉลาดดังคาด รู้ว่าที่ข้าขอเป็นงาน หาใช่สิ่งของ” สตรีคลุมหน้าแกว่งถ้วยชาในมือ ก่อนจะเบือนหน้าไปสบสายตาหยั่งเชิงของนาง “ความครึกครื้นของงานในคืนนี้ เถ้าแก่เนี้ยฉู่ก็เห็นแล้ว อาศัยที่หอขุยซิงรับรองลูกค้านับพันทุกวัน เรื่องที่ข้าขอทำไม่ยาก…แค่ให้ท่านเอาเรื่องใต้เท้าตู้ไถ่ภาพไปด้วยราคาสูงลิบโหมกระพือให้ใหญ่โต”

“…แต่ภาพนั้นดูเหมือนเป็นคุณหนูสกุลจ่างซุนควักเงินซื้อไป”

“ใช่หรือไม่ใช่ ขึ้นอยู่กับว่าพวกท่านจะแพร่ข่าวเช่นไรแล้ว”

ฉู่ปู้หลิวหยิบม้วนบันทึกเล่มเล็กขึ้น หมุนกายออกเดินไปหลายก้าว เอ่ยทั้งที่หันหลังให้นาง “นี่…นี่คงต้องล่วงเกินคนบางคนแล้ว”

“ข้าเชื่อว่าเถ้าแก่เนี้ยฉู่จะได้ทำได้อย่างหมดจด เหนืออื่นใดในเมืองฉางอันนี้ไม่ขาดแคลนเสียงเล่าลือนินทามากที่สุด ใครกันจะสาวมาถึงตัวท่าน”

“ไม่ทราบว่าแม่นางหมางใจกับเว่ยอ๋องหรือว่าคุณหนูสกุลหลู”

“ไม่จำเป็นต้องซักถาม อะไรๆ ที่ไม่พึงกล่าว ข้าจะไม่บอกมากไปสักคำ ท่านก็พูดเองว่าพวกเรามิใช่คบหาเป็นสหายกัน เพียงตอบข้ามาว่าการค้านี้ท่านจะทำหรือไม่” สตรีคลุมหน้าหมดความอดทน วางถ้วยชาลงบนโต๊ะด้วยน้ำหนักมือไม่หนักไม่เบาแล้วลุกขึ้นยืน

ฉู่ปู้หลิวก้มหน้ามองม้วนบันทึกในมือ ฟังเสียงฝีเท้าเดินย่ำไปมาด้านหลัง นางขมวดคิ้วทีหนึ่ง “ตกลง ท่านให้เวลาข้าสองวันตรวจดูว่าของจริงของปลอม ถ้าเป็นของแท้ การค้านี้ข้าก็รับ”

“อย่าหาว่าข้าไม่เตือนไว้ก่อนนะ บันทึกยาลูกกลอนของเหล่าจวินเล่มนี้เป็นตำราแท้ของราชาโอสถแซ่ซุน หากหอขุยซิงคัดลอกไปโดยไม่ทำงาน อาศัยความสามารถข้า ต้องให้พวกท่านชดใช้คืนเป็นสิบเท่าแน่”

ยังยืนอยู่อาณาเขตผู้อื่นก็กล้าพูดจาวางโตเช่นนี้ กระนั้นท่าทางปราศจากความกริ่งเกรงของสตรีคลุมหน้ากลับทำให้ฉู่ปู้หลิวไม่กล้าชะล่าใจมากขึ้น นางปรับสีหน้าเป็นปกติแล้วหันศีรษะไปคลี่ยิ้มอ่อนหวาน

“แม่นางวางใจได้ หอขุยซิงเราทำงานโดยยึดความน่าเชื่อถือเป็นที่ตั้งเสมอมา”

“เป็นเช่นนี้ก็ดี ข้ายังมีธุระ ไม่รั้งอยู่ต่อแล้ว ขออำลาก่อน”

ฉู่ปู้หลิวมองตามร่างที่เอามือไพล่หลังหายลับไปด้านหลังฉากกั้น รอยยิ้มบนหน้าถึงเลือนหายไป นางเอ่ยเสียงเย็นอย่างเคร่งขรึม “ตามนางไป ดูสิว่าเป็นพวกไหนกันแน่ ถึงกับรู้ว่าพวกเราสะสมตำรับยาลูกกลอนอยู่”

“ขอรับ”

เงาร่างสายหนึ่งพลิ้วกายจากหลังม่านติดตามสตรีคลุมหน้าไป ฉู่ปู้หลิวเดินไปข้างโต๊ะรินน้ำชาถ้วยหนึ่งดื่ม นางเอาม้วนบันทึกเก่าขาดเล่มนั้นซุกเข้าอกเสื้อ จากนั้นขึ้นไปชั้นบนสุดอย่างรีบเร่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

อีกด้านหนึ่ง สตรีคลุมหน้าผู้นั้นก้าวออกจากหอขุยซิงแล้วผ่อนฝีเท้าลง เริ่มเดินเตร่ไปตามตรอกซอกซอยของถนนสายตะวันตก ยามนี้ม่านรัตติกาลคลี่คลุมลง รถม้าแล่นผ่านไปมา ผู้คนบนถนนหนทางบางตา สตรีนางนั้นกลับไม่หวาดกลัว

คนสองคนที่ฉู่ปู้หลิวส่งตัวมาสะกดรอยตามคุ้นเคยกับงานนี้ดี จึงรู้ว่านางรู้ตัวแล้วแต่ไม่จากไป ยังคงติดตามนางเดินวกวนสะเปะสะปะดุจแมลงวันไร้หัวไปเรื่อยๆ จนเริ่มใจเย็นลงทีละน้อย จวบจนจู่ๆ นางก็เลี้ยวเข้าตรอกลึกสายหนึ่งถึงตามไปอย่างเร่งร้อน แต่ไม่เห็นวี่แววแล้ว

“น่าชังนัก!” ทั้งสองค้นตรอกสายนั้นแทบทุกซอกมุมก็หาตัวคนไม่เจอ พวกเขาบริภาษเสียงต่ำคำหนึ่งแล้วกลับไปรายงาน ไหนเลยจะรู้ว่าภายในตรอกมืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้วมือตนเองนี้ บนต้นไม้เก่าแก่ข้างกำแพงเรือนใครสักคน เป้าหมายที่พวกเขาสะกดรอยตามจะถูกตะครุบตัวไปแล้ว

“ซี้ด…เจ็บ…เจ็บนะ โอ๊ย!”

หลี่ไท่กระชากหน้ากากหนังบนหน้าเหยาอีตี๋ดังแควก ก่อนจะโยนมันทิ้งลงพื้นบนรถม้าแล้วกล่าว “พูด เจ้ามาเมืองหลวงทำอะไร”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว” เหยาอีตี๋ถูกจี้สกัดจุดสำคัญห้าจุด ได้แต่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม แต่ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์หลากหลายอย่างยิ่งยวด เขายักคิ้วหลิ่วตาพลางเอ่ยกับหลี่ไท่ “เจ้าจำข้าได้อย่างไร ตอนนั้นข้านั่งห่างจากเจ้าไกลเป็นโยชน์”

หลี่ไท่มองเขาปราดหนึ่ง ถึงกับยอมเอื้อนโอษฐ์ไขความกระจ่าง “เจ้าไม่ขัดสนเงินทอง ขโมยภาพจากเจี้ยนถังไปขายให้หอขุยซิงต้องมีจุดประสงค์อื่นแฝงอยู่ เจ้าชอบความครึกครื้น ดังนั้นคืนนี้ต้องไปร่วมงานแน่นอน แต่เจ้าต้องหลบข้า จึงเป็นไปได้แปดส่วนว่าจะแปลงโฉมเป็นสตรี” สายตาเขาหยุดอยู่ที่กระโปรงสตรีบนตัวเหยาอีตี๋ “การหาสตรีปากมากสักคนในกลุ่มคนหาใช่เรื่องยาก”

“ฮ่าๆ แย่จริงๆ ที่แท้เสี่ยวเจี้ยนเจ้าคนไม่เอาไหนโดนเจ้าจับไปแล้ว รู้แต่แรกข้าไม่ชวนเขาเล่นสนุกด้วยกันหรอก”

หลี่ไท่ไม่ใส่ใจคำพูดเยาะตนเองของเขา “ตอบข้า เจ้ามาเมืองหลวงทำอะไร”

“ย่อมมาทวงหนี้กับเจ้าแน่นอน” ดวงหน้าเปื้อนยิ้มของเหยาอีตี๋แปรเป็นปึ่งชาฉับพลัน เขาจ้องหลี่ไท่ตาเขม็ง แสยะปากด้วยท่าทางเหี้ยมเกรียมและกล่าวเสียงดุดัน “หรือเจ้าลืมไปแล้ว ปีที่แล้วข้าใจดีไปที่ผิงโจวช่วยสังหารคนให้เจ้า ผลปรากฏว่าเสร็จเรื่องเจ้าก็สะบัดก้นจากไป ทิ้งข้าไว้คนเดียว พอข้าหนีเอาชีวิตรอดมาได้ หรือไม่สมควรมาคิดบัญชีกับเจ้า…อ๊อก!”

ลมแรงสายหนึ่งปะทะใบหน้า เขากล่าวไม่ทันจบก็จุกแน่นในลำคอ ลมหายใจติดขัด แววดุร้ายบนหน้าเขาหายไปทันใด นัยน์ตาทั้งคู่ที่เบิกถลนเล็กน้อยเหลือบลงเห็นปลายท่อนแขนปรากฏขึ้นใต้คาง เขาพยายามหายใจจนหน้าแดงก่ำ ทว่ายังทำหน้าทะเล้น อ้าปากพูดอย่างยากลำบาก

“จะ…เจ้าสี่…มิใช่ว่าละ…ล้อเล่นกับเจ้านะ…นิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ได้กระมัง”

“สองปีก่อนข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว”

ม่านตาของเหยาอีตี๋หดแคบลง เขาจดจำได้ในบัดดล หลังจากรอดตายในหุบเขาลึกลูกนั้นแล้วตนเอาแม่นางน้อยคนนั้นมาล้อเล่นแล้วคำตอบของหลี่ไท่คือ…

“เพราะป้อมปราสาทแดง ข้าจึงยังไม่อยากสังหารเจ้า” สิ้นเสียงไม่ทันไร นิ้วมือสองนิ้วของหลี่ไท่ก็บีบเข้าหากันทันที หน้าตาเฉยเมยยามมองดูดวงตาของเขาเริ่มไร้แววทีละน้อย เส้นเอ็นสีเขียวบนหน้าผากปูดโปนขึ้นช้าๆ เหงื่อเม็ดเป้งไหลหยาดลงมาตามใบหน้าเผือดขาว

“ขอเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”

คืนหนาวน้ำค้างแรง ตอนรถม้าคันหนึ่งไปถึงที่ปลอดเปลี่ยวนอกเขตฟางแล้วหยุดจอดครู่หนึ่ง โยนของชิ้นใหญ่ลงข้างทาง กงล้อรถม้าถึงเริ่มหมุนดังครืดคราดๆ อีกครั้งแล่นห่างไปไกล

เหยาอีตี๋นอนบนพื้นนานครึ่งถ้วยชา มือเท้าจึงกลับมามีความรู้สึก เขาไม่รีบลุกขึ้น ยังนอนต่อไปอีกหนึ่งถ้วยชาค่อยดีดตัวลุกขึ้นเฉกปลาไนกระโจนน้ำ นวดคลึงต้นคอแล้วเดินโซซัดโซเซเข้าไปในตรอกใกล้ๆ

“สังหารข้า? ฮ่าๆ น่าสนุกๆ นับวันยิ่งน่าสนุกขึ้นทุกทีแล้ว…”

หลังหยุดดื่มยาของเหยาฮ่วง อี๋อวี้กลับมานอนหลับได้สั้นๆ ในยามราตรีดังเก่า เสียงลมพัดยอดหญ้าไหวเพียงนิดก็ทำให้นางหลับไม่สนิทได้ ยามลืมตาขึ้นเห็นหลี่ไท่นั่งอยู่ข้างเตียง นางตั้งสติได้แล้วชันกายลุกขึ้นนั่ง เหลือบมองเทียนไหม้ไปเกินครึ่งตรงหัวเตียงก็รู้ว่าดึกดื่นมากแล้ว

“ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”

พูดจบนางเห็นเขาเอาแต่มองตนเองไม่พูดไม่จา เมื่อได้กลิ่นเหล้าคลุ้งจากตัวเขา นางก็ย่นจมูกเอ่ยอย่างห่วงใย “เมาสุราหรือเจ้าคะ”

หลี่ไท่ส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าตนไม่เมา แต่อี๋อวี้เห็นสภาพเขาแล้วไม่ต่างจากเมามายสักเท่าไร ครั้นคิดคำนึงว่าปกติเขามักจิบดื่มพอหอมปากหอมคอ น้อยครั้งนักจะดื่มหนัก ท่าทางอย่างนี้กลับคล้ายมีเรื่องกลัดกลุ้ม นางจึงทอดเสียงอ่อนลง

“พรุ่งนี้เช้าท่านยังต้องไปสำนักอักษร เรียกให้คนต้มน้ำกับน้ำแกงสร่างเมา ชำระกายเสร็จค่อยดื่มแล้วเข้านอน ตื่นเช้าจะได้ไม่ปวดศีรษะ”

นับแต่หลี่ไท่เป็นเด็กหนุ่ม ไม่มีผู้ใดที่ไหนกล้ายุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของเขา ต่อให้เป็นเรื่องสัพเพเหระในชีวิตประจำวันก็แล้วแต่ความพอใจของเขา ไม่มีคนกล้าพูดมาก ด้วยเหตุนี้อี๋อวี้จึงเป็นคนแรกที่เป็นห่วงในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ว่าหลังเขาเมาสุราแล้วพรุ่งนี้จะปวดศีรษะหรือไม่ อันว่าคนพูดไร้เจตนา คนฟังเก็บใส่ใจ ตอนเขากลับมาอาจยังหัวเสียอยู่บ้าง แต่เพลานี้ดีขึ้นมากแล้ว

เขาพยักหน้าแล้วนิ่งคิดอีกที ก่อนล้วงกล่องแบนๆ ยาวราวครึ่งฉื่อจากอกเสื้อยื่นส่งให้ เห็นนางรับไปเปิดออกแล้วเผยสีหน้าชอบอกชอบใจทันที เอานิ้วมือลูบปิ่นหยกในนั้นเบาๆ พอนึกขึ้นได้ก็เงยหน้ากล่าวขอบคุณเขา ใบหน้าหญิงสาวแดงซ่านด้วยความดีใจอยู่บ้าง เขาใจสั่นหวิว โน้มตัวไปฉกจูบตรงมุมปากนางอย่างห้ามใจไม่อยู่

เมื่อได้ลิ้มรสคราหนึ่งก็รู้สึกไม่จุใจ เขายึดท้ายทอยเล็กไว้ ได้ยินเสียงอุทานเบาๆ ก็กดตัวนางเอนกลับลงบนเตียง ยิ่งจุมพิตยิ่งดูดดื่ม ลมหายใจของชายหนุ่มหอบหนัก มือหนึ่งเลื่อนไล้ไปตามเรือนร่างแบบบาง ถึงแม้จะมีเสื้อคลุมบางๆ ขวางกั้นชั้นหนึ่ง สัมผัสเรียบลื่นนุ่มละมุนมือนั่นยังชวนให้คนคลั่งไคล้ ยิ่งคิดถึงว่าข้างนอกยังมีคนผู้หนึ่งหมายปองนางอยู่ ความคิดที่ต้องประทับตราจับจองบนร่างนางจึงจะดีก็ผุดขึ้นในหัวท่ามกลางสติพร่าเลือน เขาก็เพิ่มน้ำหนักมือมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซ้ำยังติงว่าไม่พอ ถึงกับคลำหาชายเสื้อสอดมือเข้าไปวางทาบเอวอ่อนของนาง

“อุบ…” อี๋อวี้ถูกหลี่ไท่โถมจูบกะทันหัน นางรับรู้อย่างเฉียบไวว่าคืนนี้เขาผิดปกติไปแต่มิได้ผลักไส ปล่อยให้เขาขบเม้มตามแต่ใจอย่างต้องการจะปลุกปลอบอารมณ์เล็กน้อย แต่ถึงที่สุดแล้วนางยังไม่หายป่วยดี โดนเรือนกายหนักอึ้งของชายหนุ่มทับไว้ ทั้งจุมพิตทั้งลูบไล้ก็หน้าแดงจรดใบหูเริ่มหายใจติดขัด เนื้อตัวก็อึดอัดทรมานยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทั้งได้กลิ่นหอมจากกายเขาที่กำจายมาใกล้ๆ พาให้หัวสมองมึนงงพร่าเลือนไปด้วย

ครั้นหญิงสาวรู้สึกได้ว่ามีฝ่ามือใหญ่ร้อนจัดข้างหนึ่งลอดผ่านใต้อาภรณ์ ร่างนางสั่นกระตุก ดึงสติคืนมาได้ก็ลุกลนยกมือผลักไสเขา ทว่าดิ้นขัดขืนไม่กี่ที เขากลับจูบหนักหน่วงขึ้น เกี่ยวรัดลิ้นนางจนเจ็บชาไปหมด ตรงเอวยังถูกคลึงเคล้น ทั้งคู่เพิ่งคืนดีกันไม่ถึงสองวัน ได้พูดจาปรับความเข้าใจ ความรู้สึกต่อกันยิ่งลึกซึ้งขึ้น เป็นเหตุให้นางไม่อาจปฏิเสธโดยสิ้นเชิง หลังครางในลำคอเสียงหนึ่ง แขนขาก็อ่อนระทวยหมดเรี่ยวแรงจะต่อต้านเขาอีก ได้แต่โอดครวญในใจ ขณะยังเหลือสติสัมปชัญญะรางๆ นางยิ้มอ่อนใจคิดคำนึงว่าครั้งนี้ไม่ทันระวังเขา เห็นทีว่าคืนนี้ต้องพลีกายเสียแล้ว

“คุณหนู ท่านหลับหรือยังเจ้าคะ”

 

ติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: