บทที่ 13 มนุษย์ประเสริฐที่รู้จักละอาย
ด้วยความที่ฉลาดจำนรรจา รู้จักสำรวมตน เวลานายผู้เฒ่าเสิ่นแวะเวียนไปจวนขุนนางอื่นจึงมักจะพาเสิ่นกุยเยี่ยนไปด้วยเสมอ นางจึงคุ้นเคยกับฮูหยินตระกูลต่างๆ อยู่ไม่น้อย หนึ่งในนั้นคืออูซื่อ นายหญิงของจวนรองเสนาบดีกรมพิธีการที่เอ็นดูนางเป็นพิเศษ จนถึงกับเคยมาเยี่ยมเยือนฉินอี๋เหนียงสองครั้ง นับว่ามีความสัมพันธ์ต่อกันค่อนข้างแน่นแฟ้น
บัดนี้เมื่อฉินอี๋เหนียงจากไป เสิ่นกุยเยี่ยนจะส่งเทียบขาวไปแจ้งทางจวนรองเสนาบดีเกาก็เป็นการกระทำที่สมเหตุสมผล ไม่มีอะไรให้ตำหนิได้แม้แต่นิดเดียว
ทว่าเกาฮูหยินอูซื่อผู้นี้ออกจะต่างจากนายหญิงจวนอื่นอยู่สักหน่อยตรงที่อุปนิสัยโผงผางตรงไปตรงมาและทนเห็นความอยุติธรรมไม่ได้ การเชิญอีกฝ่ายมาในสถานการณ์เช่นนี้จึงเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องอย่างยิ่ง
“ยายหนูเอ๊ย มีแต่คนบอกว่าเจ้าดวงดี เหตุใดครานี้ถึงได้เคราะห์ซ้ำกรรมซัดนักเล่า”
อูซื่อสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวสะอาดตา ทับด้วยเสื้อคลุมผ่าหน้าตรงสีดำขลิบริมขาว ไม่ประดับเครื่องทองเครื่องเงินใดๆ บนศีรษะ เพียงปักปิ่นทรงคทาหยก* ทำจากหยกมันแพะ** อันเดียวเท่านั้น พอเข้ามาถึงก็ดึงมือเสิ่นกุยเยี่ยนมาจับไว้ “ข้ายังเตรียมของขวัญส่งไปให้เจ้าที่จวนอัครเสนาบดีด้วย นึกไม่ถึงว่าเจ้าสาวจะเปลี่ยนเป็นผู้อื่น ซ้ำรั่วสุ่ยก็มีอันเป็นไปเสียอีก”
สัมผัสอบอุ่นจากฝ่ามืออูซื่อทำให้เสิ่นกุยเยี่ยนดวงตาแดงเรื่อ ก้อนสะอื้นเจืออยู่ในน้ำเสียง “ฉินอี๋เหนียงจากไปอย่างกะทันหัน กุยเยี่ยนก็ไม่รู้เจ้าค่ะว่าควรต้องทำอย่างไรดี อีกไม่กี่วันก็ต้องออกเรือนไปกับคุณชายสี่ของจวนอัครเสนาบดีแล้ว จัดงานแต่งทับงานศพ ไม่รู้ว่าฉินอี๋เหนียงที่อยู่ในยมโลกจะติเตียนกุยเยี่ยนหรือไม่”
“นางจะติเตียนเจ้าได้อย่างไร” อูซื่อถอนหายใจ “ปกตินางรักเจ้าอย่างกับอะไรดี ปีนี้ข้าได้พบนางสองครั้งก็เห็นนางตั้งตารอให้เจ้าออกเรือนทุกครั้ง น่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่ตอนนี้เจ้าไม่อาจแต่งไปกับคุณชายใหญ่สกุลกู้ แต่ข้าสอดมือเข้าไปกะเกณฑ์เรื่องคู่ครองของเจ้าไม่ได้”
“กุยเยี่ยนเข้าใจเจ้าค่ะ ฮูหยินมาวันนี้ถือว่ามีน้ำใจมากแล้ว” เสิ่นกุยเยี่ยนคลี่ยิ้มแล้วนำทางอีกฝ่ายไปห้องโถงด้านหน้า “ในเมื่อฮูหยินมาแล้วก็ไปพบท่านแม่สักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ช่วงนี้ท่านแม่กำลังตระเตรียมสินเจ้าสาวให้กุยเยี่ยนอยู่พอดี”
อูซื่อพยักหน้าแต่ในใจไม่สู้จะยินดีนัก เพราะตนกับเสิ่นฮูหยินวาทศิลป์ไม่ถูกกันมาแต่ไหนแต่ไร เห็นทีแค่ไปคำนับทักทายแล้วกลับเลยดีกว่า
ในห้องโถงด้านหน้า เสิ่นฮูหยินกำลังสั่งให้คนตรวจนับรายการสินเจ้าสาวของเสิ่นกุยเยี่ยน ใบบัญชีมีรายการข้าวของเขียนไว้แน่นขนัด แต่ที่บรรจุจริงในหีบกลับมีแต่ของไม่สลักสำคัญ มีทั้งหมดสิบห้าหีบ แต่ละหีบโหรงเหรงชนิดที่ถ้าเขย่าก็ได้ยินเสียงของกระทบกัน
อูซื่อเห็นหีบเปิดอ้าใบหนึ่งทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องโถง ก้นหีบบุแพรแดง ใส่จานกระเบื้องเคลือบใบเขื่องเพียงสามใบ เป็นแค่ของระดับกลางๆ ไม่ได้สูงค่ามากมาย แต่กลับใช้หีบทั้งใบบรรจุไว้โดยเฉพาะ
“แหม ข้ามาไม่ได้จังหวะหรือไม่” อูซื่อรีบชักเท้ากลับมาพลางมองสภาพในห้อง แล้วหันไปยิ้มพูดกับคนที่นั่งตรงตำแหน่งประธาน “ข้าแค่จะมาทักทายเท่านั้น ไม่นึกว่าเสิ่นฮูหยินกำลังยุ่งอยู่”
เสิ่นฮูหยินขมวดคิ้วมองคนข้างนอก กระนั้นก็ยังประดับรอยยิ้มตามมารยาทไว้บนใบหน้าขณะลุกขึ้นยืน “ที่แท้ก็เกาฮูหยินนี่เอง จะมาทั้งทีไยไม่ให้คนมาแจ้งเล่า”
ว่าพลางโบกมือสั่งให้บ่าวรับใช้ขนข้าวของไปตั้งไว้อีกทาง ก่อนจะเหลือบมองเสิ่นกุยเยี่ยน แล้วแสร้งปั้นยิ้ม “เกาฮูหยินเข้ามานั่งก่อนเถิด”
อูซื่อเดินเข้าไปนั่งจริงๆ อย่างไม่เกรงใจ แล้วตวัดสายตามองสินเจ้าสาวที่ถูกขนไปกองตรงมุมห้อง จากนั้นก็เลิกคิ้ว “นี่ข้าวของของคุณหนูสามหรือ”
“ใช่ นางกำลังจะออกเรือน” เสิ่นฮูหยินนั่งลงบ้าง วันนี้นางสวมกระโปรงยาวสีขาวทับด้วยเสื้อคลุมผ่าหน้าลายดอกไห่ถังสีแดง ข่มอาภรณ์สีขาวเรียบหรูของแขกให้จืดลงทันที ยามพูดจาก็เชิดคางขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
อูซื่อแค่นจมูกเบาๆ แล้วเอื้อมมือไปรับถ้วยชาพลางกล่าว “เดือนก่อนยายหนูสี่บ้านข้าก็เพิ่งออกเรือนไป นางเป็นบุตรสาวของภรรยารอง ข้าไม่ถูกชะตาด้วยนัก แต่ก็ยังจัดสินเจ้าสาวให้ยี่สิบหีบ บรรจุข้าวของเต็มแน่นทุกใบ แหม ใช่ว่าข้าปากมากอยากสอดมือเข้ามาก้าวก่ายเรื่องในจวนของเจ้า แต่คนเป็นนายหญิงต้องใจกว้างเสียหน่อย หาไม่ผู้อื่นเห็นเข้าแล้วหัวเราะเยาะขึ้นมาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดกัน”
เสิ่นฮูหยินหน้าตึงขึ้นเล็กน้อย โต้กลับอย่างไม่พอใจ “แต่ละจวนย่อมมีธรรมเนียมแตกต่าง…”
“นั่นสิ ธรรมเนียมแต่ละจวนก็แสดงถึงฐานะครอบครัวด้วยเช่นกัน” อูซื่อหัวเราะสองทีแล้วยกนิ้วนับหีบที่กองกันอยู่อีกด้าน “ข้าวของที่เห็น…ปีนี้นายผู้เฒ่าเสิ่นคงได้เบี้ยหวัดไม่พอใช้สอย ถึงต้องกระเหม็ดกระแหม่เพียงนี้”
เหล่าฮูหยินตระกูลต่างๆ ชอบเปรียบเทียบกันเป็นวิสัยมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะเสื้อผ้าเครื่องประดับ การแต่งงานของบุตรสาว ตำแหน่งของสามีก็ล้วนเอามาประชันขันแข่งกันได้หมด เสิ่นฮูหยินได้ฟังดังนั้นจึงหน้าชา ก่อนเม้มปากแล้วตอบกลับไป “ไม่รบกวนให้ฮูหยินมาเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องเบี้ยหวัดนายท่านของข้าหรอก”
“นั่นสินะ ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะมาเดือดเนื้อร้อนใจ” อูซื่อจิบชาอึกหนึ่งแล้วจุปาก “แต่ประเดี๋ยวพอถึงวันจริงต้องให้ฮูหยินจวนท่านรองเสนาบดีซย่ามาดูเสียหน่อย เมื่อปีกลายนางแต่งบุตรของอนุออกไป ให้สินเจ้าสาวติดตัวเพียงสิบแปดหีบยังถูกผู้อื่นเอาไปล้อเลียนอยู่เป็นปี ปีนี้ควรเปลี่ยนคนบ้างแล้ว”
เสิ่นฮูหยินอ้าปาก แต่ไม่รู้ว่าควรโต้ตอบอย่างไรดี ได้แต่ถลึงตาดุดันใส่เสิ่นกุยเยี่ยนทีหนึ่ง
เด็กสาวเลิกคิ้วแล้วลุกขึ้นมาย่อกายคารวะ “กุยเยี่ยนคิดว่าสินเจ้าสาวเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ฮูหยินโปรดอย่าได้กลัดกลุ้มใจไป กุยเยี่ยนไม่เรียกร้องมากหรอกเจ้าค่ะ”
“เจ้ารู้เสมอว่าอะไรเป็นอะไร” เสิ่นฮูหยินยิ้มแต่ปาก “ในเมื่อรู้แล้วไยต้องเชิญเกาฮูหยินมาอีกเล่า”
“ตายจริง ดูพูดจาเข้าสิ” อูซื่อลุกขึ้นยืนมองอีกฝ่ายเคืองๆ “คุณหนูสามเชิญข้ามาจุดธูปเคารพฉินอี๋เหนียงต่างหาก คงไม่ทำเกินไปหรอกกระมัง ใครจะรู้เล่าว่าเจ้าเตรียมสินเจ้าสาวอยู่ ตนเองจัดของให้จำกัดจำเขี่ย พอผู้อื่นว่าก็ไม่พอใจหรือ”
เสิ่นฮูหยินลุกขึ้นยืนบ้าง ท่าทางใกล้บันดาลโทสะเต็มที
เสิ่นกุยเยี่ยนเห็นบรรยากาศเริ่มไม่เข้าเค้าก็รีบเข้าไปดึงแขนอูซื่อ “เกาฮูหยินไปจุดธูปให้ฉินอี๋เหนียงก่อนเถิดเจ้าค่ะ วันนี้ท่านก็ไม่ได้มาที่จวนเพื่อพูดเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว”
“จุดธูป? ฉินอี๋เหนียงที่อยู่ในยมโลกเห็นบุตรสาวตนเองถูกกดขี่เช่นนี้คงไม่ได้ไปอย่างสบายใจหรอก จุดธูปให้สักเพียงใดก็เปล่าประโยชน์!” อูซื่อแค่นจมูกเบาๆ “วันนี้ข้ามาเยือนถึงได้เห็นเข้า หากไม่ได้เห็น ทุกคนคงพูดกันว่าเจ้าเป็นนายหญิงที่ใจกว้างอารีสินะเปาซื่อ เรื่องในจวนเจ้าข้าไม่อยากยุ่งด้วยนักหรอก แต่วันแต่งงานของคุณหนูสาม พวกเราจะมาดูเรื่องขำขันด้วยแล้วกัน”
พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปก่อน เสิ่นกุยเยี่ยนรีบสั่งให้เป่าซั่นตามไปส่ง ส่วนตนเองแข็งใจอยู่ในห้องโถงต่อ
หากนางตามอูซื่อไปในเวลานี้ เสิ่นฮูหยินก็จะมองว่านางหาคนมาช่วยกดดันตนเอง แม้ความจริงจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็จะให้มารดาเลี้ยงมองออกไม่ได้เด็ดขาด
“เป็นสตรีจัดจ้านที่ยุ่งเรื่องชาวบ้านอะไรอย่างนี้!” เสิ่นฮูหยินเกรี้ยวกราด “จู่ๆ ให้นางมาที่จวนด้วยเหตุใดกัน มาถึงก็ยุ่มย่ามเรื่องในสกุลเสิ่น จวนสกุลเกาของนางไม่ใหญ่พอหรืออย่างไร”
เสิ่นกุยเยี่ยนเอ่ยแก้ต่างทันที “ท่านแม่โปรดอย่าได้โมโหไปเลยเจ้าค่ะ นิสัยของเกาฮูหยินเป็นเช่นนั้นเอง ใช่ว่าท่านเพิ่งรู้เป็นครั้งแรกเสียหน่อย วันนี้นางมาจุดธูปส่งฉินอี๋เหนียงจริงๆ เจ้าค่ะ กุยเยี่ยนไม่รู้ว่าท่านกำลังจัดข้าวของอยู่ในห้องโถงด้านหน้าก็เลย…”
เสิ่นฮูหยินร้องหึ นั่งหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่บนเก้าอี้คนเดียวสักพักก็โบกมือ “เจ้ากลับไปก่อน”
“เจ้าค่ะ” เสิ่นกุยเยี่ยนรับคำแล้วออกจากห้องโถงหน้าอย่างว่าง่าย จากนั้นก็รีบรุดไล่ตามอูซื่อไป
ฮูหยินรองเสนาบดีเกายืนรอนางอยู่หน้าจวน สีหน้าไม่แสดงให้เห็นถึงความขุ่นขึ้งแม้เพียงนิด รอจนนางเดินเข้ามาใกล้ก็ทอดถอนใจทีหนึ่ง “เจ้านี่ไหวพริบดีจริง ข้านึกอยู่แล้วว่าเจ้าต้องมีเรื่องเดือดร้อนอะไรแน่ๆ ถึงได้เรียกข้ามา”
เสิ่นกุยเยี่ยนใบหน้าแดงวาบ ก่อนจะย่อกายคารวะอีกฝ่าย “ขอบคุณฮูหยินมากเจ้าค่ะ”
“พอเถิด ถึงอย่างไรข้าก็ยินดีช่วยเจ้าอยู่แล้ว เจ้าตามข้ามาถือว่าถูกต้องทีเดียว หากเป็นผู้อื่น…หรือแม้แต่ฮูหยินท่านอัครเสนาบดีมาเองก็ไร้ประโยชน์” อูซื่อหัวเราะพลางกระซิบกระซาบ “เปาซื่อผู้นี้ห่วงหน้าตายิ่งกว่าอะไร วันนี้ถูกข้าค่อนแคะดักเอาไว้ คงไม่กล้าให้สินเจ้าสาวเจ้าน้อยแล้ว ไม่เช่นนั้นวันหน้ายามนัดรวมตัวกัน พวกเราก็จะหัวเราะเยาะนางทุกคราไป นางรับไม่ไหวหรอก”
เด็กสาวพยักหน้า แล้วกล่าวเบาๆ “กุยเยี่ยนไม่ได้เรียกร้องสินเจ้าสาวมากมายนักหรอกเจ้าค่ะ แต่ขอไม่ให้ผิดธรรมเนียมเป็นอันใช้ได้ ขอบคุณฮูหยินมากนะเจ้าคะที่ช่วย”
“เด็กคนนี้นี่นะ…” ผู้อาวุโสตบหลังมือนาง “ว่างๆ ก็แวะไปคุยกับจิ่นเอ๋อร์บ้างนะ นางกำลังอยู่ในช่วงรอหาคู่ครอง วันๆ ไม่มีอะไรทำหรอก”
“ได้เจ้าค่ะ” เสิ่นกุยเยี่ยนผงกศีรษะรับแล้วยืนส่งอูซื่อขึ้นรถม้าจากไป
การมาเยือนของอูซื่อครานี้ทำเสิ่นฮูหยินหัวเสียอยู่ครึ่งค่อนวัน แต่สุดท้ายนางก็เรียกพ่อบ้านมากระซิบสั่งให้ไปหาของมาเพิ่ม โปะตรงนั้นเสริมตรงนี้ รวมๆ กันแล้วอย่างน้อยก็ได้ถึงยี่สิบหีบ
ตอนแรกเสิ่นฮูหยินไม่ทันได้คิดให้ถ้วนถี่ ไม่ยุติธรรมต่อเสิ่นกุยเยี่ยนน่ะช่างเถิด แต่ทำให้ตัวนางเองเสียหน้าสิสำคัญนัก ให้ของเพิ่มไปไม่กี่หีบก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะรอเสิ่นกุยเยี่ยนแต่งเข้าไปก็ต้องเป็นรองบุตรสาวนางอยู่ดี
เมื่อแก้ปัญหาเรื่องสินเจ้าสาวได้ เสิ่นกุยเยี่ยนก็เตรียมตัวออกเรือนอย่างสบายใจ หลังแต่งชุดไว้ทุกข์ครบสิบห้าวันนางก็จะได้สวมชุดเจ้าสาวแล้ว
ปรากฏว่าเหตุไม้จารึกกฎตระกูลครานั้นเพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงห้าวันก็มีคนมาเกาะอยู่นอกหน้าต่างห้องนอนนางอีกครั้ง
“เยี่ยนเอ๋อร์ ข้ากลับไปคิดอยู่นานก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี” กู้เจาตงที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เสื้อผ้ากับผมเผ้าคืนนั้นเจ้าเป็นคนทำให้ยุ่งเหยิงเองกับมือ ตอนมาเปิดหน้าต่างคุยกับข้า เจ้ายังแต่งกายเรียบร้อยอยู่เลย ระหว่างเจ้ากับน้องสี่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้นใช่หรือไม่”
เสิ่นกุยเยี่ยนมองบุรุษที่อยู่ด้านนอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย “คุณชายใหญ่สกุลกู้ อะไรควรพูดข้าก็ได้พูดไปหมดตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว ในเมื่อท่านเต็มใจแต่งงานกับน้องห้าก็ไม่ควรมาตอแยข้าอีก และไม่ควรมาซักไซ้เรื่องระหว่างข้ากับคุณชายสี่ด้วยเช่นกัน”
แต่งงานไปแล้วแท้ๆ ยังจะวิ่งมาทำตัวเป็นค้างคาวนอกหน้าต่างห้องนอนข้าอีก หากเสิ่นกุยหย่ารู้เรื่องเข้าจะรู้สึกเช่นไร
ความยินดีวาบขึ้นบนใบหน้าของกู้เจาตง เขาไม่ได้สนใจฟังที่นางบอกแม้แต่น้อย เอาแต่พูดเองเออเองไปเรื่อยๆ “ข้าคิดไว้ไม่ผิดเลย เจ้ายังบริสุทธิ์ผุดผ่อง ถ้าเช่นนั้นก็เป็นของข้าเถิด อย่างมากข้าก็แค่ไปขอรับโทษจากท่านพ่อ ต่อให้ต้องถูกโบย ข้าก็อยากครองคู่กับเจ้า”
‘ปัง’ เสิ่นกุยเยี่ยนปิดหน้าต่างด้วยสีหน้าว่างเปล่าไร้ความรู้สึก
เสียแรงที่นางสู้อุตส่าห์ฝากความหวังกับคนผู้นี้ไว้มากมาย แต่ก่อนนางถูกอะไรบังตาหรือไรนะ ถึงได้มองว่าคุณชายผู้สุภาพเปี่ยมความรู้ทุกกระเบียดนิ้วเช่นกู้เจาตงจะเป็นสามีที่ดีได้
นางเติบโตมาในกรอบระเบียบ แม้จะเป็นคำสั่งของบุพการี เป็นการชักนำของแม่สื่อ แต่ใจนางก็คิดว่ากู้เจาตงเป็นสามีมาโดยตลอดและทุ่มเทใจให้เขาไม่รู้เท่าไร ปรากฏว่าบัดนี้เขาไม่เพียงทรยศนาง ยังเพ้อฝันว่านางจะประพฤติตนเสื่อมเสียไปกับเขาด้วย?
ยังมียางอายอยู่บ้างหรือไม่
นี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นกุยเยี่ยนรู้สึกชังน้ำหน้ากู้เจาตงเหลือเกิน นางหมุนตัวไปฉวยกาน้ำชาที่เย็นลงบ้างแล้วบนโต๊ะ จากนั้นก็เปิดหน้าต่างอีกครั้ง
“เยี่ยนเอ๋อร์ ฟังข้านะ…”
ชาทั้งกาเทพรวดออกไปนอกหน้าต่าง จากนั้นเสิ่นกุยเยี่ยนยังวางกาลงในมือชายหนุ่มอีกด้วย “มนุษย์ประเสริฐที่รู้จักละอาย ข้าไม่ส่งนะเจ้าคะ คุณชายใหญ่”
บทที่ 14 พอใจอย่างไรก็ทำอย่างนั้น
กู้เจาตงยืนอยู่ด้านนอกอยู่นานก็ยังไม่หายตกตะลึง เพราะไม่ได้เพียงเปียกน้ำชาไปทั้งตัว ยังมีใบชาติดเต็มใบหน้า เขายกมือขึ้นปาดอย่างงงงัน พร้อมกับที่เห็นบานหน้าต่างปิดลงอีกครั้ง
ไม่เข้าใจเอาเสียเลย สตรีที่แต่ก่อนอ่อนหวานนุ่มนวลกับเขามาโดยตลอด เหตุใดเพียงหมุนตัวทีเดียวก็ดุดันใส่เขาถึงเพียงนี้ได้ ความรักของเขากับนางไม่ได้ลึกล้ำยืนยงตราบจนฟ้าดินสลายสินะ
จวบจนน้ำชาไหลหยดลงไปในคอเสื้อกู้เจาตงถึงเพิ่งรู้สึกเย็น เขานึกฉุนเฉียวแล้วออกจากจวนสกุลเสิ่นอย่างขุ่นเคือง พกโทสะกลับไปตลอดทาง
เสิ่นกุยหย่ากำลังนั่งดูกล่องเครื่องประดับของตนอยู่ในจวนอัครเสนาบดี มาอยู่ยุคโบราณนี่ดีเสียจริง เพชรนิลจินดาเยอะแยะเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าเอากลับไปได้สักกี่มากน้อย
นางเอกทั่วไปจะมีรูปแบบตายตัว นั่นคือได้เจอพระเอกกับพระรอง นอกจากนั้นยังจะได้เจอตัวประกอบหญิงที่แสนน่ารังเกียจ เสิ่นกุยหย่าคิดว่าตนเองเป็นนางเอก ดังนั้นตัวประกอบที่ว่าก็ต้องเป็นเสิ่นกุยเยี่ยนอย่างแน่นอน นางตั้งปณิธานไว้ว่าจะสร้างฮาเร็มชายของตนขึ้นในยุคโบราณนี้ให้จงได้ ใครขวางทางนางจะไม่มีวันได้พบจุดจบที่ดี!
กล่องเครื่องประดับถูกวางลง เสิ่นกุยหย่าหันไปหยิบขวดใบใหญ่จากอีกด้านขึ้นมา ในนี้มีของที่นางให้คนไปเสาะหามาโดยเฉพาะ
นางเตรียมของขวัญแต่งงานชิ้นใหญ่ไว้รอเสิ่นกุยเยี่ยนแล้ว โดยขอส่งอีกฝ่ายไปลงนรกเสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่า ภายหลังจะได้ไม่อยู่ทำอะไรที่เป็นภัยต่อนาง
ระหว่างที่คิดอย่างนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก เสิ่นกุยหย่าสะดุ้งโหยง พอหันไปมองก็เห็นกู้เจาตงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
กับสามียุคโบราณคนนี้เสิ่นกุยหย่าไม่ประทับใจเท่าไรนัก ตอนแรกยังมองว่าเขาดูเข้าที ปรากฏว่าเมื่อเทียบกับกู้เจาเป่ยแล้ว แค่จืดชืดน่าเบื่อกว่ายังพอทำเนา นี่ยังไม่ซื่อสัตย์กับนาง วันๆ ดีแต่วิ่งไปหาเสิ่นกุยเยี่ยน เจอเช่นนี้หลายครั้งเข้าเสิ่นกุยหย่าก็ไม่พิศวาสเขาอีกต่อไป แต่ต่อให้ไม่ชอบเพียงใดก็จะทำแหนงหน่ายไม่ได้เพราะสามียุคโบราณใหญ่เทียมฟ้า
“กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” นางยิ้มละไมพลางลุกเดินไปหาแล้วช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างอ่อนหวาน “เข้านอนได้แล้วล่ะเจ้าค่ะ”
กู้เจาตงคว้ามือเสิ่นกุยหย่ามาจับแล้วถามอย่างเจ็บปวด “เหตุใดตอนนี้เยี่ยนเอ๋อร์ถึงได้ต่อต้านข้าเหลือเกิน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเสิ่นกุยหย่าแข็งค้างไปเล็กน้อย จากนั้นนางก็เม้มปาก “สตรีต้องสงวนท่าทีเอาไว้เพื่อให้บุรุษอยากได้ ส่วนคนที่เสนอตัวเข้ามาเองอย่างข้าน่ะ ท่านย่อมไม่เห็นค่าอยู่แล้ว”
กู้เจาตงชะงัก เหลือบมองครรภ์อีกฝ่ายแวบหนึ่ง ก่อนจะยกแขนขึ้นมาสวมกอดนาง “ใครกันไม่เห็นค่าเจ้า เพียงแต่เยี่ยนเอ๋อร์…พวกเราผูกพันกันมาหลายปี ข้าเลยยังตัดใจไม่ได้”
“ข้ารู้เจ้าค่ะ แล้วก็เข้าใจท่านด้วย” เสิ่นกุยหย่าแอบกลอกตาหนึ่งรอบแล้วยิ้มแฉล้ม “ข้าจะรอจนถึงวันที่ท่านพี่รักข้าหมดใจ”
ศักดิ์ศรีของบุรุษต้องได้รับการเติมเต็มจากที่ถูกเสิ่นกุยเยี่ยนทำลายลงก่อนหน้านี้ บัดนี้กู้เจาตงได้มันคืนมาโดยสมบูรณ์จากเสิ่นกุยหย่า หัวคิ้วของเขาคลายออก รู้สึกว่าภรรยาดูรื่นหูรื่นตาขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย “อืม จะต้องมีวันนั้นแน่ พวกเราเข้านอนกันดีกว่า”
เสิ่นกุยหย่าคลี่ยิ้มอ่อนหวานแล้วประคองเขาไปที่เตียง
หลังตื่นนอนในวันรุ่งขึ้นเสิ่นกุยหย่าตั้งใจจะไปศึกษาพื้นที่แถวเรือนอุดร แล้วก็ไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่ได้พบกู้เจาเป่ยโดยบังเอิญ
“เจาเป่ยจะไปที่ใดหรือนั่น” นางถามผ่านรอยยิ้ม
กู้เจาเป่ยตวัดสายตามองอีกฝ่ายแล้วหยุดเท้าพร้อมยกยิ้มตรงมุมปาก “ก็ออกมาเดินเรื่อยเปื่อย เหตุใดพี่สะใภ้ใหญ่ถึงเดินมาแถวนี้แต่เช้าตรู่เลยเล่า”
“ข้าก็เดินเรื่อยเปื่อยเหมือนกัน” เสิ่นกุยหย่ามองไปรอบตัว อวี้ซูที่ตามมาด้านหลังถอยหลบไปดูต้นทางให้อย่างนกรู้
“ได้เจอเจ้าพอดีเลย ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย” เสิ่นกุยหย่าไม่รู้จักวิธีใช้คำของคนโบราณ พูดเป็นแค่ ‘ข้าๆ’ ‘เจ้าๆ’ ดีที่กู้เจาเป่ยเป็นคนไม่สนใจธรรมเนียมหยุมหยิม แต่สิ่งที่นางพูดพอจะจุดความสนใจได้อยู่บ้าง เขาเลิกคิ้วถาม “เรื่องอะไร”
เสิ่นกุยหย่าถอนหายใจเบาๆ แล้วขยับเข้าไปหาเขาอีกนิด “ช่วงนี้พี่ใหญ่ของเจ้ากลับดึกตลอด คงไปหาพี่สามที่จวนสกุลเสิ่นอีกแล้ว ถ้าพี่สามยังไม่มีคู่หมายยังพอว่า แต่นี่นางกำลังจะแต่งงานกับเจ้าอยู่รอมร่อ ข้าห้ามพี่ใหญ่ของเจ้าไม่ได้ เจ้าควรไปเกลี้ยกล่อมเขาบ้างดีกว่า”
กู้เจาเป่ยเลิกคิ้ว “ยังไปอยู่อีกหรือ”
ขนาดข้าไม่ไปแล้ว พี่ชายคนโตกลับยังแอบออกไป?
เสิ่นกุยหย่าพยักหน้าแล้วทอดถอนใจอีกครั้ง “คงเพราะพี่สามเองก็ไม่ได้ปฏิเสธด้วย เขาเลยยังไปเรื่อยๆ”
กู้เจาเป่ยเม้มปากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เหลือบตามองสตรีตรงหน้าพลางหัวเราะเบาๆ “ข้ารู้แล้ว ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ที่ช่วยเตือน”
เสิ่นกุยหย่าส่ายหน้า “เจ้าคอยระวังไว้สักหน่อยก็ดี”
จากนั้นก็ย่อกายคารวะแบบคนโบราณแล้วจากไป
การติดต่อสื่อสารในยุคโบราณไม่สะดวก ดังนั้นย่อมไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการกุข่าวให้ร้ายกัน เสิ่นกุยหย่ารู้ว่ากู้เจาเป่ยไม่มีทางเชื่อนางแน่ แต่เรื่องนี้ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ ครั้งแรกไม่สำเร็จก็ยังมีครั้งที่สอง
กู้เจาเป่ยมองตามแผ่นหลังนางแล้วแค่นหัวเราะหยามหยันทีหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวมุ่งไปจวนสกุลเสิ่น
บ่าวสาวไม่ควรพบกันก่อนแต่งงาน เพราะอย่างนี้กู้เจาเป่ยจึงไม่ได้เข้าทางประตูหน้า แต่ปีนกำแพงเข้ามาแทน อาศัยความช่ำชองที่กระโดดข้ามชายคาไต่กำแพงมานานปีลอบเข้าไปในหอนางแอ่น
ยามเช้าเช่นนี้ด้านนอกยังมีคนไม่มาก จึงไม่มีใครพบเห็นกู้เจาเป่ย พอเข้ามาในอาณาบริเวณหอนางแอ่น เขาก็ขึ้นไปข้างบนอย่างสง่าผ่าเผย
เป่าซั่นตกใจจนเกือบทำอ่างน้ำที่ถืออยู่ร่วงหลุดมือเมื่อเห็นเขา “คุณชายสี่?”
“ข้ามาหาคุณหนูของเจ้า” กู้เจาเป่ยยิ้มให้สาวใช้แล้วฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายยังตะลึงงันเดินผ่านนางเข้าไปในห้องนอนของเสิ่นกุยเยี่ยน
เจ้าของห้องเพิ่งตื่นนอน เวลานี้กำลังนั่งสะลึมสะลืออยู่บนเตียง เมื่อคืนมีเรื่องกับกู้เจาตง แม้นางไล่เขาไปได้ แต่ตัวนางก็นอนไม่ค่อยหลับ วันนี้จึงแทบลุกไม่ขึ้น
เสิ่นกุยเยี่ยนนั่งคอพับคออ่อนท่าทางเหมือนจวนจะล้มตัวลงนอนอีกรอบ กู้เจาเป่ยหัวเราะในคอพลางประคองต้นแขนเล็กไว้ “เมื่อคืนออกไปขโมยวัวมาหรือไร”
เสิ่นกุยเยี่ยนทำตาปรือมองเขาอยู่นานก็ยังจำไม่ได้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร ได้แต่เอ่ยเสียงงัวเงียออกมาคำเดียว “ง่วง…”
ขนาดนัยน์ตาง่วงซึมเช่นนี้ก็ยังงดงาม กู้เจาเป่ยกระแอมเบาๆ สองครั้งแล้วเอื้อมมือไปบิดผ้าในอ่างน้ำที่เป่าซั่นถืออยู่จนหมาด ค่อยๆ เช็ดหน้าให้นางอย่างพิถีพิถัน
เป่าซั่นยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ตามองใบหน้าด้านข้างของคุณชายสี่สกุลกู้แล้วกลืนน้ำลายลงคอ
พอได้เช็ดหน้าจนสะอาดสะอ้าน สติของเสิ่นกุยเยี่ยนก็ค่อยตื่นตัว แล้วสูดหายใจเฮือกด้วยความตระหนกเมื่อเห็นคนตรงหน้าชัดถนัดตา “เหตุใดถึงเป็นท่านได้!”
นางมองไปทางประตูห้องโดยไม่รู้ตัว บุรุษหน้าหนาผู้นี้ชอบบุกเข้าห้องนางอยู่เรื่อย ซ้ำยังมาไม่ถูกเวลาทุกที!
“คิดถึงข้าแล้วใช่หรือไม่” กู้เจาเป่ยยิ้มทะเล้นมองนาง “ตอนตื่นนอนเช้าวันนี้ข้าคิดถึงเจ้าขึ้นมาเล็กน้อย ก็เลยมาหา”
เสิ่นกุยเยี่ยนผลักเขาออกห่างแล้วลากสาวใช้คนสนิทไปด้านหลังฉากบังตา “คุณชายสี่สกุลกู้เก็บคำหวานไว้ให้ผู้อื่นเถิด ข้าดูคนที่การกระทำ ไม่ได้ชอบฟังที่วาจา”
เป่าซั่นวางอ่างน้ำลงแล้วรีบช่วยเจ้านายเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างว่องไว เสิ่นกุยเยี่ยนทางหนึ่งแต่งตัวอีกทางหนึ่งก็คอยมองผ่านช่องว่างของฉากบังตาออกไปข้างนอก เพราะกลัวว่าคนเสเพลนั่นจะนึกครึ้มบุกเข้ามาในนี้
ทว่ากู้เจาเป่ยยังนั่งสงบเสงี่ยมบนเตียงนางแต่โดยดี เดาะลิ้นแล้วค่อนแคะนาง “เยี่ยนเอ๋อร์ช่างไม่มีอารมณ์สุนทรีย์เอาเสียเลย ข้าพูดเช่นนี้กับใคร ทุกคนต้องตอบกลับมาว่าข้าก็คิดถึงท่านทั้งนั้น”
“วาจาเช่นนั้นข้าพูดไม่ลงหรอก” เสิ่นกุยเยี่ยนสวมกระโปรงยาวสีเขียวกับเสื้อคลุมผ่าหน้าสีเหลือง ให้ความรู้สึกผ่องแผ้วสดใส
กู้เจาเป่ยเห็นแล้วดวงตาเป็นประกาย ดึงแขนนางเข้าหาตัว “เจ้าแต่งกายได้เหมาะสมจริง วันนี้ออกไปกับข้าดีหรือไม่”
เด็กสาวสะดุ้งเฮือก ก่อนจะสั่นศีรษะโดยไม่ต้องคิด “ข้าออกจากจวนไม่ได้ อีกประเดี๋ยวยังต้องปักชุดเจ้าสาวด้วย”
“ให้สาวใช้เจ้าช่วยรับหน้าไปก่อนสิ” กู้เจาเป่ยเบ้ปาก “ข้าอยากพาเจ้าขึ้นไปบนเขาลั่วสยา”
เขาลั่วสยา? เสิ่นกุยเยี่ยนเลิกคิ้ว บนนั้นเต็มไปด้วยหลุมศพ มีอะไรน่าดูกัน กู้เจาเป่ยชอบทำตัวแผลงๆ นางไม่อยากทำตามเขาไปด้วย สุดท้ายหากถูกทำโทษกันทั้งคู่จะดูไม่งามเสียมากกว่า
“ข้าว่าข้า…”
พูดยังไม่ทันจบอะไรบางอย่างก็ถูกยัดเข้ามาในปากของเสิ่นกุยเยี่ยน มือของนางถูกรวบไว้ พร้อมรู้สึกเหมือนโลกหมุนกลับหัว
“อื๊อๆๆ!!” กู้เจาเป่ย!
คุณชายสี่สกุลกู้หันไปยิ้มให้เป่าซั่นที่ตกตะลึงตาค้าง “เด็กดี ข้าจะพาคุณหนูของเจ้าออกไปเที่ยวเล่นสักหน่อย นางจะได้ไม่เอาแต่ทำหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ทุกวี่ทุกวัน ขนาดจวนจะเป็นเจ้าสาวเต็มทีก็ยังไม่มีความสุข เจ้าอยู่ทางนี้ก็ช่วยปิดบังให้นางที รับรองว่าข้าจะพานางกลับมาส่งก่อนฟ้ามืดแน่นอน”
“ไม่…” เป่าซั่นอยากบอกว่า ‘ไม่ได้’ เพราะนางช่วยปิดเอาไว้ไม่ไหว ปรากฏว่าร่างตรงหน้าเหลือเพียงเงาไวๆ คุณชายสี่สกุลกู้หิ้วคุณหนูของนางวิ่งออกไปเร็วราวกับติดปีก
แอบเข้าจวนมาคนเดียวโดยไม่ถูกจับได้ก็โชคดีมากแล้ว นี่จะพากันออกไปสองคน มีหรือจะไม่ถูกใครเห็น เสิ่นกุยเยี่ยนเบิกตากว้างอย่างตระหนก ก่อนเห็นกู้เจาเป่ยล้วงผ้าดำออกมาสองผืน โยนผืนหนึ่งคลุมศีรษะนาง อีกผืนปิดหน้าตนเองไว้อย่างแน่นหนา
จากนั้นก็วิ่งฝ่าออกไปทางประตูหลังต่อหน้าต่อตาบ่าวเฝ้าประตู
ดูท่าบ่าวเฝ้าประตูจะไม่เคยพบเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่ละคนจึงยืนอึ้งอยู่กับที่อึดใจใหญ่ถึงค่อยวิ่งตามออกมา ทว่ากู้เจาเป่ยพาเสิ่นกุยเยี่ยนขึ้นหลังม้าที่ทิ้งไว้นอกจวน ควบทะยานออกไปเรียบร้อยแล้ว
“มีโจรเข้ามาลักพาคน!” บ่าวเฝ้าประตูไม่รู้ว่าต้องตะโกนอย่างไรดี จึงได้แต่ร้องออกไปเช่นนั้น
เสิ่นกุยเยี่ยนที่อยู่บนหลังม้าหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก เขาก่อเหตุโฉ่งฉ่างใหญ่โตถึงเพียงนี้ คนในจวนเพียงตรวจดูเล็กน้อยก็รู้แล้วว่านางหายไป ยังต้องคลุมหน้าให้ได้อะไรขึ้นมา
“ฮ่าๆๆ” กู้เจาเป่ยเหลียวมองกลุ่มคนที่ตามมาข้างหลังพลางหัวเราะชอบใจ เสิ่นกุยเยี่ยนดึงผ้าผ้าเช็ดหน้าที่อุดปากตนเองทิ้ง แล้วอ้าปากกัดท่อนแขนอีกฝ่ายอย่างแค้นเคือง
“ชิ กัดเบาแค่นี้? อยู่ในจวนไม่ได้กินเนื้อบ้างหรือไร” กู้เจาเป่ยก้มหน้ามองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะร่า “ไป พี่ชายจะพาเจ้าไปกินเนื้อ!”
เสิ่นกุยเยี่ยนโมโหจนแทบร้องไห้ นางประพฤติตัวอยู่ในกรอบจารีตมาโดยตลอด ไม่เคยพบเคยเจออันธพาลเช่นเขา! ออกจากจวนมาเช่นนี้มีหรือนางกลับไปจะได้ลอยตัวสบายๆ
“คนเสเพล!”
“อื้อหือ ด่าเป็นด้วยหรือนี่” อีกฝ่ายเลิกคิ้ว “ข้านึกว่าเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ประดิษฐานอยู่ในวัดเสียอีก เห็นเอาแต่ทำตัวสุภาพนุ่มนวล ไม่คิดเลยว่าจะด่าออกเสียงเป็นด้วยเหมือนกัน”
ความดุดันของเสิ่นกุยเยี่ยนถูกกดทับไว้ใต้กรอบจารีตอันหนักอึ้ง กู้เจาเป่ยยังนึกว่ามันจะถูกกดไว้อย่างนั้นไปตลอดเสียอีก
เสิ่นกุยเยี่ยนแค่นจมูกดังหึแล้วกัดฟันกรอด “ท่านก่อเหตุถึงเพียงนี้ หากข้าไม่ด่า ท่านก็คงนึกว่าตนเองไม่ได้ทำผิดน่ะสิ คุณชายสี่สกุลกู้ รีบกลับไปตอนนี้ยังทันนะ”
“ในเมื่อออกมาแล้วจะกลับไปด้วยเหตุใดเล่า” กู้เจาเป่ยแค่นหัวเราะ “ทำสิ่งที่ตนเองมีความสุขก็พอน่า ต้องมาแยกแยะถูกผิดเพื่ออันใดอีก”
เสิ่นกุยเยี่ยนขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่สักพักก็ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีถองศอกไปข้างหลังเต็มแรง
“ฮึก!” คราวนี้เจ็บจริง กู้เจาเป่ยถึงกับหน้าซีดเผือดแล้วหลุบตาลงมองบ่าของซ้ายตนเองด้วยอารมณ์ทั้งฉิวทั้งขัน “ทำอะไรของเจ้ากัน”
“ไหนว่าพอใจทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นไม่ใช่หรือ” นางโต้กลับเสียงเนิบๆ “เช่นนั้นหากข้าพอใจขึ้นมา ฆ่าท่านตายก็ไม่ถือว่าผิดกฎหมายสินะ”
บทที่ 15 หยกงามในก้อนดิน
กู้เจาเป่ยผงะก่อนที่เสียงหัวเราะจะหลุดออกมาอย่างขบขัน “หากเจ้าฆ่าข้าจริงก็เท่ากับต้องครองตัวเป็นม่ายทั้งที่เพิ่งเตรียมออกเรือนน่ะสิ”
ม้าควบออกมาไกลลิบ สลัดคนที่ไล่ตามมาข้างหลังจนมองไม่เห็นแล้ว ต่อให้เสิ่นกุยเยี่ยนอยากกลับไปตอนนี้ก็สายเกินไปอยู่ดี นางถอนหายใจอย่างยอมจำนนแล้วเลิกเกร็งตัว เพราะถึงอย่างไรกลับไปก็ต้องถูกทำโทษอยู่ดี นางยังต้องกลัวอะไรอีกเล่า
“จนป่านนี้ข้าก็ยังสงสัยไม่หาย เหตุใดจู่ๆ คุณชายสี่ถึงได้พรวดพราดเข้ามาในจวนสกุลเสิ่นแล้วดึงดันจะแต่งงานกับข้าให้ได้ แต่ก่อนพวกเราไม่เคยพบเจอกันสักครั้ง หน้าตาอย่างข้าดูแล้วก็ไม่น่าจะต้องตาคุณชายสี่ด้วย”
ข้อกังขานี้วนเวียนอยู่ในความคิดเสิ่นกุยเยี่ยนมาหลายวัน ในที่สุดก็มีโอกาสได้ถามเสียที
กู้เจาเป่ยชะลอความเร็วของม้าให้วิ่งไปตามถนนอันเงียบสงบ ก่อนจะก้มหน้าลงพูดริมหูนาง “แม้ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน แต่ผู้น้อยได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือของคุณหนูสามมาโดยตลอด ใครก็กล่าวขานกันทั้งนั้นว่าคุณหนูสามเปล่งประกายมาตั้งแต่ห้าขวบ ทั้งเฉลียวฉลาดทั้งไหวพริบเฉียบไว”
ชาวบ้านร้านตลาดเล่าลือกันว่าคุณหนูสามสกุลเสิ่นได้รับพรประทานจากสวรรค์ เกิดมาพร้อมกับหยกหงส์* ไม่แน่ว่าอาจถูกลิขิตมาให้เป็นมารดาของแผ่นดิน
เสิ่นกุยเยี่ยนเม้มปาก ไม่รู้เหตุใดถึงมีคนเชื่อข่าวลือลวงโลกเช่นนี้ได้ ดีที่อัครเสนาบดีกู้เลือกนางเป็นลูกสะใภ้ตั้งแต่อายุแปดขวบ หาไม่เหล่าองค์ชายในวังหลวงอาจแย่งชิงนางเป็นพัลวัน เกิดมาเป็นฮองเฮาเช่นนั้นหรือ…คนเหล่านั้นเชื่อจริงๆ หรือว่าหากแต่งงานกับนางจะได้เป็นฮ่องเต้
เหลวไหลนัก!
“ข้าแค่สงสัยจับใจว่าเหตุใดคุณหนูสามผู้เปล่งประกายจับตาถึงได้จางจนกลมกลืนไปกับผู้อื่นนับแต่อายุแปดขวบก็เลยไปจวนสกุลเสิ่นเพื่อดูสักครั้ง” กู้เจาเป่ยเอ่ยเรียบเรื่อย “พอได้เห็นตัวจริงข้าก็สนใจเจ้าขึ้นมาเชียวล่ะ เจ้าเป็นเหมือนหยกงามที่ถูกก้อนดินห่อไว้ เห็นแล้วพาให้อยากเอากลับจวนไปค่อยๆ เคาะดินออกดูหยกที่อยู่ข้างใน”
เสิ่นกุยเยี่ยนผงะ
“ดิน?”
“ใช่แล้ว” คนด้านหลังเกยคางลงบนบ่านาง แล้วเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงยั่วยิ้ม “จารีตธรรมเนียมอันซับซ้อน การเฝ้าเตือนสติตนเองตลอดเวลาไม่ให้ทำผิด คอยระวังตัวแจจนไม่ต่างไปจากผู้อื่น สิ่งเหล่านี้คือดินที่พอกห่อตัวเจ้าไว้ไม่ใช่หรือ”
นางแค่นจมูกเบาๆ แล้วเบือนหน้าไปอีกทาง
หากมิใช่ความจำเป็นบีบบังคับ ใครเล่าจะอยากกลืนหายไปกับผู้อื่น
กู้เจาเป่ยสะบัดแส้เฆี่ยนม้าให้เร่งฝีเท้า มุ่งหน้าไปทางถนนสายตะวันตก กว่าเสิ่นกุยเยี่ยนจะรู้ตัวอีกทีก็เห็นประตูบานหนึ่งเปิดแง้มอยู่ตรงหน้า ด้านบนมีป้ายเขียนว่า ‘เงาบุปผาเมามัว’
เงาบุปผาเมามัว…หอคณิกาชื่อดังของเมืองหลวง ทั้งยังเป็นสถานที่ที่สร้างชื่อเสียงให้กู้เจาเป่ย
เสิ่นกุยเยี่ยนอ้าปากค้าง “ท่านพาข้ามาที่นี่ด้วยเหตุใดกัน” ไหนว่าจะไปเขาลั่วสยาอย่างไรเล่า!
กู้เจาเป่ยอุ้มนางลงจากหลังม้าแล้วใช้มือข้างหนึ่งโอบบ่าเล็กไว้ “เข้าไปข้างในดีกว่า ข้าจะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา มีแต่คนคุ้นเคยทั้งนั้น
เสิ่นกุยเยี่ยน “…”
มีแต่คนคุ้นเคยของเขาน่ะสิ ข้าไม่คุ้นด้วยแม้แต่คนเดียว!
“ตายจริง เหตุใดคุณชายกู้จึงมาเวลานี้เล่าเจ้าคะ” อิ๋งมามา** เดินออกมาอย่างประหลาดใจ แล้วมองไปข้างหลังเขา “เวลานี้พวกเด็กๆ เพิ่งจะเข้านอนไปไม่นาน แล้วท่านนี้คือ…”
เสิ่นกุยเยี่ยนหลุบตาลง ทำท่าจะถอยไปข้างหลังโดยสัญชาตญาณ ทว่าถูกกู้เจาเป่ยจับต้นแขนไว้จนขยับไม่ได้
“นี่คือคุณหนูสามสกุลเสิ่น”
อิ๋งมามาเข้าใจในทันที ทว่าไม่มีสีหน้าแตกตื่นแต่อย่างใด เพียงกล่าวยิ้มๆ “ช่วงกลางวันที่นี่ไม่พลุกพล่าน ให้ทั้งสองท่านเข้ามานั่งดื่มชาได้อยู่เจ้าค่ะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนแปลกใจทีเดียว รู้มาว่ากู้เจาเป่ยรู้จักสตรีที่นี่ทุกคน อีกทั้งนางก็คือสตรีที่กำลังจะเป็นภรรยาเอกของเขา แม่เล้าคนนี้จะไม่หลบหน้านางสักหน่อยหรือ
พอเดินตามเข้าไปก็พบว่าหอเงาบุปผาเมามัวผิดแผกไปจากหออื่นตรงที่ไม่ได้ประดับม่านแพรเรี่ยราด แต่ดูแล้วเหมือนหอสุราทั่วไปมากกว่า หญิงคณิกาตื่นแต่หัววันสองคนกำลังนั่งกินอาหารหน้ามันย่องผมเผ้ารุ่ยร่ายอยู่ข้างล่าง เมื่อเห็นคนเดินเข้ามาก็รีบจัดผมเผ้าเสื้อผ้าให้เรียบร้อย
“คุณชายกู้?”
กู้เจาเป่ยพาเสิ่นกุยเยี่ยนเดินเข้าไปหาที่นั่งง่ายๆ จากนั้นอิ๋งมามาก็ยกชากับอาหารเช้าเข้ามาให้
“พวกพี่สาวกินข้าวกันตามสบาย ข้าแค่พานางผ่านทางมาเท่านั้น” กู้เจาเป่ยโบกมือให้หญิงคณิกา หญิงทั้งสองอมยิ้มอย่างเหนียมอาย ผงกศีรษะทักทายเสิ่นกุยเยี่ยน จากนั้นก็หันไปกินอาหารกันต่อ
เสิ่นกุยเยี่ยนมองซ้ายมองขวา รู้สึกแปลกชอบกล เหตุไฉนหอคณิกาถึงเป็นเช่นนี้ได้
“ตามความคิดเจ้าหอคณิกาเป็นเช่นไร” กู้เจาเป่ยกระซิบถาม
นางยกมือชี้ “ตรงนั้นควรมีม่านแพรบางสีแดงอ่อน บนโต๊ะปูผ้าปักลาย เหนือบันไดประดับผ้าแพรหลากสี มีสตรีแต่งกายวับๆ แวมๆ…”
กู้เจาเป่ยพยักหน้า “อ่านมาจากหนังสือสินะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง เท่ากับยอมรับเงียบๆ ไม่ว่าอะไรนางก็อ่านมาจากหนังสือ นอกจากตำรับตำราต่างๆ ยังมีพวกหนังสือเบ็ดเตล็ด รวมไปถึงบันทึกเกี่ยวกับหอคณิกา…แต่ข้อนี้เห็นจะพูดออกไปไม่ได้
“ทั้งหญิงขับร้องเพลงและหญิงร่ายรำล้วนแต่ลำบาก” กู้เจาเป่ยเอ่ยเนิบช้า “วันเปลี่ยนเดือนผ่าน สังขารย่อมร่วงโรยไปตามวัย หากินได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น หากไม่เก็บหอมรอมริบไว้เลี้ยงตัวยามแก่ ดีไม่ดีออกจากที่นี่ไปอาจอดตายก็ได้”
เสิ่นกุยเยี่ยนอึ้งไปเล็กน้อยพลางมองหญิงคณิกาสองคนตรงหน้า ท่าทางเพิ่งอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น หน้าตาซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัดเมื่อไร้เครื่องประทินโฉมแต่งแต้ม ยามไม่มองใคร ใบหน้าไม่มีรอยยิ้มแม้แต่นิดเดียว
ที่ผ่านมานางนึกว่าหอคณิกาเป็นแหล่งผลาญทรัพย์ สตรีที่อยู่ในนี้ล้วนเหลวแหลกและรักเงิน ที่แท้ยังมีเบื้องหลังเช่นนี้
นางยกมือขึ้นคลำตามตัว ชุดนี้เพิ่งเปลี่ยนเมื่อเช้า ในถุงมีเงินเพียงสองสามตำลึง ซ้ำยังเป็นเบี้ยรายเดือนของเดือนก่อนที่นางอดออมไว้ เห็นเงินน้อยนิดแค่นี้ก็ให้สะทกสะท้อนใจนัก แต่หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็ยังวางเงินลงบนโต๊ะ
“ทำอะไร” กู้เจาเป่ยเลิกคิ้ว
“ค่าอาหารเช้า” นางก้มหน้าตักโจ๊กกินจนหมด ก่อนจะลุกขึ้นยืนพลางกล่าว “จะกินของผู้อื่นเปล่าๆ ได้อย่างไร”
“แต่ก็ไม่ต้องจ่ายเยอะถึงเพียงนี้หรอก” กู้เจาเป่ยหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก “ข้ามากินข้าวที่นี่ไม่เคยต้องจ่ายเงิน”
อิ๋งมามายกอาหารว่างเดินเข้ามาพอดี เสิ่นกุยเยี่ยนเห็นดังนั้นก็รีบคว้าแขนกู้เจาเป่ยวิ่งออกไปข้างนอกสุดชีวิต
“นี่!” เขาถูกนางฉุดจนร่างเซวูบ ได้แต่วิ่งหัวทิ่มหัวตำตามหลังมา
เสิ่นกุยเยี่ยนกลัวว่าอิ๋งมามาจะคืนเงินให้ตน ถูกแล้วว่าเงินสองตำลึงไม่น้อย แต่ในสถานที่เช่นนี้ไม่ถือว่ามาก นางก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดความคิดว่าต้องจ่ายเงินถึงได้ผุดขึ้นมาในสมอง แต่ถึงอย่างไรก็หนีก่อนเป็นดี
พอออกมาข้างนอกเสิ่นกุยเยี่ยนกลับขึ้นม้าไม่เป็น นางมองกู้เจาเป่ยอย่างร้อนรน “รีบอุ้มข้าขึ้นไปสิ”
อุ้ม? ไม่กลัวคำครหาแล้วหรือ กู้เจาเป่ยตาเป็นประกายแล้วยื่นมือออกไปอุ้มนางขึ้นบนหลังม้า เสิ่นกุยเยี่ยนจับบังเหียนเอาไว้ รอจนเขานั่งอย่างมั่นคงแล้วนางก็ร้องเลียนแบบเขา “ย่าห์!”
ม้าร้องฮี้ทีหนึ่งก่อนจะพุ่งทะยานออกไป เสิ่นกุยเยี่ยนกลั้นเสียงหวีดร้องเอาไว้ ปรับตัวให้คุ้นชินกับความเร็วและความโขยกเขยกสั่นคลอนบนหลังอาชา แล้วพบว่าการขี่ม้านั้นสนุกเอาการ
ทว่ากู้เจาเป่ยกลับตกใจแทบตายเพราะนาง รีบแย่งบังเหียนแทบไม่ทัน “แค่เงินสองตำลึงเท่านั้นเอง ให้ก็ให้ไปแล้ว ไยต้องหนีเสียเร็วถึงเพียงนี้ด้วย”
เสิ่นกุยเยี่ยนใบหูแดงวาบ เม้มปากไม่ยอมตอบ
กู้เจาเป่ยหัวเราะเบาๆ อย่างสุดกลั้น แล้วดึงบังเหียนมาถือไว้เอง “ตอนแรกข้าตั้งใจจะรอพวกพี่สาวตื่นนอนแล้วมาร่ายรำให้เจ้าชมสักเพลง แต่ในเมื่อหนีออกมาแล้วก็ตรงไปเขาลั่วสยาเลยแล้วกัน”
ตามหลักแล้วช่วงเวลาที่เหมาะจะไปเขาลั่วสยาที่สุดคือย่ำเย็น เพราะจะได้ชมแสงอัสดงอันงดงาม แต่เห็นชัดว่าทั้งคู่ไม่มีเวลาโอ้เอ้ถึงเย็นได้ จึงต้องรีบไปที่นั่นก่อนจะถูกคนจากจวนสกุลเสิ่นจับตัวกลับไป
ส่วนเหตุผลว่าเหตุใดต้องไปที่เขาลั่วสยานั้นกู้เจาเป่ยไม่ได้บอก เสิ่นกุยเยี่ยนเองก็ไม่ได้ถาม
บนเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยหลุมศพทั้งเก่าทั้งใหม่กระจัดกระจายอยู่ทั่วเขา กู้เจาเป่ยพานางไปหยุดยืนหน้าหลุมศพใหม่หลุมหนึ่ง
ฉินอี๋เหนียงเป็นคนสกุลเสิ่น หากชาติกำเนิดดีกว่านี้สักนิดก็สามารถฝังร่างในสุสานประจำตระกูลได้ ทว่าแต่เดิมเป็นเพียงสาวใช้ ซ้ำยังถูกเสิ่นฮูหยินชังน้ำหน้า ศพจึงถูกส่งไปยังโรงทึมอนาถาแล้วฝังอย่างเรียบง่าย
ตัวอักษรที่สลักบนป้ายหินทำให้เสิ่นกุยเยี่ยนตัวแข็งทื่อ ขยับเขยื้อนไม่ได้อยู่นาน
‘หลุมศพเสิ่นฉินซื่อ ตั้งโดยกุยเยี่ยน บุตรสาวอกตัญญู*’
หลุมศพของฉินอี๋เหนียง
ตำแหน่งนี้ถือว่าที่ตั้งค่อนข้างดี เสิ่นกุยเยี่ยนเหลือบตามองไปรอบๆ ไม่มีหลุมศพอื่นตั้งเบียดกับฉินอี๋เหนียง ทิวทัศน์ก็งดงาม
นางค่อยๆ คุกเข่าลงหน้าหลุมศพแล้วโขกศีรษะหลายครั้ง กู้เจาเป่ยหยิบธูปกับผลไม้ออกมาจากกระเป๋าอานม้า ดูท่าคงเตรียมมาแต่แรก
เสิ่นกุยเยี่ยนมองเขานิ่ง คนตรงหน้ามีรอยยิ้มเช่นคนเสเพลไม่เอาไหน แต่เมื่อมาอยู่หน้าป้ายหลุมศพ เขาเก็บรอยยิ้มนั้นแล้วคุกเข่าตามนาง โขกศีรษะอย่างนอบน้อม
“ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่มีโอกาสได้ออกจากจวน และยิ่งไม่อาจตั้งหลุมศพให้มารดาแท้ๆ ของเจ้าได้” กู้เจาเป่ยพูดขึ้นเบาๆ “ในเมื่อข้าจะแต่งงานกับเจ้าอยู่แล้วก็ควรทำเรื่องดีๆ บ้าง ข้าเลยทำสิ่งที่คิดว่าเจ้าน่าจะอยากทำที่สุด”
พูดจบก็ผินหน้ามองนาง “เป็นอย่างไร ตื้นตันมากเลยใช่หรือไม่ ไม่รู้สึกเสียดายแล้วกระมังที่ต้องแต่งงานกับข้า”
ตอนเห็นป้ายหน้าหลุมศพเสิ่นกุยเยี่ยนตื้นตันใจมากจริงๆ แต่พอได้ฟังวาจาของคนผู้นี้ มุมปากของนางก็กระตุกริกๆ อยากห้ามไม่อยู่ อยากจะเสยกำปั้นใส่สักหมัด
ใช้คำพูดซาบซึ้งตรึงใจเช่นคุณชายคนอื่นบ้างไม่ได้หรือไรนะ จำเป็นต้องเปิดเผยจุดประสงค์อย่างตรงไปตรงมาด้วยหรือ นางมองป้ายหลุมศพอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ท่านแม่ ท่านดูสิ ลูกกำลังจะแต่งงานกับคนเสเพลผู้นี้ แม้จะเป็นคนเสเพล แต่ก็ดูเหมือนจะพึ่งพาได้มากกว่าพวกคุณชายทำตัวสูงส่งเสียอีก
ลมรำเพยผ่านหลุมศพ นำพาไออุ่นมาให้อย่างน่าประหลาด เสิ่นกุยเยี่ยนวางผลไม้หน้าป้ายหิน จากนั้นก็จุดธูปแล้วคุกเข่ารอจนธูปไหม้หมดดอกด้วยกันกับกู้เจาเป่ย
ขาลงจากเขานางรู้สึกว่าหัวใจโปร่งสบายขึ้นไม่น้อย ยามมองกู้เจาเป่ยก็เห็นเขารื่นหูรื่นตาขึ้นเช่นกัน
“จวนจะตกหลุมรักข้าแล้วใช่หรือไม่” ฝ่ายนั้นยกมือลูบคางแล้วส่งยิ้มโปรยเสน่ห์มาให้ “ข้าก็คิดเช่นกันว่าบุรุษเช่นนี้ล่ะสมควรได้รับความรัก!”
เสิ่นกุยเยี่ยน “…”
นางขอถอนคำพูดเมื่อครู่ เป็นไปได้ยากยิ่งที่คนผู้นี้จะรื่นหูรื่นตาขึ้นมาได้!
ทั้งคู่พากันนั่งม้ากลับ ยิ่งใกล้ถึงจวนสกุลเสิ่นเท่าไร สีหน้าของเสิ่นกุยเยี่ยนก็เคร่งขรึมขึ้นเท่านั้น
“ไม่ต้องเครียดนักหรอกน่า” กู้เจาเป่ยบอกยิ้มๆ “ทุกคนรู้กันหมดว่าข้าจับตัวเจ้าออกมา จะลงโทษก็ต้องลงโทษข้า ไม่เดือดร้อนไปถึงเจ้าหรอก”
แต่สกุลเสิ่นจะลงโทษกู้เจาเป่ยได้อย่างไรเล่า คนกะล่อนปลิ้นปล้อนผู้นี้คิดเตรียมไว้แต่แรกแล้วล่ะสิ
เสิ่นกุยเยี่ยนยกมือลูบหน้า ก่อนรำพึงในใจ มิน่าเล่า คนผู้นี้ถึงอยู่รอดปลอดภัยจนเติบใหญ่ในจวนอัครเสนาบดีได้ถึงปัจจุบัน ทั้งที่ประพฤติตนนอกคอกถึงเพียงนี้ พวกอันธพาลนี่ช่างอายุยืนจริงๆ
เสิ่นฮูหยินนำอี๋เหนียงสองคนมารออยู่ในห้องโถงใหญ่แล้ว เป่าซั่นคุกเข่าอยู่บนพื้น ถูกตบหน้าไปไม่รู้กี่ครั้ง แต่กลับไม่ได้ร้องไห้ เอาแต่กัดฟันก้มหน้านิ่ง
ครั้นกู้เจาเป่ยพาเสิ่นกุยเยี่ยนเดินเข้าไปก็ได้ยินเสียงแหลมบาดหูของนายหญิงของสกุลเสิ่นดังขึ้น “เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเจอ จะแต่งงานกันอยู่รอมร่อแล้ว เจ้าบ่าวยังพาเจ้าสาวหนีไปอีก!”
* คทาหยก ภาษาจีนเรียกว่าอวี้หรูอี้หรือหรูอี้ เป็นเครื่องหยกชนิดหนึ่ง รูปทรงเป็นแท่งแบนโค้งงอ ส่วนหัวมีลักษณะเป็นแป้นกลม สลักลายงดงามตลอดอัน โดยคำว่าหรูอี้มีความหมายว่าสมปรารถนา ชาวจีนจึงใช้เป็นของเสริมสิริมงคลและเป็นเครื่องแสดงฐานะของชนชั้นสูง
** หยกมันแพะ เป็นหยกสีขาวขุ่นเหมือนไขมันของแพะ เนื้อละเอียดไร้รอยตำหนิ เกลี้ยงเกลา และวาวแสง
* หงส์ หรือเฟิ่งหวง เป็นพญานกในตำนาน ขนมีห้าสี เสียงร้องดั่งดนตรี มักใช้เป็นสัญลักษณ์ของฮองเฮาเคียงคู่กับมังกรของฮ่องเต้
** มามา โดยทั่วไปหมายถึงแม่ แต่สามารถใช้เป็นคำเรียกภรรยาหรือหญิงสูงวัย และยังใช้เรียกแม่เล้าในหอนางโลมได้ด้วย
* บุตรสาวอกตัญญู ธรรมเนียมการไว้ทุกข์สมัยโบราณของจีนจะต้องไว้ทุกข์ให้บิดามารดาเป็นเวลาสามปี การแต่งงานในระยะเวลาไว้ทุกข์ถือเป็นเรื่องที่ขัดกับธรรมเนียม ในที่นี้จึงสลักคำว่า ‘บุตรสาวอกตัญญู’ ไว้กับชื่อของเสิ่นกุยเยี่ยน
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนมิถุนายน 66)
Comments
comments
No tags for this post.