X
    Categories: จันทราอัสดงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จันทราอัสดง เล่ม 3 บทที่ 74-75

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 74

ตั้งแต่ย่างเข้าฤดูสารท อากาศของแคว้นโจวยังคงอบอุ่น

เวลาท้องฟ้าปลอดโปร่ง หลีซูซูจะคลำทางเดินไปมาในวังเย็น ในวังเย็นไม่มีอะไรเลย พลังเทพของบุปผาเหนือพิภพในโลหิตนางลดน้อยลงทุกที

โกวอวี้กลายเป็นดวงตาของนาง คอยชี้บอกทาง ป้องกันไม่ให้นางสะดุดหกล้ม

บุปผาเหนือพิภพกร่อนทำลายร่างกายของนาง ทำให้นางผ่ายผอมลงเรื่อยๆ บัดนี้ชุดชาววังสีชมพูที่สวมอยู่บนร่างหลวมเล็กน้อย เอวนางแบบบางกว่าเดิม

ในวังมีต้นหลิวมากมาย ยามว่างหลีซูซูจะเดินออกจากลานเรือนของวังเย็น ไปหักกิ่งหลิวมาหลายกิ่ง กลับมาแล้วเหลาให้แหลมและใช้กิ่งหลิวตั้งข่ายอาคม

การสร้างไขกระดูกเทพที่แท้จริง นางต้องถ่ายไอหยินให้กับบุปผาเหนือพิภพ

ไม่รู้เป็นเพราะความบังเอิญหรือไม่ ทุกครั้งยามโพล้เพล้เวลานางไปหักกิ่งหลิว มักพบนางกำนัลปากเปราะในวัง พูดคุยกันถึงเจาหวาฟูเหรินที่หมู่นี้เป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่ง

“ฝ่าบาททรงดีกับเจาหวาฟูเหรินเกินไปแล้วกระมัง ได้ยินว่าหลายวันนี้ข้าวของที่ส่งไปยังวังของฟูเหรินมีมากมาย”

“พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าตอนเจาหวาฟูเหรินป่วย ฝ่าบาทเป็นคนดูแลฟูเหรินด้วยองค์เอง”

“สองสามวันก่อนเสี่ยวซุ่นจื่อกระทำผิด ฝ่าบาทกริ้วจัด แต่พอเจาหวาฟูเหรินขอความเมตตา ฝ่าบาทก็หายกริ้วทันที”

“แม้แต่ของล้ำค่าที่แคว้นเสินชาส่งมา ฝ่าบาทยังนำมาเอาอกเอาใจเจาหวาฟูเหรินเลย!”

เสียงพูดคุยหัวเราะของพวกนางทะลุผ่านกำแพงเข้ามาในวังเย็น ลอยเข้ามาในโลกอันมืดมนของหลีซูซู

จากนั้นหลีซูซูได้ยินพวกนางพูดถึงตนเช่นกัน…

“เช่นนั้นพวกเจ้าว่าฝ่าบาททรงคิดอย่างไรกับสตรีในวังเย็นผู้นี้”

“นางน่ะหรือ ได้ยินว่าแต่ก่อนตอนอยู่แคว้นซย่าฝ่าบาทก็เกลียดนางเข้ากระดูกดำแล้ว บัดนี้เก็บนางไว้ก็เพื่อทรมานนางเท่านั้น”

“แต่ก่อนหน้านี้นางเกือบจะได้เป็นฮองเฮานะ”

มีคนแค่นหัวเราะ “ตอนนี้ดวงตานางบอดไปแล้ว หากฝ่าบาทโปรดนางจริง ไยจึงไม่มอบของล้ำค่าจากแคว้นเสินชาให้นางเล่า ข้าว่านะ ฝ่าบาทชิงชังนางยิ่งกว่าอะไร”

หลีซูซูถือกิ่งหลิว ไม่รู้คิดอะไรอยู่

สายลมสารทพัดชุดกระโปรงสีเรียบสะอาดสะอ้านของนางปลิวขึ้น นางคลำกำแพงวัง เดินกลับไปช้าๆ

กิ่งหลิวสามารถชักนำไอหยินได้ นางนั่งขัดสมาธิ ชักนำไอหยินในวังเย็นเข้าสู่บุปผาเหนือพิภพในดวงตาข้างซ้าย

ไอหยินเข้าสู่ร่าง ทำให้นางหนาวจนตัวสั่น ผิวกายขาวซีด

วันแล้ววันเล่า หลีซูซูค่อยๆ ชิน เมื่อไอหยินเข้าสู่บุปผาเหนือพิภพ ดวงตานางก็ไม่หลั่งโลหิตบ่อยๆ อีก

นางรู้ว่าตนเองใกล้จะหลุดพ้นแล้ว

 

ค่ำคืนวันหนึ่ง หลีซูซูนั่งซักชุดกระโปรงของตนเองอยู่ริมบ่อน้ำ

โกวอวี้พลันเอ่ยว่า “เขามา”

หลีซูซูชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะซักเสื้อผ้าต่อ

ถานไถจิ้นมาอย่างเงียบเชียบ เขามิได้ให้ใครตามมา ทั้งมิได้ถือโคมแก้วหลิวหลี เพียงมองดูนางจากที่ไกลๆ

ฮ่องเต้ในอาภรณ์สีนิลมองหญิงสาวที่ผ่ายผอมซักเสื้อผ้าจนเสร็จ และอุ้มถังไม้เดินผ่านหน้าเขาไป

ภายในวังเย็นเงียบเชียบและมืดมิด นางคล้ายจะคุ้นเคยกับเส้นทางแล้ว ไม่ต้องให้ใครประคอง ก็เดินผ่านริมบ่อน้ำไปได้อย่างคล่องแคล่ว

สีหน้าของนางสงบนิ่ง นัยน์ตาที่ขาวดำตัดกันชัดเจนคู่นั้นดูไม่เหมือนมองไม่เห็นแม้แต่น้อย

หญิงสาวราวกับไม่ตระหนักถึงตัวตนของเขา ครั้นเห็นนางกำลังจะเดินเข้าไปในเรือน ถานไถจิ้นก็เดินตามไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว เมื่อตระหนักว่าตนเองกำลังทำอะไร เขาก็ชะงักฝีเท้าและหันหลังจากไป

โกวอวี้พูดขึ้น “เขาจากไปแล้ว”

หากไม่เพราะมีโกวอวี้ หลีซูซูคงไม่รู้เลยว่าเขามา

ตะปูดับวิญญาณหกดอกปักอยู่ในหัวใจเขา เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นคนเย็นชาถึงในกระดูกโดยสมบูรณ์ หากจะยังมีช่วงเวลาที่เขาขาดการควบคุมอยู่บ้าง คงเป็นตอนที่พิษหนอนไหมใยวสันต์ของหลีซูซูกำเริบทุกสองเดือน

ช่วงเวลาที่คลอเคลียกัน เขามักจะแค่นยิ้มพลางบีบให้นางอ้อนวอนเขาให้มอบความสุขให้นาง

ยามที่ร่างกายของทั้งสองใกล้ชิดกัน เขาเสียการควบคุมเป็นบางครั้ง มักอดใจไม่อยู่มองนางอย่างเหม่อลอย ทว่าก็เป็นเพียงชั่วครู่สั้นๆ หลังจากนั้นถานไถจิ้นจะคืนสู่ความร้ายกาจดังเดิม

เวลาเขามา หลีซูซูจะทำเป็นไม่รู้ ควรทำสิ่งใดก็ทำต่อไป

หากบอกว่าก่อนหน้าเหตุการณ์บุปผาอมตะนางยังมีความหวังกับเขาอยู่บ้าง บัดนี้ในใจก็มีแต่ความเหี่ยวเฉาว่างเปล่า ปราศจากท่าทีของสิ่งมีชีวิตโดยสิ้นเชิง

นางแค่นับวันรอให้วันหยินยามหยินมาถึง

 

เดือนสิบเอ็ด อีกไม่นานวังหลวงจะมีงานเลี้ยง ร่างกายของเยี่ยปิงฉางฟื้นฟูพอสมควรแล้ว หลังจากบุปผาอมตะเข้าสู่ร่างกาย บาดแผลของนางก็ไม่ทิ้งร่องรอยไว้แม้แต่น้อย

เสี่ยวฮุ่ยสางผมแต่งตัวให้นาง มองสตรีที่งามเฉิดฉันในคันฉ่องแล้วอดอุทานด้วยความชื่นชมมิได้ “ฟูเหรินงามขึ้นทุกวัน ผู้ใดจะคิดว่าบุปผาอมตะจะรักษาได้แม้กระทั่งโรคเรื้อรังของฟูเหริน”

เยี่ยปิงฉางในตอนนี้ปากแดงฟันขาว นางลูบดวงหน้าของตนเอง เผยรอยยิ้มอ่อนหวานออกมา

เสี่ยวฮุ่ยพูดอย่างเบิกบาน “หมู่นี้ฝ่าบาททรงยุ่งกับการกวาดล้างพรรคพวกที่เหลืออยู่ขององค์ชายแปด อีกไม่นานแคว้นโจวก็จะสงบสุขโดยสมบูรณ์ ฟูเหรินทราบหรือไม่ อีกไม่กี่วันวังหลวงจะมีงานเลี้ยง อันที่จริงวันนั้นยังเป็นวันพิเศษวันหนึ่งด้วย”

“วันพิเศษอะไรหรือ”

เสี่ยวฮุ่ยขยับเข้าไปข้างหูเยี่ยปิงฉาง กระซิบเบาๆ หลายประโยค ใบหน้าของเยี่ยปิงฉางแดงเรื่อทันใด นางมองเสี่ยวฮุ่ยแวบหนึ่งด้วยสายตาตำหนิ

เสี่ยวฮุ่ยพูด “บ่าวมิได้พูดผิดนะเจ้าคะ ใครๆ ต่างบอกว่าขอบุตรวันนี้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ผู้คนในแคว้นโจวต่างเชื่อเรื่องนี้ บัดนี้ร่างกายของฟูเหรินหายดีแล้ว ขอเพียงถึงเวลารั้งตัวฝ่าบาทไว้ให้ได้ ปีหน้าจะต้องให้กำเนิดองค์ชายน้อยแน่ๆ”

เยี่ยปิงฉางว่า “เจ้าเด็กผู้นี้ช่างพูดมากนัก เป็นข้าที่คิดการไม่รอบคอบ ควรจะส่งเจ้าออกเรือนไปนานแล้ว!”

ก่อนงานเลี้ยงในวังจะเริ่มขึ้น เสี่ยวฮุ่ยแต่งองค์ทรงเครื่องให้เยี่ยปิงฉางอย่างพิถีพิถัน

เยี่ยปิงฉางไปหาถานไถจิ้น ทว่าพวกนางไปไม่ถูกจังหวะ ถานไถจิ้นยังมิได้ไปที่งานเลี้ยง แต่กลับนั่งอยู่ใต้ต้นเหมยพูดคุยกับคนผู้หนึ่ง

เยี่ยปิงฉางมองดู เหมือนจะเป็นใต้เท้าผู้หนึ่งที่ทำหน้าที่ไล่ล่าองค์ชายแปด ถานไถจิ้นให้ความสำคัญกับขุนนางมากความสามารถมาแต่ไหนแต่ไร ใต้เท้าผู้นี้ได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว ดูแล้วถานไถจิ้นมีใจจะบ่มเพาะเขาเป็นขุนนางคนสนิท

เขามีใบหน้าที่อ่อนเยาว์และหล่อเหลาทีเดียว ราวครึ่งเดือนก่อนเยี่ยปิงฉางเคยพบใต้เท้าผู้นี้ ดูเหมือนจะแซ่ฉี

ยามนั้นใต้เท้าฉีดูองอาจผ่าเผย ทว่าบัดนี้บุรุษในชุดขุนนาง ดวงตากลับมีแต่ความหม่นหมองทุกข์ตรม

ถานไถจิ้นมองฉีโม่อย่างเย็นชา “เจ้าคิดดีแล้วหรือ จะลาออกจากการเป็นขุนนาง?”

ฉีโม่โขกศีรษะ “กระหม่อมผิดต่อพระเมตตาของฝ่าบาท” เขาถอดหมวก ริมฝีปากไม่หลงเหลือเลือดฝาดแม้แต่น้อย

ถานไถจิ้นเห็นว่ามิอาจรั้งคนไว้ได้ เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไสหัวไปเถอะ”

ฉีโม่ลุกขึ้นเดินจากไป ตอนผ่านเยี่ยปิงฉางไม่แสดงท่าทีใดๆ เหมือนศพเดินได้กระนั้น

ถานไถจิ้นลุกขึ้นเดินไปงานเลี้ยง เยี่ยปิงฉางเห็นเขาไม่เอ่ยอะไร จึงได้แต่ตามหลังเขาไปเงียบๆ

ท่ามกลางเสียงเครื่องเป่าและเครื่องสาย ชายหนุ่มในชุดสีนิลเท้าคาง มองการร่ายรำภายในงานด้วยสายตาเย็นชา

เยี่ยปิงฉางร้องเรียกเขาสองครั้ง ถานไถจิ้นล้วนไม่ตอบสนอง นางจึงรู้ว่าความคิดจิตใจของถานไถจิ้นมิได้อยู่ตรงนี้

เป็นเพราะใต้เท้าฉีผู้นั้นหรือ นางคิดในใจ ใต้เท้าฉีผู้นั้นพูดอะไรบ้างกันแน่

ในใจนางเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี วันนี้นางตั้งใจแต่งตัวอย่างพิถีพิถันยิ่ง ตอนออกจากประตูเสี่ยวฮุ่ยบอกว่านางงามยิ่งกว่าบุปผา แม้แต่เครื่องหอมบนเสื้อผ้า นางยังเลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดี

เยี่ยปิงฉางมาแคว้นโจวได้ครึ่งปีแล้ว แม้ทุกคนในวังต่างบอกว่านางเป็นที่โปรดปราน แต่ความจริงเป็นอย่างไรนางย่อมรู้ดีกว่าใคร นางกลัวว่าคืนนี้ยังคงรั้งตัวถานไถจิ้นไว้ไม่ได้ อีกทั้งทรราชผู้นี้ไหวพริบเฉียบไวจิตใจโหดเหี้ยม หากไม่มั่นใจ นางไม่กล้าใช้ลูกไม้กับเขาแม้แต่น้อย

ถานไถจิ้นไม่รู้ว่าเยี่ยปิงฉางที่นั่งอยู่เบื้องล่างคิดอะไรอยู่ น้อยครั้งจริงๆ ที่เขาจะจิตใจไม่อยู่กับตัวเช่นนี้

คำพูดของฉีโม่ที่มาขอลาออกจากการเป็นขุนนาง ทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว

เขามีกฎเกณฑ์ของเขา ฉีโม่เข้ามามีส่วนร่วมในแผนการต่างๆ ของเขามากเกินไป บัดนี้คิดจะถอนตัว ไม่ตายก็ต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ครึ่งหนึ่ง ทว่าฉีโม่กลับละทิ้งโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ ยืนกรานขอลาออกจากการเป็นขุนนาง

ไม่ ควรบอกว่าเขาลาออกด้วยจิตใจที่ตายไปแล้วมากกว่า

เรื่องราวของฉีโม่ ถานไถจิ้นรู้เป็นอย่างดี เพราะการที่เขาจะใช้คนผู้หนึ่ง ย่อมต้องรู้ตื้นลึกหนาบางของคนผู้นั้นก่อนจึงจะไว้ใจได้

หนึ่งปีก่อนตอนซย่าโจวสองแคว้นยังทำสงครามกันอยู่ ฉีโม่ยังเป็นเพียงนายกองตำแหน่งเล็กๆ ผู้หนึ่ง เขาสร้างความดีความชอบไม่น้อย มีผลงานการศึกอันโดดเด่นในสมรภูมิ

สงครามที่ชังโจว ฉีโม่นำทหารไปริบทรัพย์บ้านหลังหนึ่งและฆ่าคนทั้งตระกูล สุดท้ายกลับแอบซุกซ่อนคุณหนูห้าของบ้านนั้นไว้

ฉีโม่หลงรักนางตั้งแต่แรกพบ แม่นางผู้นั้นนิสัยแข็งกร้าว คิดจะฆ่าฉีโม่ตลอดเวลา เพื่อล้างแค้นให้ตระกูล

ในดวงตาของหญิงสาวไม่มีคำว่า ‘สงคราม’ นางเห็นเพียงบุรุษที่เหมือนอสุรกายผู้นี้สังหารคนในครอบครัวนางจนหมด ทั้งยังฉุดคร่านางไป

สิ่งที่ทำให้นางเดือดดาลที่สุดคือ ก่อนที่ฉีโม่จะพบกับนาง เขามีครอบครัวอยู่แล้ว

คุณหนูห้าสกุลเสิ่นพยายามฆ่าฉีโม่หลายครั้ง แต่สุดท้ายล้วนถูกเขาจับได้ นางเป็นเพียงสตรีอ่อนแอผู้หนึ่ง สุดท้ายถูกฉีโม่ใช้กำลังบังคับรับเป็นอนุ ฉีโม่ลงมือรวดเร็วฉับไว คุณหนูห้าสกุลเสิ่นขัดขืนหลายครั้ง จงใจก่อความวุ่นวายภายในเรือน เขาสงสารนาง แต่ก็อดโมโหมิได้

ฮูหยินผู้เฒ่าฉีไม่ชอบนางจิ้งจอกที่ทำให้บุตรชายตนหลงหัวปักหัวปำผู้นี้เช่นกัน ดังนั้นจึงฉวยโอกาสตอนฉีโม่ไม่อยู่ ร่วมมือกับภรรยาเอกของฉีโม่ กลั่นแกล้งทรมานคุณหนูห้าสกุลเสิ่น

ฉีโม่ถูกคุณหนูห้าสกุลเสิ่นปฏิเสธหลายครั้งหลายหน จึงตัดสินใจมองดูอยู่ข้างๆ อย่างเย็นชา เวลาผ่านไปนานเข้า เขาพบว่าหนามแหลมบนตัวคุณหนูห้าสกุลเสิ่นหายไป นางโอนอ่อนและเชื่อฟังเขา ยิ้มแย้มกับเขา

เรื่องนี้ทำให้ฉีโม่ดีใจอยู่พักหนึ่ง รักใคร่ตามใจคุณหนูห้าสกุลเสิ่นมากกว่าเดิม ค้างคืนที่ห้องนางทุกวัน นางอยากได้สิ่งใดก็หามาให้ทั้งหมด ปีนี้นางยังให้กำเนิดบุตรชายผู้หนึ่งแก่ฉีโม่

ทุกอย่างดูงดงามบริบูรณ์เหลือเกิน จวบจนเมื่อคืนฉีโม่รับคำสั่งไปกวาดล้างทหารกบฏขององค์ชายแปด คุณหนูห้าสกุลเสิ่นได้วางเพลิงเผาตนเองกับลูกชายที่ยังเล็ก รวมถึงมารดาบังเกิดเกล้าและภรรยาเอกของฉีโม่ที่ถูกขังอยู่ในบ้านด้วย

บุคคลใกล้ชิดของฉีโม่ตายไปทั้งหมด คุณหนูห้าสกุลเสิ่นทำให้เขาได้สัมผัสกับคำว่า ‘บ้านแตกสาแหรกขาด’

หัวใจของฉีโม่เหมือนตายไปแล้ว เขาจึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นขุนนาง

ถานไถจิ้นดูออกว่าขุนนางที่ฝีมือไม่เลวผู้นี้ ดวงตาปราศจากชีวิต ต่อให้ตนไม่ลงมือ ฉีโม่ก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่พ้นฤดูหนาวปีนี้

เขาทนฟังเสียงดนตรีบรรเลงต่อไปไม่ไหว ตะปูดับวิญญาณในหัวใจเริ่มเจ็บแปลบอีกครั้ง เขาลูบตำแหน่งหัวใจของตนเอง เรื่องราวของอนุของฉีโม่ ทำให้เขาไม่สบายใจอย่างไร้สาเหตุ

เขาลุกขึ้นยืนทันใด อยากพบหญิงสาวที่เขาเกลียดเข้ากระดูกดำผู้นั้นเหลือเกิน

เยี่ยปิงฉางอดพูดมิได้ “ฝ่าบาท! งานเลี้ยงยังไม่…”

เขาไม่หันกลับมาแม้แต่น้อย เอ่ยเสียงเรียบว่า “งานเลี้ยงจบแล้ว เจ้าก็กลับเองเถอะ เรามีธุระ”

เยี่ยปิงฉางได้แต่เฝ้ามองฮ่องเต้ในชุดสีนิลจากไปโดยมิอาจทำอะไรได้ นางจิกเล็บเข้าไปในฝ่ามือ

 

ถานไถจิ้นเดินมาถึงวังเย็น เสียงเครื่องเป่าและเครื่องสายห่างออกไปนานแล้ว เขารู้ว่ายังไม่ถึงวันที่สิบห้า ตนไม่ควรมาที่นี่ เขาเคยพูดไปแล้วว่าจะไม่เกิดความรู้สึกใดๆ กับนางอีก

เขายกมือขึ้น และวางลง

ถานไถจิ้นเป็นองค์ชายของแคว้นโจว ย่อมรู้ดีว่าวันนี้เป็นวันอะไร ฮ่องเต้จะอยู่กับคนที่ตนรัก อธิษฐานขอบุตรในวันนี้

เขาไม่ควรมาที่นี่ ชายหนุ่มพลันมีสีหน้าเยียบเย็น หันหลังกลับตำหนักของตนเอง

ฉีโม่ต้องมีจุดจบเช่นนี้ เพราะตัวเขาเองไม่เอาไหน

ในตำหนักเฉิงเฉียน ธงกลืนวิญญาณหมุนวนกลางอากาศ ถานไถจิ้นมองมันอยู่นาน ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “นักพรตเฒ่า เราจำได้ว่าแต่ก่อนเจ้าเคยบอกว่ามีวัตถุเวทชิ้นหนึ่งสามารถพันธนาการคนผู้หนึ่งไว้ ทำให้นางมิอาจจากไปที่ใดได้ตลอดกาล”

หมอกดำปั่นป่วน ท่ามกลางเสียงหัวเราะชั่วร้าย นักพรตเฒ่าก้าวออกมาด้วยท่าทีนอบน้อม

“พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ของชิ้นนี้เป็นสิ่งชั่วร้าย หากฝ่าบาทใช้มัน ย่อมเป็นผลเสียต่อพระวรกายด้วย”

“เอามา”

นักพรตเฒ่าหยิบกำไลสีทองสองวงออกมาทันที “ฝ่าบาทวางพระทัย แม้นี่จะเป็นวัตถุชั่วร้าย แต่ก็เป็นวัตถุเวทคุ้มครองกายอย่างหาได้ยากยิ่ง หากวัตถุเวทนี้ไม่แตก ย่อมสามารถคุ้มครองเจ้าของให้ปลอดภัยได้ ต่อให้นางตายไป กระหม่อมก็สามารถเสาะหาวิญญาณของนางได้”

ถานไถจิ้นพิจารณากำไลสองวงนั้น สวมกำไลข้างหนึ่งกับข้อมือตนเองโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

กำไลแนบติดกับข้อมือเขา มุมปากเขามีโลหิตไหลหยดลงมา ถานไถจิ้นเช็ดมันด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์

เขาโค้งริมฝีปาก สีหน้าเจือแววเสียดสีเล็กน้อย

 

หลีซูซูเพิ่งจะนอนลง ประตูก็ถูกคนเปิดออก

ใกล้เข้าช่วงลี่ตง* แม้แคว้นโจวจะไม่หนาวเหมือนแคว้นซย่า ทว่าวังเย็นที่ทรุดโทรมและมีเพียงผ้าห่มผืนบางย่อมยากที่จะให้ความอบอุ่นได้

นางลุกขึ้นนั่งบนเตียง ถามผู้มาว่า “เจ้ามาด้วยเหตุใด”

ทั้งสองคนต่างรู้ดีว่าวันนี้ยังมิใช่วันที่สิบห้า

ชายหนุ่มเงียบงัน คว้าข้อมือนางขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “วันนี้ข้าฟังเรื่องเรื่องหนึ่งมา อนุของฉีโม่ฆ่าคนในครอบครัวเขาทั้งหมด”

หลีซูซูพูด “ดังนั้นเจ้าเลยกลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าบ้าง?” นางเงียบไปและเสริมว่า “ยังมีเยี่ยปิงฉางอีกคน”

หลีซูซูมองไม่เห็นสีหน้าเขา ทว่ากลิ่นอายของชายหนุ่มอยู่ข้างกาย ทำให้นางรู้สึกอึดอัดมาก นางอยากดึงข้อมือตนเองกลับมา แต่เขากลับไม่ยอมปล่อยมือ

เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย “มิผิด”

วัตถุเย็นเฉียบอย่างหนึ่งถูกดันมาบนข้อมือ เหมือนงูที่แลบลิ้นเลียผิวขาวซีดของนาง

“นี่คืออะไร” หลีซูซูพูดอย่างต่อต้าน

ถานไถจิ้นตอบ “แน่นอนว่าย่อมเป็นของที่ทำให้เจ้าทรมาน ถอดใจเสียเถอะ เมื่อสวมเข้าไปแล้วจะมิอาจถอดออกได้”

โกวอวี้พูด “เขาโกหกท่าน นี่คือกำไลฝูจื่อ วัตถุเวทชั่วร้ายคู่หนึ่ง บนมือเขาก็สวมอยู่ข้างหนึ่ง คู่กันกับท่าน มีของสิ่งนี้แล้ว ท่านมิอาจจากเขาไปเกินเจ็ดวัน หากจากไปจริงๆ ท่านจะตาย เขาเองก็จะตายด้วย” ขบคิดดูแล้ว โกวอวี้เสริมอีกว่า “ขณะเดียวกันยังสามารถปกป้องท่าน ทำให้ท่านไม่ได้รับอันตราย”

มือเล็กเย็นเฉียบของหลีซูซูถูกถานไถจิ้นกุมไว้ในฝ่ามือ นางเงียบงันเนิ่นนาน แววต่อต้านบนใบหน้าสลายไป ในใจเกิดความเบิกบานจางๆ เมื่อไขกระดูกเทพเข้าสู่ร่างกาย เขาย่อมไม่ตาย กำไลฝูจื่อมิอาจพันธนาการข้าได้ ในเมื่อถานไถจิ้นชอบควบคุมบงการนัก เช่นนั้นก็ให้เขาเห็นกับตาว่ากำไลฝูจื่อวงนี้แตกสลายไปอย่างไร

ส่วนเขา มิอาจหยุดยั้งอะไรได้ทั้งนั้น

 

* ลี่ตง คือวันเริ่มต้นฤดูหนาว ชาวจีนระบุช่วงวันของภูมิอากาศในหนึ่งปีไว้ 24 ลักษณะ เรียกว่ายี่สิบสี่ฤดูลักษณ์ โดย ‘ลี่ตง’ หมายถึงเริ่มต้นฤดูหนาว ตรงกับวันที่ 7-8 พฤศจิกายน

บทที่ 75

สวมกำไลเข้ากับข้อมือของหญิงสาวแล้ว ถานไถจิ้นหลุบตามอง พบว่านางผอมลงมากเหลือเกิน

แต่ก่อนนางสดใสร่าเริง เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา บัดนี้พวงแก้มซูบตอบลง แม้แต่ข้อมือยังบางลงกว่าเดิม หลีซูซูผิวขาวมาก ถานไถจิ้นแค่ออกแรงนิดเดียว ก็ทิ้งรอยสีเขียวม่วงไว้บนร่างกายนางแล้ว ตอนนี้ความขาวของนางกลายเป็นความขาวซีดเหมือนคนป่วย

เขาพลันรู้สึกว่าตนเองไม่มีความสุข

ดวงตานางไร้ประกาย ประหนึ่งดอกถานฮวาที่ดับสูญในราตรี เมื่อถูกบังคับให้สวมใส่กำไลฝูจื่อที่บอกว่าเป็น ‘เครื่องทรมาน’ หญิงสาวมิได้ดิ้นรน ใบหน้าไม่มีแววต่อต้านมากนัก

ถานไถจิ้นพลันคิดถึงคุณหนูห้าสกุลเสิ่น คุณหนูห้าสกุลเสิ่นก็เคยว่าง่ายเชื่อฟังเช่นนี้ในช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุเหมือนกัน

ทั้งที่เขาจับนางไว้ได้แล้ว ในใจกลับเหมือนถูกของหนักกดทับอยู่ ตามหลักความรู้สึกนี้ควรจะทรมาน ทว่าหัวใจที่เต้นอยู่ในโพรงอกเขายังคงเต้นอย่างเนิบช้าสม่ำเสมอ หัวใจของเขาเยียบเย็น เขาถึงขั้นรู้สึกว่านางที่เป็นเช่นนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยนางก็หนีไปที่ใดไม่ได้อีก เขาไม่ต้องถามองครักษ์ลับทุกครั้งที่ลืมตาตื่นมาว่าวันนี้นางยังอยู่หรือไม่

จิงหลันอันเคยบอกว่าเขาเป็นตัวประหลาดน้อยที่ห่มหนังคน แต่ปราศจากอารมณ์ความรู้สึก

แต่ก่อนเขาไม่เห็นด้วย ยามนี้กลับเข้าใจแล้วว่าคำพูดนี้กล่าวได้ถูกต้อง อารมณ์ทั้งหมดที่เลียนแบบมา สุดท้ายก็เป็นเพียงของปลอม ในใจเขามีเพียงทะเลสาบน้ำแข็งที่ปราศจากริ้วคลื่น

เกลียดเขาจะเป็นอะไรไป ถึงอย่างไรความรักของนางก็ไม่มีทางมอบให้เขาอยู่แล้ว เหลือความเกลียดชังไว้ก็ยังดี

คนในห้องยังไม่จากไปสักที หลีซูซูรู้สึกได้ จึงลืมตาเอ่ยปากไล่เสียงเย็นชา “ออกไป”

ถานไถจิ้นเหมือนมองเห็นรูปปั้นเทพธิดาแก้วหลิวหลีที่ปรายตามองเขาอย่างเย็นชาในวัยเยาว์อีกครั้ง นางอยู่ในสภาพนี้แล้ว ยังคงวางตัวสูงส่งถึงเพียงนั้น

หลีซูซูคิดว่าถานไถจิ้นได้ยินสองคำนี้แล้วจะจากไป ทว่าอึดใจต่อมามือข้างหนึ่งกลับสัมผัสใบหน้านาง

นางได้ยินเขาถามอย่างลังเล “เจ้าอยากออกไปจากวังเย็นหรือไม่”

ตั้งแต่ตะปูดับวิญญาณหกดอกตอกลงบนหัวใจเขา นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขามิได้สัมผัสนางด้วยเรี่ยวแรงเหมือนอยากจะบีบนางให้ตาย

หลีซูซูปัดมือเขาออก พลันหัวเราะเอ่ย “เจ้าจะยอมให้ข้าออกจากแคว้นโจวหรือไม่ล่ะ”

ถานไถจิ้นสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างขุ่นขึ้ง “ตอนนี้ไม่ว่าที่ใดเจ้าก็ไปไม่ได้ทั้งนั้น ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าอย่าเพ้อฝันเลยว่าจะหนีไปที่ใดได้”

หลีซูซูพูดตอบเขา “สิ่งที่ข้าต้องการเจ้าให้ไม่ได้ สิ่งที่เจ้ามอบให้ข้าไม่ต้องการ ฉะนั้นออกหรือไม่ออกไป จะมีอันใดแตกต่างกัน”

นิ้วมือของถานไถจิ้นกำแน่น นี่นางกำลังบอกว่าการอยู่ข้างกายเขา ทำให้นางทรมานยิ่งกว่าอยู่ในวังเย็นหรือ

เขาไม่ควรถามคำถามนี้เลย สตรีผู้หนึ่งที่ต้องการชีวิตเขา การที่นางหนาวเหน็บหิวโหย อิดโรยจนมีสภาพดูไม่ได้ นี่ต่างหากคือภาพที่เขาอยากจะเห็น

หลีซูซูคิดว่าพูดชัดเจนถึงเพียงนี้แล้ว ศักดิ์ศรีอันร้ายกาจในตัวถานไถจิ้นจะกระตุ้นให้เขาไปจากเรือนเล็กทรุดโทรมหลังนี้โดยไว ทว่าอึดใจต่อมาข้อมือนางกลับถูกคว้าจับ เขาโน้มตัวทาบกายลงมา

ถานไถจิ้นเม้มปากมองนาง หญิงสาวใต้ร่างเรือนผมสีดำแผ่สยาย นางไม่มีวันรู้ว่ากิริยาท่าทีของนางชวนให้คนใฝ่ฝันถึงมากเพียงใด เหมือนน้ำแข็งก้อนหนึ่งที่ให้ความร้อนอย่างไรก็ไม่ละลาย ทำให้เขาชิงชังในความแข็งกร้าวของนาง แต่อีกทางหนึ่งก็หมายปองความงามบริสุทธิ์ของนางอย่างห้ามใจไม่อยู่

“เจ้าที่อาศัยอยู่ในวังเย็นก็เป็นเพียงทาสหญิงผู้หนึ่งเท่านั้น!”

จากน้ำเสียงเย็นชาดูหมิ่นนี้ หลีซูซูกลับจับความลนลานทำอะไรไม่ถูกและการต่อสู้ดิ้นรนของเขาได้หลายส่วน

หลีซูซูพลันเอ่ยปาก “วันนี้มิใช่วันที่สิบห้า”

ถานไถจิ้นชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนย้อนถามเสียงเย็น “แล้วอย่างไร เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิ์เลือกอย่างนั้นหรือ”

หลีซูซูตอบเขา “ข้าเพียงอยากบอกว่าข้าไม่มีความรู้สึกใดๆ กับเจ้า หากเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมีอารมณ์ล่ะก็…”

หลีซูซูมิได้พูดต่อ

ชายหนุ่มที่อยู่บนร่างนางร่างกายแข็งทื่อ อาจเพราะสำหรับบุรุษผู้หนึ่ง คำพูดของนางสร้างความลำบากใจแก่เขาอย่างยิ่ง เขาจับไหล่นางด้วยโทสะที่แปรเปลี่ยนมาจากความอับอาย พินิจนางอย่างเย็นชา “ไม่มีความรู้สึกใดๆ กับข้า? เช่นนั้นเจ้ามีความรู้สึกกับใคร หึ เซียวหลิ่นอย่างนั้นหรือ น่าเสียดายที่เจ้าฆ่าเขาด้วยมือของเจ้าเอง และเขาเองก็ไม่เคยรักเจ้ามาก่อน”

หลีซูซูเม้มปากแน่น

ในที่สุดถานไถจิ้นก็เห็นอารมณ์อื่นบนใบหน้านาง กระนั้นมันกลับทำให้เขาโมโหกว่าเดิม เขากัดฟันเอ่ย “เจ้าค่อยๆ รอความตายอยู่ที่นี่ไปแล้วกัน!”

หลีซูซูรู้สึกโชคดีที่ตนเองมองไม่เห็น จึงไม่ต้องเห็นว่าสีหน้าของเขายามนี้น่ารังเกียจมากเพียงใด นางถูกเขาจับตัวไว้จนรู้สึกอึดอัด จึงผลักเขาออก มือสัมผัสถูกกำไลฝูจื่อบนข้อมือถานไถจิ้นโดยไม่ตั้งใจ

ภายใต้แสงเทียน กำไลสีทองบนข้อมือนางที่เหมือนกันกับเขาทุกประการเปล่งแสงจางๆ

ถานไถจิ้นดึงข้อมือกลับไป สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและจากไป

ภายในห้องเงียบสนิท หลีซูซูหันหลัง นางรู้ว่าคืนวันนี้เป็นวันอะไร นิ้วมือลูบท้องน้อยของตนเอง เงียบงันเนิ่นนาน

นางไม่มีทางให้กำเนิดทายาทแก่พญามาร บุตรของเขาย่อมมีแต่สายเลือดที่ชั่วร้าย หลีซูซูรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่จะได้จากไปโดยไม่มีห่วงใดๆ

 

เยี่ยปิงฉางสีหน้าเยียบเย็น อารมณ์ย่ำแย่ยิ่งนัก

เสี่ยวฮุ่ยยืนอยู่ข้างหลังนาง ทอดถอนใจในใจ ในฐานะสาวใช้ประจำตัว ฝ่าบาททรงค้างคืนที่นี่หรือไม่นั้นนางย่อมรู้ดีที่สุด

เสี่ยวฮุ่ยกลัดกลุ้มใจมาก ฟูเหรินงามถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทกลับไม่แตะต้องนาง หรือว่ามีปัญหาด้านนั้นจริงๆ

ลวดลายสีเขียวครามที่ซ่อนเร้นอยู่บนแขนของเยี่ยปิงฉางคล้ายจะปรากฏออกมา นางกำหมัดแน่น “เสี่ยวฮุ่ย เจ้าออกไปเถอะ ข้าอยากพักผ่อนแล้ว”

“เจ้าค่ะ”

เยี่ยปิงฉางมองตราสัญลักษณ์ขององครักษ์เฉียนหลง แววเยียบเย็นแผ่กระจายในดวงตา นางไม่ยอม เหตุใดเยี่ยซีอู้ทรยศถานไถจิ้นเช่นนี้แล้ว นางยังคงเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้

มิอาจเอาชนะโชคชะตาได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ

ตอนที่เยี่ยปิงฉางได้เกล็ดป้องหัวใจมา นางเห็นคำทำนายอนาคตจากในนั้น…สุดท้ายจะมีคนผู้หนึ่งแย่งชิงทุกสิ่งไปจากนาง

บัดนี้เซียวหลิ่นไม่อยู่แล้ว เกล็ดป้องหัวใจแตกสลายแล้ว ผังอี๋จือกลายเป็นเครื่องสังเวย แม้แต่องครักษ์เฉียนหลงก็ล้มตายไปกว่าครึ่ง หรือว่ามีเพียงเยี่ยซีอู้ตายไปเท่านั้น ตนจึงจะสามารถคว้าจับของที่เป็นของตนเอาไว้ได้

เยี่ยปิงฉางมองแสงไฟที่เต้นระริก นัยน์ตาเจือประกายหม่นหมอง

ว่าไปก็แปลก แต่ไรมาฤดูเหมันต์ของแคว้นโจวไม่เคยมีหิมะ

ปีนี้กลับแตกต่างออกไป ช่วงฤดูหนาว หิมะแรกในรอบร้อยปีของแคว้นโจวโปรยปรายลงมา

หนึ่งคืนผ่านไป ฟ้าดินถูกห่มคลุมด้วยสีเงิน วังเย็นอัตคัด เดิมทีหลีซูซูคิดว่าคงได้แต่อดทนกับความหนาวเย็นเช่นนี้เสียแล้ว ทว่าตอนเช้ากลับได้รับ ‘ของพระราชทาน’

ขันทีน้อยที่นำของมาให้มิได้พูดอะไรทั้งนั้น เขาวางของไว้และจากไป ท่าทีเย็นชาเหมือนคนผู้นั้นไม่มีผิด

นิ้วมือของหลีซูซูไล้ผ่านเสื้อบุนวมตัวหนา ผ้านวมนุ่มฟู ทั้งยังสัมผัสได้ถึงเตาอุ่น

โกวอวี้บอกนางว่า “บนพื้นห่างออกไปยังมีถ่านที่ใช้เผาในหน้าหนาว ขันทีวางไว้หลังประตู เจ้านายน้อยระวังหน่อยย่อมไม่สะดุด”

หากจะปล่อยให้นางใช้ชีวิตตามยถากรรมจริงๆ ของเหล่านี้ก็ไม่ควรปรากฏในวังเย็น ไม่ว่าอยากเก็บนางไว้ทรมานอย่างช้าๆ หรือมีจุดประสงค์อื่น แต่ถานไถจิ้นไม่อยากให้นางตาย

ในห้องค่อยๆ อบอุ่นขึ้นอย่างช้าๆ

 

หลีซูซูเก็บรวบรวมไอหยินอยู่นาน รูม่านตาดำเข้มดุจรัตติกาล ทว่าดวงตากลับไร้ประกาย

วิหคน้อยตัวหนึ่งร่อนกายลงเบาๆ ตรงหน้าต่าง มันกระพือปีกสะบัดเกล็ดหิมะออก

หลีซูซูลูบหัวมัน ร่างของวิหคน้อยเลือนหาย ก่อนจะบินจากไปอย่างเงียบเชียบ

โกวอวี้รู้ว่านางคิดจะทำสิ่งใด “เจ้านายน้อยไม่ต้องกลัว โกวอวี้อยู่เคียงข้างท่าน”

หลีซูซูส่ายหน้า “ข้าเฝ้ารอวันนี้…มานานเหลือเกินแล้ว”

วันหยินยามหยินคืออีกสามวันให้หลัง นางรู้ว่าตนเองมิอาจกลับไปยังบรรพตฉางเจ๋อได้อีก ชั่วชีวิตนี้มิอาจเป็นเทพธิดาได้

นางอยากกลับบ้านถึงเพียงนั้น แต่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ความหวาดกลัวในใจนางเพิ่มขึ้นทุกวัน จวบจนตอนนี้ในใจนางเหลือเพียงความหวังที่จะได้รับการปลดปล่อย

สองปีมานี้นางเหนื่อยเหลือเกิน

แต่นางไม่อยากตายอยู่ในวังอันเยียบเย็น ต่อให้จะจากไป นางก็อยากออกไปให้ไกลสักหน่อย เหมือนในปีที่นางฝึกบังคับกระบี่อย่างทุลักทุเล เข้าใกล้ผืนฟ้า นั่นเป็นครั้งที่นางได้ใกล้ชิดกับความอิสรเสรีมากที่สุด

ตอนหัวค่ำ วิหคน้อยที่ถูกพรางกายบินกลับมา มันส่งเสียงจิ๊บๆ สองที

โกวอวี้พูดขึ้นว่า “ปราณหยินอยู่ที่เมืองหลินเวย เป็นสถานที่ที่ทหารกบฏและองค์ชายแปดซ่อนตัวอยู่ ตอนนี้โกวอวี้ไม่ต้องประหยัดพลังวิเศษแล้ว เจ้านายน้อย ข้าจะพาท่านไปเอง”

หลีซูซูเอ่ย “โลกมนุษย์มีปราณมังกรและปราณหยิน ปราณมังกรช่วยให้สรรพชีวิตในแต่ละยุคแข็งแกร่งไม่ดับสูญ ปราณหยินสามารถชักนำอสนีสวรรค์ อีกสองวันให้หลัง พวกเราค่อยไปเมืองหลินเวย”

องค์ชายแปดฆ่าท่านย่า นางไม่มีทางปล่อยให้เขามีชีวิตรอด

เมืองหลินเวยอยู่ไกลออกไปพันหลี่ กว่าถานไถจิ้นจะรู้ นางก็คงจากโลกนี้ไปแล้ว

ไม่ต้องพบเขาอีก ช่างเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก

 

ค่ำคืนที่ลมหิมะผสมปนเป หญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาวปรากฏตัวในเมืองหลินเวยอย่างเงียบเชียบ

นางถือกระบี่เล่มเล็กที่เหลาจากไม้หลิว ย่ำหิมะที่ทับถม เดินไปยังจวนว่าการประจำเมือง

เบื้องหลังแสงเทียนที่ส่ายไปมา เป็นองค์ชายแปดที่กำลังหาความสำราญอยู่

องค์ชายแปดอับจนหนทางแล้ว ห่างออกไปเพียงหนึ่งกำแพงกั้น เยี่ยฉู่เฟิงนำกองทัพใหญ่หลายแสนมาปิดล้อมพวกเขาไว้ ต่อให้เขามีปีกก็ยากที่จะหนี จึงบังเกิดความรู้สึกทุบกระปุกแตกให้แตกละเอียด*

หลีซูซูคิดไม่ถึงว่าจะพบเยี่ยปิงฉางที่นี่

เยี่ยปิงฉางสวมชุดสีฟ้า มององค์ชายแปดด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย ตอนหลีซูซูเลิกม่านเดินเข้ามา นางตกใจ ลุกขึ้นยืนทันใด “เจ้า…น้องหญิงสาม!”

เยี่ยปิงฉางมีท่าทีลนลานชั่วขณะหนึ่ง ถึงอย่างไรเรื่องที่นางลอบสมคบกับองค์ชายแปดก็ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน หลีซูซูเข้ามาอย่างเงียบเชียบ เป็นการทำลายแผนการของนางโดยตรง

หลีซูซูหันหน้าไป ‘จ้องมอง’ นาง

“เป็นเจ้าจริงๆ” หลีซูซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

เยี่ยปิงฉางเม้มปาก เห็นหลีซูซูมีสีหน้าเฉยชา เหมือนกำลังมองตัวตลกที่กระโดดอยู่บนไม้คาน* ความตระหนกลนลานในใจของนางกลับสงบลง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเสียดสี

“ข้าเพียงแต่ไขว่คว้าในสิ่งที่ข้าต้องการเท่านั้น ข้าผิดหรือไร เจ้าต้องการตำแหน่งนั้น ข้าก็ปรารถนาเช่นกัน มิอาจได้บุปผาอมตะไปครอบครอง ช่วยท่านย่ากลับมาไม่ได้ เยี่ยซีอู้ ล้วนเป็นเพราะฝีมือเจ้าสู้ข้าไม่ได้”

หลีซูซูถือกระบี่ชี้ไปที่นาง

จวบจนบัดนี้เยี่ยปิงฉางยังคงคิดว่าตนกำลังแย่งตำแหน่งฮองเฮากับนาง ไม่ว่าในฝันหรือโลกความจริง เยี่ยปิงฉางล้วนเห็นตนเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของนาง

ที่น่าขันคือหลีซูซูไม่เคยสนใจสิ่งเหล่านี้เลย ของที่สูงส่งเลิศเลอในใจของเยี่ยปิงฉาง สำหรับหลีซูซูแล้ว ประหนึ่งธุลีดินและน้ำค้างยามเช้าเท่านั้น เพียบกะพริบตาก็สลายไป

“เจ้าไม่ควรหักหลังท่านย่า”

เยี่ยปิงฉางลูบชายกระโปรงให้เรียบอย่างสุขุมพลางยิ้ม “เจ้าผิดแล้ว เดิมทีนั่นมิใช่แผนการของข้า ก็แค่ผลักเรือตามน้ำเท่านั้น ยายเฒ่านั่นลำเอียงมาชั่วชีวิต นางควรรู้ได้ตั้งนานแล้วว่าตนเองต้องมีจุดจบเช่นนี้”

กระบี่ในมือหลีซูซูพุ่งออกไป ฟาดใส่หน้าเยี่ยปิงฉางทันใด

เยี่ยปิงฉางถูกโจมตีจนลอยกระเด็น ใบหน้ามีรอยแผลเพิ่มมาทันตา

หลีซูซูยกเท้าขึ้น เหยียบไหล่นางไว้ “ยามที่นางลำบาก เจ้าเคยทุ่มเทสิ่งใดเพื่อนางบ้าง นางไม่รักเจ้ามากพอ เจ้าก็จะสังหารนาง เยี่ยปิงฉาง เจ้าหน้าด้านจนเคยตัว คิดว่าสตรีทั่วหล้านี้ล้วนเป็นมารดาเจ้าหรือไร สมควรทุ่มเทเพื่อเจ้าโดยไม่นึกเสียใจภายหลัง หาไม่แล้วคนเหล่านั้นล้วนสมควรตายหรือ”

เยี่ยปิงฉางดิ้นไม่หลุด ต้องอยู่แทบเท้าหลีซูซูอย่างอัปยศ ความเจ็บทำให้ใบหน้านางบิดเบี้ยว “เจ้าย่อมไม่เข้าใจอยู่แล้ว เจ้ามีพร้อมทุกอย่างตั้งแต่เล็ก จะเห็นบุตรอนุอย่างพวกเราอยู่ในสายตาได้อย่างไร…องค์ชายแปด ท่านยังจะชมละครฉากสนุกอยู่ได้ ลืมข้อตกลงระหว่างเราไปแล้วหรือ!”

องค์ชายแปดคล้ายเพิ่งได้สติ เขาปรบมือด้วยท่าทางสนอกสนใจ

จากนั้นนักรบพลีชีพและองครักษ์เฉียนหลงปรากฏตัวพร้อมกัน

ประกายเย็นเยียบสายหนึ่งจู่โจมมาที่หลีซูซู หลีซูซูเบี่ยงตัวหลบตามคำเตือนของโกวอวี้ เยี่ยปิงฉางได้รับการช่วยเหลือในทันที

องค์ชายแปดจ้องมองหลีซูซู คลี่ยิ้มชั่วร้ายกล่าว “พวกเจ้าสองพี่น้องช่างน่าสนใจแท้ เยี่ยปิงฉางบอกให้ข้าแสร้งจับตัวนาง และบอกให้ตัวหายนะผู้นั้นเอาตัวเจ้ามาแลก ส่วนเจ้ากลับมาที่นี่เสียเอง ยังคิดจะสังหารพวกเรา น่าเสียดาย ไม่รู้ในใจของตัวหายนะ เยี่ยปิงฉางสำคัญหรือเจ้าสำคัญกว่า”

เขาเขวี้ยงถ้วย ดวงตาฉายแววเหี้ยมเกรียม “ไม่เป็นไร ลองดูก็รู้เอง ถ้าเขาไม่มา ให้เยี่ยฉู่เฟิงเป็นคนเลือกก็น่าสนุกดีเหมือนกัน”

เยี่ยปิงฉางขมวดคิ้ว ไม่รู้คิดถึงสิ่งใด เงียบงันมิได้เอ่ยปาก

ท่าทีของพวกเขาทำให้โกวอวี้อดโมโหมิได้ เหตุใดทุกคนต่างคิดว่าเจ้านายน้อยของมันจะต้องถูกทอดทิ้งแน่นอน! ทั้งที่ทุกคนล้วนชอบเจ้านายน้อยถึงเพียงนั้น

กระบี่ลอยกลับเข้ามาอยู่ในมือของหลีซูซู ข้างนอกท้องฟ้าใกล้สว่างแล้ว

หลีซูซูนิ่งคิดครู่หนึ่ง ระบายยิ้มจางๆ ออกมาทันใด

กลางดึกเยี่ยฉู่เฟิงได้ยินทหารมารายงานว่าบนซุ้มประตูเมืองหลินเวย จู่ๆ ก็มีสตรีสองคนปรากฏตัว

เขาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ จึงรีบเดินออกมานอกกระโจม

ควบอาชารุดมาถึงใต้กำแพงเมืองหลินเวย ยามนี้ดวงตาเขาเป็นเนตรปีศาจแล้ว มองปราดเดียวจึงเห็นทันทีว่าบนซุ้มประตูเมืองเป็นใคร

เยี่ยฉู่เฟิงกำสายบังเหียนแน่น

องค์ชายแปดอยู่บนซุ้มประตูเมือง ฉีกยิ้มเย็นชาให้เขา “แม่ทัพเยี่ย หลังฟ้าสางข้าจะให้เจ้าดูละครฉากเด็ดฉากหนึ่ง”

หัวคิ้วของเยี่ยฉู่เฟิงขมวดแน่น รีบใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงที่นักพรตเฒ่ามอบให้รายงานถานไถจิ้น

หิมะตกหนักตลอดทั้งคืน เดิมทีเยี่ยฉู่เฟิงคิดว่าทรราชผู้นี้ไม่น่าจะมาทัน แต่วันต่อมา เมื่อดวงอาทิตย์ยามเช้าลอยขึ้น คณะของถานไถจิ้นกลับปรากฏตัวในกระโจม

ฮ่องเต้ในชุดสีนิลสวมชุดเกราะ บนไหล่ยังมีหิมะที่ยังไม่ละลาย

การวาดข่ายอาคมเคลื่อนย้าย นักพรตเฒ่าต้องใช้โลหิตของถานไถจิ้นจำนวนมาก ถานไถจิ้นจึงใบหน้าขาวซีด กำลังเช็ดหน้าไม้คมกริบช้าๆ ดูสุขุมกว่าที่เยี่ยฉู่เฟิงคิดเอาไว้มาก

เยี่ยฉู่เฟิงคิดในใจ ไม่รู้ว่าถานไถจิ้นรุดมาไวปานนี้ เป็นเพราะข้า หรือว่าซีอู้

ถานไถจิ้นเอ่ยขึ้นว่า “เศษสวะผู้นั้นคิดจะทำสิ่งใด”

เยี่ยฉู่เฟิงเม้มปาก ตอบตามความจริง “องค์ชายแปดจับตัวซีอู้กับปิงฉางไป บอกว่าหลังฟ้าสางจะให้ชมละครฉากเด็ด”

ถานไถจิ้นยิ้มเสียดสี ฟังจบก็หยิบหน้าไม้ขึ้นมาและลุกขึ้น

“เคลื่อนทัพ” ชายอาภรณ์ของเขาถูกลมพัดจนส่งเสียงดังพึ่บพั่บ “เราจะให้ถานไถหมิงฮั่นตายในสภาพศพไม่ครบส่วน”

น้ำเสียงของถานไถจิ้นราบเรียบยิ่งนัก หากไม่เพราะเขามาถึงอย่างรวดเร็ว เยี่ยฉู่เฟิงอาจจะคิดว่าเขาไม่ใส่ใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย

ทัพใหญ่ดำทะมึนประชิดกำแพงเมือง ตอนแรกถานไถหมิงฮั่นลนลานครู่หนึ่ง แต่คิดถึงสตรีสองคนในมือแล้ว มุมปากเขาก็เผยรอยยิ้มประหลาด

ข่าวลับในวังลือกันว่าตัวประหลาดที่เป็นพี่ชายตนผู้นี้แหวกท้องมารดาเพื่อลืมตาขึ้นมาดูโลก

จะอย่างไรตนก็ต้องตายอยู่ดี เมื่อถูกบีบจนหมดหนทาง ได้ลากสตรีของเขาตายไปด้วย กลับเป็นตนที่ได้กำไร

 

ทัพใหญ่ประชิดเมือง ดวงตะวันเพิ่งจะสาดแสง บนท้องฟ้าก็เริ่มมีฟ้าผ่า

ฤดูหนาวของแคว้นโจวปีนี้ สภาพอากาศผิดปกติอยู่แล้ว คืนนี้ยิ่งประหลาด เสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น แต่กลับไม่มีฝนตกลงมา ถึงขั้นมองไม่เห็นสายฟ้าด้วยซ้ำไป

เสียงฟ้าร้องดังอึงอลเสียงแล้วเสียงเล่า เหมือนกระแทกลงบนใจคน

ม้าศึกตื่นตระหนกจนก้าวเท้าไปมาอย่างกระสับกระส่าย

ถานไถจิ้นที่อยู่บนราชรถเหม่อลอยครู่หนึ่ง เขาไม่มีเวลาได้คิดมาก เสียงฟ้าร้องอื้ออึงดังต่อเนื่องไม่นาน บนซุ้มประตูเมือง องค์ชายแปดสวมชุดมังกรสีเหลืองอร่าม ใบหน้าฉายความบ้าคลั่งของคนที่กำลังจะตาย

เยี่ยฉู่เฟิงอดตะโกนเรียกมิได้ “ซีอู้! ปิงฉาง!”

ถานไถจิ้นเงยหน้ามองไป ภายใต้ท้องฟ้ามืดครึ้ม เขามองปราดเดียวก็เห็นหญิงสาวบนกำแพงเมือง

หลีซูซูเปลี่ยนมาสวมเสื้อบุนวมสีขาวที่เขาส่งไปให้ นัยน์ตาดำเข้มจ้องมองทัพใหญ่ แม้มีผู้คนเป็นพันหมื่นขวางกั้น แต่นางกลับ ‘มองเห็น’ เขาได้ในแวบแรก

บางทีนั่นอาจเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง ชั่วขณะนั้นอากาศเหมือนจะหยุดนิ่ง

มือของถานไถจิ้นจับราชรถแน่น เขายอมรับว่าตอนที่รู้ว่าหลีซูซูสวมกำไลฝูจื่อแล้วยังคงเลือกที่จะจากไป ในใจเขาบังเกิดความกดดันไม่สิ้นสุด

ถึงขั้นกลายเป็นความแค้นที่ยากจะบรรยาย อารมณ์มืดทะมึนในใจแผ่ออกไป นางชอบเซียวหลิ่นถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เซียวหลิ่นตายไปแล้ว นางจึงอยากตายไปพร้อมเขาด้วยใช่หรือไม่

เยี่ยปิงฉางใบหน้าฟกช้ำ ตอนที่เห็นถานไถจิ้น นางหลั่งน้ำตาอย่างห้ามไม่อยู่

องค์ชายแปดหัวเราะฮ่าๆ “เดรัจฉานน้อย วันนี้เราขึ้นครองราชย์ที่เมืองหลินเวย ในเมื่ออุตส่าห์เชิญทัพใหญ่หลายแสนมาร่วมชมพิธีได้ เราจะไม่แล้งน้ำใจไร้คุณธรรมเหมือนเจ้าหรอก หญิงที่เจ้ารักเราจะคืนให้เจ้า ทิ้งไว้หนึ่งคนให้ตายเป็นเพื่อนเราเป็นอย่างไร วางใจ เราพูดได้ทำได้แน่นอน ฟูเหรินของเจ้ากับคุณหนูเยี่ย จะรอดชีวิตได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เจ้าเลือกใคร”

พอได้ยินคำพูดนี้ เยี่ยฉู่เฟิงใบหน้าถอดสี สำหรับเขา ทั้งสองคนต่างก็เป็นน้องสาวแท้ๆ เขาไม่อยากให้พวกนางเกิดเรื่องไม่ว่าใคร

ถานไถจิ้นไม่เอ่ยอะไร

อันที่จริงสำหรับเขาเลือกใครล้วนไม่แตกต่าง ขอเพียงพวกนางปรากฏตัวในสายตาเขา เขาก็สามารถช่วยทั้งสองคนได้ในชั่วเวลาคับขันตอนสุดท้าย

ธงกลืนวิญญาณหดเล็กลงอย่างเงียบเชียบ ลอยไปยังซุ้มประตูเมือง เข้าใกล้องค์ชายแปดอย่างช้าๆ

ภายใต้ผืนฟ้ามืดมนหนักอึ้ง หญิงสาวสองคน คนหนึ่งกัดริมฝีปาก มองเขาอย่างวิงวอนและหวาดหวั่น ใบหน้าดุจดอกสาลี่เจือพิรุณ ส่วนอีกคน…

นัยน์ตาที่ดูคล้ายหินเฮยเย่าจ้องมองท้องฟ้าสีเทาหม่น แม้จะมองไม่เห็นแล้ว ทว่าในดวงตานางยังคงไม่มีเงาร่างของเขา

เหมือนเช่นในคืนนั้น นางเบือนหน้าไปทางอื่น แม้แต่กลิ่นอายของเขายังไม่อยากให้แปดเปื้อนตัว

ถานไถจิ้นแววตาเยียบเย็น ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ

รอยยิ้มขององค์ชายแปดหุบลง เอ่ยเสียงเย็นชาอันตราย “รีบเลือกเสีย! หาไม่แล้วข้าจะฆ่าทิ้งทั้งสองคน!”

ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ โกวอวี้อดหันไปมองหลีซูซูมิได้

ขนตายาวดำเข้มของหลีซูซูไหวระริก นางดึงสายตากลับมา มองไปยังทิศทางของถานไถจิ้น

โกวอวี้ไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ อยากให้ถานไถจิ้นเลือกตนหรือไม่ แต่โกวอวี้รู้ว่าการถูกคนทอดทิ้ง ถึงอย่างไรก็น่าเศร้า

นานเหลือเกินแล้วที่นางไม่ได้รับความรักและความทะนุถนอมจากใคร…

ตรองดูให้ดี หลีซูซูกับถานไถจิ้นก็เคยมีช่วงเวลาดีๆ เหมือนกัน เด็กหนุ่มที่แบกนางเดินเท้าเปล่าใต้แสงจันทร์กลับไปดูต้นท้อ ถานไถจิ้นที่ไม่อนุญาตให้ใครทำร้ายนางตอนอยู่ใต้แม่น้ำโม่เหอ ยังมีเทศกาลบุปผา ท่าทางของเขาตอนกอดนางบนสะพาน

หากนางมิได้มาที่นี่พร้อมกับภาระหน้าที่ บางทีวันนี้อาจไม่ต้องเดินมาจนถึงขั้นนี้

นิ้วมือของหลีซูซูกำหมัดเบาๆ บางทีแม้แต่ตัวนางเองยังไม่รู้ว่าเหตุใดจึงไม่สังหารเยี่ยปิงฉางเสีย กลับเดินตามพวกเขาขึ้นมาบนซุ้มประตูเมือง

นางมาเยือนโลกมนุษย์ครั้งนี้ ทุ่มเทเพื่อผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา แต่นางมิใช่วิญญาณเทพที่ไร้ใจไร้รัก นางก็คาดหวังเหมือนกันว่าในช่วงสองปีนี้จะมีคนใส่ใจนาง ไม่ว่าจะเป็นท่านย่า พี่รอง หรือว่าถานไถจิ้น

ภายใต้ลมหิมะรุนแรง หลีซูซูได้ยินฮ่องเต้หนุ่มในราชรถเอ่ยเสียงเรียบ “ปล่อยตัวปิงฉาง”

เสียงลมหยุดลงข้างหูหลีซูซู โลกของนางเปลี่ยนเป็นเงียบสนิท

เยี่ยปิงฉางน้ำตาคลอ ผลิยิ้มออกมา

ถานไถจิ้นอดหันไปมองหลีซูซูด้านข้างมิได้

เขาก็ไม่รู้ว่าตนเองอยากเห็นนางแสดงสีหน้าอย่างไร ต่อให้เป็นความโกรธแค้น ก็ยังดีกว่าเย็นชาเหยียดหยันกระมัง เขาหวังอยากให้นางเสียใจภายหลัง ทั้งยังปรารถนาความคับแค้นและไม่ยอมรับอย่างรุนแรงจากนาง อยากทำให้นางรู้ว่าใครที่สามารถมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้นางได้

ทว่าหลีซูซูกลับยืนอยู่บนซุ้มประตูเมืองสูงตระหง่าน เพียงนิ่งงันไปชั่วขณะ จากนั้นเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา รอยยิ้มนั้นไม่มีความโกรธแม้แต่น้อย ถึงขั้นเจือความรู้สึกหลุดพ้นอยู่หลายส่วน

ถานไถจิ้นพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ

ลมแรงหอบพัดชายอาภรณ์ของหลีซูซูขึ้นมา ดาบขององค์ชายแปดแทงไปยังหลีซูซู ถานไถจิ้นหรี่ตา ภายใต้ธงกลืนวิญญาณ องค์ชายแปดและคนของเขาเบิกตาถลน วิญญาณถูกดูดไปจนสิ้น ก่อนจะล้มลง

มีคนเอ่ยขึ้นว่า “สายอสนีบนท้องฟ้านั่นคืออะไร!”

ถานไถจิ้นเงยหน้า หัวใจเต้นผิดจังหวะ เขาพลันตระหนักว่าเหตุการณ์อยู่เหนือการควบคุมของเขา หันกลับไปอีกครั้ง หลีซูซูหลุดจากเชือกที่มัดตัวอยู่ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ยามนี้ยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของซุ้มประตูเมือง

บางซอกมุมในหัวใจจมดิ่งลงไม่หยุด เขาฝืนประคองสีหน้าเย็นชาไว้ แต่กลับตะโกนออกไปด้วยเสียงลนลานอย่างมิอาจควบคุม “เยี่ยซีอู้! ลงมาเดี๋ยวนี้!”

ไอสีม่วงกับไอสีดำในดวงตาหลีซูซูผสานกัน อสนีม่วงที่เดิมแฝงเร้นอยู่บนท้องฟ้ามารวมตัวกันเหนือศีรษะนางทั้งหมด เกิดเป็นภาพอันน่าพรั่นพรึง

กำไลเปล่งแสงสีขาวเจิดจ้า เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นหยกโค้งชิ้นหนึ่ง เริงระบำรอบตัวนาง

เยี่ยปิงฉางมองไปยังตำแหน่งที่หลีซูซูอยู่ ดวงตาสาดประกาย ส่งสัญญาณไปยังองครักษ์เฉียนหลง ขอเพียงตอนนี้…

หลีซูซูยกมือขึ้น บีบคอเยี่ยปิงฉางกลางอากาศ

เยี่ยปิงฉางไม่รู้ว่าหลีซูซูรู้ได้อย่างไร นางมีสีหน้าหวาดหวั่น ราวกับหลีซูซูเป็นตัวประหลาดกระนั้น สองขาดิ้นรนไม่หยุด “ปะ…ปล่อยข้า…”

“เจ้าพูดถูก ข้าไม่เคยเห็นเจ้าอยู่ในสายตาเลย” ภายใต้อสนีม่วง น้ำเสียงของหลีซูซูกระจ่างเย็นชาประหนึ่งเทพ นางหลุบตาเอ่ยว่า “โลกนี้มีแมลงชีปะขาว เกิดทิวาตายราตรี กระนั้นก็ยังสะอาดบริสุทธิ์กว่าชีวิตเช่นนี้ของเจ้านัก”

หลีซูซูรวบมือเข้าด้วยกัน แต่กลับคลายออกในชั่วเวลาสุดท้าย เยี่ยปิงฉางร่วงตกลงไปข้างล่างจากที่สูง น้ำตาแห่งความหวาดหวั่นอาบเต็มใบหน้า

“เจ้า เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่…”

หลีซูซูไม่ตอบ อสนีเล็กๆ สายหนึ่งตกลงบนร่างของเยี่ยปิงฉาง

เยี่ยปิงฉางตัวสั่นอย่างรุนแรง เส้นลมปราณขาดทั้งหมด นางแผดเสียงร้องอย่างเจ็บปวด

อสนีม่วงหนาขึ้นทุกที นัยน์ตาสีม่วงของหลีซูซูมิได้ดูชั่วร้าย กลับให้ความรู้สึกสงบจนชวนให้คนใจสั่น

นิ้วมือเรียวบางขาวซีดทำมุทราอันงดงาม อสนีม่วงเริ่มถูกชักนำเข้าไปในโกวอวี้ทีละสาย มุมปากนางก็เริ่มมีโลหิตไหลออกมา

มหามรรคาเดิมไร้เยื่อใยอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องมีความโกรธหรือความแค้น การเสียสละของโกวอวี้ การเสียสละของนาง จะทำให้โลกในอีกห้าร้อยปีให้หลังมีบุปผาที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งผลิบาน

…จิตบำเพ็ญของนาง แน่วแน่โดยสมบูรณ์

หญิงสาวหลับตา เบื้องหลังค่อยๆ ปรากฏวัตถุรูปร่างคล้ายบุปผาสีม่วง เริ่มแรกมันเป็นดอกตูม ภายหลังผลิบานช้าๆ ข้างหลังนาง

ครั้นเห็นเค้าโครงของบุปผาเหนือพิภพ นิ้วมือของถานไถจิ้นแข็งชะงัก หนึ่งปีก่อนตอนอยู่ในต้นท้อ เขาเคยเห็นดอกไม้ที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการ หลังจากนั้นเขาตกลงไปในห้วงฝันร้ายไม่สิ้นสุด ทว่าดอกไม้ดอกนั้นกลายเป็นดวงตาของตนไปแล้วมิใช่หรือ ไฉนจึงไปอยู่ที่เยี่ยซีอู้ได้!

ตาข้างซ้ายปวดแสบ ถานไถจิ้นกุมดวงตาของตนเอง พลันตระหนักถึงความจริงบางอย่าง ใบหน้าค่อยๆ ซีดลง

ไม่ เป็นไปไม่ได้

นางรังเกียจเขามาโดยตลอด มนุษย์ล้วนเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น นางจะมอบดวงตาให้เขาได้อย่างไร!

เขากัดเนื้อในโพรงปากแน่น ร้องบอกหลีซูซู “ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ข้าขอสั่งให้เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”

เขาไม่เคยลนลานเช่นนี้มาก่อน แม้จะบีบกำไลฝูจื่อบนข้อมือแน่น ก็ยังมิอาจทำให้เขาสบายใจขึ้นได้แม้แต่น้อย ไม่ ไม่ใช่อย่างที่เขาคิดแน่นอน!

“ถานไถจิ้น” หลีซูซูได้ยินเสียงเขา จึงลืมตาขึ้น นัยน์ตาดำสนิท ‘มอง’ เขาอย่างนิ่งสงบ เอ่ยด้วยท่าทีปล่อยวาง “ตะปูดับวิญญาณหกดอก ข้าผิดต่อเจ้า ข้าขอโทษ”

ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น ในใจเขามีเสียงหนึ่งกำลังบอกว่า อย่าทำเช่นนี้ อย่าขอโทษ!

เขาพลันหวาดกลัวในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ร่างกายสั่นเทานิดๆ

หญิงสาวบนซุ้มประตูเมืองดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นและอ่อนโยน นางยังคงอยู่ในความมืดมิดขณะเอ่ยว่า “ข้านำกระดูกมารของเจ้าไป คืนไขกระดูกเทพให้กับเจ้า เจ้าเคยมองเห็นสรรพสิ่งในยันต์สรรพชีวิต หากเป็นไปได้ ขอให้วิถีเซียนของเจ้านับจากนี้ไปปลอดโปร่งราบรื่น บันดาลสุขแก่ใต้หล้า”

อย่าเป็นมารอีกเลย ไปเป็นเทพเถอะ

เขาเย็นเฉียบไปทั้งตัว “ไม่…ไม่…”

หลีซูซูกางแขนทั้งสองข้าง

ขอให้นางได้ฝันโดยไม่มีวันตื่น ในฝันมีสรรพสิ่ง หิมะที่ไม่ละลายบนบรรพตฉางเจ๋อ ศิษย์พี่ทั้งหลาย พุน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่นางถือกำเนิด บ้านของนาง

ไม่มีความมืดมน ไม่มีทุกข์สุขในโลกมนุษย์ ไม่มีความสิ้นหวังและความหวาดกลัว

ถานไถจิ้นตระหนักว่านางจะทำสิ่งใด เขาล้มลุกคลุกคลานลงจากราชรถ

“ไม่นะ! อย่า!”

เขาผิดไปแล้ว เขาไม่ควรแก้แค้นนาง ตะปูหกดอกไม่เจ็บเลยสักนิด ไม่เจ็บเลยจริงๆ! ขอเพียงนางยังมีชีวิตอยู่ ไม่ชอบเขาจะเป็นไรไป รังเกียจเขาจะเป็นไรไป

ทว่าหลีซูซูกลับมิได้มองเขา ทั้งยังไม่ได้ยินคำพูดของเขา

เงาแสงสีขาวพุ่งออกจากตัวนางครั้งแล้วครั้งเล่า จังหวะที่แก่นวิญญาณและดวงจิตของนางเข้าสู่โกวอวี้ อสนีม่วงก็เข้าไปอยู่ในหยกศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดเช่นกัน กลายเป็นไขกระดูกเทพขาวบริสุทธิ์ชิ้นหนึ่ง จมลงในร่างของถานไถจิ้น

เมฆดำสลายไป ท้องฟ้าพลันสว่างจ้า หิมะที่ตกหนักทั่วฟ้าดินโปรยปรายลงมา

นางกางแขน ทิ้งตัวลงมาจากซุ้มประตูเมืองประหนึ่งผีเสื้อที่เบาหวิว

ใต้กำแพงเมือง เงาร่างสีนิลวิ่งเข้าไปเหมือนคนบ้า หมายจะรับตัวนางไว้

เขาวิ่งเร็วถึงเพียงนั้น หกล้มก็ลุกขึ้นใหม่ทันที ทว่าเขาอยู่ห่างไกลเกินไป ไกลจนเหมือนเป็นเส้นทางสายหนึ่งที่มองไม่เห็นความหวังตลอดกาล

ขณะที่เขานึกขึ้นได้ว่าต้องใช้ธงกลืนวิญญาณรับตัวนางไว้ ธงกลืนวิญญาณกลับถูกไขกระดูกเทพฉีกขาด กระดูกมารที่เป็นสีดำตลอดทั้งท่อนถูกถอนออกไปจากตัวเขาทีละชุ่นๆ ชั่วขณะนั้นเขาขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่น้อย

เขาได้แต่มองตาค้าง หิมะกลางอากาศเงียบสงบและเชื่องช้า เหมือนโลกสองใบที่ถูกฉีกออกจากกันกะทันหัน

นอกโลกของเขา กำไลฝูจื่อบนข้อมือหญิงสาวแตกเป็นเสี่ยงๆ

นางเองก็เหมือนกำไลสีทองวงนั้น แตกสลายอยู่ใต้กำแพงเมืองเบื้องหน้าเขา

ในโลกของเขา…

ตาขวาของเขาแข็งทื่อไร้ความรู้สึก เฝ้ามองทุกสิ่งทุกอย่างนี้เหมือนคนนอก ทว่าดวงตาข้างซ้าย โลหิตกลับรินไหลดังไข่มุกเม็ดโต เม็ดแล้วเม็ดเล่า อาบเต็มใบหน้าตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้

เขายื่นมือออกไปหานาง

มิอาจสัมผัสถึงอุณหภูมิของนาง สัมผัสได้เพียงหิมะเย็นเยือกและสายลมบาดกระดูก หนาวจนทำให้คนสั่นสะท้าน

 

* ทุบกระปุกแตกให้แตกละเอียด เป็นสำนวน หมายถึงเมื่อเกิดความบกพร่องหรือผิดพลาดแล้ว แทนที่จะแก้ไขกลับตัดสินใจเดินหน้าต่อไปอย่างเต็มที่ ทำต่อไปจนถึงที่สุดให้รู้ดำรู้แดง

* ตัวตลกที่กระโดดอยู่บนไม้คาน อุปมาถึงคนชั่วที่ก่อเรื่องวุ่นวายอย่างเหิมเกริม แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนพฤศจิกายน 65)

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: