บทที่ 5 เคราะห์หนักเมื่อสิบห้า
ไม่ว่าเสิ่นกุยเยี่ยนจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างเหลวไหลสิ้นดี บุรุษที่ตกลงว่าจะแต่งงานกับนางมานาน บุรุษที่นางเชื่อมั่นมาโดยตลอดมีสัมพันธ์ทางกายครั้งที่สองกับน้องสาวนางซึ่งเกิดจากภรรยาเอก แต่กลับบอกว่ายังจะตบแต่งนางเหมือนเดิมและไม่รับผิดชอบน้องสาวนาง ข้างบนก็มีแม่ใหญ่กดดันอยู่ จะให้นางตัดสินใจอย่างไรได้เล่า
หากยืนยันจะแต่งต่อไป มิเท่ากับนางละโมบในลาภยศสรรเสริญของตระกูลอัครเสนาบดีโดยไม่สนใจไยดีน้องสาวหรอกหรือ แต่หากไม่แต่งก็กลายเป็นว่าบุตรสาวอนุของรองเสนาบดีเล็กๆ เช่นนางทำลายการแต่งงานของจวนอัครเสนาบดีไปแทน
พวกนางนึกว่านางโง่หรือไร
เสิ่นกุยเยี่ยนก้มศีรษะ หน้าซีดเผือด ทำได้เพียงให้เป่าซั่นไปเรียนบิดาให้รีบมาคืนความเป็นธรรม
เสิ่นกุยหย่าที่อยู่ตรงนั้นนั่งบีบต้นขาน้ำตาคลอเบ้า เสิ่นกุยเยี่ยนมองแล้วอึ้งไปเล็กน้อยด้วยไม่เคยเห็นมาก่อนว่าอีกฝ่ายทำเช่นนี้เป็น
เมื่อบิดาก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เสิ่นกุยหย่าก็ทิ้งตัวลงคุกเข่าดังตุ้บแล้วกอดต้นขาผู้เป็นบิดาพลางร่ำไห้ “ท่านพ่อ ท่านตีลูกให้ตายเถิดเจ้าค่ะ ลูกไม่มีหน้าจะเจอใครแล้ว เพื่อการแต่งงานของพี่สาว ท่านพ่อตีลูกให้ตายไปเสียเถิดเจ้าค่ะ”
นายผู้เฒ่าเสิ่นสะดุ้งเฮือก รีบประคองบุตรสาวขึ้นมาตามความเคยชิน “นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ที่คุกเข่าอยู่ข้างกันยังมีกู้เจาตงที่ควรกลับไปตั้งนานแล้ว นายผู้เฒ่าเสิ่นขมวดคิ้วแล้วทรุดตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ประธาน
เสิ่นกุยหย่าร้องไห้น้ำตานองหน้า พูดเสียงสะอึกสะอื้น “ลูกชอบคุณชายกู้มากเหลือเกิน ห้ามใจมิให้มีสัมพันธ์กับคุณชายไม่ได้จริงๆ ลูกมันต่ำช้า ลูกมันหน้าด้าน…”
ระหว่างที่พูดเสิ่นกุยหย่ายังยกมือตบหน้าตนเองอย่างแรงหลายครั้ง
เสิ่นกุยเยี่ยนเบิกตากว้าง รู้สึกว่าหากน้องสาวต่างมารดาไม่เสียสติก็จะต้องถูกผีเข้าเป็นแน่แท้!
ทุกคนในห้องตกตะลึงไปตามๆ กัน กู้เจาตงถึงกับคว้ามือนางไว้ไม่ให้ทำร้ายตนเองต่อพลางขมวดคิ้วห้าม “คุณหนูห้า!”
เสิ่นกุยหย่าจับมือเขาไว้พลางสะอื้นฮัก ทั้งคู่คุกเข่าเคียงกัน สภาพดูราวกับนกเป็ดน้ำคู่รักที่จะถูกจับพรากกันอย่างนั้น
กู้เจาตงสับสนอยู่ในใจ เขามองคนน้องอยู่นาน ก่อนจะหันไปมองคนพี่แวบหนึ่ง เสิ่นกุยหย่ารู้สึกเหมือนเขาจะเริ่มหวั่นไหวเล็กน้อย นัยน์ตาสะท้อนความขัดแย้งออกมาอย่างชัดเจน แต่แล้วอึดใจต่อมาเขาก็หันไปค้อมคำนับนายผู้เฒ่าเสิ่น “เรื่องวันนี้เป็นความผิดของหลานเอง อย่าตำหนิคุณหนูห้าเลยขอรับ รอให้กุยเยี่ยนแต่งเข้าตระกูลเมื่อไร หลานจะต้องชดเชยให้คุณหนูห้าอย่างแน่นอน”
เสิ่นกุยหย่าสะอื้นเบาๆ “คุณชายกู้อย่าฝืนใจเลยเจ้าค่ะ ในเมื่อไม่ใช่คู่ครองที่สวรรค์ลิขิตมาให้ หย่าเอ๋อร์จะเหนี่ยวรั้งไว้ได้อย่างไร”
คนหนึ่งไม่ลืมความรับผิดชอบ คนหนึ่งไม่ลืมความเป็นเหตุเป็นผล พออยู่คู่กันเช่นนี้ ผู้อื่นก็ดูเหมือนจะเป็นคนร้ายกาจไปเสียหมด นายผู้เฒ่าเสิ่นถอนหายใจเฮือก ตำหนิติเตียนได้ไม่เต็มปากเช่นกัน ในเมื่ออีกฝ่ายยินดีรับผิดชอบก็เอาตามนี้แล้วกัน
ตำแหน่งขุนนางสูงกว่าเพียงขั้นเดียวยังกดดันถึงตายได้ นี่ตำแหน่งของอีกฝ่ายยังสูงกว่าเขาตั้งหลายขั้น
อย่าให้เป็นเรื่องเป็นราวเลย…อย่าให้เป็นเรื่องเป็นราวเลย
เสิ่นกุยเยี่ยนชอกช้ำอยู่บ้าง แต่เมื่อมองเสิ่นกุยหย่าที่ยังไม่เลิกร่ำไห้ก็คิดว่าฝ่ายนั้นน่าจะเจ็บช้ำยิ่งกว่า ถึงอย่างไรนางก็ยังสามารถแต่งเข้าจวนอัครเสนาบดีไปเป็นภรรยาเอก ขณะที่ตอนนี้เสิ่นกุยหย่ายังไม่มีอะไรเลยสักอย่าง
ปรากฏว่าพอทุกคนแยกย้ายกันหมดแล้ว จู่ๆ เสิ่นกุยหย่าที่เดินอยู่ข้างหน้าก็หันมามองนางแล้วยิ้ม “เกลียดข้ามากเลยสินะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนชะงัก
“ช่วยไม่ได้ ก็ข้าเป็นตัวเอกฟ้าลิขิตที่ข้ามมิติมานี่นา” ท่าทางน่าสงสารเมื่อครู่ถูกสลัดทิ้งไปจนสิ้น เสิ่นกุยหย่ากระหยิ่มยิ้มย่อง “เจ้าคงฟังไม่รู้เรื่องหรอกว่าข้าพูดอะไรอยู่ แต่ในเมื่อข้ามาแล้ว ต่อให้เจ้างดงามสักเพียงใดก็แข่งกับเสิ่นกุยหย่าไม่ชนะ”
‘เสิ่นกุยหย่า’ ยกมือป้องปากยิ้มอย่างกระหยิ่มใจ ดูละครทะลุมิติมาหลายปีดีดัก ในที่สุดก็ถึงตาตนเองบ้างแล้ว นางจะทำให้บุรุษทุกคนที่อยู่ที่นี่หลงรักนาง ทำให้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดตกเป็นของนางให้ได้ นางตัวประกอบหน้าตาพริ้มเพราผู้นี้เชี่ยวชาญศิลปะทุกแขนงแล้วอย่างไรเล่า นางเป็นคนยุคปัจจุบัน มีอะไรที่แย่งมาไม่ได้บ้าง
เสิ่นกุยเยี่ยนขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าเดินยิ้มจากไปจนไกล ก่อนจะหันไปถามเป่าซั่นอย่าอึ้งๆ “นางจมน้ำจนสมองเสื่อมไปจริงๆ หรือ”
สาวใช้เบ้ปาก “เสื่อมขั้นรุนแรงด้วยเจ้าค่ะ”
อะไรคือ ‘แข่งกับเสิ่นกุยหย่าไม่ชนะ’ คุณหนูของนางไม่เคยคิดจะชิงดีชิงเด่นด้วยเสียหน่อย แต่สิ่งใดสมควรได้ก็จะไม่หลีกทางให้เด็ดขาด!
เสิ่นกุยเยี่ยนส่ายศีรษะ เห็นว่าตนเองควรกลับไปปักชุดเจ้าสาวก่อนจะดีกว่า น้องสาวต่างมารดาอยากเสียสติก็ปล่อยให้เสียสติไป
“คุณหนู ท่านยังเกลียดชังคุณหนูสามเหมือนเมื่อก่อนเลยนี่เจ้าคะ” อวี้ซูประคองเสิ่นกุยหย่าพลางพูดอย่างประหลาดใจ “แม้ไม่มีความทรงจำหลงเหลือก็ยังเกลียดหรือเจ้าคะ”
เสิ่นกุยหย่าร้องหึเบาๆ “แค่เห็นหน้าก็รู้สึกไม่ถูกชะตาแล้ว หน้าตางดงามถึงเพียงนั้นต้องเป็นนางจิ้งจอกแน่ๆ อีตาคุณชายกู้นั่นเป็นประเภทใช้ข้างล่างคิดแทนสมอง มีหรือจะตาแหลม มองอะไรฉาบฉวยล่ะไม่ว่า”
อวี้ซูผงะไปเล็กน้อย รู้สึกไม่คุ้นชินกับคำพูดคำจาของคุณหนูของตนนัก
เสิ่นกุยหย่ากล่าวต่อไป “สตรีเช่นนี้น่ะ สมัยอยู่ที่เดิมข้าเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว แค่หน้าตาสะสวยสักหน่อยบุรุษก็ชมชอบ ถือว่าตนเองวิเศษเลิศเลอเพราะเล่าเรียนหนังสือ บุรุษพวกนั้นมันตาถั่ว มองไม่เห็นความงามจากภายในของข้า”
ฟังไม่รู้เรื่องเลยสักนิด สาวใช้ได้แต่หัวเราะแหะๆ เออออตาม เสิ่นกุยหย่าเยื้องย่างเข้าไปในเรือนอย่างเชื่อมั่นพลางวางแผนว่าขั้นต่อไปจะจับกู้เจาตงอย่างไรให้อยู่มือ
ฤกษ์แต่งงานใกล้เข้ามาทุกที แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเสิ่นกุยเยี่ยนจึงไม่ใคร่เบิกบานนัก ก่อนหน้านี้นางเฝ้ารอที่จะได้ออกเรือนมาโดยตลอด ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างกู้เจาตงกับเสิ่นกุยหย่าทำให้นางไม่ใคร่ตั้งตารออย่างเดิม แม้ชายหนุ่มมาแก้ตัวกับนาง นางก็ไม่รู้สึกว่ามีความหมายอันใด จากที่เคยชื่นชมในความรู้อันแตกฉานและบุคลิกนุ่มนวลสง่างามของเขา เวลานี้ความชอบก็ลดน้อยลงเช่นกัน
แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังจะออกเรือนไปกับเขาอยู่ดี
ชุดเจ้าสาวเย็บเสร็จแล้ว ตอนเอาไปให้เสิ่นฮูหยินดู ฝ่ายนั้นยังหน้าตึงๆ อยู่บ้าง แต่ก็ผงกศีรษะชื่นชม “ไม่เลวนี่”
“หายากนะเนี่ย งานปักมือล้วนๆ” เสิ่นกุยหย่าหยิบเสื้อท่อนบนของชุดกระโปรงหรูฉวิน* ไปดู ก่อนจะทาบเข้ากับร่างพลางหัวเราะเบาๆ แล้วถามอวี้ซู “งามหรือไม่”
สาวใช้พยักหน้า “คุณหนูของบ่าวใส่อะไรก็งามอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
เสิ่นกุยหย่าหัวเราะหึๆ แล้วหยิบกระโปรงกับแถบคลุมไหล่มาด้วยเสียเลย “แหม ในเมื่องามถึงเพียงนี้ ข้าก็ขอลองสักหน่อยก็แล้วกัน”
เสิ่นกุยเยี่ยนขมวดคิ้ว “นี่เป็นชุดเจ้าสาว น้องห้ายังไม่มีคู่หมั้นคู่หมาย เกรงว่าเอาไปลองใส่จะไม่เหมาะสมกระมัง”
“ไม่เหมาะตรงที่ใดกัน” น้องสาวต่างมารดาหัวเราะ “เมื่อวานเจาตงยังมาบอกข้าอยู่เลยว่ารอให้พี่สาวแต่งเข้าจวนเมื่อไร จะทำหนังสือสัญญากับจวนของเรา ช้าเร็วอย่างไรพวกเราก็ต้องเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่ดี”
เมื่อวาน? เสิ่นกุยเยี่ยนหน้าเผือดสีเล็กน้อย เมื่อวานกู้เจาตงมาหาเสิ่นกุยหย่าอีกแล้วหรือ
ข้าไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
เสิ่นฮูหยินนั่งดื่มชาอย่างผ่อนคลายอารมณ์อยู่อีกทาง มิได้ติเตียนพฤติกรรมเสียมารยาทของบุตรสาวแต่อย่างใด เสิ่นกุยหย่าเอาชุดเจ้าสาวไปลองสวมใส่ ทั้งยังยิ้มร่าพลางเอ่ย “สวยดีนี่ ถ้าอย่างนั้นชุดแต่งงานในอนาคตของน้องต้องยกให้เป็นธุระพี่สาวแล้วนะเจ้าคะ”
“ได้สิ” เสิ่นกุยเยี่ยนหลุบตาลง
นางยังคงต้องข่มใจทน ไม่รู้ตั้งกี่ปียังทนมาได้ เวลานี้ก็แค่ทนต่อไปอีกสองวันเท่านั้น
วันแต่งงานตรงกับวันเกิดอายุครบสิบห้าปีของนางพอดี ภายในจวนคึกคักวุ่นวายอย่างยิ่ง ฉินอี๋เหนียงสีหน้าย่ำแย่มาตั้งแต่เช้าตรู่ เสิ่นกุยเยี่ยนมองอีกฝ่ายผ่านคันฉ่องพลางถามด้วยความเป็นห่วง “ฉินอี๋เหนียงไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่เจ้าคะ”
อีกฝ่ายหวีผมให้นางทั้งที่ริมฝีปากซีดขาว “ข้าไม่เป็นไร ส่งคุณหนูสามออกเรือนได้ ต่อให้ป่วยหนักกว่านี้ก็ไม่เป็นไรหรอก”
“หวีแรกหวีสุดปลาย หวีสองครองคู่ผมขาวโพลน…”
เสิ่นกุยเยี่ยนจ้องมองฉินอี๋เหนียงในคันฉ่องนิ่งๆ ฝ่ายนั้นกำลังมีความสุข แม้จะหน้าซีดลงทุกทีก็ยิ้มแย้มตลอดเวลา หยดเหงื่อผุดซึมออกมาบนหน้าผากมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวก็คู้งอลงทุกขณะ แต่กลับไม่ปริปากร้องสักคำ
“หวีสาม…ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง…”
“ฉินอี๋เหนียง?” เสิ่นกุยเยี่ยนเบิกตากว้าง คนในคันฉ่องรูดตัวผ่านแผ่นหลังของนางล้มลงไปกองกับพื้น เอามือกุมท้องงอตัวคุดคู้ เหงื่อเต็มหน้า “สระหวีเสร็จแล้ว…เกล้าผม…”
ยังจะเกล้าผมอะไรอีกเล่า! เสิ่นกุยเยี่ยนตาแดงก่ำ รีบตะโกนลั่นอย่างร้อนใจ “ไปตามหมอมา!”
“ตามหมอในวันแต่งงานไม่เป็นมงคล…” ฉินอี๋เหนียงฝืนยิ้มพลางยื้อแขนเสื้อนางไว้ “ข้าแค่ปวดท้อง…แค่ปวดท้องเท่านั้น…”
“แค่ปวดท้องมีหรือจะเป็นเช่นนี้!” เสิ่นกุยเยี่ยนเอ็ดเบาๆ แล้วดึงแขนเสื้อกลับ ทำท่าจะออกไปด้วยตนเอง
มือที่ยื้อแขนเสื้อพลอยถูกสลัดออก เสิ่นกุยเยี่ยนใจหายวาบ นางรีบเอื้อมมือไปจับ แต่ก็คว้าได้เพียงอากาศ ฉินอี๋เหนียงหลับตาลง มือวางนิ่งอยู่บนพื้น ไร้ซึ่งอาการตอบสนอง
สรรพเสียงรอบตัวเหมือนสงัดหายไปโดยสิ้นเชิง แม่นมมงคล* สาวใช้ และแขกเหรื่อด้านนอกพากันแห่เข้ามา แล้วแบกร่างฉินอี๋เหนียงออกไปลวกๆ โดยไม่สนใจว่าเจ้าตัวเป็นอะไรกันแน่
“มหามงคล มั่งคั่งร่ำรวย…มหามงคล มั่งคั่งร่ำรวย” แม่นมมงคลที่อยู่อีกด้านส่งเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด เสิ่นกุยเยี่ยนถูกจับกดให้นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอีกครั้ง นางเย็นเฉียบไปทั้งร่าง
เคราะห์หนักเมื่อสิบห้า…
เสิ่นกุยเยี่ยนมองเงาสะท้อนของตนเองในคันฉ่องอยู่นาน เพียงแค่คิดถึงสภาพเมื่อครู่ของฉินอี๋เหนียง เครื่องประทินโฉมที่เพิ่งแต่งเสร็จหมาดๆ ก็ละลายเปรอะหน้าไปจนหมด
“คุณหนู แข็งใจไว้หน่อยนะเจ้าคะ เกี้ยวเจ้าสาวของจวนอัครเสนาบดีมาถึงแล้ว” เป่าซั่นร้องไห้หนักกว่านางด้วยซ้ำ แต่มาบอกให้นางแข็งใจ
เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ตอบ แม่นมมงคลที่อยู่ข้างๆ หยิบผ้าคลุมศีรษะเจ้าสาวจะคลุมให้ แต่จู่ๆ ป้าซิ่วหรงก็ร้องบอกว่า “เร็ว รีบสลับชุดของคุณหนูสามกับคุณหนูห้าเดี๋ยวนี้เลย!”
บทที่ 6 ชุบมือเปิบ
ทุกคนในห้องตกตะลึงกันหมด สลับชุด? เหตุใดต้องสลับชุดด้วยเล่า ทางจวนอัครเสนาบดีจะแต่งคุณหนูสามเข้าตระกูลอย่างถูกพิธีรีตองทุกอย่าง แล้วเหตุใดถึงจะสลับชุดกับคุณหนูห้าเล่า
เสิ่นกุยเยี่ยนยังไม่ทันได้สติกลับมาจากเรื่องของฉินอี๋เหนียงก็ถูกคนยื้อยุดแล้ว เป่าซั่นถูกกันไปอีกทางหนึ่ง สาวใช้สามสี่คนเข้ามาถอดชุดเจ้าสาวของนางออกแล้วห่มเสื้อคลุมกันลมตัวหนึ่งให้ลวกๆ
ทั้งมงกุฎเจ้าสาวและแถบคลุมไหล่ถูกดึงออกไปจนหมด ขณะที่เสิ่นกุยหย่าถูกประคองเข้ามา อีกฝ่ายแต่งหน้าอย่างประณีตงดงาม หวีเกล้าผมไว้เสร็จสรรพ เอาชุดเจ้าสาวของเสิ่นกุยเยี่ยนไปสวมใส่ด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน
เสิ่นฮูหยินตามเข้ามาทีหลัง ขมวดคิ้วมองความอลหม่านในห้องแวบหนึ่งก็โบกมือสั่ง “ประคองคุณหนูสามไปอีกทาง แม้แต่สาวใช้ของนางก็คุมตัวไว้ให้ดี ช่วยคุณหนูห้าแต่งตัวให้เสร็จ แล้วอีกสักพักประคองขึ้นเกี้ยว”
แม่นมมงคลตะลึงงันด้วยความตกใจอยู่เป็นนานก็ยังไม่รู้ว่าควรจะมีอาการตอบสนองเช่นไรดี เสิ่นฮูหยินยัดเงินใส่มือแม่นมมงคลเป็นการปลอบขวัญพร้อมส่งสายตาให้ “ทั้งหมดข้าจะจัดการเอง”
“เจ้าค่ะ…” แม่นมมงคลรับเงินมาแล้วเหลือบมองเสิ่นกุยเยี่ยนอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
“ท่านแม่ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ” เสิ่นกุยเยี่ยนได้สติกลับคืนมา นางมองมารดาเลี้ยงพลางถาม
จะให้เสิ่นกุยหย่าออกเรือนแทนข้าเช่นนั้นหรือ
“เมื่อครู่หย่าเอ๋อร์เพิ่งถูกตรวจพบว่าตั้งครรภ์บุตรของคุณชายกู้” เสิ่นฮูหยินกล่าวด้วยสีหน้าไม่รื่นรมย์นัก “เรื่องจวนตัวเลยต้องให้นางออกเรือนไปก่อนค่อยว่ากัน ฉินอี๋เหนียงท่าทางคงไม่รอดแล้ว เท่ากับเป็นอัปมงคลต่องานแต่งของเจ้า ระงับไว้ก่อนชั่วคราวดีกว่า”
เหลวไหล! เสิ่นกุยเยี่ยนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง “ท่านแม่ตัดสินใจเช่นนี้ได้เรียนถามท่านพ่อหรือไม่เจ้าคะ”
“หากนายท่านทราบเรื่องก็ต้องเข้าใจอยู่แล้ว” อีกฝ่ายตอบ “ได้ฤกษ์แล้ว ต่อให้เจ้าอยากแต่งออกไป ก็แต่งหน้าใหม่ไม่ทันหรอก แม่นมมงคลประคองหย่าเอ๋อร์ออกไปซิ”
“เจ้าค่ะ” แม่นมมงคลรับคำเสียงแผ่วแล้วประคองเสิ่นกุยหย่าไปสวมผ้าคลุมศีรษะ
“พี่สาวไม่ต้องเสียใจไปหรอกนะเจ้าคะ” เสิ่นกุยหย่ามองเสิ่นกุยเยี่ยนแล้วทอดถอนใจอย่างปลงๆ “ใครใช้ให้น้องมีบุตรก่อนกันเล่า น้องแต่งออกไปเช่นนี้ ผู้ใดก็คัดค้านไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่สวรรค์เล่นตลกกับชะตาคน”
พูดจบนางก็หัวเราะเบาๆ พลางดึงผ้าลงมาคลุมหน้า แล้วให้คนประคองออกจากห้อง
ต่อให้เสิ่นกุยหย่าหน้าไม่อายชิงมีความสัมพันธ์กับกู้เจาตงจนข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกก็ไม่เป็นไรหรอก ในเมื่อกู้เจาตงไม่ชอบนาง นางย่อมแต่งเข้าจวนสกุลกู้ไม่ได้ แต่เวลานี้นางกลับบอกว่าตั้งครรภ์บุตรของกู้เจาตง
ลองคำนวณเวลาดูก็น่าจะใช่กระมัง ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ทางกายตั้งแต่พิธีถามชื่อและเวลาตกฟากเมื่อสองเดือนก่อน หากพลาดพลั้งตั้งครรภ์ขึ้นมาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เสิ่นกุยเยี่ยนตัวแข็งทื่อ เพียงปล่อยให้สาวใช้ประคองไปอีกทางหนึ่ง งานพังไม่เป็นท่าจนร่ำไห้ไม่ออก เป่าซั่นดิ้นขัดขืนอย่างร้อนใจ “คุณหนู ท่านปล่อยให้พวกนางแย่งการแต่งงานของท่านไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไรกัน คนที่ควรขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวคือท่านนะเจ้าคะ!”
สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ เงื้อเท้าถีบเข้าที่ท้องของเป่าซั่น นางหน้าซีดเผือด เจ็บเสียจนพูดไม่ออก
“หากยังลงไม้ลงมือกับสาวใช้ของข้าอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน”
เสิ่นกุยเยี่ยนมองเสิ่นกุยหย่าถูกส่งตัวขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว เสียงแตรเสียงฆ้องดังอึกทึกอยู่ด้านนอก น่าแปลกที่น้ำเสียงของเสิ่นกุยเยี่ยนยังคงเยือกเย็นได้อยู่
สาวใช้ที่จับตัวเป่าซั่นไว้สะท้านเฮือกด้วยความตกใจ ทว่านางเป็นบ่าวในเรือนเสิ่นฮูหยิน ส่วนอีกฝ่ายเป็นเพียงคุณหนูสาม ซ้ำตอนนี้ยังไม่ได้แต่งเข้าจวนอัครเสนาบดี เสิ่นกุยเยี่ยนจะทำอะไรนางได้เล่า คิดได้ดังนั้นก็แค่นยิ้ม “คุณหนูสามช่างวางท่าใหญ่โตเสียจริงนะเจ้าคะ วันนี้บ่าวได้รับคำสั่งจากฮูหยิน หากนางบ่าวนี่กล้าแผลงฤทธิ์อีกบ่าวก็ยังจะถีบมันเหมือนเดิม”
“จิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์”* เป่าซั่นด่าอย่างไม่เลือกคำพูด “จวนอัครเสนาบดีไม่ยอมให้พวกเจ้าทำตามใจชอบเช่นนี้แน่ ตาปลาก็คือตาปลา จะเอาไปหลอกว่าเป็นไข่มุกได้จริงๆ หรือไร!”
เสิ่นฮูหยินตามพวกเสิ่นกุยหย่าออกจากห้องนี้ไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงสาวใช้สามคนให้คอยคุมตัวสองนายบ่าว ในเมื่อมีสามต่อสอง พอได้ยินเป่าซั่นพูดเช่นนั้น แม้ไม่อาจแตะต้องผู้เป็นนาย แต่มีหรือจะทำอะไรบ่าวรับใช้ไม่ได้
“จับมันไว้!”
เนื่องจากเห็นว่าอีกฝ่ายคนน้อยกว่า สาวใช้ที่ถูกด่าจึงไม่คิดจะข่มอารมณ์ ขอตบเป่าซั่นสักสองฉาดให้ได้ถึงจะยอมเลิกรา สาวใช้อีกสองคนที่เหลือจับตัวเป่าซั่นไว้ตามคำสั่ง คุณหนูสามปวกเปียกอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร ไม่มีทางที่จะเข้ามายุ่ง
‘เพียะ!’
ปรากฏว่าพอสะบัดมือตบ จู่ๆ เสิ่นกุยเยี่ยนก็ถลาร่างพร้อมยื่นหน้ามารับฝ่ามือนี้ไว้แทน
สาวใช้ที่ตบผงะอึ้ง รีบชักมือกลับมาด้วยความตกใจ ทว่าแก้มของเสิ่นกุยเยี่ยนปรากฏเป็นรอยมือแดงๆ เรียบร้อยแล้ว
“คุณหนู!” เป่าซั่นสะดุ้งเฮือก รีบสลัดสาวใช้สองคนนั้นจนหลุด แล้วประคองผู้เป็นนายขึ้นมาดูใบหน้าอย่างเป็นห่วง “ท่าน…”
เสิ่นกุยเยี่ยนส่ายหน้าแล้วก้มเก็บปิ่นดอกเหมยที่ร่วงตกอยู่บนพื้นขึ้นมาปักบนเรือนผมใหม่อีกครั้ง จากนั้นเอ่ยเรียบๆ “ไว้ให้ด้านนอกคำนับลากันเสร็จแล้ว พวกเราค่อยออกไปขอให้ท่านพ่อตัดสินให้”
สาวใช้ที่ตบนางลนลานทิ้งตัวลงคุกเข่ากับพื้นดังตุ้บ “คุณหนูสาม! บ่าวสำนึกผิดแล้ว บ่าวสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ!”
ไม่ว่าอย่างไรบ่าวไพร่ก็ตบเจ้านายไม่ได้เด็ดขาด! เรื่องนี้จะแก้ต่างอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น หากนายผู้เฒ่าเสิ่นรู้เข้า นางจะต้องถูกโบยเจียนตายอย่างแน่นอน!
ปกติคุณหนูสามเป็นคนเงียบๆ ไม่มีปากมีเสียง ใครเลยจะคิดว่าจู่ๆ จะถลาเข้ามาถูกตบแทนเสียเอง
เสิ่นกุยเยี่ยนนั่งไม่พูดไม่จาอยู่ตรงขอบเตียง สาวใช้ที่คุกเข่าอยู่กับพื้นก็ไม่กล้าลุกขึ้นมา
เสียงด้านนอกเริ่มซาลงทีละน้อย แขกเหรื่อบางคนอยู่กินข้าว ส่วนนายผู้เฒ่าเสิ่นน่าจะพอมีเวลาว่าง
“เป่าซั่น เปลี่ยนเสื้อผ้า” เสิ่นกุยเยี่ยนสั่งเบาๆ
ที่นี่เป็นห้องของนาง วันนี้เป็นวันมงคลของนาง ชุดเจ้าสาวถูกผู้อื่นแย่งไปใส่ ขณะที่นางถูกขังอยู่ในห้องโดยทำอะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
ฉินอี๋เหนียงเป็นตายไม่แจ้งและไม่รู้ด้วยว่าเป็นอะไร ทางกู้เจาตงก็คงคิดว่าคนที่อยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวคือนาง แล้วรับกลับไปที่จวนอย่างปีติยินดี นอกจากเป่าซั่นแล้ว ข้างกายนางไม่มีผู้ใดให้พึ่งพาได้แม้แต่คนเดียว
เป่าซั่นเลือกชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อนมาผลัดเปลี่ยนให้เสิ่นกุยเยี่ยนด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ หวีเกล้าผมให้ใหม่ แล้วพากันออกจากเรือน
ในห้องโถงใหญ่เสิ่นฮูหยินกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาอย่างเศร้าใจ “แต่งออกไปเช่นนี้เสียแล้ว…”
นายผู้เฒ่าเสิ่นมองภรรยาอย่างกังขา “ปกติเจ้าไม่ชอบเยี่ยนเอ๋อร์กว่าใครไม่ใช่หรือ เหตุใดวันนี้กลับร้องไห้ได้เล่า”
เสิ่นฮูหยินชะงัก กำลังจะอ้าปากตอบใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาจากหน้าห้อง “ลูกคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนคำนับอย่างนอบน้อม ทว่าครั้งนี้นางกลับเงยหน้าขึ้นมองบิดาอย่างรวดเร็ว
“เยี่ยนเอ๋อร์?!” นายผู้เฒ่าเสิ่นอุทานพลางยกมือชี้ออกไปด้านนอก “เจ้าไม่ได้…”
“เรียนท่านพ่อ ลูกกำลังอยากเรียนถามท่านพ่อเรื่องนี้ล่ะเจ้าค่ะ” เสิ่นกุยเยี่ยนไม่อ้อมค้อม มองหน้าเสิ่นฮูหยินพลางพูดชัดถ้อยชัดคำ “วันนี้เป็นวันมงคลของเยี่ยนเอ๋อร์ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดท่านแม่ถึงได้พาน้องห้าบุกเข้ามาในห้องของเยี่ยนเอ๋อร์แล้วแย่งชุดเจ้าสาวไป ทั้งยังขังเยี่ยนเอ๋อร์ไว้ในห้องไม่ยอมให้ออกมาข้างนอก แล้วส่งน้องห้าขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแทน”
นายผู้เฒ่าเสิ่นหน้าเครียด หันไปมองภรรยาอย่างไม่เชื่อหู “เจ้าทำเช่นนั้นจริงหรือ!”
เสิ่นฮูหยินใช้ผ้าเช็ดหน้าซับมุมปาก มองเสิ่นกุยเยี่ยนแวบหนึ่งแล้วตอบเบาๆ “เรื่องนี้กะทันหัน ข้าเลยยังไม่ได้เรียนนายท่าน ฉินอี๋เหนียงตายแล้ว ตายในห้องเยี่ยนเอ๋อร์วันนี้”
ฟ้ามืดลงในฉับพลัน จากที่อากาศโปร่งสบายในช่วงย่ำค่ำ จู่ๆ ด้านนอกก็เริ่มมีฝนตกลงมา
เสิ่นกุยเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นฮูหยินอย่างตกตะลึง ฝ่ายหลังกล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น “หมอมาดูอาการแล้ว บอกว่าถูกพิษจากสารหนู ไม่รู้ว่าวันนี้ทั้งวันนางกินอะไรบ้าง หมอพยายามหาทางช่วยแล้ว แต่ช่วยไม่ได้ นางก็เลยจากไปทั้งอย่างนั้น มารดาตายทั้งคนจะแต่งออกไปก็ไม่เป็นมงคลแล้วกระมัง ดังนั้นข้าจึงระงับการแต่งงานของเยี่ยนเอ๋อร์เอาไว้ แล้วให้หย่าเอ๋อร์แต่งไปแทน”
หลังจากเม้มปากเล็กน้อย นางก็พูดต่อไป “อีกอย่างหย่าเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์บุตรของคุณชายกู้แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าทางจวนอัครเสนาบดีจะเอาจวนเราไปว่าเสียๆ หายๆ หรอก เรื่องนี้บุตรชายเขาเป็นคนก่อเรื่อง พวกเขาก็ต้องรับผิดชอบ”
เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ได้ยินถ้อยคำช่วงหลังๆ แม้แต่น้อย นางรู้เพียงแค่ว่าฉินอี๋เหนียงจากไปแล้วเท่านั้น
นางลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน ก่อนเบิกตากว้างแล้ววิ่งออกไปข้างนอก ไม่แม้แต่จะกะพริบตาสักนิด
ในจวนประดับแพรแดงและอักษรมงคล หากแต่เรือนด้านหลังมีคนโหรงเหรง เสียงสาวใช้ร่ำไห้ลอยออกมาจากเรือนฉินอี๋เหนียง สายฝนโปรยปรายลงมาบางๆ ซิ่วเจวียนคุกเข่าอยู่ข้างเตียงผู้เป็นนาย ร้องไห้เสียจนเสียงแหบแห้ง
“เมื่อเช้าตอนตื่นมาอี๋เหนียงยังดีๆ อยู่เลย บอกว่าจะไปเกล้าผมงามๆ ให้คุณหนู จู่ๆ จะจากไปในพริบตาเดียวได้อย่างไร จะต้องถูกใครเล่นงานเป็นแน่ สารหนูเป็นยาพิษ มีหรือที่อี๋เหนียงจะกินเข้าไปส่งเดช!”
เสิ่นกุยเยี่ยนคุกเข่าลงข้างเตียง เสียงร้องไห้ของซิ่วเจวียนดังอยู่เต็มหู ทว่านางไม่ได้ยินเลยสักนิด เอาแต่มองคนที่วันนี้ยังหวีผมให้ตนเองอยู่ในคันฉ่อง แต่บัดนี้กลับนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าไร้สีเลือด ไม่หายใจอีกต่อไปแล้ว
ฉินซื่อ* เป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่ง รอจนให้กำเนิดคุณชายรองถึงมีวาสนาได้เป็นอี๋เหนียง นางเป็นคนมือไม้คล่องแคล่ว เสื้อผ้าสมัยลูกๆ ยังเล็กนางล้วนตัดเย็บเองกับมือทั้งสิ้น ถูกผู้อื่นรังแกก็ไม่เคยปริปากสักครั้ง เสิ่นกุยเยี่ยนมักโมโหเสมอ โมโหที่ฉินอี๋เหนียงปกป้องตนเองไม่เป็น
ฉินอี๋เหนียงมักพูดยิ้มๆ อยู่เป็นนิตย์ ‘ข้าก็มีคนที่อยากปกป้องเช่นกัน ดังนั้นของบางอย่างจึงจำเป็นต้องทน’
ความอดทนคือสิ่งที่ฉินอี๋เหนียงคอยสอนเสิ่นกุยเยี่ยน ทว่าบัดนี้นางตายเสียแล้ว
เสิ่นกุยเยี่ยนอยากหัวเราะ แต่เพิ่งจะขยับริมฝีปาก น้ำตาก็ร่วงพรูลงมาแทน
* ชุดกระโปรงหรูฉวิน เป็นชุดแต่งกายชาวฮั่นที่นิยมในหมู่สตรีในสมัยราชวงศ์ซ่ง ท่อนบนเป็นเสื้อตัวสั้น ท่อนล่างเป็นกระโปรงสอบ มีสายผูกรอบลำตัวขับเน้นช่วงใต้อกหรือเอวให้เด่นชัด
* แม่นมมงคล คือหญิงออกเรือนแล้วที่ฝ่ายชายว่าจ้างมาช่วยเรื่องพิธีการต่างๆ ในงานแต่งงาน โดยแม่นมมงคลจะรู้ธรรมเนียมพิธีในการแต่งงานเป็นอย่างดีและช่างเจรจา
* จิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์ เป็นสำนวนที่มีที่มาจากนิทานสุภาษิต หมายถึงอาศัยอำนาจบารมีของผู้อื่นมาข่มขู่รังแกผู้ที่ด้อยกว่า
* ซื่อ ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่า ‘ซื่อ’ (แปลว่านามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดขึ้นก็มี ในที่นี้ยังสามารถเรียกขานสตรีที่เป็นอนุภรรยา (อี๋เหนียง) ได้อีกด้วย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 มิ.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.