chapter 02
หญิงสาวแห่งพรหมลิขิต
แม้เรื่องที่ยกมาเปรียบเทียบนี้อาจจะฟังดูอย่างไรอยู่ แต่เวลาเดินเข้าห้องน้ำกับเวลาเดินออกจากห้องน้ำมันต่างกันมาก สถานการณ์ตอนเลิกงานในวันศุกร์กับตอนไปทำงานอีกครั้งในวันจันทร์ มันก็เป็นอะไรที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน
นั่นเป็นเพราะคู่นัดบอดโรคจิตที่ฮารีรับทำเป็นงานพาร์ตไทม์มาขอเธอแต่งงานทั้งที่เพิ่งนัดบอดกันไปได้แค่วันเดียว แถมยังขอแต่งงานทางโทรศัพท์อีกต่างหาก แต่ปัญหาก็คือ
เขาเป็นประธานบริษัทของฉันน่ะสิ!
แค่นี้ก็ทุกข์ใจมากพออยู่แล้ว ทุกครั้งที่นึกถึงมัน ฮารีก็ยิ่งรู้สึกเป็นทุกข์มากจนต้องกุมศีรษะเอาไว้แน่น ขนาดนอนอยู่ยังรู้สึกเหมือนกุมศีรษะอยู่เลย ไม่สิ เหมือนจะไม่ได้นอนเลยมากกว่า ที่จริงแล้วเธอรู้สึกเหมือนจำอะไรไม่ได้เลยสักนิด
หลังวางสายจากเขา ฮารีไม่รู้เลยว่าวันนั้นทั้งวันตัวเองทำอะไรไปบ้าง เธอควรจะเล่าเรื่องราวชวนอึ้งนี้ให้ยองซอฟัง แต่แม้กระทั่งตัวเธอเองก็ยังไม่เข้าใจ จึงได้แต่ผัดไปก่อน และตอนนี้เธอมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น
คังแทมูต้องเป็นคนจิตวิปริตแน่นอน
ขนาดเธอพูดเพ้อเจ้อและพูดเรื่องไร้สาระขนาดนั้น เขายังมาขอแต่งงานเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ได้ข้อสรุปเดียวว่าคังแทมูเป็นคนจิตวิปริต
เมื่อสรุปได้อย่างนั้น สิ่งที่เธอกังวลจึงมีอยู่เรื่องเดียวคือถ้าเจอกันที่บริษัทจะทำอย่างไร
โดดงานดีไหมนะ โดดงานไปเลย โดดงานของบริษัทหมอนี่ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยดีไหม
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่เธอจะจัดการได้ เพราะเธอนัดบอดกับประธานบริษัทและพูดเรื่องไร้สาระอย่างเต็มที่ แต่หลังจากนั้นแค่วันเดียวก็ถูกขอแต่งงานอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วเธอก็ยังปฏิเสธด้วยคำพูดเพ้อเจ้ออีกต่างหาก
เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ผ่านไป ขณะที่ฮารีกำลังเตรียมตัวไปทำงาน เสียงเหล่านี้ดังก้องอยู่ในใจไม่หยุด โดดไหม โดดไหม โดดไหม เธอต้องคอยยับยั้งหัวใจที่กำลังเดินเป็นจังหวะติ๊กต่อกราวกับเสียงเข็มวินาทีของนาฬิกาอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดเธอก็เตรียมตัวไปทำงานเสร็จจนได้
นี่เป็นการเตรียมตัวที่ทำมาตลอดเป็นปกติ แต่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปมันจะแตกต่างไปจากเดิม ฮารีแต่งหน้าให้บางที่สุด เธอต้องพยายามไม่ให้ตัวเองไปเตะสายตาของคังแทมูประธานบริษัทที่ไม่รู้ว่าจะพบเจอกันที่ไหนเมื่อไร แต่ความจริงแล้วยังไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง เมื่อคิดถึงเรื่องเหลวไหลที่ตัวเองพูดกับเขา เธอก็ได้แต่คิดว่าอยากจะหนีไปให้พ้นๆ อย่างไรก็ตามเธอไม่สามารถลาออกจากบริษัทได้อย่างเด็ดขาด
เธอมีหนี้สิน ไม่ว่าใครก็มีหนี้สินกันได้ แต่หนี้ก้อนนี้แตกต่างไปเล็กน้อย เนื่องจากมันเป็นเงินกู้ของบริษัท จึงต้องชำระคืนทั้งหมดทันทีที่ลาออก ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่มีเงินที่จะทำแบบนั้นได้ จึงต้องไปทำงานไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องคอยยับยั้งหัวใจของตัวเองที่มีเสียงดังขึ้นมาว่า ‘โดดไหม’ อยู่ทุกวินาที
“ใช่แล้ว ยังไงก็ไม่เจอกันหรอก นี่คือเรื่องจริง”
ตั้งแต่เข้าทำงานที่บริษัท เธอเคยเห็นเขาครั้งหนึ่งขณะที่เดินอยู่กับพนักงานคนอื่นๆ แต่ก็ยังไม่เคยเจอกันแบบซึ่งหน้าเลยสักครั้ง อันที่จริงก็ไม่มีเหตุให้เจอกันเลยด้วยซ้ำ เพราะห้องประธานอยู่ที่ชั้นสิบสอง ส่วนแผนกวางแผนและการเงินทีมสองซึ่งเป็นแผนกของเธออยู่ที่ชั้นแปด และปกติเขามักจะไปไหนมาไหนพร้อมพวกผู้บริหารบริษัท เรื่องอัตราความถี่…เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เธอมักจะไปไหนมาไหนกับพนักงานคนอื่นๆ เฉพาะแค่ช่วงพักกลางวันเท่านั้น
“เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลไปหรอก ไม่ต้องกังวลเลย ผู้ชายที่ตั้งแต่เธอเข้าทำงานมาเป็นปีๆ ก็ยังไม่เคยเจอกันสักครั้ง ไม่มีทางที่จะมาเจอกันตรงนี้…”
จะ…เจอ กัน ตรง นี้…!
ดวงตาของฮารีพลันเบิกกว้าง
“ทำอะไรครับ”
ตั้งแต่ตอนอยู่บนรถเมล์ ไม่สิ ตั้งแต่ก่อนขึ้นรถเมล์ ไม่สิ ตั้งแต่ก่อนหน้านั้นจนกระทั่งลงจากรถเมล์แล้วเดินมาถึงหน้าบริษัท เธอคิดมาตลอดว่าไม่มีทางเจอเขาแน่นอน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล เธอปลอบใจตัวเองแบบนั้น ทว่า…
คังแทมูกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ซึ่งมันไม่ใช่ที่ประตูหน้า ไม่ใช่ล็อบบี้ ไม่ใช่โถงทางเดิน แต่ดันมาเจอกันตรงหน้าลิฟต์ หัวใจของเธอตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้วเริ่มเต้นอย่างบ้าคลั่ง
ไม่เคยเจอกันสักครั้ง แล้วทำไมถึงดันมาเจอกันหลังจากวันที่ถูกขอแต่งงานได้ล่ะเนี่ย หรือท่านประธานจำฉันได้ก็เลยตามฉันมา เขาเป็นถึงประธานบริษัทก็อาจสืบประวัติผู้หญิงเฮงซวยที่ปฏิเสธเขาหรือเปล่านะ แล้วฉันจะทำยังไงดีล่ะ ถ้าถูกไล่ออกเพราะโกหกจะทำยังไง
ขณะที่ใบหน้าของฮารีกำลังซีดเผือดและหายใจลำบากขึ้นเรื่อยๆ แทมูก็มองเธออย่างแปลกใจแล้วเลิกคิ้ว
“ไม่ทราบว่า…”
ไม่ทราบว่า ไม่ทราบว่าอะไร จำฉันได้เหรอ อะไรเนี่ย ที่ผ่านมาไม่รู้จักหน้าตาฉัน แต่พอเห็นหน้าก็เลยจำฉันได้งั้นเหรอ แล้วทีนี้ฉันต้องทำยังไงต่อไปล่ะ ฉันจะโดนไล่ออกจริงๆ เหรอ
“ไม่ขึ้นเหรอครับ”
“…คะ?”
คิ้วของเขาจะกระตุกเล็กน้อย ตอนนี้เธอกำลังทำให้ฉันต้องพูดสองครั้งนะ ดูเหมือนคิ้วของเขากำลังพูดแบบนั้น ไม่สิ เขาพูดออกมาแล้ว และกำลังจ้องมองเธอด้วยสายตาไม่พอใจอย่างมาก
“คุณจะไม่ขึ้นลิฟต์เหรอครับ”
“ขะ…ขึ้นค่ะ”
ฮารีรีบขึ้นลิฟต์อย่างลนลาน
ยายซื่อบื้อเอ๊ย ต้องบอกว่าไม่ขึ้นสิ
เธอรู้สึกเสียใจแต่มันก็สายเกินไปแล้ว ทั้งหมดที่เธอทำได้ตอนนี้คือเดินเข้าไปที่มุมลิฟต์และยืนแนบชิดติดกับผนังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยปิดหน้าเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งทำให้สะดุดตามากขึ้น แต่ดูเหมือนคนที่ไม่สนใจสิ่งรอบข้างอย่างเขาจะไม่ทันสังเกต เพราะเมื่อเขาเดินเข้ามาในลิฟต์ก็กดปุ่มชั้นสิบสองแล้วมองตรงไปข้างหน้า เมื่อประตูลิฟต์ปิดลง เธอก็ลอบชำเลืองมองเขาด้วยหางตา
ตอนนัดบอด เธอได้เห็นเฉพาะตอนที่เขานั่งเท่านั้น แต่เมื่อได้มองจากด้านหลังแบบนี้ก็ยิ่งเห็นว่ารูปลักษณ์ของเขาดีงามยิ่งกว่าเดิมเข้าไปอีก ไหล่ก็กว้าง ตัวก็สูง หน้าก็เล็ก แล้วยังจัดทรงผมอย่างเป็นระเบียบจนท็อปโมเดลยังต้องชิดซ้าย
เฮ้อ ผู้ชายแบบนี้มาขอฉันแต่งงานเนี่ยนะ
ต่อให้อยู่ในความฝันก็ยังรับคำขอแต่งงานนั้นไม่ได้เลย ถ้าเขาไม่ใช่คนจิตวิปริตล่ะก็ ซึ่งแน่นอนว่าต่อให้ไม่ใช่ เธอก็แต่งงานกับเขาไม่ได้อยู่ดี แต่จะว่าไปผู้ชายที่ถูกปฏิเสธกลับมีท่าทีสบายใจมาก ในขณะที่ใครบางคนไม่ได้หลับได้นอนจนต้องมาทำงานในสภาพหม่นหมองแบบนี้
หลังจากชำเลืองมองและเปรียบเทียบภาพสะท้อนของตัวเองกับเขาในลิฟต์ได้สักพัก ฮารีก็หลับตาปี๋ ทำไมต้องมาเจอกันที่หน้าลิฟต์ด้วยนะ แถมยังเจอกันสองต่อสองอีกต่างหาก เธออึดอัดจนรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก
แต่ยังไงเขาก็จำฉันไม่ได้นี่นา ใจเย็นไว้ ใจเย็น
เมื่อฮารีถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกอย่างไม่รู้ตัว เขาก็หันมามองเธอ และทันทีที่สบตากัน เธอก็สะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด
“อะ…อากาศดีมากเลยนะคะ!”
ฮารีทักทายออกมาเสียงดังอย่างไม่เป็นธรรมชาติขั้นสุด เธอกล้ำกลืนน้ำตาและพยายามยิ้มอย่างหน้าตาเฉย เขาเบนสายตาไปทางอื่นอย่างเฉยเมยโดยไม่ได้ตอบอะไร จากนั้นก็หรี่ตามองเธออีกครั้ง
“มีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่าครับ”
“…คะ?”
หัวใจของฮารีหยุดเต้นอีกครั้ง
มีอะไรจะพูดงั้นเหรอ หรือเขาจับได้แล้วว่าฉันเป็นคู่นัดบอดท่าทางแปลกๆ ที่บ้าผู้ชายแต่ก็ชอบผู้หญิงด้วยคนนั้น…
“ดูเหมือนคุณกำลังจะขึ้นไปที่ห้องประธานด้วยกันกับผมนะครับ”
เขาชี้ไปที่ปุ่มกด ชั้นสิบสองเป็นชั้นที่มีห้องประธาน ห้องเลขานุการ ห้องประชุม และห้องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของประธานทั้งหมด นอกจากปุ่มเลขสิบสองแล้วก็ไม่มีปุ่มใดถูกกดเอาไว้เลย
เขามองนาฬิกาข้อมือ
“คุยที่นี่ก็ได้ครับ พอดีผมยุ่งนิดหน่อย”
กดปุ่มชั้นที่จะลงสิ ยายซื่อบื้อ! แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดอย่างนั้น แต่เธอรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงพูดนั้น
“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้มีเรื่องจะคุยค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้นเลยค่ะ”
พอฮารีกดปุ่มชั้นแปดอย่างลนลาน เขาก็หรี่ตามองปุ่มกดและมองเธอสลับกันไปมา ก่อนจะหันไปมองข้างหน้าราวกับไม่ได้สนใจอะไรอีก
ทันทีที่ลิฟต์มาถึงชั้นแปดและประตูเปิดออก ฮารีก็รีบพุ่งตัวออกจากลิฟต์และเดินเข้าไปในห้องทำงานอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าเขาจะขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องทำงานแล้ว แต่เธอก็ยังคงเดินไปรอบๆ ห้องทำงานด้วยความกระวนกระวายใจอยู่พักใหญ่
ทำไมถึงบังเอิญเจอกันได้นะ แต่ก็เห็นแล้วนี่ว่าเขาจำฉันไม่ได้เลยสักนิด
งั้นมันก็จบแล้วใช่ไหม มันจบแล้ว เธอปฏิเสธคำขอแต่งงานไปแล้ว และเขาก็จำเธอไม่ได้ ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขได้กลับมาแล้ว ตราบใดที่ไม่ได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ เธอก็จะได้หวนกลับไปสู่ช่วงเวลาในอดีตที่ไม่ต้องโดนไล่ออกเพราะเรื่องนัดบอด
โลกช่างสงบสุขเหลือเกิน แน่นอนว่าหมายถึงโลกของชินฮารี
แต่ในโลกของท่านประธานที่อยู่ชั้นเหนือ เหนือ เหนือ เหนือขึ้นไปบนนั้น ความสงบสุขได้ถูกทำลายลงแล้ว…
‘ไม่ค่ะ คุณคงจะงานยุ่งน่าดู ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นหรอกค่ะ ฉันจะไม่แต่งงานค่ะ! ฉันแต่งไม่ได้! ที่จริงแล้วฉันชอบผู้หญิงค่ะ ฉันเกลียดผู้ชายที่สุด พูดจริงนะคะ ฉันรักผู้หญิงค่ะ งั้นแค่นี้นะคะ!’
แล้วโทรศัพท์ขอแต่งงานก็ถูกตัดสายทิ้งอย่างไร้ความปรานี และตั้งแต่ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงวันธรรมดาในตอนนี้ แน่นอนว่าแทมูไม่ได้คิดถึงเรื่องการถูกปฏิเสธคำขอแต่งงานอันน่าเหลวไหลนั่นอยู่ตลอดเวลา แต่เขายังคงคิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาบ้าง
เขาไม่ใช่คนประเภทที่ดึงดันกับเรื่องไร้ประโยชน์ ด้วยความที่เขาเป็นคนที่เกลียดการเสียเวลามากที่สุดในโลก ดังนั้นถ้านั่นไม่ใช่เรื่องที่มีประโยชน์ต่อตัวเอง เขาก็จะไม่สนใจมันเลย ทว่ามีสิ่งที่เขาตั้งเอาไว้เหนือสิ่งนั้นขึ้นไปอีก นั่นก็คือคติประจำใจอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความอยากเอาชนะ ถ้าเป็นสิ่งที่เขาตัดสินใจจะลงมือทำแล้วล่ะก็ ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องทำมันให้สำเร็จให้ได้ นั่นเป็นอาการอย่างหนึ่งของโรคย้ำคิดย้ำทำของเขา และเรื่องที่เขาออกตัวว่าจะทำนั้นไม่เคยเป็นเรื่องไร้ประโยชน์หรือเป็นเรื่องเสียเวลาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาจึงไม่จำเป็นต้องแก้ไขอาการที่เขาเป็นอยู่
“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้…”
นี่เป็นการโทรครั้งที่สี่แล้ว เขาโทรหาคนคนเดียวกันถึงสี่ครั้ง เขาไม่เคยโทรหาใครแล้วต้องฟังเสียงรอสายเกินสองครั้งมาก่อน ตอนแรกยังไม่เข้าใจ แต่ในที่สุดก็พอจะรู้แล้วว่าตอนนี้ผู้หญิงคนนี้บล็อกเบอร์เขา
…บล็อกเบอร์งั้นเหรอ
แม้จะได้ข้อสรุปแล้ว แต่เขาก็ยังคงเหม่อลอย ตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงสีหน้าแบบนี้ แล้วซองฮุนก็บังเอิญเคาะประตูและเดินเข้ามาเห็นพอดี ซองฮุนจึงกะพริบตาปริบๆ
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
“…เปล่า”
แทมูมองหน้าซองฮุนและส่ายหน้าเล็กน้อย ซองฮุนชี้โทรศัพท์มือถือในมือของแทมู
“คุยกับทางญี่ปุ่นได้ไม่ลงตัวเหรอครับ”
เนื่องจากทุกการกระทำของแทมูไม่เคยเป็นเรื่องส่วนตัวของเขามาก่อน ซองฮุนจึงถามเกี่ยวกับเรื่องงาน แทมูค่อยๆ วางโทรศัพท์มือถือลงช้าๆ ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ซองฮุนจึงมองเขาด้วยความแปลกใจ
“หรือว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเหรอครับ”
“เปล่า…”
มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้น เขาแค่ขอแต่งงานทางโทรศัพท์และถูกปฏิเสธกลับมาอย่างรวดเร็ว แถมยังโดนบล็อกเบอร์เท่านั้นเอง ก็แค่คู่นัดบอดคนหนึ่งที่บอกว่าทั้งบ้าผู้ชายแล้วก็ชอบผู้หญิง และบอกว่าไม่ชอบเขา!
ถ้าไม่คิดจะแต่งงาน แล้วมานัดบอดทำไม
แทมูเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง อันที่จริงเขาพอจะรู้ว่าทำไมเธอถึงมานัดบอด ทางนั้นเองก็คงจะถูกพ่อแม่บีบบังคับเหมือนกัน แต่นั่นหมายความว่าเธอเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องแต่งงานกับคู่นัดบอดสักวัน เพราะครอบครัวแบบนั้นคงจะพยายามให้เธอแต่งงานกับใครสักคนที่อยู่ในระดับเดียวกันมากที่สุด
ถ้าได้แต่งงานกับฉันก็น่าจะดีไม่ใช่เหรอ เพราะยังไงฉันก็เอาแต่ทำงานจนไม่มีเวลาไปใส่ใจว่าเธอจะไปเจอใคร สำหรับผู้หญิงรักสนุกแบบนั้น จะมีอะไรดีไปกว่าเงื่อนไขการแต่งงานที่ดีขนาดนี้อีกล่ะ
ตอนที่ได้คุยโทรศัพท์กัน ดูเหมือนเธอยังไม่ทันคิดถึงส่วนนี้ เธอเป็นผู้หญิงรักสนุกมาก ถ้าบอกไปว่าเธอยังคงใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปได้เรื่อยๆ หลังแต่งงาน เธออาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าจะบอกเธออย่างนั้นก็ต้องเจอเธอตัวเป็นๆ
ต่อให้บล็อกเบอร์ แต่ก็มีอีกหลายวิธีที่จะติดต่อเธอได้ อาจหาข้อมูลบริษัทของเธอและไปหาที่นั่น หรืออาจใช้เบอร์อื่นโทรไป แต่การที่เขาโทรหาคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องงานถึงสี่ครั้งในเวลางานถือเป็นการกระทำที่ไม่ควรเกิดขึ้น เขาไม่อยากเสียเวลาของตัวเองอีกต่อไป เขาต้องทำให้เธอเป็นฝ่ายโทรกลับมาให้ได้ ซึ่งวิธีการนั้นก็ง่ายมาก
“หัวหน้าชา”
“ครับ ท่านประธาน”
“โทรหาท่านประธานใหญ่หน่อย”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“จะเรื่องอะไรล่ะ”
แทมูเลิกคิ้วขึ้นและยิ้มอย่างใจเย็น การที่ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายรู้จักกัน มันดีแบบนี้นี่เอง
“จะบอกให้กำหนดวันแต่งงานน่ะสิ”
หลังพายุพัดโหมกระหน่ำเข้ามาและผ่านพ้นไปเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย ฮารีก็จมอยู่ในความเศร้าอีกครั้ง เธอยังคงไม่ลืมเรื่องที่มินอูพาแฟนมาแนะนำให้รู้จัก
ฮารีพบกับมินอูตอนที่เธอเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง การปรากฏตัวของมินอูเป็นประเด็นร้อนในหมู่นักศึกษาหญิงเป็นอย่างมาก เพราะการที่จะได้เห็นผู้ชายที่ทั้งสูงและหน้าตาดีก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร ถ้าเรื่องมีเพียงแค่นั้น ฮารีคงจะคิดว่าก็แค่มีผู้ชายหน้าตาดีอยู่คณะเดียวกัน แล้วก็คงจะจบลงแค่นั้น แต่เมื่อมีโอกาสได้นำเสนองานกลุ่มด้วยกัน เธอก็ได้รู้ว่ามินอูเป็นคนนิสัยดีมาก
แต่ปัญหาก็คือไม่ใช่แค่ฮารีคนเดียวที่รู้ เมื่อมีข่าวลือออกไปว่ามินอูมีดีทั้งหน้าตาและนิสัย เขาก็กลายเป็นหนุ่มในฝันของบรรดานักศึกษาหญิงคณะเดียวกัน และฮารีก็กลายเป็นหนึ่งในนักศึกษาหญิงเหล่านั้นที่อยากได้มินอูมาครอบครอง
ฮารีเป็นคนสดใสน่ารัก จึงเป็นที่รักในกลุ่มเพื่อนๆ แต่เพราะค่อนข้างขี้อาย จึงไม่ค่อยกล้าพูดคุยกับผู้ชายที่ตัวเองชอบ
มินอูเป็นฝ่ายเข้าหาเธอก่อนเพียงเพราะมีการประชุมกลุ่มด้วยกัน ความอ่อนโยนของเขาทำให้เธอเข้าใจผิดคิดไปเองว่าเขาชอบเธอ จึงบ่มเพาะรักแรกของหัวใจขึ้นมา แต่ขณะที่หัวใจกำลังพองโตด้วยความคาดหวัง เธอก็ได้รู้ว่าเขากำลังคบกับดาวเด่นของคณะอื่น เธอช็อกมากและได้รู้จักกับการอกหักเป็นครั้งแรก แต่หัวใจของคนเราใช่ว่าจะตัดใจกันได้ง่ายขนาดนั้น
ฮารีไม่สามารถตัดความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับมินอูได้ จึงซ่อนหัวใจเอาไว้และเป็นเพื่อนกับเขาด้วยความเต็มใจ ซึ่งนั่นก็ผ่านมาเจ็ดปีแล้ว
ฉันอุตส่าห์เช็กชื่อแทนให้ รอนายกลับมาจากเกณฑ์ทหาร แถมยังให้คำปรึกษาเรื่องหางาน แต่นายกลับพาผู้หญิงคนอื่นมาแนะนำงั้นเหรอ
แน่นอนว่ามินอูคงจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งกว่า ฮารีคาบเส้นรามยอน* ไว้ในปาก ราวกับกำลังคาบความเศร้าเอาไว้และได้แต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น
ว่ากันว่าความโศกเศร้ามักระเบิดขึ้นมาตอนกินข้าว หลังพบแทมูในลิฟต์ เธอก็ใจลอยไปพักหนึ่งจนทำงานไม่ทัน ทำให้ต้องมานั่งกินมื้อเที่ยงในร้านสะดวกซื้อ เรียกได้ว่าเป็นการกินทั้งน้ำตาของจริง
ฉันขาดตกบกพร่องกว่ายายฮเยจีตรงไหน
ฮารีนึกถึงใบหน้าของฮเยจีขึ้นมา ก่อนอื่นเลยเธอจำได้ว่าอายุน้อยกว่าเธอห้าปี ใบหน้าเล็กเท่ากำปั้น และน้ำเสียงเต็มไปด้วยความน่ารักน่าเอ็นดู แค่ประมาณนี้ก็แพ้อย่างราบคาบแล้ว คงจะดีกว่าถ้าเธอไม่คิดต่อไปว่าผิวพรรณก็ยังขาวผ่องเป็นยองใย หุ่นก็มีทรวดทรงองค์เอวอย่างกับคนต่างชาติ
“แต่ยังไงหุ่นแบบฉันก็ถูกประธานบริษัทขอแต่งงานมาแล้วล่ะน่า!”
ประธานคังแทมูเพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง ทั้งความเซ็กซี่ ความเท่ และความหล่อ ขนาดที่ผู้ชายหน้าตาดีอย่างมินอูยังต้องร้องไห้ฟูมฟายในทันทีที่ได้เห็น
ฉันถูกเขาขอแต่งงานมาแล้วนะ เพราะฉะนั้นฉันต้องมั่นใจสิ! มั่นใจ…!
“ฉันจะไปเอาความมั่นใจมาจากกันล่ะ! นายจิตวิปริตนั่นคงไม่ได้ขอแต่งงานเพราะรูปร่างหน้าตาของฉันหรอก”
แล้วทำไมถึงได้ขอฉันแต่งงานล่ะ นายจิตวิปริต
ฮารีอยากถามเขาให้ชัดเจนดูสักครั้ง แต่คงไม่มีโอกาสนั้นแล้ว เมื่อคำพูดไร้สาระที่เธอพูดเอาไว้ทั้งหมดค่อยๆ ผุดขึ้นมาในความคิด เธอก็ได้แต่ขนลุกอยู่อย่างนั้น
อย่าคิดถึงมันดีกว่า เรื่องนี้มันจบไปแล้วนี่นา
เธอสะบัดมือทั้งสองข้างครู่หนึ่งราวกับกำลังทำกายบริหาร จากนั้นก็ใช้ทั้งสองมือจับถ้วยรามยอนเอาไว้อย่างทะนุถนอม
ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ฉันจะกลับมาไดเอ็ตอีกครั้ง วันที่นายอีมินอูจะรู้สึกเสียใจในภายหลัง แล้วก็พูดออกมาว่าฉันไม่เห็นเสน่ห์ของเธอเอง ที่ฉันทำแบบนั้นเพราะที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นมันมาก่อน ตั้งแต่นี้ไปฉันจะรักเธอคนเดียว วันนั้นก็คือวันพรุ่งนี้นั่นเอง
ฮารีคิดแบบนั้นพลางยกถ้วยรามยอนขึ้นมาซดน้ำซุปจนหมด จากนั้นก็วางถ้วยลงอย่างสบายใจ เธอกินคิมบับสามเหลี่ยม** อีกสองชิ้นและฮอตบาร์*** อีกชิ้นจนหมดเกลี้ยง แล้วแบกท้องอิ่มๆ กลับมาที่บริษัท
ไม่รู้ว่าอิ่มเกินไปจนนิ่งนอนใจไปหรือเปล่า ขณะที่กดปุ่มลิฟต์โดยไม่ทันคิดอะไรและกำลังยืนรออยู่นั้น จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงพลังงานอันเย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างฉับพลัน เมื่อค่อยๆ เหลือบตาไปด้านข้างเล็กน้อยก็เห็นว่าเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ในชุดสูท
อย่าบอกนะว่าเจอกันอีกแล้ว
เมื่อดูให้ดีอีกครั้งด้วยความประหม่า เธอก็เห็นว่าไม่ใช่แทมู
บริษัทเราก็มีคนหน้าตาดีเยอะเหมือนกันแฮะ
ขณะที่มองซองฮุนด้วยความรู้สึกโล่งอกและเพลิดเพลินอยู่นั้น เธอก็ต้องขนลุกวาบขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงที่พูดมาจากด้านหลัง
“ไม่ขึ้นเหรอครับ”
หึย! พอหันหลังไปมองก็เห็นว่าแทมูยืนอยู่ตรงนั้น หัวใจของฮารีหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที ทุกครั้งที่เห็นเขา เธอรู้สึกได้ว่าคงไม่มีใครเอาชนะความเซ็กซี่นั้นได้เลย แต่แล้วจะทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อมันเป็นความเซ็กซี่ที่เธอไม่ควรมอง
ทำไมถึงเจอผู้ชายคนนี้อีกได้นะ ก่อนไปนัดบอดก็ยังไม่เคยเจอกันเลยแม้แต่ครั้งเดียวนี่นา แต่ทำไมถึงได้บังเอิญมาเจอผู้ชายคนนี้ตั้งสองครั้ง
ฮารีไม่เข้าใจจริงๆ
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ขณะที่เธอกำลังมองแทมูอย่างใจลอยอยู่นั้น ซองฮุนก็ถามแทรกขึ้นมา ผู้ชายที่กดปุ่มอยู่ข้างๆ เธอคือซองฮุนเลขาฯ ของแทมูนั่นเอง
“อ๋อ…ค่ะ ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
“จะไม่ขึ้นลิฟต์…”
“ขะ…ขึ้นค่ะ ฉันจะขึ้นค่ะ”
ฮารีรีบขึ้นลิฟต์อย่างลนลานก่อนที่แทมูจะถามอะไรไปมากกว่านี้
“สวัสดีครับ ท่านประธาน”
เมื่อแทมูขึ้นลิฟต์ กลุ่มคนที่ขึ้นลิฟต์มาจากชั้นใต้ดินก็ทักทายอย่างนอบน้อม ฮารีจึงอยู่ในสภาพที่เหมือนได้รับคำทักทายจากพวกเขาไปด้วยอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ฮือ ฉันยังไม่เคยได้ทักทายเขาเลยนี่นา คราวที่แล้วก็ไม่ได้ทักทาย คราวนี้ก็ยังไม่ได้ทักทายอีก ถ้าเขาคิดว่าฉันเป็นพนักงานอวดดีจะทำยังไง
ฮารีเริ่มใจฝ่อลงเรื่อยๆ เพราะเมื่อลองคิดดูก็เหมือนว่านอกจากจะไม่ได้ทักทายแล้ว เธอยังพูดขัดเขาอีกต่างหาก ถ้าเขาเป็นแค่ท่านประธาน เธอก็อาจจะบอกไปว่าไม่รู้ว่าเขาคือท่านประธานก็ได้ แต่เธอกังวลว่าตัวเองจะไปสะดุดตาเขาเข้า แม้เรื่องจะจบไปแล้วก็จริง แต่ถ้าไปสะดุดตาเขาเข้าล่ะก็ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่
ฮารีพยายามจะถอยไปข้างหลัง แต่ก็เข้าไปหลบมุมไม่ได้ เนื่องจากครั้งนี้คนเยอะมากไม่เหมือนคราวก่อน เธอจึงต้องมายืนข้างๆ เขาแทน และเมื่อประตูลิฟต์ปิดลง แทมูก็ชำเลืองมองเธอ ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง เธอรีบหันหน้าไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว แต่เขากลับคอยชำเลืองมองเธออยู่เรื่อยๆ
ทำไมถึงมองอยู่ได้นะ หรือจำอะไรได้ ตอนนั้นก็คิดว่าจะจำไม่ได้แล้วนี่นา
ตั้งแต่วินาทีที่ฮารีรู้สึกว่าแทมูมองมาที่เธอ หัวใจของเธอก็เริ่มเต้นรัว ได้แต่หวังว่าเวลานี้จะผ่านไปเร็วๆ แต่เขายังคงมองเธออยู่เรื่อย แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ฮารีรู้สึกเหมือนมันยาวนานเป็นพันปี
หลังจากชำเลืองมองอยู่พักหนึ่ง คราวนี้เขาถึงกับหันหน้ามาและมองเธออย่างโจ่งแจ้ง เธอกะพริบตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนในที่สุดก็สบตากัน เขาหรี่ตามองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นราวกับรู้อะไรบางอย่าง
อะไร อะไรกันเนี่ย เขาต้องรู้แล้วแน่เลย ทำยังไงดี ฉันจะทำยังไงดี รู้ได้ยังไงนะ หรือผู้ชายคนนี้จะรู้เรื่องเทคนิคการแปลงโฉมของผู้หญิงงั้นเหรอ!
เมื่อเห็นเธอกระสับกระส่าย เขาก็ค่อยๆ ขยับปาก
ท่านประธานคะ คือว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจะไปนัดบอดเลยนะคะ แต่เพราะฉันโดนหักอกค่ะ ไม่ใช่สิ เพราะมันเป็นงานพาร์ตไทม์ ฉันก็เลย ฉันก็เลย…!
“ชั้นแปดใช่ไหมครับ”
“…คะ?”
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับถามว่าหูของเธอมีปัญหาหรือไง เมื่อฮารีพยักหน้าอย่างเต็มที่เพื่อความอยู่รอดตามสัญชาตญาณ เขาก็กดปุ่มชั้นแปด เขาจำเธอได้ก็จริง แต่โชคดีที่จำได้แค่ว่าเธอเป็นพนักงานที่เจอกันในลิฟต์เมื่อคราวก่อนเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ความจำดีไปไหมเนี่ย
แต่จำได้แล้วอย่างไรล่ะ แค่จำเรื่องนัดบอดไม่ได้ก็พอ ขณะที่เธอกำลังพ่นลมหายใจที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลออกมาอย่างโล่งอกนั้น ยองซอก็โทรเข้ามา เธอรีบรับสายเพื่อเป็นการหลบสายตาไปในตัว
“ฮัล…”
“ชินฮารี!”
ฮารีขมวดคิ้วเพราะเสียงแหลมปรี๊ดของยองซอที่แทบจะทำให้แก้วหูแตกได้ในทันที
“อื้ม จินยอง…”
เกือบจะพูดออกไปว่าจินยองซอแล้วเชียว ฮารีกลืนน้ำลายเหนียวลงคอเพื่อเรียกสติตัวเอง
“…อื้มๆ มีอะไรเหรอ”
“มีอะไรงั้นเหรอ ถามแบบนั้นได้ยังไง เธอไปทำอะไรไว้น่ะ”
“หืม? ทำอะไรไว้งั้นเหรอ ทำไม เกิดเรื่องอะไร…”
“ก็พ่อฉันโทรมาหาน่ะสิ บอกว่าทางบ้านนั้นโทรมา”
“บ้านนั้นเหรอ บ้านไหน”
“ก็บ้านของผู้ชายที่นัดบอดวันนั้นน่ะสิ! เขาบอกว่าชอบฉันมาก อยากคุยเรื่องแต่งงาน ไม่สิ เขาบอกว่าจะแต่งงาน”
เฮือก! หมายความว่ายังไงเนี่ย
“เธอไปทำอะไรไว้ยะ ชินฮารี เธอเล่นบทเฟม ฟาทัลสมบทบาทจริงไหมเนี่ย”
ก็สวยสังหารอยู่นะ เพียงแต่เขาไม่ได้โดนสังหารเท่านั้นเอง
“นี่ฉันกำลังจะต้องแต่งงานเพราะเธอนะรู้ไหม! กับผู้ชายที่ไม่รู้จักแม้แต่หน้าตาด้วยซ้ำ!”
หน้าตานั้นน่ะ ฉันรู้จัก รู้จักดีเลยล่ะ
แทมูขมวดคิ้วและจ้องมองฮารีเขม็งราวกับได้ยินเสียงที่พูดด้วยอารมณ์หงุดหงิดซึ่งดังมาจากปลายสาย
หิมะกำลังตกอยู่เหรือเปล่านะ โลกช่างขาวโพลนไปหมด นอกจากขาวแล้วยังขุ่นมัวด้วย ฮารีกำลังจะเสียสติไปแล้ว
“คุณฮารี มัวทำอะไรอยู่ ไม่กลับบ้านเหรอ”
ถ้าไม่มีใครพูดคำว่ากลับบ้าน เธอก็คงจะนั่งหม่นหมองอยู่อย่างนั้นต่อไป ถึงแม้จะเสียสติไปแล้ว แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เธอไม่ได้เสียไปกับสติด้วย นั่นก็คือ ‘เลิกปุ๊บเด้งปั๊บ’ ฮารีลุกพรวดและออกมาจากห้องทำงานทันที
นี่มันเรื่องอะไรกัน ไม่มีเวลาให้เสียใจกับเรื่องที่โดนหักอกเลยนี่นา
แต่ไม่น่าใช่เรื่องที่จะต้องขอบคุณ เพราะหนทางข้างหน้ายังมืดมิดอยู่เลย
หลังจากรับสายยองซอ ฮารีก็อยู่ในสภาพที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอคิดว่าถ้าปฏิเสธคำขอแต่งงานและบล็อกเบอร์โทรศัพท์ เรื่องก็น่าจะจบลงแล้ว แต่มันคงใช้ไม่ได้กับผู้ชายคนนี้สินะ เขาเหมือนคนที่ไม่รู้ว่าการปฏิเสธคืออะไร
“อย่าบอกนะว่าฉันเป็นคนแรกที่ปฏิเสธเขา”
ก็นะ ถ้าดูจากหน้าตาของเขาก็ดูเหมือนไม่เคยถูกใครปฏิเสธจริงๆ นั่นแหละ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ในยุคสมัยที่มีอะไรให้ทำตั้งมากมายขนาดนี้ ทำไมถึงได้ดื้อดึงอะไรไร้สาระแบบนั้นนะ
“งั้นลองไปอ้อนวอนบอกว่าชอบเขาดูดีไหมนะ”
ถ้าไปบอกว่าฉันชอบคุณมากเลยค่ะ แล้วก็จับเขาไว้ไม่ปล่อย ก็น่าจะโดนปฏิเสธร้อยเปอร์เซ็นต์แน่ๆ แต่ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะไปทำเรื่องบ้าๆ แบบนั้น เธอทำไม่ได้แล้ว
“โอย เพราะจินยองซอแท้ๆ ฉันก็ดันไปรับปากยายนี่ว่าจะช่วย!”
จะว่าไปแล้ว ยองซอยังไม่ให้ค่าจ้างงานพาร์ตไทม์เลย ไม่เอาแล้วก็ได้ ทางที่ดีขอไม่เจอยองซอเลยดีกว่า ชิ่งดีไหมนะ ไม่สิ อุตส่าห์หาเงินมาได้อย่างยากลำบาก จะทิ้งไปเฉยๆ ไม่ได้
นั่นเป็นเงินที่หามาได้ แม้อาจจะไม่บริสุทธิ์นัก แต่ก็เป็นเงินที่ได้มาจากการขาย ‘หน้า’ เธอต้องไปหายองซอเพื่อรับเงิน แต่ต่อให้เธอไม่ไปหา ยองซอก็ต้องมาหาเธออยู่ดี ซึ่งเท่ากับอย่างไรก็ต้องเจอกัน
เนื่องจากเจอแทมูมาแล้วถึงสองครั้ง ฮารีจึงมองไปรอบๆ อยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะขึ้นลิฟต์
“จะเดินในบริษัทอย่างสบายใจยังทำไม่ได้เลย”
เพราะอย่างนี้คนเราถึงไม่ควรทำเรื่องไม่ดีไงล่ะ ฮารีลงมาถึงล็อบบี้ได้อย่างปลอดภัยและเดินออกจากบริษัทอย่างโล่งใจ แต่จู่ๆ เธอก็ขนลุกซู่เพราะรู้สึกโหวงๆ อย่างไรชอบกล
“อ้าว ลืมเอากระเป๋ามาด้วย”
เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะคังแทมูคนเดียวเลย! ฮารีผู้เสียสติเพราะแทมูต้องสอดส่ายสายตาและแอบเข้าไปในบริษัทอีกครั้ง
“แล้วไง”
ฟู่ ยองซอเป่าที่เล็บแล้วหันมามอง ฮารีจึงทำปากยื่น
“ก็ต้องให้เงินฉันสิ…”
“เงินเหรอ เมื่อกี้เธอพูดว่าเงินเหรอ”
ดวงตาอันงดงามทั้งสองข้างของยองซอเบิกกว้าง
“คือว่า…ถ้าสั่งให้ทำงาน…ก็ต้อง…จ่ายเงิน…ไม่ใช่เหรอ…”
ฮารีจ้องมองดวงตากลมโตของยองซอและพูดต่อไปอย่างยากเย็น
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่ได้ทำงานสักหน่อย…”
“ไม่ใช่ว่าไม่ทำ แต่เธอทำไม่ได้ ทำได้ไม่ดี!”
ยองซอทุบโต๊ะ
“เธอทำได้ไม่ดีนี่นา ทำได้ไม่ดีสุดๆ เธอทำพังไม่เป็นท่า!”
“ไม่ใช่ว่าฉันทำได้ไม่ดีนะ ฉันทำได้ดีสุดๆ เลยต่างหาก รู้ไหมว่าฉันย้ำไปกี่รอบว่าฉันเป็นเพลย์เกิร์ลน่ะ ฉันชวนเขาขึ้นห้องในโรงแรมที่อยู่ชั้นบนของร้านกาแฟนั่นด้วยนะ ชวนเขามีอะไรกันแบบสองต่อหนึ่งด้วย ไม่สิ ฉันชวนแบบสามต่อหนึ่งด้วยซ้ำ บอกด้วยว่าจะทำให้เขารู้สึกดีสุดๆ ไปเลย แล้วก็บอกด้วยว่าฉันเก่งมาก บอกด้วยว่าฉันคิดแต่เรื่องอย่างว่าทั้งวัน แล้วก็บอกด้วยว่าก่อนมานัดบอด ฉันเพิ่งไปนอนกับคนอื่นมา แถมบอกไปด้วยนะว่าฉันทำเป็นแต่เรื่องเซ็กซ์!”
ยองซอกะพริบตาปริบๆ
“บะ…บอกว่าอะไรนะ ทะ…ทำเป็นแต่เรื่องอะไรนะ…”
“เซ็กซ์”
เมื่อฮารีฉีกยิ้ม ปากของยองซอก็อ้าค้างโดยอัตโนมัติ ฮารีจึงยักไหล่
“เห็นไหมล่ะ เด็ดสุดๆ เลยใช่ไหม เห็นแล้วใช่ไหมว่าฉันทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างครบถ้วนขนาดไหน ฉันทำให้ผู้ชายตกตะลึงตามที่สัญญาไว้เป๊ะๆ แล้วนะ อุตส่าห์ทำถึงขนาดนั้นแล้ว แต่เธอจะไม่ให้เงินฉันเหรอ”
“นี่ ชินฮารี”
“ทำไม”
“ชินฮารี!”
“ทำมาย”
“ป่นปี้หมด ป่นปี้หมดแล้ว! ฉันจะทำยังไงกับภาพลักษณ์ของตัวเองล่ะเนี่ย!”
รู้แล้วว่าป่นปี้ เพราะงั้นเราอย่าทำอะไรให้เสียพลังงานกันอีกเลยนะ ทั้งสองมองหน้ากันและกล้ำกลืนน้ำตาเอาไว้ มาเสียใจเอาตอนนี้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ
ทั้งสองเอาหน้าผากชนกัน
“ก่อนอื่น”
ทั้งสองคนพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“เอาเงินมาก่อน”
“ไปเจอเขาก่อน”
ทั้งสองทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ในสถานการณ์แบบนี้ ยังมีหน้ามาบอกให้ไปเจอเขาอีกเหรอ”
“ในสถานการณ์แบบนี้ ยังมีหน้ามาขอเงินอีกเหรอ”
เมื่อพูดพร้อมกันอีกครั้ง ทั้งสองก็จ้องหน้ากันเขม็ง ฮารีรีบยกขึ้นมือปิดปากยองซออย่างรวดเร็ว
“ฉันขอพูดก่อน ตั้งใจฟังให้ดีนะ ฉันอุตส่าห์พยายามเค้นและรวบรวมความสวยสังหารที่มีอยู่ทั้งชีวิตออกมา และยอมฝืนทนกับความอับอายขายขี้หน้าพูดเรื่องเหลวไหลเพ้อเจ้อกับผู้ชายคนนั้นอย่างลำบากลำบนขนาดนั้น เธอคงไม่คิดจะกดขี่ใช้แรงงานแล้วเบี้ยวเงินฉันใช่ไหม”
เมื่อยองซอพยายามดิ้นให้ปล่อยมือ ฮารีก็พูดออกมาเหมือนเป็นการเตือน
“ฉันจะไม่ปล่อยจนกว่าเธอสัญญาว่าจะให้เงิน”
ยองซอจ้องฮารีตาเขม็ง สุดท้ายก็พยักหน้าราวกับกำลังหายใจไม่ออก ฮารียิ้มอย่างผู้ชนะแล้วปล่อยมือออกจากปากยองซอ
“ก็ดี เอาเงินมา”
เมื่อฮารียื่นมือออกไป ยองซอก็ตีมือนั้นเหมือนกำลังทำไฮไฟว์
“จะให้เฉยๆ ได้ไงล่ะ”
“อะไรเนี่ย”
“ก็จะอะไรล่ะ นี่เธอมีจิตสำนึกหรือเปล่า เธอทำให้ภาพลักษณ์ของฉันเละเทะป่นปี้ไม่มีชิ้นดีแบบนั้นจนฉันต้องหอบภาพลักษณ์นั้นไปแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่รู้จักกันแม้แต่หน้าตา แต่เธอจะมาเอาเงินอย่างเดียวงั้นเหรอ”
เรื่องนั้นฉันขอโทษ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเรื่องมันจะกลายมาเป็นแบบนี้น่ะ
ฮารีเบ้ปาก
“แต่ฉันก็แค่ทำตามที่นายจ้างสั่งให้ทำนี่”
“แล้วไง เธอจะปล่อยให้ฉันแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่รู้จักกันแม้แต่หน้าตางั้นเหรอ”
ยองซอทำหน้าเศร้า ฮารีจึงคว้ามือเธอมาจับไว้แน่น
“อย่ากังวลไปเลย ยองซอ ฉันรับประกันเรื่องหน้าตานะ เขาหล่อเทพสุดๆ เลยล่ะ คนละระดับกับผู้ชายที่เธอเคยเจอมาทั้งหมดเลย”
“จริงเหรอ”
ฮารีพยักหน้า เพียงแต่เขาเป็นคนจิตวิปริตนี่สิ แต่ฮารีไม่กล้าพูดคำนั้นออกมา ได้แต่กลืนมันกลับเข้าไปพร้อมกับน้ำลายเหนียวๆ แล้วก็ตั้งใจพูดต่อไป
“ไม่ใช่แค่หน้าตานะ รูปร่างก็ไม่ใช่เล่น เป็นคนที่ใส่ชุดอะไรก็ดูดีไปหมด ถ้าไปเป็นนายแบบนะ รับรองว่าต้องดังกว่านายแบบมืออาชีพแน่”
“แล้วผู้ชายแบบนั้นมาขอเธอแต่งงานเนี่ยนะ”
“เขาบอกว่าตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ”
แม้จะไม่มีทางรู้ได้ว่าเป็นความจริงหรือเปล่าก็เถอะ
“บ้าไปแล้ว”
อื้ม ก็เพราะว่าเขาเป็นคนจิตวิปริตน่ะสิ
ฮารีพยักหน้าและหรี่ตามอง แต่ยองซอกลับจ้องเธอตาเขม็งมากขึ้นกว่าเดิม
“แล้วไง นี่เธอกำลังบอกว่าผู้ชายคนนั้นหน้าตาดีก็เลยจะให้ฉันทนๆ แต่งงานกับเขางั้นเหรอ”
“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ”
“จะทำยังไงน่ะเหรอ ก็ต้องไปเจอดูก่อนสิ”
ยองซอจ้องฮารีอย่างใจจดใจจ่อ ฮารีจึงเบิกตากว้าง
“จะให้ฉันไปเจอผู้ชายคนนั้นอีกครั้งน่ะเหรอ”
“ใช่”
“ไม่ได้”
ถ้าไม่ได้เจอเขาที่บริษัทหลังจากที่นัดบอดกันวันนั้นก็อาจจะตกปากรับคำอย่างกล้าหาญก็ได้ (แน่นอนว่าถึงอย่างไรก็คงจะบอกว่าไม่ไปเจออยู่ดี) แต่หลังจากวันนั้นก็บังเอิญเจอกันที่บริษัทตั้งสองครั้ง แถมยังได้เห็นกับตาด้วยว่าเขาเป็นคนที่มีความจำดีมาก เธอจะไม่มีทางไปเจอผู้ชายคนนั้นเพื่อเป็นการสร้างเบาะแสให้รู้ว่าเป็นเธอโดยไม่จำเป็นแน่
“ยองซอ ฉันไปเจอผู้ชายคนนั้นไม่ได้หรอก ฉันไม่มีทางไปเจอผู้ชายคนนั้นเด็ดขาด ไม่สิ ฉันไปเจอไม่ได้ ถึงตายก็ไปเจอไม่ได้”
“ทำไมถึงไปเจอไม่ได้ล่ะ การไปเจอเขาแล้วบอกปฏิเสธมันง่ายสุดแล้วนะ เจอเถอะนะ ไปเจอเขาเถอะ”
“ไม่ได้ จะให้ไปเจอได้ยังไง ไปเจอไม่ได้ แล้วถ้าผู้ชายคนนั้นเขาชอบฉันมากกว่าเดิมล่ะจะทำยังไง”
ยองซอหรี่ตามองด้วยความตกตะลึงจนพูดไม่ออก
“โทษที”
พอลองคิดดูแล้ว มันก็เกินไปหน่อย ฮารีจึงพูดขอโทษออกมา แต่ยองซอก็ไม่วายมองฮารีด้วยสายตาเว้าวอน
“ไปเจอแล้วพูดความจริง”
“ความจริงอะไร”
“ไปแบบหน้าใสๆ ไร้เดียงสาแล้วบอกความจริงว่าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก แล้วก็พูดแก้ให้หน่อยว่าที่จริงแล้วจินยองซอเป็นคนเรียบร้อย ยังไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อน จินยองซอรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม”
แค่ยังไม่เคยมีอะไรกับใครก็น่าเศร้าพออยู่แล้ว ถ้ามีข่าวลือออกไปจะทำยังไง ฮือๆๆๆ
ยองซอบีบน้ำตาพร้อมทำหน้าเศร้า นั่นสินะ ตอนแรกก็น่าจะแกล้งทำเป็นเสียสติเหมือนที่เคยทำ แต่ทำไมถึงดันมาสั่งให้เพื่อนเล่นบทบาทเฟม ฟาทัลล่ะ ฮารีเองก็เศร้าเหมือนกันที่ดันไปรับปากว่าจะช่วยเพื่อนจนต้องนัดบอดกับประธานบริษัทตัวเอง นี่มันฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ชัดๆ
“จินยองซอ ฉันไปเจอไม่ได้จริงๆ ยิ่งถ้าให้ไปเจอแบบหน้าใสๆ ยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่”
“เธอจะเป็นแบบนี้จริงๆ เหรอ คิดว่าการมีเพื่อนคืออะไร”
“ไม่รู้ ตอนนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการมีเพื่อนมันคืออะไร”
“นี่ ชินฮารี!”
ฮารีบีบมือยองซอแน่น
“เธอสงสารฉันเถอะนะ ฉันไปเจอผู้ชายคนนั้นไม่ได้จริงๆ ผู้ชายคนนั้น…ผู้ชายคนนั้น…เป็นประธานบริษัทของฉัน!”
“อะ…อะไรนะ”
“เพราะเธอ ฉันถึงต้องไปนัดบอดกับประธานบริษัทของตัวเอง ถ้าเธอจำชื่อเขาได้ ฉันก็คงไม่ไปนัดบอด คนลือกันไปทั่วว่าประธานบริษัทฉันโรคจิตสุดๆ พนักงานต๊อกต๋อยไปเล่นตลกกับผู้ชายแบบนั้น ถ้าเขารู้ว่าเป็นฉัน เขาจะปล่อยไว้เฉยๆ เหรอ ฉันโดนเชือดแน่”
“อะไรเนี่ย เธอจะให้ฉันแต่งงานกับคนโรคจิตงั้นเหรอ”
ทำไมเธอถึงได้ยกเรื่องนั้นมาเป็นประเด็นล่ะ ฮารีบีบมือยองซอแน่นอีกครั้ง
“ระ…เรื่องนั้นฉันขอโทษนะ แต่สถานการณ์ของฉันมันทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ฉันโดนไล่ออกไม่ได้ เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันกู้เงินบริษัท ถ้าออกก็ต้องจ่ายคืนทันที ต่อให้ฉันมีเงินจ่ายแล้วออกจากงานจริงๆ แต่ต่อไปฉันจะทำยังไงล่ะ ฉันจะต้องจ่ายค่าเช่าร้านไก่ทอดให้พ่อแม่ด้วยนะ ถ้าเป็นเรื่องอื่นก็ว่าไปอย่าง นี่ฉันไปนัดบอดกับประธานบริษัท แถมยังไปพูดเพ้อเจ้ออีกต่างหาก แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องทำงานที่บริษัทต่อไปอย่างตลอดรอดฝั่งให้ได้ ฉันจะโดนไล่ออกไม่ได้เด็ดขาด”
เมื่อได้ฟังเรื่องราวอันน่ารันทดของฮารี ยองซอก็ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ฉันเข้าใจแล้ว”
ยองซอหยิบซองออกมาจากกระเป๋าถือ
“นี่ ค่างานพาร์ตไทม์ ขอโทษที่ไม่ได้ให้เธอตั้งแต่วันนั้น”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเองก็ทำงานได้ไม่เรียบร้อย…”
ฮารีพูดอย่างกระอักกระอ่วนด้วยความรู้สึกผิด แต่ก็ค่อยๆ คว้าซองเอาไว้ ทันใดนั้นเองมือยองซอก็คว้ามือฮารีที่กำลังถือซองอยู่จนฮารีถึงกับสะดุ้งเฮือก ยองซอจ้องฮารีราวกับจะยิงเลเซอร์ใส่
“สองเท่า ไม่สิ สามเท่าเลย”
“…อะไร”
“ไปก่อเรื่องไว้ขนาดนั้น คงไม่ได้หวังสี่เท่าหรอกใช่ไหม”
“พะ…พูดอะไรของเธอเนี่ย”
“ตอนนี้พ่อฉันจัดปาร์ตี้ฉลองใหญ่แล้วนะรู้ไหม เพราะคิดว่าฉันจะได้แต่งงานเสียที เธออาจจะไม่เข้าใจ แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ ขืนปล่อยไปแบบนี้ ฉันต้องได้แต่งงานจริงๆ แน่ นี่แหละที่เขาเรียกว่าการแต่งงานด้วยเหตุผลทางธุรกิจแบบที่เห็นกันในซีรี่ส์เลย แล้วรู้ไหมว่าถ้าฉันปฏิเสธการแต่งงานจะเกิดอะไรขึ้น ที่บ้านฉันคงจะกลายเป็นทะเลเดือด แล้วก็คงไม่ได้มีแต่ฉันที่เดือดร้อนนะ แต่ทั้งแม่ทั้งบริษัทของฉันก็คงโดนไปด้วย ฉันเคยบอกเธอแล้วไงว่าฉันอยากมีความรักแบบที่เป็นพรหมลิขิต เธออยากเห็นเพื่อนต้องไปอยู่กับผู้ชายที่ไม่ได้รักแล้วค่อยๆ เหี่ยวเฉาตายไปงั้นเหรอ”
ฮารีส่ายหน้าอย่างรู้สึกผิด ยองซอจึงยิ่งกดดันต่อไป
“เพราะฉะนั้นเธอช่วยจัดการให้หน่อยเถอะนะ มีแค่เธอคนเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้”
“นี่ ฉันก็บอกไปแล้วไงว่าไม่ได้…”
“ก็ได้ งั้นฉันจะไปพูดความจริงให้หมดเลยว่าผู้หญิงที่มานัดบอดกับคุณเป็นพนักงานบริษัทของคุณเอง แล้วเธอก็ปฏิเสธคุณอย่างไร้ความปรานี…”
“นี่! ยายสารเลว!”
“ฉันจะให้สี่เท่าเลย”
ฮึบ ฮารีอุทานออกมาและสูดหายใจเข้าลึกๆ หลังยกมือกุมขมับอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ตัดสินใจครั้งใหญ่และเงยหน้าขึ้น ใช่แล้ว การที่เรื่องกลายเป็นแบบนี้ ตัวเธอเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบไม่น้อยเหมือนกัน แม้จะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เธอก็ทำให้ผู้ชายคนนั้นหลงเสน่ห์จนตัดสินใจขอแต่งงาน ถ้าเธอต้องรับผิดชอบเรื่องนั้นโดยได้ค่าจ้างงานพาร์ตไทม์ถึงสี่เท่าก็คงไม่มีเหตุผลที่เธอจะปฏิเสธ
“แค่ทำให้ทางนั้นขอยกเลิกการแต่งงานก็พอใช่ไหม”
“อื้ม แค่นั้นเลย”
“ก็ได้ ฉันจะจัดการเอง”
เมื่อได้ยินคำพูดของฮารี ยองซอก็ยิ้มกว้าง
“แล้ววิธีล่ะ”
“ง่ายๆ เลย พอเจอกันปุ๊บ ฉันจะเกาหัวแกรกๆ แล้วก็คุยไปกินรังแคไป…”
สีหน้ายองซอพลันบึ้งตึงและเย็นยะเยือก
“ชินฮารี! ฉันเอาเธอตายจริงๆ นะ!”
ฮารีก้าวฝีเท้าที่หนักอึ้งมาจนถึงหน้าร้านกาแฟ เธอคิดว่าเขาอาจจะลุ่มหลงขึ้นมาอีกครั้งทันทีที่ได้เห็นหน้าอกอันอวบอึ๋ม คราวนี้เธอจึงเอา ‘ฟองน้ำ’ ออก ส่วนการแต่งหน้านั้นกลับเข้มยิ่งกว่าเดิม ยองซอเองก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เขาจำฮารีได้
ตาดำปี๋สุดๆ ขนาดฉันยังไม่กล้ามองตัวเองเลย
ไม่ว่าจะมองอย่างไร พอได้เห็นผู้หญิงแบบนี้ก็น่าจะคิดเรื่องแต่งงานได้ยาก นอกจากคำว่าแปลกประหลาดอย่างมากแล้ว ฮารีก็ไม่รู้ว่าจะมีคำไหนที่อธิบายรสนิยมของเขาได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว เธอมองภาพตัวเองที่สะท้อนในกระจกหน้าต่างก่อนจะหลับตาแน่นและลืมตาขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็เดินเข้าไปในร้านกาแฟอย่างยากเย็น เธอมองไม่เห็นเขา ดูเหมือนว่าจะยังมาไม่ถึง
ฮารีนั่งโต๊ะตรงตำแหน่งที่คิดว่าเหมาะสมและรอเขาด้วยความวุ่นวายใจ จะโน้มน้าวใจเขาอย่างไรดีนะ ตอนนี้เธอยังไม่มีแผนอะไรเป็นพิเศษ หนทางข้างหน้าช่างมืดมนเหลือเกิน หรือจะต้องกินรังแคจริงๆ แต่เธอไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้น เธอรู้อยู่อย่างหนึ่งว่าในเวลาที่อับจนหนทาง การพูดความจริงคือสิ่งที่ดีที่สุด เธอคิดว่าถ้าพูดออกไปตามความจริงทั้งหมด ยกเว้นเรื่องที่เขาเป็นประธานบริษัทเธอ แค่นั้นก็น่าจะพอ
“รอนานหรือเปล่าครับ”
ระหว่างที่เธอกำลังสารภาพบาปทั้งปวงอยู่ในใจ เขาก็เดินเข้ามาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง
ใจเย็นเข้าไว้ ชินฮารี เธอแค่ทำเหมือนวันนั้นก็พอ เอาล่ะ ทำเหมือนวันนั้นนะ วันนั้นเธอทำอะไรบ้าๆ บอๆ ได้เยี่ยมมากเลยนี่ จะบ้าเหรอ จะให้ทำเหมือนวันนั้นเนี่ยนะ ไม่ได้เด็ดขาด! ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาจะน่าอับอายขายหน้าขนาดไหน
ตัวตนที่ผิดปกติและตัวตนที่ปกติของเธอกำลังเริ่มโต้เถียงกัน แต่ในระหว่างนั้น จู่ๆ ตัวตนที่ ‘หลงรักใครง่ายๆ’ ซึ่งแฝงอยู่ข้างในตัวเธอก็ปรากฏขึ้น เธอจ้องมองแทมูที่มาพร้อมออร่าอย่างเหม่อลอย
ท่าทางของแทมูที่กำลังยืนอยู่นั้นช่างดูเท่อย่างไร้ที่ติ เธอเคยเจอเขาที่บริษัทหลายครั้งจึงรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เมื่อได้เผชิญหน้ากันตรงๆ แบบนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเท่มากกว่าเดิมจริงๆ
ฮารีเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งจนลืมสิ่งที่คิดเอาไว้ทั้งหมด แน่นอนว่าเธอลืมแม้กระทั่งการเอ่ยทักทาย เมื่อเห็นว่าเธอเอาแต่จ้องมองโดยไม่พูดอะไร แทมูก็ชี้ไปที่เก้าอี้
“ผมขอนั่งก่อนนะครับ”
เมื่อฮารีพยักหน้า แทมูก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามและจ้องมองเธออย่างไม่วางตา ดูเหมือนว่าการเพ่งมองใครสักคนเป็นสิ่งที่เขาทำจนเคยชิน แต่ความเคยชินนั้นของเขากลับทำให้ใจเธอเต้นรัว และด้วยเหตุผลต่างๆ มากมาย เช่น การกลัวว่าจะถูกจับได้ การได้เจอกับชายหนุ่มรูปงาม เป้าหมายที่จะต้องทำให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ ทั้งหมดไม่อาจทำให้หัวใจของเธอสงบลงได้เลย
“ดื่มกาแฟ…ไหมคะ”
ถือเป็นการทำใจให้สงบไปด้วยในตัว ฮารีไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเขา จึงค่อยๆ เอ่ยปากพูดออกมา
“สั่งอะไรดีคะ อเมริกาโน มอคค่า หรือจะเป็น…”
“แต่งงาน”
“…คะ?”
เขาขยับตัวเข้าใกล้โต๊ะมากขึ้นอีก
“แต่งงานกันเถอะครับ”
ฮารีนึกว่าที่ร้านกาแฟแห่งนี้มีเครื่องดื่มที่ชื่อว่าแต่งงานเสียอีก เพราะมันฟังดูเป็นธรรมชาติจนเธอเกือบเผลอสั่งเมนูแต่งงานไปแล้ว
“เมื่อกี้คุณพูดว่า…”
“แต่งงานกันเถอะครับ”
ฮารีกะพริบตาปริบๆ เขาทำหน้าบึ้งเล็กน้อยราวกับไม่พอใจที่ต้องพูดถึงสองครั้ง คงไม่เคยมีพนักงานคนไหนย้อนถามเขาเลยสินะ คงมีแค่เธอคนเดียว ฮารีอยากถามแบบนั้น แต่ก็ทำไม่ได้ จึงได้แต่ทำหน้าเจื่อน
“คือว่า…การแต่งงานไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูดเล่นกัน…”
“ผมดูเหมือนกำลังพูดเล่นอยู่เหรอครับ”
คุณไม่คิดว่าการที่คุณไม่ได้เป็นอย่างนั้นมันยิ่งเป็นปัญหามากกว่าเหรอคะ
ฮารีไม่กล้าสบสายตาของเขาที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา จึงได้แต่กลอกตาไปทางนั้นทีทางนี้ที จนในที่สุดก็ได้แต่ก้มมองโต๊ะ ถ้าทำอะไรผิดพลาดไป เรื่องคงลงเอยด้วยการส่งให้เพื่อนไปแต่งงานกับประธานบริษัทของตัวเองแน่ๆ ฮารีพยายามกำหนดลมหายใจอย่างใจเย็น
“ก่อนอื่นเรามาดื่มอะไรกันไปแล้วคุยกันไปดีไหมคะ พอดีฉันคอแห้งมากเลยค่ะ”
มันไม่ใช่แค่แห้งธรรมดานะ แต่มันแห้งจนกำลังจะไหม้อยู่แล้ว เขาเป็นผู้ชายที่ไม่ควรมาเจอจริงๆ เมื่อคิดขึ้นมาว่านอกจากจะเป็นคู่นัดบอดแล้ว เขาก็ยังเป็นประธานบริษัทอีกด้วย เธอจึงไม่กล้าทำอะไรโดยพลการ
“คุณอยากทานอะไรครับ”
แทมูหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาและทำท่าจะลุกขึ้นจากที่นั่ง ฮารีจึงรีบลุกพรวดขึ้นทันที
“ฉันจะไปซื้อเองค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผม…”
“ไม่ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ ได้โปรดให้ฉันเป็นคนไปซื้อเถอะค่ะ”
เธอต้องวางแผนใหม่อีกครั้ง เนื่องจากตอนนี้เธออยู่ในสภาพที่ลืมไปหมดแล้วว่าแผนเดิมคืออะไร จึงจำเป็นต้องใช้เวลา เมื่อเห็นเธอมองด้วยสายตาที่มีความปรารถนาเต็มเปี่ยม เขาก็มองเธอราวกับมองคนประหลาด
คนที่ประหลาดไม่ใช่ฉัน แต่เป็นคุณต่างหากล่ะ
ถึงจะรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม แต่ฮารีก็ยิ้มออกมา
“ทานอะไรดีคะ เป็นกาแฟหรือเครื่องดื่ม…แต่ไม่เอาแต่งงานนะคะ!”
เมื่อเห็นเขาขยับปาก ฮารีก็รีบพูดออกมาอย่างหนักแน่น คิ้วของเขาจึงเลิกขึ้น
“เอสเปรสโซ”
“อ๋อ ค่ะ”
เห็นปุ๊บก็รู้แล้วว่าน่าจะดื่มอะไรประมาณนั้น คนอะไร อำมหิตชะมัด อย่างไรก็ตามอย่างน้อยก็โชคดีที่เขาไม่พูดเรื่องแต่งงานขึ้นมาอีก จากนั้นฮารีก็เดินออกไป
“เอสเปรสโซหนึ่ง อเมริกาโนหนึ่งค่ะ ขอเป็นไอซ์อเมริกาโนนะคะ ใส่น้ำแข็งเยอะๆ ขอแบบเต็มแก้วเลยค่ะ”
พนักงานพาร์ตไทม์คิดเงินเสร็จเรียบร้อยและยื่นเครื่องเรียกคิวไร้สายมาให้
“รบกวนนั่งรอที่โต๊ะ แล้วถ้าเครื่องเรียกคิว…”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะรออยู่ตรงนี้เลย”
“เดี๋ยวให้เครื่องเรียกคิว…”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรอตรงนี้สบายใจกว่าค่ะ!”
พนักงานพาร์ตไทม์พยักหน้ารับพร้อมทำสายตาแปลกๆ จากนั้นก็เริ่มเตรียมเครื่องดื่ม ขณะกำลังรออยู่นั้น ฮารีก็แอบชำเลืองมองเขา เมื่อได้เห็นรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นสะกดสายตาแม้ในระยะไกลแบบนี้ เธอก็เกือบจะหลงเสน่ห์เขาเสียแล้ว
จะหลงรักใครง่ายๆ ได้ยังไง นี่เห็นคนจิตวิปริตแบบนั้นแล้วยังหลงรักเขาง่ายๆ ได้อีกเหรอ
ต้องคลั่งไคล้การแต่งงานมากขนาดไหนถึงเป็นอย่างนั้นได้นะ ฮารีมองเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจ แต่ดูเหมือนจะมีสายเรียกเข้า เขารับโทรศัพท์พลางดูที่นาฬิกาข้อมือ
ฮารีหันกลับไปที่เคาน์เตอร์และเม้มริมฝีปากด้วยความประหม่า จู่ๆ เขาก็พูดเรื่องแต่งงานขึ้นมา เธอถึงได้ทำตัวซื่อบื้อแบบนี้ แต่เธอเอาเรื่องซื้อเครื่องดื่มมาเป็นข้ออ้างในการเปลี่ยนบรรยากาศได้สำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้นจะต้องรีบชิงพูดตัดหน้าไปก่อนน่าจะดีกว่า
“ดีล่ะ เห็นปุ๊บก็พูดปั๊บเลยนะ พอฉันเห็นหน้าคุณปุ๊บ ฉันก็จะพูดปั๊บบ้างเหมือนกัน พอวางถาดลงปุ๊บ ฉันก็จะบอกว่าแต่งงานไม่ได้ค่ะ ฉันจะไม่แต่งงานค่ะ ฉันจะไม่มีทางแต่งงานเด็ดขาดค่ะ เรื่องแต่งงานนั่น โนๆ”
เมื่อได้เครื่องดื่มแล้ว ฮารีก็ยกถาดและหันหลังกลับ แต่เธอเกือบจะทำถาดหลุดมือ เพราะเขามายืนอยู่ข้างหลังเธอ เขาจึงช่วยจับถาดที่กำลังเอียงให้ตรงเหมือนเดิม
“ขอโทษด้วยครับ พอดีผมมีเรื่องที่ต้องรีบไปตรวจสอบที่บริษัทก็เลยจะขอตัวสักครู่ครับ”
“คะ? แล้วเรื่องแต่งงานล่ะคะ”
เขาขมวดคิ้ว
เปล่านะ ไม่ใช่อย่างนั้น
“เดี๋ยวผมจะกลับมาคุยต่อนะครับ”
“คะ? เปล่านะคะ ฉันไม่ได้จะชวนแต่งงาน…”
“แค่ยี่สิบนาทีครับ”
หลังจากมองเขาเดินห่างออกไปอย่างเหม่อลอย เธอก็หันหลังกลับมา
“ถ้ายุ่งขนาดนั้นก็อยู่คนเดียวไปสิ จะแต่งงานทำไม…”
ทันใดนั้นถาดที่เธอกำลังถืออยู่ก็ถูกยกออกไป มารู้ตัวอีกทีก็เห็นว่าเขายกถาดไปวางไว้บนโต๊ะแล้ว
ทะ…ท่านประธาน?
“โทรศัพท์”
เขายื่นมือออกมาเหมือนเป็นการบอกว่าให้ส่งโทรศัพท์มือถือให้เขา เธอจึงรีบหาโทรศัพท์มือถืออย่างไม่ทันตั้งตัว แต่เมื่อตั้งสติได้ เธอก็มองเขาด้วยสายตาระแวดระวัง
“ผมจะขอดูว่าคุณเลิกบล็อกเบอร์ผมหรือยัง”
“คะ?”
“เพราะถ้าคุณหนีไป ผมก็คงลำบาก”
ฉันอยากหนีไปจากตรงนี้
แต่เขากลับไม่ให้เวลาเธอคิดเรื่องนั้นเลย และยังทำให้เธอใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้ อีกอย่างเธอจะหนีไปไม่ได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรวันนี้เธอก็ต้องคุยเรื่องนี้ให้จบ
“ฉันไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ”
หนีไปแล้วจะได้อะไร อย่างไรเสียก็ต้องถูกลากกลับมาเพราะยองซออยู่ดี เธอมาเจอแทมูแบบนี้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น และครั้งต่อไปเธอทำไม่ได้อีกแล้ว
“เหมือนที่ท่านประธาน ไม่สิ เหมือนที่คุณคังแทมูมีธุระกับฉัน ฉันเองก็มีธุระกับคุณเหมือนกันค่ะ แต่ฉันเป็นคนที่รอใครไม่ค่อยได้เท่าไร ถ้าคุณทำให้ฉันต้องรอนาน ฉันจะถือว่าเราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกนะคะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอตั้งสติได้และพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ เขาจ้องมองเธอไม่วางตา เธอรู้สึกเหมือนเห็นรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พยักหน้าและเดินออกไป
เธอตั้งใจเอาไว้ว่าจะรีบพูดรีบกลับ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเธอต้องมานั่งรอเขาเพื่อที่จะบอกว่าเธอไม่อยากแต่งงาน
จะชิงพูดก่อนได้ไหมนะ
ฮารีขยี้ผม เทน้ำแข็งใส่ปากแล้วเคี้ยวกรุบๆ
“แบบนี้มันจงใจชัดๆ ทำงานแบบนี้ได้ยังไง”
แทมูคลายเนกไทด้วยความรู้สึกอึดอัด
“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปจะประชุมที่ห้องของกรรมการยุนนะ ผมไม่ไว้ใจเลย คงต้องตรวจสอบด้วยตัวเองซะแล้ว”
“ครับ”
แทมูพบว่ามีเอกสารที่ไม่เกี่ยวข้องแนบอยู่ในหนังสือสัญญาที่จะถูกส่งไปยังบริษัทคู่ค้า โดยในเอกสารนั้นมีส่วนที่เป็นเนื้อหาเรื่องผลการวิเคราะห์บริษัทรวมอยู่ด้วย หมายความว่านั่นอาจกลายเป็นจุดอ่อนของบริษัทได้ เพราะถ้าบริษัทนั้นได้เห็นก่อน อาจทำให้มีการตั้งเงื่อนไขที่ทำให้บริษัทของเขาเสียเปรียบ และเมื่อได้เห็นว่าชื่อไฟล์ถูกเปลี่ยนให้เป็นชื่อที่มีความเกี่ยวข้องกับสัญญา เขาก็มองว่าเป็นเรื่องของการจงใจ นี่อาจเป็นฝีมือของฝ่ายที่ไม่พอใจเขา
“ขอโทษด้วยครับที่ไม่ได้ตรวจดูให้ดีก่อน”
ซองฮุนโค้งตัวอย่างนอบน้อม แต่ซองฮุนเองก็มีงานล้นมือเช่นกัน ซึ่งไม่มีทางที่แทมูจะไม่รู้
“อย่างน้อยตอนนี้ก็เห็นแล้ว ไม่เป็นไรหรอก”
เมื่อแทมูขึ้นนั่งบนรถ ซองฮุนก็ขึ้นนั่งตรงฝั่งคนขับ
“ว่าแต่จะตรวจดูอีกรอบยังไงเหรอครับ ท่านกำลังนัดเจอกับคุณจินยองซออยู่ไม่ใช่เหรอครับ”
จินยองซอ
แทมูหรี่ตาลง เธอเป็นฝ่ายติดต่อกลับมาก่อนตามแผนของเขา เธอคงจะคิดว่าในเมื่อตัวเองปฏิเสธการแต่งงานไปแล้ว เรื่องทุกอย่างก็น่าจะจบลง แต่เมื่อได้ยินคำขอแต่งงานของเขา เธอก็ถึงกับอึ้งไปจนทำอะไรไม่ถูก แผนการของเขาง่ายมาก เขาพูดถึงเรื่องแต่งงานกับผู้หญิงที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวโดยไม่ให้เวลาเธอสงบสติอารมณ์ เพื่อทำให้เธองงแล้วรวบรัดแต่งงานเสียเลย
แต่กลับมีปัญหาเกิดขึ้นเสียก่อน ในระหว่างที่เธอไปสั่งเครื่องดื่มอยู่นั้น เมื่อเขาตรวจสอบอีเมลดูก็พบว่ามีใครบางคนกำลังขัดขวางงานของเขา ซึ่งเป็นการกระทำที่ใช้วิธีแบบเด็กๆ และน่ารังเกียจมาก ถ้าเขาไม่ได้ดูอีเมลก่อนล่ะก็ คงต้องมีปัญหาเกิดขึ้นและกวนใจเขาไปพักใหญ่แน่นอน
“อย่าบอกนะครับว่าในระหว่างที่เจอคุณจินยองซอ ท่านก็ทำงานไปด้วย”
แทมูดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ เขาขอเวลาเธอแค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น แต่กว่าจะติดต่อให้ฝ่ายเทคนิคยกเลิกการส่งหนังสือสัญญาและรอตรวจสอบผล เวลาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว นั่นเป็นเวลามากเกินพอที่จะทำให้คนที่บอกว่ารอใครไม่ได้อย่างเธอหนีไปได้อย่างสบาย ถ้าเธอหนีไป เขาก็คงต้องล้มเลิกความคิดที่จะแต่งงานกับเธอ เพราะเขาเป็นฝ่ายไม่รักษาสัญญาเอง
“ให้ไปที่บ้านเลยไหมครับ”
ถ้าต้องไปนัดบอดครั้งใหม่ย่อมทำให้เขาปวดหัวมากแน่นอน ส่วนการที่พวกผู้บริหารคอยจับตามองเขาไม่ได้มีเฉพาะเรื่องในวันนี้เท่านั้น พวกผู้บริหารพยายามบงการเขาเหมือนที่เคยทำกับพ่อเขามาแล้ว แต่เมื่อเรื่องไม่เป็นไปตามที่ต้องการ พวกเขาจึงใช้วิธีสกปรกแบบนี้ เรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้อาจจะเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อใดก็ได้ แม้ในระหว่างที่เขากำลังนัดบอดอยู่ก็อาจเกิดขึ้นได้เหมือนกัน เขาจึงปล่อยให้ตัวเองเสียเวลาไปกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
“กลับไปที่ที่นัดพบอีกรอบ”
“คุณจินยองซอยังจะรออยู่เหรอครับ”
เมื่อได้ยินคำถามของซองฮุน แทมูก็ยิ้มออกมา จะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้ผู้หญิงที่ไม่อยากแต่งงานด้วยจนถึงขนาดบล็อกเบอร์เขาต้องมานั่งรอเขาเป็นชั่วโมงหรือเปล่านะ เขาได้แต่ส่ายหน้า ซองฮุนมัวแต่ขับรถอยู่จึงมองไม่เห็น แต่แล้วซองฮุนก็พูดพึมพำออกมา
“แต่ถ้าเป็นพรหมลิขิต เธออาจจะรอท่านอยู่ก็ได้นะครับ”
“หัวหน้าชาคิดว่าผมจะเชื่อเรื่องพวกนั้นงั้นเหรอ”
“งั้นทำไมถึงกลับไปอีกล่ะครับ”
แทมูหรี่ตาลง
‘ฉันไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ’
จะบอกได้ไหมนะว่าเขาเชื่อมั่นเมื่อได้ยินเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำของเธอ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอคงนั่งรอเพื่อบอกเขาว่าจะไม่แต่งงานด้วย
“คุณเคยได้ยินคำว่าเผื่อไหม”
การลองกลับไปยังที่ที่ไม่รู้ว่าเธอจะรออยู่หรือเปล่านั้น น่าจะมีความเป็นไปได้สูงกว่าการไปนัดบอดครั้งใหม่ เผื่อจะมีโอกาสหนึ่งในหมื่นก็ได้
“นั่นแหละครับที่เรียกว่าพรหมลิขิต”
ซองฮุนพึมพำ
ทางตรงหน้าเต็มไปด้วยหมอก ทัศนวิสัยถูกบดบังด้วยความขาวโพลน ขณะที่ฮารีกำลังมองไปรอบๆ อยู่นั้น ใครบางคนก็เดินเข้ามาหาเธอ
‘คุณจินยองซอ’
‘คะ?’
‘คุณจินยองซอใช่ไหมครับ’
‘ไม่ใช่ค่ะ คุณจำคนผิดแล้วค่ะ’
‘หมายความว่ายังไงครับ คุณไม่ใช่คุณจินยองซอที่นัดบอดกับผมเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นคุณเป็นใครกันแน่ อย่าบอกนะว่าคุณเป็นพนักงานบริษัทผม คุณคงไม่ใช่ชินฮารี พนักงานแผนกวางแผนและการเงินทีมสองที่มาเล่นตลกกับผมเพราะเงินแล้วก็จากไปใช่ไหมครับ’
เมื่อได้ฟังคำพูดนั้นก็รู้ได้ว่าเขาคือแทมู สายตาของเขาเปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว
‘ใช่หรือไม่ใช่ เป็นเธอหรือไม่ใช่เธอ’
‘ทะ…ท่านประธานคะ คือว่า ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ฉันคือจินยองซอเองค่ะ’
‘ถ้าอย่างนั้นเราแต่งงานกันเถอะ’
เฮือก ฮารีรู้สึกเหมือนถูกบีบคอ และเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ เธอจึงได้แต่พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ แต่ทันใดนั้นหนทางข้างหน้าก็มืดลง เธอเริ่มหายใจไม่ออก ในตอนนั้นแทมูแบกเธอขึ้นหลังและเสื้อผ้าของเธอก็กลายเป็นชุดแต่งงานไปเสียแล้ว
‘ไม่ได้นะคะ ไม่ใช่ค่ะ คุณแบกผิดคนแล้วค่ะ ไม่ใช่ฉันค่ะ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ใช่ฉัน!’
เธอร้องตะโกนเสียงดังและพยายามขัดขืน แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะดูเหมือนว่าเขาหูดับไปแล้ว
‘เดี๋ยวก่อนค่ะ! ปล่อยฉันไปเถอะค่ะ ฉันขอร้อง! บอกแล้วไงคะว่าไม่ใช่ฉัน ช่วยฟังที่ฉันพูดหน่อยได้ไหมคะ คุณคะ?’
‘ไม่ได้ครับ ผมจะปล่อยให้ช้าไปกว่านี้ไม่ได้แม้แต่วันเดียว’
‘งั้นคุณช่วยปล่อยฉันลงก่อนได้ไหมคะ’
‘คงยากครับ เพราะมีเรามีที่ที่ต้องไปด้วยกัน’
‘ต้องไปด้วยกันเหรอคะ คุณหมายถึงที่ไหนคะ’
เธอพยายามดิ้นอย่างถึงที่สุด แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยและยังคงแบกเธอเดินต่อไป ว่ากันว่าต่อให้ถูกเสือจับไป แต่ถ้าตั้งสติไว้ให้ดีก็จะเอาชีวิตรอดได้ แต่ตอนนี้เธอตั้งสติไม่ได้เลย
‘ท่านประธาน! ท่านประธาน!’
เธอรวบรวมแรงเท่าที่มีและร้องตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง
‘ให้ตายสิ นี่มันอะไรกัน จะพาฉันไปไหน ฉันถามว่าจะไปไหน!’
‘จะไปไหนล่ะ ก็ไปบ้านผมน่ะสิ’
‘อะไรนะ’
‘ผมกับคุณจะแต่งงานกัน’
‘ให้ตายสิ! ไม่ได้นะ! ไม่มีเหตุผลที่ผู้หญิงอย่างฉันจะแต่งงานกับคุณเลยนะคะ ฉันเป็นแค่พนักงาน ส่วนคุณเป็นประธาน เรา…เราสองคน…!’
‘เราเป็นพรหมลิขิตของกันและกันครับ’
‘…คะ? อะ…อะไรลิขิตนะคะ’
‘พรหม…ลิขิต’
‘ภรรยาที่ถูกคัดมาจากความเป็นไปได้หนึ่งในหมื่น’
‘อ๋อ ว่าไงนะคะ?’
‘ใช่ครับ ภรรยา’
‘ไม่นะ ฉันไม่ใช่ภรรยา…’
ฮารีพยายามดิ้นสุดชีวิต ระหว่างนั้นใครบางคนกำลังก้มมองเธออยู่เงียบๆ
ยังไม่ไปสินะ
แทมูยิ้มอย่างพึงพอใจพลางก้มมองดูเธอ
รอจนหลับไปเลยเหรอ
ฮารีนั่งสัปหงกเหมือนศีรษะกำลังจะโขกลงที่โต๊ะ เขานึกว่าเธอจะนั่งรออยู่สักพักและกลับไป หรือไม่ก็อาจจะนั่งรออยู่ พอเจอหน้ากันปุ๊บก็รีบตะโกนออกมาปั๊บว่าขอยกเลิกการแต่งงาน แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเธอจะนั่งหลับอยู่แบบนี้ เขาไม่เคยคิดถึงรสนิยมเรื่องผู้หญิงของตัวเองอย่างจริงจังสักที แต่เมื่อได้เห็นฮารีก็เหมือนจะทำให้เขาเริ่มนึกภาพออกแล้ว
อย่างน้อยก็โชคดีที่เธอเป็นผู้หญิงที่ดูไม่เหมือนใคร
ถ้าฮารีรู้ เธอคงลุกขึ้นมาตะโกนบอกว่าใครกันแน่ที่ไม่เหมือนใคร
แทมูรู้สึกเบาใจ เขานั่งลงฝั่งตรงข้ามและจ้องมองเธอ
ผมยาวตรงของเธอติดอยู่ที่ริมฝีปากสีแดงและพันกันอย่างกับสาหร่าย อายแชโดว์สีดำก็เปื้อนลงมาถึงบริเวณใต้ตาเหมือนเป็นรอยฟกช้ำ ท่าทางที่เธอนั่งสัปหงกโดยการห่อไหล่เล็กๆ และประสานมือทั้งสองข้างไว้ด้วยกันแบบนั้น ถ้ามีใครมาเห็นเข้าคงนึกว่าเธอไปนอนค้างนอกบ้านและมานั่งรอรถไฟใต้ดินขบวนแรก แต่ในสายตาของเขา เธอดูเหมือนลูกสุนัขที่น่าสงสารที่สุดในโลกที่ถูกทอดทิ้งไว้ข้างถนน
เขานั่งกอดอกพลางคิดว่าจะนั่งมองเธอต่ออีกสักหน่อย เธอคงจะกำลังฝันอยู่ เพราะตัวของเธอกระตุกจนศีรษะโขกลงบนโต๊ะ ไม่สิ ถ้าจะให้พูดชัดๆ ก็คือศีรษะของเธอเกือบจะโขกลงไปที่แก้วกาแฟเข้าอย่างจังเสียแล้ว
เมื่อเขารีบหยิบแก้วออก ศีรษะของเธอก็โขกลงไปที่โต๊ะและเงยหน้าขึ้น เขาคิดว่าเธอคงจะตื่นแล้ว จึงจัดท่านั่งให้ดี แต่เธอก็ยังคงสัปหงกและก้มศีรษะลงไปอีก
มีเอกลักษณ์และมีชีวิตชีวาดีเหลือเกิน
ขณะนั่งมองเธอสัปหงกไปทางนั้นทีทางนี้ที เขาก็เผยรอยยิ้มแบบที่ไม่มีใครเคยเห็นมานาน
“ม่ายยยยย!”
ฮารีลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง สายตาของผู้คนที่อยู่รายล้อมจับจ้องมาที่เธอทันที เธอเห็นแทมูกำลังยกแก้วไอซ์อเมริกาโนที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็ละลายหมดแล้ว
อะไร อะไรกันเนี่ย นี่มันเกิดอะไรขึ้น
เมื่อเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน เธอก็ได้รู้ว่านี่ไม่น่าจะใช่ความฝัน
ไม่ใช่ความฝันงั้นเหรอ อย่าบอกนะว่านี่คือความจริง
เฮือก เธอรีบนั่งลงให้ดีและจัดผมเผ้าให้เรียบร้อย
“กลับมาแล้ว…เหรอคะ”
“หลับสบายไหมครับ”
เมื่อเธอมองเขาด้วยความแปลกใจ เขาก็วางแก้วที่ถืออยู่ในมือลง
“คุณฝันร้ายเหรอครับ”
“อ๋อ ค่ะ ฉันฝันร้ายมาก…”
ก็ฝันว่าโดนคังแทมูอุ้มไปแต่งงานน่ะสิ
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่เลยค่ะ ฉันไม่ได้ฝันอะไรเลยค่ะ”
เขาหรี่ตามอง
“แต่คุณดิ้นแรงมากเลยนะ”
“คะ? ไม่ทราบว่าฉันพูดจาไร้สาระอะไรออกไปหรือเปล่า…”
“ไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษนะครับ นอกจากคำด่าที่มีคำสรรพนามกับสัตว์ไม่กี่ชนิดเท่านั้นเอง”
นั่นมันคำพูดพิเศษสุดๆ เลยนี่คะ!
ฮารีรู้สึกอายมากก็ได้แต่ดูเวลาเพื่อแก้เขิน เธอจึงได้รู้ว่าเลยเวลาที่เขาให้สัญญาเอาไว้ประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
เฮือก ฉันหลับไปนานแค่ไหนกันเนี่ย แล้วทำไมผู้ชายคนนี้ถึงไม่ปลุกฉันล่ะ
“คุณรอนานหรือเปล่าคะ”
ฮารีไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าตัวเองจะพลาดโอกาสการขอยกเลิกแต่งงานด้วยการเผลอหลับไป เมื่อเธอถามเขาพร้อมทำหน้ารู้สึกผิด เขาก็หรี่ตาลงครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ พยักหน้าให้
“ครับ ก็รอนานนิดหน่อยครับ”
ฮารีไม่มีทางรู้เลยว่าสีหน้าของเขานั้นแสดงให้เห็นว่ามีแผนร้ายแอบแฝงอยู่ เธอได้แต่แสดงสีหน้าเขินอายออกมาเท่านั้น
“คุณจัดการธุระด่วนเสร็จเรียบร้อยแล้วเหรอคะ”
“เป็นเพราะคุณใจกว้าง ผมถึงไปจัดการธุระด่วนได้”
“คุณคงจะงานยุ่งมากเลยนะคะ”
เขาพยักหน้าเล็กน้อย
“ถ้าคุณงานยุ่งขนาดนั้น มาถึงแล้วก็น่าจะรีบปลุกฉันสิคะ”
ทุกครั้งที่ฮารีทำหน้ารู้สึกผิด มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย
“ผมคิดว่าคุณคงจะเพลียมากน่ะครับ”
“ขอบคุณที่คุณเห็นใจนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“แต่ว่า…”
“ครับ”
“ฉันจะไม่แต่งงานค่ะ”
เย้ ชิงพูดก่อนได้แล้ว
นั่นเป็นสิ่งที่ฮารีไม่ลืมแม้กระทั่งในฝัน เธอชิงพูดออกไปก่อนได้สำเร็จ เขาจึงเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
“ไม่ว่าจะคิดยังไงฉันก็รู้สึกว่าการแต่งงานไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะทำกันแบบนี้ค่ะ ต่อให้มีเรื่องของทั้งสองครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เราสองคนยังไม่รู้จักกันเลยนะคะ จะให้ฉันแต่งงานแบบนี้ได้ยังไง ฉันไม่มีทางแต่งงานแบบนี้แน่นอนค่ะ”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นราวกับจะทำให้เขาเข้าตาจน แล้วลองคิดถึงคำตอบที่เขาจะตอบกลับมา นั่นไม่ใช่เรื่องที่เราสองคนจะตัดสินใจได้นะครับ อย่างไรเราก็จะต้องแต่งงานกัน ถ้าคุณไม่ยอมแต่งงาน ผมจะทำลายครอบครัวคุณให้ป่นปี้ เป็นต้น เธอกำลังใช้หัวคิดอยู่ว่าถ้าเขาพูดแบบนี้ เธอควรจะตอบไปว่าอย่างไรดี แล้วตัวเธอก็เริ่มสั่นด้วยความประหม่า ในตอนนั้นเอง…
“เข้าใจแล้วครับ”
หืม? ทำไมง่ายแบบนี้ล่ะ
เขาพูดออกมาอย่างง่ายดายมาก เธอรู้สึกอ่อนแรงและพูดอะไรไม่ออก
“…”
“…”
“…”
“งั้นเรามาเจอกันให้สนิทสนมกันอีกสักหน่อย แล้วหลังจากนั้นค่อยแต่งงานกันก็ได้ครับ”
เขาพูดพลางโน้มตัวเข้าหาเธอ
ว่าแล้วเชียว! เขาเป็นผู้ชายที่ไม่ควรปล่อยช่องโหว่ให้เลย
“โทษนะคะ พอดีฉันไม่อยากทำอะไรแบบนั้นเลยค่ะ”
“ทำไมล่ะครับ”
“ก็มันยังไงอยู่นี่คะ เราจะแต่งงานกันแบบนี้ได้ยังไง ต่อให้มานัดบอดกันก็เถอะ แต่แค่เจอกันครั้งแรกก็ขอแต่งงานแล้ว”
“ถ้าผมทำให้คุณตกใจ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ”
“มันไม่ใช่เรื่องที่แค่ขอโทษแล้วจะจบได้นี่คะ”
“ถ้างั้น”
“ช่วยถอนคำพูดด้วยค่ะ”
เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เธอจึงไม่อยากพลาดโอกาสนี้ไป
“ที่จริงแล้วฉันไม่อยากแต่งงานด้วยการนัดบอดหรืออะไรแบบนี้เลยค่ะ ทำแบบนั้นมันไม่โรแมนติกเอาเสียเลย”
เธอนำเรื่องที่ได้ยินจากยองซอมาแต่งเพิ่มอีกหน่อย และพยายามทำให้เขาเข้าตาจน
“ฉันต้องการผู้ชายที่เป็นพรหมลิขิตค่ะ ฉันจะไม่แต่งงานกับคนที่ครอบครัวหามาให้และไม่รู้จักกันเลยแม้แต่นิดเดียว”
“ถ้างั้นก็รู้จักกันก่อนแล้วค่อยแต่งงานก็ได้นี่ครับ”
ถ้าทำแบบนั้นก็หมายความว่า?
“เราลองมาเจอกันก่อนสักสองสามครั้งนะครับ”
เจอกันสองสามครั้ง? กับคังแทมูเนี่ยนะ
ฮารีส่ายหน้าและรีบพูดออกมา
“คุณแม่ฉันเคยบอกว่าต่อให้คู่สามีภรรยาอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตก็ยังรู้ใจกันไม่ได้ทั้งหมด ต่อให้มาเจอกันสองสามครั้งแล้วรู้จักกันมากขึ้นก็จริง แต่จะรู้จักกันได้แค่ไหนเชียวคะ”
“งั้นสิบครั้งพอไหมครับ”
“แหม เจอกันสิบครั้งจะพอเหรอคะ”
“งั้นถ้ายี่สิบครั้งล่ะครับ”
เฮือก ถ้าพลาดไปล่ะก็ ต้องออกมาเจอเขาอีกหลายครั้งแน่ๆ
ฮารีส่ายหน้า
“เจอกันตั้งยี่สิบครั้งก็เสียเวลาเปล่าสิคะ เสียเวลาเปล่า”
เมื่อเธอพูดคำที่เขาชอบพูดเป็นประจำออกมา เขาก็ยิ้มเล็กน้อย
“งั้นสักสิบครั้งดีไหมครับ”
“เดี๋ยวนะ เจอกันทำไมตั้งสิบครั้ง…”
“งั้นก็ห้าครั้ง?”
“คะ? ไม่…”
“สี่ครั้ง?”
“สะ…สามครั้ง”
เมื่อเธอชูนิ้วขึ้นอย่างหวั่นๆ เขาก็หรี่ตามอง
“ถ้าคุณคิดว่าเจอกันสามครั้งแล้วจะรู้จักกันมากขึ้น ก็น่าจะตัดสินใจได้ตอนนี้เลยไม่ใช่เหรอครับ เพราะนี่ก็ครั้งที่สองแล้ว”
นั่นมันก็จริง ฮารีเกือบจะตอบกลับไปอย่างนั้นแล้ว แต่เธอตั้งสติได้เสียก่อน
ไม่ใช่แบบนี้สิ
เมื่อพูดออกไปแล้ว จึงกลายเป็นว่าตอนนี้เธอกำลังจะนัดเจอเขาอยู่ ทั้งที่ไม่ควรต้องเจอกันเลยแท้ๆ แต่เธอกำลังหลงกลเขา
“ปัญหาของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่จำนวนครั้งนะคะ”
“งั้นคงอยู่ที่ระยะเวลาใช่ไหมครับ หนึ่งปีพอไหมครับ”
ตั้งหนึ่งปีเนี่ยนะ!
“หรือสักหกเดือน?”
เธอเกือบพูดออกไปว่าสามเดือน แต่ก็รู้สึกตัวขึ้นมาว่าตัวเองกำลังจะหลงกลเขาอีกแล้ว จะบ้าตายจริงๆ ดูเหมือนว่าในความคิดของผู้ชายคนนี้จะไม่มีเงื่อนไขของการไม่แต่งงานอยู่เลยสินะ
“เอ่อ…คุณคังแทมู”
“ครับ คุณจินยองซอ”
ชื่อยองซอที่ออกมาจากปากของเขาทิ่มแทงหัวใจของเธอ ถ้าเขาไม่ได้มองเธอด้วยสายตาจริงจังแบบนั้น เธอก็คงจะรู้สึกถูกทิ่มแทงใจน้อยกว่านี้
ถ้าวันข้างหน้าเขารู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นแค่เรื่องหลอกลวงของพนักงานบริษัทตัวเองกับเพื่อนล่ะก็ เธอไม่รู้ว่าเขาจะโมโหมากขนาดไหน และเมื่อนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นเรื่องที่ครอบครัวของเขาและครอบครัวของยองซอเข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็ยิ่งเข้ามาบีบหัวใจเธอมากขึ้นไปอีก
ไม่ว่ายังไงก็ต้องหยุดการแต่งงานให้ได้
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ
“คราวที่แล้วฉันบอกไปไม่ใช่เหรอคะว่าฉันเป็นผู้หญิงที่รักสนุกขนาดไหน”
ยองซอ โทษทีนะที่ฉันไม่สามารถรักษาศักดิ์ศรีของเธอเอาไว้ได้ แต่ถ้าเธอไม่อยากแต่งงาน ตอนนี้ฉันจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่าง
“ฉันมีความสัมพันธ์กับผู้ชายยุ่งเหยิงขนาดไหนและคบกับผู้ชายมากหน้าหลายตาแค่ไหน คุณทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้วนี่คะ”
“แถมคุณยังบอกว่าชอบผู้หญิงด้วยนี่ครับ”
เมื่อเขาช่วยพูดเสริมอย่างใจเย็น เธอก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“ค่ะ คุณก็ทราบดีอยู่แล้วว่าฉันเป็นผู้หญิงแบบนั้น แล้วคุณจะแต่งงานกับฉันได้ยังไงคะ”
“ผมไม่คิดว่าการที่คุณมีอดีตจะทำให้ชีวิตแต่งงานของเราแย่ลงนะครับ”
“ตะ…แต่ถ้าเป็นผู้ชายทั่วไป…”
“ผมไม่ใช่ผู้ชายทั่วไปครับ”
ให้ตายสิ เขาเป็นคนโรคจิตที่เปิดกว้างขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!
“คือว่า…ฉันบอกไปแล้วใช่ไหมคะว่าฉันไปนัดบอดวันนั้นยังไง ที่จริงแล้วฉันไปเที่ยวไนต์คลับตั้งแต่วันก่อนหน้านั้น ฉันเมามากก็เลยไปค้างนอกบ้านกับผู้ชาย ฉันไปเที่ยวมาขนาดนั้นแล้วไปนัดบอด คุณคิดยังไงคะ”
“ผมคิดว่าคุณเป็นคนมีความรับผิดชอบสูงมากครับ”
โธ่เว้ย! ทำไมถึงได้มองเป็นแบบนั้นไปได้นะ!
“แต่ถ้าเป็นผู้ชายทั่วไป…”
เขาขมวดคิ้วราวกับจะบอกว่าเมื่อกี้ก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายทั่วไป
“ผมไม่คิดว่าการพูดตรงไปตรงมาจะเป็นข้อเสียนะครับ แต่กลับคิดว่าการโกหกต่างหากที่เป็นข้อเสีย”
“…คะ?”
“แค่คุณไม่โกหกผมก็พอแล้วครับ”
เฮือก สายตาของเขาเหมือนกับบอกว่าถ้าจับได้ว่าโกหก จะฆ่าทิ้งให้หมดเลย พอเห็นสายตาแบบนั้น ฮารีก็ถึงกับตัวแข็งทื่อ
“อ๋อ ค่ะ ฉันนี่ก็พูดตรงไปตรงมาอย่างไร้สาระมากไปหน่อย…นะคะ”
เขาพยักหน้าราวกับว่าชอบตรงส่วนนั้นโดยที่ไม่รู้เลยว่าเธอกำลังร้องไห้อยู่ในใจ
“ไหนๆ ก็พูดกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ฉันขอพูดตรงๆ อีกเรื่องได้ไหมคะ”
“พูดได้เลยครับ”
“คุณคังแทมูไม่ใช่สเป็กฉันค่ะ”
เขาหรี่ตาลง แม้จะรู้สึกกลัว แต่ฮารีก็คิดว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป อาจจะมีเรื่องที่น่ากลัวมากกว่านี้เกิดขึ้นก็ได้ เธอจึงรวบรวมความกล้าและพูดต่อ
“ที่สำคัญคือฉันเองก็ควรต้องชอบคุณคังแทมูด้วยเหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ แต่ฉันไม่ชอบค่ะ ฉันกำลังบอกว่าฉันไม่ชอบคุณคังแทมูค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ว่ายังไงก็แต่งงานกับคุณคังแทมูไม่ได้ค่ะ”
อย่างน้อยนี่ก็ไม่ใช่เรื่องโกหก ฮารีพยายามทำตาให้เป็นประกายที่สุด เขาจ้องมองเธอไม่วางตาและเอ่ยพูดออกมา
“ไหนๆ คุณก็พูดออกมาแล้ว ถ้าคุณไม่อยากแต่งงานเพราะยังอยากเที่ยวสนุกอยู่ล่ะก็ คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเลยนะครับ ถ้าคุณแต่งงานกับผม คุณจะเที่ยวสนุกได้อย่างอิสระมากกว่าเดิมแน่นอน เพราะผมก็คงมัวแต่ทำงานยุ่งมากจนไม่มีเวลาไปก้าวก่ายว่าภรรยาจะเที่ยวสนุกที่ไหนยังไงบ้าง นั่นหมายความว่าแม้จะแต่งงานกับผมแล้ว คุณก็จะยังสามารถรักษาไลฟ์สไตล์ของคุณเอาไว้ได้เหมือนเดิม คุณจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขโดยที่จะไปเจอผู้ชายหรือผู้หญิงที่ไหนก็ได้ แล้วก็ไม่ต้องเสียเวลานัดบอดหรือทำอะไรไม่เข้าเรื่องแบบนี้ด้วย ส่วนเรื่องเงิน ผมจะให้คุณมีใช้อย่างไม่ต้องกังวลเลยครับ”
ว้าว สุดยอด! นี่มันสามีในฝันสุดๆ!
“เป็นไงครับ”
จะเป็นไงล่ะ ก็ต้องรีบแต่งตอนนี้เลยน่ะสิ!
ฮารีอยากจะตะโกนตอบออกไปว่าเยส แต่เธอจำต้องกล้ำกลืนน้ำตาและส่ายหน้าให้เขา
“ขอโทษนะคะ แต่ฉันรู้สึกเฉยๆ กับคุณคังแทมูจริงๆ ค่ะ”
เขาขมวดคิ้ว
“คุณจินยองซอ”
“ค่ะ คุณคังแทมู”
“ผมไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะครับ”
“คะ?”
“ผมหมายความว่าถ้าคุณกังวลเรื่องอย่างว่าอยู่ล่ะก็ คุณไม่ต้องกังวลนะครับ”
เรื่องอย่างว่านั่นมันเรื่องอะไร…
ก่อนที่จะนึกขึ้นมาในหัวได้ว่าเป็นเรื่องอะไร เธอก็รู้สึกวูบวาบที่ใบหน้า
“ผมเก่งนะครับ”
…หืม?
“ถ้าคุณต้องการ จะให้ผมพิสูจน์ตอนนี้เลยก็ได้นะครับ”
เรื่องอะไร…
เฮือก! อย่าบอกนะว่าตอนนี้ผู้ชายคนนี้กำลังพูดดึงดูดใจว่าตัวเองทำเรื่องที่เขาทำกันตอนกลางคืนเก่งน่ะ เธอส่ายหน้า
“คุณจินยองซอ”
“คะ?”
“คุณชอบทั้งผู้ชายแล้วก็ผู้หญิงด้วยนี่นา แล้วทำไมถึงเป็นผมไม่ได้ล่ะครับ”
“คะ…?”
เมื่อเห็นสีหน้าของเขาที่เหมือนกำลังบอกว่าก็บอกแล้วไงว่าผมเก่ง แล้วจะมีปัญหาอะไรอีก จู่ๆ ฮารีก็คิดถึงแม่ขึ้นมา
แม่จ๋า หนูรู้สึกสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้ รู้สึกเหมือนกับว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป คงต้องได้แต่งงานจริงๆ แน่…
“ไม่ให้ผมไปส่งถึงหน้าบ้านจริงๆ เหรอครับ”
แน่นอนสิ เพราะที่นี่มันแถวบ้านชินฮารี ไม่ใช่แถวบ้านจินยองซอ
“ค่ะ ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ขอบคุณที่มาส่งนะคะ งั้น…”
“ก่อนจะแต่งงาน เราต้องเจอกันสักกี่ครั้งดีครับ”
“คะ?”
เดี๋ยวนะ ฉันพูดไปเป็นชั่วโมงแล้วนี่นาว่าไม่ชอบเขาน่ะ
ตั้งแต่ออกมาจากร้านกาแฟจนมาถึงแถวบ้าน ฮารีพยายามหาข้ออ้างที่ไม่เป็นเรื่องขึ้นมา เช่น สีหน้า น้ำเสียง การแต่งตัว ไปจนถึงเรื่องรูปทรงเล็บ และตั้งใจพูดให้ฟังสุดๆ แล้วว่าทำไมถึงไม่ชอบเขา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะชอบ เพราะคิดว่าเธอเป็นคนตรงไปตรงมาดี
ฉันคงลืมไปสินะว่าเขาไม่ใช่คนโรคจิตธรรมดา แต่เป็นคนจิตวิปริต
เขาต้องเป็นผู้ชายที่ป่วยเป็นโรคสนใจผู้หญิงที่บอกว่าไม่ชอบเขาแน่นอน ฮารีพยายามฝืนยิ้ม
“เอ่อ คุณคังแทมู”
“ครับ คุณจินยองซอ”
“ฉันก็บอกคุณไปตั้งหลายครั้งแล้วว่าฉันไม่ชอบคุณคังแทมูเลย เหตุผลที่คุณยังทำแบบนี้อยู่คืออะไรกันแน่คะ”
เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ผมชอบคุณครับ”
“…คะ?”
“ผมชอบคุณจินยองซอครับ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก แววตาก็ดูจริงจังจนไม่กล้าแม้แต่จะเถียงออกไปว่าถ้าคุณชอบฉัน แล้วฉันต้องคบกับคุณเสมอไปหรือไง ถ้าไม่ใช่เพราะชื่อจินยองซอ หัวใจของฮารีก็คงเต้นแรงอย่างที่สุดไปแล้ว
“ตอนนี้ผมชอบคุณจินยองซอ ส่วนคุณจินยองซอไม่ชอบผม ผมว่าเราควรต้องมาเจอกันอีกสักสองสามครั้งจนกว่าหัวใจของเราจะรู้สึกเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ ไม่ว่าจะรู้สึกไปในทางไหนก็ตาม”
เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาชอบอะไรในตัวเธอกันแน่ (ไม่กล้าถามเพราะกลัวจะได้ฟังคำตอบแปลกๆ) ถ้าเธอนัดบอดกับเขาในชื่อของเธอเองแล้วได้ยินเขาพูดแบบนี้ล่ะก็ เธออาจจะตอบกลับไปก็ได้ว่าจะลองเจอเขาอีกสักสองสามครั้ง
แต่ในสายตาของเขา เธอไม่ใช่ชินฮารี แต่เป็นจินยองซอ และการใช้ชีวิตก็ต่างกัน เพราะฉะนั้นเธอจึงต้องจบความสัมพันธ์กับเขาตั้งแต่ตรงนี้ เพราะถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ เธอคงต้องลำบากมากแน่ๆ
“คุณคังแทมูคะ ฉัน…”
เขาดูนาฬิกาเหมือนพยายามจะตัดบท
“ขอโทษด้วยครับ พอดีผมต้องเข้าไปที่บริษัทอีกรอบ”
“อ๋อ ค่ะ งั้นรีบไปเถอะค่ะ”
“ผมขอเช็กตารางงานดูก่อนแล้วจะโทรหานะครับ”
“เอ่อ เดี๋ยวค่ะ…”
เขากลับขึ้นรถ ลดกระจกลงแล้วเงยหน้ามองเธอ
“แล้วผมจะโทรหานะครับ”
“เอ่อ คือ…คุณคังแทมู!”
ฮารีจับกระจกที่กำลังเลื่อนขึ้น
“ฉันทำไม่ได้จริงๆ ค่ะ!”
จู่ๆ เธอก็ตะโกนออกมาแบบนั้น เขาจึงเลิกคิ้วขึ้นเหมือนจะถามว่าเธอหมายความว่าอย่างไร
“ถ้าเป็นกับคุณคังแทมู ฉันทำไม่ได้จริงๆ ค่ะ อย่าว่าแต่เรื่องแต่งงานเลย ฉันไม่แม้แต่จะอยากเจอคุณ เพราะฉะนั้นคุณช่วยล้มเลิกความตั้งใจแล้วก็ลองหาผู้หญิงอื่นดีกว่านะคะ”
“เป็นเพราะเรื่องการพบกันแบบพรหมลิขิตที่คุณพูดถึงเมื่อสักครู่นี้เหรอครับ”
เขาจำคำพูดของเธอได้จึงถามขึ้นมา เธอจึงแต่งคำพูดโดยยกคำพูดของยองซอมาพูดซ้ำ
“คะ? ค่ะ เพราะฉันต้องการความโรแมนติกหรืออะไรแบบนั้นค่ะ การนัดบอดมันดูไม่เป็นเรื่องของพรหมลิขิตสักเท่าไร…”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้น คุณอย่ากังวลไปเลยครับ เพราะวันนี้เป็นวันแบบนั้นเลยล่ะครับ”
“…คะ?”
แทมูยิ้มแบบที่คนอื่นแทบไม่เคยเห็น
“ผมจะโทรไปนะครับ”
“ไม่ค่ะ! ไม่ต้องโทรมานะคะ อ้อ เพราะยังไงฉันก็จะไม่รับสาย”
“คุณหมายความว่าจะบล็อกเบอร์ผมอีกแล้วเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ ฉันจะบล็อก ถึงคุณจะบอกว่านี่เป็นเรื่องของครอบครัวและขู่ว่าจะเอาเรื่องไปบอกผู้ใหญ่อีกก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ เพราะคราวนี้ฉันไม่หลงกลคุณอีกแล้ว”
เขาขมวดคิ้ว
“เรื่องนั้นผมไม่ได้ขู่นะครับ”
ไม่ได้ขู่งั้นเหรอ แล้วมันเรียกว่าอะไรล่ะ
“ถ้านั่นไม่ได้เป็นการขู่ คุณก็คงจะยกเลิกคำพูดที่ไปพูดไว้กับครอบครัวได้สินะคะ ฉันลำบากใจมากจนไม่อยากเข้าบ้านแล้ว”
“ถึงยังไงคุณก็ต้องแต่งงานอยู่ดี ไม่เห็นจำเป็น…”
“ต่อให้แต่งงานก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องแต่งงานกับคุณคังแทมูเท่านั้นนี่คะ ช่วยเคารพสิทธิ์ของฉันด้วยค่ะ”
เรื่องรสนิยมก็ด้วย รสนิยมของฉันมันไม่ใช่คุณเลยสักนิด
“งั้นฉันรบกวนด้วยนะคะ ฉันจะถือว่าเรื่องของเราจบลงตรงนี้นะคะ”
ฮารีรีบหันหลังให้อย่างรวดเร็ว พูดขนาดนั้นแล้ว เขาก็คงมีศักดิ์ศรีเหมือนกันแหละน่า คงไม่มาตามตื๊ออีกแล้วล่ะ
“เฮ้อ เกือบจะหลงกลซะแล้ว”
แม้แต่ฮารีเองก็ยังคิดว่าตัวเองพูดออกไปอย่างชัดเจนมากแล้ว ขณะเดินอยู่พักใหญ่จนขาเริ่มจะหมดแรงก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนข้อความ
จินยองซอ : จัดการได้หรือยัง
หลังอ่านข้อความของยองซอ ฮารีก็ส่งข้อความตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
ชินฮารี : อื้ม จัดการได้ดีสุดๆ เลยล่ะ
* รามยอน คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเกาหลี
** คิมบับสามเหลี่ยม คือข้าวปั้นห่อสาหร่ายรูปสามเหลี่ยม
*** ฮอตบาร์ คือลูกชิ้นปลาแผ่นทอด
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.