X
    Categories: ทดลองอ่านนิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน!มากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน! บทที่ 10-11

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่สิบ

 หลังวันเสี่ยวเหนียนผ่านไป วันส่งท้ายปีเก่าก็มาถึง

ไม่ว่าอย่างไรสกุลหลี่ก็เคยเป็นสกุลที่มีชื่อเสียง ภายในจวนก็มีศาลบรรพชนเป็นของตนเอง

ตั้งแต่เข้าเดือนสิบสองมาฮูหยินผู้เฒ่าก็สั่งให้คนเข้าไปทำความสะอาดศาลบรรพชนแล้ว ดูว่ามีของอะไรที่ต้องซื้อเพิ่มเติมบ้าง วันนี้เป็นวันพิธีการ หลังกินอาหารเช้าเสร็จฮูหยินผู้เฒ่าก็พาคนในครอบครัวไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่ศาลบรรพชน

ช่วงเวลานี้จะไม่มีการแบ่งแยกลูกภรรยาเอกหรือลูกอนุอะไรทั้งนั้น ล้วนเป็นลูกหลานของสกุลหลี่เหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าหลี่หลิงหว่านหรือหลี่เหวยหยวนก็ต้องไปด้วยเช่นกัน มิหนำซ้ำในบรรดาลูกหลาน หลี่เหวยหยวนยังถือเป็นหลานชายคนโต ตำแหน่งที่ยืนก็จะอยู่ด้านหน้าสุดด้วย

อย่างไรก็เป็นวันปีใหม่ ต่อให้พ่อบ้านจวนสกุลหลี่มีขวัญกล้าเทียมฟ้าเพียงใดก็ไม่กล้าพอจะให้หลี่เหวยหยวนสวมอาภรณ์เก่าขาดไปร่วมไหว้บรรพบุรุษเป็นแน่ เมื่อสองวันก่อนจึงมีคนส่งชุดคลุมยาวผ้าฝ้ายชุดใหม่ไปให้เขาแล้ว

แม้ภายนอกชุดคลุมยาวผ้าฝ้ายสีน้ำเงินสว่างจะดูใหม่เอี่ยมก็จริง ทว่าปุยฝ้ายที่บุอยู่ข้างในกลับไม่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นแต่อย่างใด กระนั้นหลี่เหวยหยวนก็ไม่ได้เอ่ยอะไร สุดท้ายเขาก็ยังคงสวมชุดคลุมยาวผ้าฝ้ายชุดนี้มาในวันนี้อยู่ดี

ในใจเขากระจ่างแจ้งดี แม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะอายุมากแล้ว และได้มอบเรื่องราวทุกอย่างภายในจวนให้สะใภ้ใหญ่เป็นผู้ดูแลก็จริง แต่นางจะไม่รู้เรื่องภายในจวนสักนิดเลยหรือ คิดดูแล้วเรื่องที่พวกพ่อบ้านกับบ่าวรับใช้ของจวนลิดรอนของกินของใช้เขามาเป็นเวลาหลายปีนี้ ในใจฮูหยินผู้เฒ่าเองก็น่าจะกระจ่างดี ทว่านางไม่เคยสนใจที่จะจัดการมาก่อน

คิดดูแล้วบางทีฮูหยินผู้เฒ่าเองก็คงไม่คิดจะสน ในใจนางเกลียดเขายิ่งนัก นางเชื่อมั่นในคำพูดที่ท่านเจ้าอาวาสเอ่ยในปีนั้นว่าเขามีดวงชะตาพิฆาต ซึ่งจะคอยพิฆาตคนใกล้ชิดทุกคน กระทั่งยามที่เขาเพิ่งเกิดมานายท่านผู้เฒ่าก็เกิดเรื่องร้ายจนจากไป

ในใจฮูหยินผู้เฒ่าคงอยากจะให้เขารีบตายๆ ไปเสียที นางจึงไม่เคยสนใจว่าคนรอบข้างทำร้ายเขาอย่างไรบ้าง ที่ผ่านมาคงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าผิดหวังไม่น้อย เพราะท้ายที่สุดเขาก็ยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ และเขาก็จะยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้เห็นเองกับตาว่าที่สุดแล้วเขา ‘พิฆาต’ ทุกคนในจวนสกุลหลี่อย่างไรบ้างกันแน่

มุมปากหลี่เหวยหยวนปรากฏรอยยิ้มเย็นชา ทว่าเขาเอาแต่ก้มหน้ามาโดยตลอดจึงไม่มีใครสังเกตเห็น

หลังลุกขึ้นยืนสลับกับคุกเข่าเพื่อคารวะอยู่หลายครั้ง พิธีการก็เป็นอันเสร็จสิ้น ทุกคนในจวนสกุลหลี่จึงทยอยกันเดินออกมาจากศาลบรรพชน

ยามที่มาถึงเรือนซื่ออันก็ถึงเวลาที่ทุกคนจะคารวะฮูหยินผู้เฒ่า

วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสวมเสื้อคลุมผ่าหน้าแขนยาวสีม่วงปักลายอู่ฝูเผิ่งโซ่ว ขอบปกเสื้อเป็นแถบดำลายสายน้ำสีทอง บนศีรษะปักปิ่นหยกเนื้องามยิ่ง บริเวณมวยผมประดับดอกไม้ผ้าไหมสีแดงสดดอกใหญ่ นั่งยิ้มแย้มอยู่บนเตียงหลัวฮั่นที่ปูรองด้วยเบาะขนจิ้งจอกขาว รับการคารวะจากคนรุ่นหลัง

รอจนทุกคนคารวะเสร็จเรียบร้อยแล้วนางจึงเอ่ยคำชมออกมาคำหนึ่ง ก่อนที่ด้านข้างจะมีสาวใช้ประคองถาดกลมลายทองออกมา บนถาดนั้นมีถุงเงินเล็กๆ ซึ่งถูกจัดเตรียมไว้นานแล้วกองหนึ่ง ภายในถุงเงินจะบรรจุแท่งทองคำอยู่หลากหลายแบบ ให้ลูกหลานเอาไว้ปัดเป่าเคราะห์ภัยและเพื่อความเป็นสิริมงคล

ซวงหงและซวงหรงยุ่งอยู่กับการแจกจ่ายถุงเงินให้กับบรรดาเจ้านายแต่ละคนที่อยู่ภายในห้อง

เฉียนซื่อเป็นคนปากหวานคนหนึ่ง นางยื่นมือออกไปรับถุงเงินแล้วยิ้มเอ่ย “จะว่าไปข้าเองก็โตขนาดนี้แล้ว ทั้งยังเป็นมารดาของบุตร แต่ทุกปีก็ยังได้รับเงินยาซุ่ย* ที่ท่านแม่มอบให้ ในใจข้ารู้สึกเกรงใจไม่น้อยเลยจริงๆ”

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็ยิ้ม วันนี้เห็นภาพลูกหลานอยู่เต็มห้องโถง บรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้นางเองก็มีความสุขยิ่งนัก “ไม่ว่าพวกเจ้าจะโตมากแค่ไหน หรือกลายเป็นบิดามารดาไปแล้ว ทว่าในใจข้าพวกเจ้าล้วนเป็นลูกของข้าเสมอ คนเป็นแม่มอบเงินยาซุ่ยให้ลูก พวกเจ้าจะต้องมาเกรงใจอะไรกัน”

พูดจบทุกคนในห้องก็หัวเราะออกมา ก่อนจะเป็นช่วงเวลาที่แต่ละครอบครัวมอบของขวัญปีใหม่ให้กับฮูหยินผู้เฒ่า แล้วก็เป็นช่วงที่ผู้อาวุโสของแต่ละครอบครัวมอบเงินยาซุ่ยให้แก่ลูกหลานของตนเอง

เย็นวันนี้หลี่หลิงหว่านได้รับถุงเงินทั้งหมดสี่ถุง นางแอบใช้มือชั่งน้ำหนักดู ถุงเงินของบ้านใหญ่กับบ้านรองเบานัก ทว่าถุงเงินของฮูหยินผู้เฒ่า โดยเฉพาะของโจวซื่อนั้นกลับหนักเป็นพิเศษ เห็นทีข้างในถุงเงินจะต้องมีของดีไม่น้อยเป็นแน่

นางยัดทั้งสี่ถุงเข้าไปในอกเสื้ออย่างมีความสุข ช่วงนี้กำลังเบื่อหน่ายที่ในมือไม่ค่อยมีเงินอยู่พอดี จู่ๆ วันนี้ก็ได้รับของพวกนี้ ในวันหน้านางจะต้องจัดการเก็บเงินเอาไว้ให้ดี ไม่อาจให้เป็นเช่นคราวก่อนที่พอถามว่าเงินไปอยู่ที่ใด แล้วคนรอบข้างก็บอกว่านางเป็นคนใช้ไปเองจนหมด เพราะไม่ได้เก็บเงินเองแต่แรก ยามนั้นนางจึงทำได้เพียงยอมรับคำพูดนี้ไปอย่างอัดอั้น

วันนี้ตอนตื่นขึ้นมาก็มีหิมะเกล็ดใหญ่ตกลงมาตลอดครึ่งวันเช้า ในยามนี้หิมะเกล็ดใหญ่ได้หยุดตกแล้ว เหลือแค่เพียงปุยหิมะเล็กๆ ดั่งขนห่านโปรยปรายลงมาเต็มท้องฟ้า

ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุขจึงยิ้มแย้มเอ่ย “วันนี้เป็นวันสิ้นปี ทิวทัศน์นับว่าเหมาะสม หิมะจึงตกลงมาตลอดทั้งวันเช่นนี้”

“นั่นสิเจ้าคะ” เฉียนซื่อปากไวรับคำต่อทันที “ล้วนพูดกันว่าหิมะตกตามฤดูกาลเป็นลางดี ปีหน้านายท่านรองต้องเข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อ หลิงเกอเอ๋อร์ เองก็ต้องเข้าร่วมการสอบถงซื่อ ถึงยามนั้นสองพ่อลูกล้วนสอบผ่าน ท่านแม่ ภายภาคหน้าท่านก็จะพลอยได้รับยศศักดิ์อันมั่นคงไปด้วย”

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเฉียนซื่อเอ่ยเช่นนี้ก็เอาแต่ยิ้มจนหุบไม่ลง ทั้งยังเอ่ยว่า “หากพวกเขาทั้งสองคนล้วนสอบผ่านแล้วจริงๆ แน่นอนว่าจะขาดความดีความชอบจากเจ้าที่เป็นภรรยาและมารดาไปไม่ได้”

สวีซื่อที่นั่งอยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดชมเชยกันไปมาของพวกนางแล้ว สีหน้าก็ดูไม่ดีขึ้นมา

หากบ้านรองเจริญรุ่งเรืองไปถึงเพียงนั้น บ้านใหญ่ของนางยังจะนับเป็นอะไรได้อีก

คิดมาถึงตรงนี้นางก็อดถลึงตามองหลี่ซิวซงอย่างดุร้ายหนหนึ่งไม่ได้

เหลียงเกอเอ๋อร์ของนางยังเล็กนัก เพิ่งจะเริ่มศึกษาเล่าเรียน เรื่องสอบผ่านนั้นยังคาดหวังไม่ได้ ทว่าหลี่ซิวซงไม่เหมือนกัน จะดีหรือร้ายเขาก็เป็นบุตรชายของภรรยาเอก ทั้งยังเล่าเรียนวิชามานานหลายปีแล้ว เหตุใดจวบจนถึงวันนี้แม้แต่ซิ่วไฉ ก็ยังสอบไม่ผ่านเลยสักครั้ง ทำให้สะใภ้เช่นนางโงหัวไม่ขึ้นแบบนี้

ทว่าเพียงมองไปครั้งเดียวนางก็โมโหจนเกือบจะขาดสติอยู่แล้ว

สายตาของหลี่ซิวซงกำลังมองไปที่หลี่เหวยหยวน ในดวงตาของเขายังแอบมีประกายน้ำตาซ่อนอยู่

เรื่องที่หลี่เหวยหยวนเกิดมาจากตู้ซื่อนั้นฮูหยินผู้เฒ่าได้ปิดบังทุกคนภายในจวนเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ ดังนั้นสวีซื่อจึงไม่รู้เรื่องราวในส่วนนี้ นางหลงคิดว่าหลี่เหวยหยวนเป็นลูกที่เกิดจากสาวใช้ห้องข้างคนหนึ่งของหลี่ซิวซง และสาวใช้ห้องข้างคนนั้นก็หมดบุญ ตอนที่คลอดหลี่เหวยหยวนออกมาก็ตายไปเสียแล้ว

ลูกอนุคนหนึ่ง ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นบุตรคนโต ในใจสวีซื่อย่อมไม่มีความสุขอยู่แล้ว ยิ่งแม่สามีแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบหลานชายที่เกิดจากสาวใช้ห้องข้างผู้นี้ สวีซื่อก็ยิ่งไม่เอาหลี่เหวยหยวนมาใส่ใจ

แล้วที่ยามนี้หลี่ซิวซงมองไปยังหลี่เหวยหยวนด้วยน้ำตาคลอเบ้านั้นหมายความว่าอย่างไร รู้สึกว่าเขาน่าสงสาร ในใจจึงทนไม่ได้อย่างนั้นหรือ หรือตำหนิที่ภรรยาเอกเช่นนางไม่รู้จักดูแลหลี่เหวยหยวนให้ดี

ชั่วขณะนี้สวีซื่อเคียดแค้นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามืออย่างรุนแรง

ขณะเดียวกันหลี่หลิงหว่านเองก็กำลังมองหลี่เหวยหยวน นางกลุ้มใจยิ่งนัก

เมื่อครู่พอได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าคุยกับเฉียนซื่อแล้ว นางถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าปีหน้าก็เป็นการสอบถงซื่อแล้ว การสอบถงซื่อครั้งนี้หลี่เหวยหยวนจะสอบได้ซิ่วไฉ อีกสามปีให้หลังก็สอบเซียงซื่อ จากนั้นก็ฮุ่ยซื่อ เขาสามารถผ่านไปได้อย่างราบรื่นตลอดเส้นทาง จนมาถึงตำแหน่งเสนาบดี ถูกผู้คนเรียกขานด้วยความเคารพว่าท่านเสนาบดีหยวน นับจากนี้ปิดฟ้าได้ด้วยมือข้างเดียว

ถึงยามนั้นแล้วทั้งจวนสกุลหลี่จะไม่กลายเป็นอาหารจานหนึ่งของเขาหรอกหรือ เขาอยากจัดการคนในจวนสกุลหลี่นี้อย่างไรก็จัดการได้อย่างนั้น

หลี่หลิงหว่านกลัดกลุ้ม นางหน้านิ่วคิ้วขมวด ปลายนิ้วขยับเกี่ยวถุงหอมที่คล้องอยู่บริเวณสายรัดเอวโดยไม่รู้ตัว ในใจกำลังคิดว่ามีหนทางใดบ้างหรือไม่ที่จะทำให้หลี่เหวยหยวนสอบถงซื่อไม่ผ่านในปีหน้า หากว่าเขาสอบไม่ผ่าน เป็นไปตามทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าก็จะไม่เป็นเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว สุดท้ายนางก็จะไม่ถูกเขาฆ่าตาย

เป็นเพราะในใจหลี่หลิงหว่านกำลังกลัดกลุ้ม มื้ออาหารที่ล้อมวงกินร่วมกันนี้นางจึงไม่ได้กินอย่างมีความสุข

ช่วงเวลาต่อมาก็เป็นการเฝ้าคืนข้ามปี

ยามนี้แม้จะเป็นปลายฤดูหนาวแล้ว ทว่ากลางวันยังคงสั้นกว่ากลางคืน อากาศในตอนกลางคืนก็ยังคงเหน็บหนาว แม้ภายในห้องโถงใหญ่จะวางกระถางไฟทองคำเอาไว้ถึงสามกระถาง ข้างในมีถ่านที่ไฟกำลังลุกโชน แต่การฝืนนั่งอยู่ที่นี่จนถึงฟ้าสางก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในตอนหลังจึงมีคนเสนอให้เล่นกู่ไผ ขึ้นมา

ลูกสะใภ้สามคนเล่นกู่ไผเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่า ทว่าใครจะกล้าเอาชนะผู้อาวุโสเล่า สุดท้ายจะไม่เป็นการส่งเงินให้แม่สามีเพื่อประจบเอาใจนางหรอกหรือ

เห็นได้ชัดว่าสวีซื่อกับเฉียนซื่อชำนาญในการเล่นกู่ไผนี้ไม่น้อย แม้จะเอาชนะไม่ได้มาก แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้เสียเงินมากมาย ตรงข้ามกับโจวซื่อที่ดูไม่ถนัดในการเล่นกู่ไผนี้แม้แต่น้อย ท้ายที่สุดแล้วก็เหลือเพียงนางที่แพ้ราบคาบอยู่คนเดียว

นอกจากโจวซื่อจะแพ้เสียเงินแล้ว เฉียนซื่อที่อยู่ด้านข้างยังเอ่ยยุแยงอีก “ปีนี้หมู่บ้านกับร้านค้าของน้องสะใภ้สามเองก็เก็บผลผลิตมาได้มากกระมัง เงินที่เข้ามาคงมีไม่น้อย เย็นวันนี้ต่อให้เจ้าจะแพ้มากหน่อย แต่ก็เทียบได้กับขนเส้นเดียวของวัวเก้าตัว เท่านั้นเอง น้องสะใภ้สามคงไม่เห็นของพวกนี้อยู่ในสายตาใช่หรือไม่”

คำพูดทั้งในและนอกล้วนแต่แฝงไปด้วยการจิกกัด โจวซื่อได้ยินแล้วก็ทำได้เพียงยิ้มรับอย่างใจเย็น ไม่ได้พูดอะไร

แต่หากพูดกันขึ้นมาจริงๆ ในสะใภ้ทั้งสามคนนี้ เดิมทีคุณสมบัติของโจวซื่อนั้นดีที่สุด ตอนที่นางแต่งเข้ามาในสกุลหลี่นั้น สกุลเดิมของนางกำลังรุ่งโรจน์ มีสินเจ้าสาวดีๆ ติดตัวมาให้นางมากมายทั้งหมู่บ้านและร้านค้า บรรดาพี่น้องทั้งสามของสกุลหลี่ก็มีเพียงหลี่ซิวป๋อที่สอบติดจิ้นซื่อ มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี แม้ยามนี้เขาจะทำงานอยู่ต่างเมือง แต่ตำแหน่งของโจวซื่อในจวนสกุลหลี่แห่งนี้ก็ไม่ควรจะตกต่ำ ทว่าภายหลังสกุลเดิมเกิดตกอับ ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็เป็นคนประเภทเหยียบย่ำผู้ที่ต่ำกว่าอยู่แล้ว ถึงได้ก่อให้เกิดสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับโจวซื่อเช่นนี้

ในใจหลี่หลิงหว่านรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง ทั้งที่เฉียนซื่อเป็นคนได้ผลประโยชน์ไปแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังทำตัวเป็นคนใจแคบเช่นนี้อีก นางจึงแอบเดินไปอยู่ข้างหลังโจวซื่อเพื่อดูมารดาเล่น

กู่ไผเทียบได้กับโดมิโนในยุคปัจจุบัน หลี่หลิงหว่านพอจะเข้าใจอยู่ไม่น้อย มองดูสักพักนางก็พอจะเข้าใจวิธีการเล่นแล้ว

ดังนั้นยามที่โจวซื่อเลือกไพ่ผิดนางก็จะคอยแอบดึงชายอาภรณ์ของอีกฝ่าย ให้โจวซื่อเก็บไพ่ใบนั้นกลับไป แล้วให้เลือกอีกใบลงมาแทน

ทว่าเฉียนซื่อเป็นคนที่มีสายตาแหลมคม พอมองเห็นการกระทำของหลี่หลิงหว่านแล้วก็ยิ้มพลางเอ่ยเสียดสี “นับได้ว่าแม่ลูกใจเดียวกันโดยแท้ หว่านเจี่ยเอ๋อร์เห็นน้องสะใภ้สามเสียเงินเพียงเล็กน้อยก็หงุดหงิดแล้วหรือ ถึงได้ไปแอบสอนน้องสะใภ้สามเล่นกู่ไผอยู่ด้านหลังนั่น”

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็ไม่ชอบใจยิ่งนัก นางไม่ชอบให้หลี่หลิงหว่านสนิทสนมกับโจวซื่อ

ในใจโจวซื่อเองก็กระวนกระวาย ใบหน้าจึงรีบผุดรอยยิ้มขึ้นมาก่อนเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าและเฉียนซื่อ “มีเรื่องเช่นนั้นเสียที่ใดเล่า เมื่อครู่หว่านเจี่ยเอ๋อร์เพียงแค่บังเอิญเอาศอกมาโดนข้าเท่านั้น นางเป็นเด็กตัวเล็กๆ จะเข้าใจวิธีการเล่นกู่ไผได้อย่างไร”

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินก็เห็นว่ามีเหตุผล อย่างไรหลี่หลิงหว่านก็เป็นแค่เด็กหญิงอายุแปดขวบ มิหนำซ้ำภายใต้การสั่งสอนที่ผ่านมาของตนเอง ในใจหลี่หลิงหว่านย่อมดูถูกโจวซื่ออยู่แล้ว ยามนี้จะมาสนิทสนมกับโจวซื่อได้อย่างไร

ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่ได้ต่อว่าอะไร กลับกันยังเอ่ยกับหลี่หลิงหว่านว่า “เจ้าเพิ่งจะหายป่วย ไหนเลยจะทนความเย็นตลอดทั้งคืนได้ ช่างเถอะ คืนนี้เจ้าไม่ต้องมาคอยเฝ้าคืนข้ามปีแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนดีกว่า”

กล่าวจบก็เรียกบ่าวหญิงอาวุโสให้ส่งหลี่หลิงหว่านกลับไป

หลี่หลิงหว่านคิดอะไรขึ้นได้จึงรีบเอ่ย “ท่านย่าไม่ต้องเรียกคนไปส่งหลานหรอกเจ้าค่ะ หลานกลับไปพร้อมกับสาวใช้ของหลานก็พอแล้ว”

เมื่อครู่นางสังเกตเห็นหลี่เหวยหยวนแอบออกจากที่นี่ไปเงียบๆ แล้ว นี่จะต้องเป็นเพราะไม่มีใครเล่นหรือสนทนากับเขาเป็นแน่ เขาอยู่ที่นี่ต่อไปก็รู้สึกเบื่อหน่ายจึงได้จากไปก่อน ต้องกลับไปอยู่ในเรือนที่เงียบเหงาเช่นนั้นเพียงลำพังเขาจะรู้สึกอ้างว้างเพียงใด ยามนี้นางก็ถือโอกาสไปส่งความอบอุ่นอันดีแก่เขาเลยแล้วกัน นางจึงตัดสินใจจะไปหาหลี่เหวยหยวน อยู่เป็นเพื่อนเฝ้าคืนข้ามปีด้วยกันกับเขา ถึงยามนั้นความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน

ดั่งคำกล่าวว่า ‘หยาดฝนโปรยปรายเพื่อหล่อเลี้ยงพืชพรรณให้งอกงาม’ การส่งความอบอุ่นนี้มิใช่ต้องกระทำเงียบๆ กับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรอกหรือ ค่อยๆ ให้ใจเขารู้สึกได้เองในสักวันหนึ่งว่าน้องสามคนนี้ช่างเป็นห่วงเขายิ่งนัก ภายหน้าเขาที่เป็นพี่ชายผู้นี้ก็ต้องทำดีกับนาง ไม่อาจทำร้ายนางได้อีก

หลี่หลิงหว่านคิดไปคิดมาก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา อืม ที่สำคัญคือนางรู้สึกว่าตนเองช่างฉลาดเสียจริง

ในเมื่ออยากจะไปเฝ้าคืนข้ามปีกับหลี่เหวยหยวนแล้ว นางก็จำต้องปิดบังเรื่องนี้กับฮูหยินผู้เฒ่า จะให้ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกคนไปส่งนางกลับเรือนได้อย่างไร ดังนั้นนางจึงยืนกรานไม่ให้ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกคนมา

ยังดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้บีบบังคับ ไม่ว่าอย่างไรคืนนี้ก็เป็นคืนข้ามปี ทุกๆ ที่ภายในจวนล้วนจุดโคมไฟสว่างไสว ข้างกายหลี่หลิงหว่านเองก็มีสาวใช้เสี่ยวซานอยู่ นางจึงรู้สึกวางใจไม่น้อย ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก นางเพียงแค่กำชับว่าให้หลี่หลิงหว่านระมัดระวัง อย่าได้โดนความเย็นอีก

หลี่หลิงหว่านรับคำเสียงใส จากนั้นจึงให้เสี่ยวซานคลุมเสื้อคลุมสีชมพูสดใส แถบด้านข้างบุด้วยขนจิ้งจอกขาว ในมือถือโคมไฟที่สาวใช้ส่งมาให้ แล้วพาเสี่ยวซานเดินออกจากประตูใหญ่ของเรือนซื่ออันไป ก่อนจะเลี้ยวซ้ายอ้อมไปยังเรือนอันแสนเงียบเหงาของหลี่เหวยหยวน

หลังเดินไปบนพื้นหิมะอย่างทุลักทุเล ใช้เวลากว่าหนึ่งก้านธูป พวกนางก็มาถึงเรือนของหลี่เหวยหยวนในที่สุด

หลี่หลิงหว่านยืนอยู่บนบันได ยกมือขวาที่ใกล้จะแข็งแล้วขึ้นมาจ่อริมฝีปากก่อนพ่นลมหายใจออกมา ให้ความอบอุ่นกับมือสักเล็กน้อย จากนั้นยกมือขึ้นเคาะประตู ทว่าเคาะไปสักพักใหญ่แล้วก็ยังไม่มีใครมาเปิดประตูให้

ในใจหลี่หลิงหว่านสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ในเมื่อตามที่นางคิด หลายวันมานี้นางก็ได้แสดงความห่วงใยให้หลี่เหวยหยวนเห็นแล้วมิใช่หรือ มิหนำซ้ำจากที่เสี่ยวซานบอก ทุกครั้งที่มาส่งถ่านตะกร้านั้นหลี่เหวยหยวนล้วนรับเอาไว้ทั้งสิ้น อย่างน้อยก็แสดงว่าในใจเขามิได้ปฏิเสธนางเช่นที่ผ่านมาอีก แล้วเหตุใดเขากลับมาผลักไสนางไว้ที่นอกประตูอีกครั้งเล่า

ในใจนางกำลังคิดเช่นนี้ก่อนจะได้ยินเสียงเหยียบหิมะสวบสาบดังขึ้นมาจากด้านหลัง นางรีบหันกลับไปมอง

สถานที่แห่งนี้อยู่แยกออกมาอย่างโดดเดี่ยว รอบด้านไม่มีโคมไฟห้อยอยู่แต่อย่างใด โชคดีที่บนพื้นล้วนเต็มไปด้วยหิมะชั้นหนาๆ กองทับถมกัน อาศัยแสงเล็กน้อยจากดวงจันทร์ที่ตกกระทบลงบนหิมะแล้ว ยามที่หลี่หลิงหว่านมองไปก็รู้ได้ในทันทีว่าคนที่มาเป็นหลี่เหวยหยวน

ในมือของเขาเองก็ไม่มีโคมไฟ ทั้งไม่ได้กางร่ม เพียงเดินก้มศีรษะตรงมา เงาร่างโดดเดี่ยวนั้นเดินโซเซบนหิมะมาเพียงลำพัง บนศีรษะมีเกล็ดหิมะกระจัดกระจายร่วงหล่นลงบนร่างของเขา คล้ายกับทั้งร่างของเขาถูกกองทับถมด้วยหิมะอย่างไรอย่างนั้น

ชั่วขณะนั้นในใจหลี่หลิงหว่านราวกับถูกบางสิ่งทุบตีเข้าอย่างแรง นางรู้สึกว่าหลี่เหวยหยวนช่างน่าสงสารเกินไปแล้ว ในใจนางยามนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อเขา ช่วงเวลาถัดมานางจึงเปิดปากเรียกเขา “พี่ชาย”

แม้หิมะจะตกหนัก ทว่าน้ำเสียงกังวานใสกระจ่างเช่นนี้ของนางยังคงทะลวงผ่านหิมะโปรยปรายมาถึงหูของหลี่เหวยหยวนได้อย่างชัดเจน

เขาเงยหน้าขึ้นมามองทันควัน

บทที่สิบเอ็ด

ก่อนหน้านี้ตอนที่หลี่เหวยหยวนอยู่ในเรือนซื่ออัน เห็นทุกคนรอบข้างล้วนพูดคุยส่งยิ้มให้กัน เต็มไปด้วยความสุข มีเพียงตนเองที่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครเดินมาพูดคุยกับเขาเลยสักคน สายตาของบางคนยามมองมาที่เขายังแฝงไปด้วยความรังเกียจอย่างถึงที่สุด ราวกับกำลังพูดว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงยังยืนอยู่ที่นี่ไม่ไปที่ใดเสียที

จริงด้วย เขาก้มหน้า มุมปากหยักโค้งขึ้นน้อยๆ เหตุใดข้ายังไม่ไปอีกเล่า ยังจะอยู่ในบ้านหาเรื่องให้คนอื่นหงุดหงิดต่อไปหรือไร

เพียงแต่ตอนที่เขากำลังจะขยับเท้าจากไปนั้น จิตใต้สำนึกก็ทำให้เขาต้องเงยหน้ามองไปยังหลี่หลิงหว่านคราหนึ่ง

นางสวมเสื้อนวมสีแดงทับทิมปักลายผีเสื้อตอมบุปผา กำลังยืนอยู่ข้างหลังโจวซื่อ มองโจวซื่อกับคนอื่นเล่นกู่ไผกันด้วยสีหน้าสนอกสนใจยิ่ง ไม่ได้มองมาทางเขาเลยแม้แต่น้อย

หลี่เหวยหยวนไม่รู้ว่าเหตุใดในใจของตนเองจึงเกิดความผิดหวัง และก็มีความโมโหอยู่บ้างเช่นกัน

ความเป็นห่วงเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้าที่นางมีให้เขาล้วนเป็นการจงใจแสดงออกมาให้เขาเห็นจริงๆ ดังคาด เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว สายตาของนางก็ไม่เคยมาหยุดอยู่ที่ตัวเขาสักชั่วขณะเดียว

ในเมื่อนางอยากแสดงให้เห็นว่าเป็นห่วงเขา นางก็ต้องทุ่มเททั้งกายและใจให้ความเป็นห่วงกับเขาเพียงผู้เดียวสิ กระทั่งดวงตาของนางก็หยุดอยู่ได้แค่บนร่างเขาผู้เดียวเท่านั้น ทว่านางกลับเอาแต่สนใจคนอื่นเสียอย่างนั้น สิ่งที่นางกำลังทำอยู่ในตอนนี้หมายความว่าอะไรกันแน่

หลี่เหวยหยวนหมุนตัวออกจากเรือนซื่ออันด้วยความหงุดหงิด

ทางเดินข้างนอกเรือนล้วนจุดโคมไฟซึ่งส่องแสงวูบไหวสะท้อนลงบนพื้นหิมะ บรรดาบ่าวรับใช้ที่เดินสวนมาก็ล้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เกิดเป็นเสียงผู้คนดังครึกครื้นขึ้นมา

หลี่เหวยหยวนเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เขารู้สึกเพียงแต่ว่าภายในจิตใจของตนเองหนาวเหน็บเช่นเดียวกับน้ำในสระที่กลายเป็นน้ำแข็ง

ทุกหนแห่งล้วนมีชีวิตชีวา ทว่าความมีชีวิตชีวาเหล่านี้กลับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่นิดเดียว

ไม่มีใครเป็นห่วงเขา แล้วก็ไม่มีใครที่จะสนใจเขาด้วย

ชั่วพริบตานั้นเขาก็นึกถึงตู้ซื่อขึ้นมา ไม่ว่าจะดีจะร้ายตู้ซื่อก็เป็นมารดาแท้ๆ ของเขา ในคืนที่ทุกครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเช่นนี้ เขาไปเยี่ยมนางและอยู่เฝ้าคืนข้ามปีร่วมกับนาง ในใจนางก็น่าจะมีความสงสารบุตรชายของนางบ้างไม่มากก็น้อย

…ทว่าน่าเสียดายนักที่ไม่มีความรู้สึกเหล่านั้นอยู่เลย

ยิ่งเป็นคืนที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าเช่นนี้ ตู้ซื่อกลับยิ่งคิดถึงเรื่องที่บิดามารดาและญาติใกล้ชิดของตนเองล้วนตายไปหมดแล้ว เหลือนางเพียงลำพังบนโลกใบนี้ อีกทั้งในบรรดาคนที่ทำให้บิดามารดานางตายนั้นก็มีคนของบ้านสามีนางรวมอยู่ด้วย บุตรชายที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ก็มีที่มาจากการที่นางถูกพ่อแม่สามีส่งไปยังอารามชี ภายหลังนางถึงต้องทนทุกข์กับการถูกลบหลู่ดูหมิ่นเช่นนั้น

ความเคียดแค้นในใจนางยังคงไร้ที่ระบาย ดังนั้นตอนที่หลี่เหวยหยวนไปหา นางจึงหยิบแส้ที่มีหนามเส้นหนึ่งขึ้นมาฟาดใส่เขาอย่างคลุ้มคลั่ง

หลี่เหวยหยวนทั้งไม่ได้หลบและไม่ได้หลีกหนี เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยหัวใจด้านชา ปล่อยให้มารดาทุบตีไปเช่นนั้น รอจนท้ายที่สุดนางเลิกทุบตีไปเองด้วยความเหนื่อยล้าและทรุดร่างลงไปหอบหายใจอยู่บนพื้น เขาจึงมองนางด้วยสายตาเย็นชาคราหนึ่งโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากเรือนแห่งนั้นมา

ตอนที่ออกมาหลี่เหวยหยวนถึงเพิ่งรู้ว่าหิมะตกหนักขึ้นแล้ว ชั่วพริบตานั้นเขาก็เกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้น ในโลกอันไร้ขอบเขตนี้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่เดินอยู่ตามลำพัง ต่อให้ยามนี้เขาตายอยู่ที่นี่ก็คงไม่มีใครสักคนที่จะเสียน้ำตาให้เขา อาจถึงขั้นไม่มีใครสักคนที่รับรู้เลยก็ได้

หัวใจที่ตกต่ำจนถึงขีดสุดนี้ทำให้เขาหัวเราะออกมา ก่อนที่เขาจะเดินโซซัดโซเซไปบนพื้นหิมะ ท่ามกลางหิมะที่ตกหนักลงมานี้เขาคลำหาทางเดินอยู่ในความมืดเพียงลำพัง มุ่งหน้ากลับไปยังเรือนของตนเอง

ทว่าในตอนนั้นเขาก็ได้ยินเสียงดังแทรกผ่านหิมะมา “พี่ชาย”

เขาเงยหน้ามองขึ้นไป แล้วก็ได้เห็นหลี่หลิงหว่านกำลังยืนอยู่บนขั้นบันไดที่หน้าประตูเรือน ขณะที่หิมะโปรยปรายเต็มผืนฟ้า ในมือของนางถือโคมแก้วกลมที่เป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ขอบเขตนี้

ฝีเท้าหลี่เหวยหยวนหยุดลง

ในตอนแรกหลี่หลิงหว่านยังคอยให้หลี่เหวยหยวนเดินมาหา แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากที่เขาได้ยินเสียงเรียกของนางแล้วกลับเอาแต่หยุดยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ทั้งไม่มีทีท่าว่าจะเดินขึ้นหน้ามาสักก้าวเดียว

ไม่เป็นไรๆ ภูเขาไม่มาหาข้า เช่นนั้นข้าก็จะไปหาภูเขาเอง หลี่หลิงหว่านปลอบตนเองอยู่ในใจเงียบๆ เช่นนี้ ก่อนที่นางจะเดินลงจากบันได ในมือถือโคมแก้วกลม ก้าวอย่างทุลักทุเลไปบนพื้นหิมะมุ่งหน้าไปหาหลี่เหวยหยวน กระทั่งอยู่ใกล้กันแล้วนางจึงหยุดอยู่ตรงหน้าเขา เงยใบหน้ายิ้มแย้มมองไปที่หลี่เหวยหยวน แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวานสดใส “พี่ชาย”

บนใบหน้าหลี่เหวยหยวนไม่มีความรู้สึกใดๆ แม้แต่นิดเดียว เขาเพียงก้มหน้าลงมองหลี่หลิงหว่านเงียบๆ

สีผิวของเด็กหญิงขาวกระจ่าง ในยามที่ยิ้มตาเป็นประกาย อวดฟันขาวสะอาดอยู่นั้น นางช่างดูงดงามมีเสน่ห์จนทำให้ผู้คนเห็นแล้วยากจะลืมเลือน

ทว่ารอยยิ้มนี้ของนางหาได้เบ่งบานให้เขาเพียงผู้เดียวไม่ อย่างน้อยในตอนที่อยู่เรือนซื่ออันเมื่อครู่นี้เขาก็เคยเห็นนางยิ้มแบบนี้ให้กับผู้คนมากมาย มิหนำซ้ำในใจหลี่เหวยหยวนเองก็กระจ่างแจ้งดี เบื้องหลังรอยยิ้มสว่างไสวที่หลี่หลิงหว่านมีให้กับเขานี้ ใครจะไปรู้ว่าในใจอันจริงแท้ของนางกำลังวางแผนการอันใดอยู่

ความตกตะลึงและความยินดีที่ปรากฏขึ้นยามที่เห็นนางเมื่อครู่นี้พลันสลายไปในพริบตา เขาเบือนหน้าแล้วเลื่อนสายตาไปยังประกายแสงจากโคมไฟบริเวณทางเดินในสวนดอกไม้ที่อยู่ห่างไกลออกไป พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

“พี่ชาย” รอยยิ้มบนใบหน้าหลี่หลิงหว่านยังคงสว่างไสว กระทั่งน้ำเสียงก็อบอุ่นเช่นเดิม ไม่ได้ถูกลมหนาวอันโหดร้ายนี้ลดความอบอุ่นลงไปแม้แต่น้อย “ข้ามาอยู่เฝ้าคืนข้ามปีเป็นเพื่อนพี่ชายเจ้าค่ะ”

ในอกคล้ายถูกของบางอย่างทุบตีเข้าอย่างแรง กระนั้นหลี่เหวยหยวนก็ยังคงรักษาท่าทีหันหน้ามองไปทางอื่น เขาไม่ได้มองหลี่หลิงหว่าน น้ำเสียงก็ยังแข็งกระด้างเช่นเดิม “ข้าไม่ต้องการ ไสหัวไป”

คนผู้นี้ช่างหัวรั้นจริงๆ เลย หลี่หลิงหว่านจะยอมถอยกลับไปง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร คิดแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ยิ่งงดงามมากขึ้น นางเดินเข้าไปใกล้เขาอีกก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “พี่ชาย พี่อยู่เฝ้าคืนข้ามปีเพียงลำพังออกจะน่าเบื่อเกินไปแล้ว ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนพี่เองเจ้าค่ะ”

“ข้าไม่ต้องการ” ยังคงเป็นคำตอบที่แข็งกร้าวคำตอบเดิม

อย่างน้อยเมื่อเทียบกับประโยคก่อนหน้าแล้วยังลดคำว่า ‘ไสหัวไป’ ได้ตั้งสามคำ หมายความว่าในใจเขาถูกคำพูดประโยคนี้ของนางทำให้ใจอ่อนลงแล้วใช่หรือไม่ หลี่หลิงหว่านปลอบใจตนเองเงียบๆ แล้วเอียงศีรษะน้อยๆ ครานี้ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าอีกแล้ว แม้แต่น้ำเสียงก็ฟังเซื่องซึมไม่น้อย

“พี่ชาย เมื่อครู่ตอนที่อยู่กับท่านย่าข้าก็เห็นพี่เดินออกมาแล้ว ในใจเป็นห่วงพี่ชายนัก กลัวว่าพี่ต้องอยู่เฝ้าคืนข้ามปีเพียงลำพังแล้วจะเหงา ดังนั้นข้าถึงได้มาหาพี่ ทั้งยังยืนอยู่ท่ามกลางหิมะตกหนักที่หน้าประตูเรือนพี่ตั้งนานเชียวนะเจ้าคะ เพราะว่าคืนนี้อยากจะเฝ้าคืนข้ามปีเป็นเพื่อนพี่ด้วย แต่พี่ชายรังเกียจข้าขนาดนี้เลยหรือเจ้าคะ ไม่อยากให้ข้าอยู่เฝ้าคืนข้ามปีเป็นเพื่อนพี่จริงๆ หรือ” ในตอนท้ายน้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยอาการสะอื้น

พูดไปแล้วนางในตอนนี้ก็เป็นเพียงเด็กหญิงอายุแปดขวบคนหนึ่งเท่านั้น เรื่องแสร้งทำตัวน่าสงสารเช่นนี้ ใครบ้างจะทำไม่เป็นกัน นางไม่เชื่อหรอกว่าหลี่เหวยหยวนจะเป็นคนจิตใจด้านชาจนไม่รู้สึกใจอ่อนจริงๆ

ทว่าหลี่เหวยหยวนยังคงเป็นคนจิตใจด้านชาอยู่ เขาแค่มองดูหลี่หลิงหว่านอย่างเย็นชาคราหนึ่ง จากนั้นจึงขยับเท้าเดินอ้อมนางมุ่งหน้าไปยังเรือนของตนเองอย่างรวดเร็ว

หลี่หลิงหว่านรีบร้อนติดตามไป แต่เพราะหลี่เหวยหยวนมีช่วงขาที่ยาว ก้าวของเขาจึงยาวตามไปด้วย ขณะที่หลี่หลิงหว่านมีช่วงขาที่สั้น ก้าวของนางก็ย่อมสั้นกว่า เพียงไม่นานระหว่างทั้งสองก็เกิดเป็นระยะห่างช่วงหนึ่ง ทว่าหลี่หลิงหว่านยังคงไม่ยอมหยุดเดิน นางเอาแต่ติดตามอยู่ด้านหลังเขา ทั้งยังเรียกเขาด้วยน้ำเสียงหอบแฮกๆ “พี่ชาย รอข้าด้วยสิเจ้าคะ”

หลี่เหวยหยวนหยุดฝีเท้ากะทันหันก่อนจะหันกายกลับมา หลี่หลิงหว่านที่วิ่งตามมาข้างหลังเขาหยุดไม่ทันจึงพุ่งชนเข้ากับแผ่นอกเขาเต็มแรง

นางส่งเสียงโอ๊ยออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นลูบจมูกของตนเองที่ถูกชนจนเจ็บ เสี่ยวซานซึ่งมองดูพวกเขาสองคนมาโดยตลอดก็สะดุ้งตกใจ รีบร้อนเดินขึ้นหน้ามาเอ่ยถาม “คุณหนู เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ”

หลี่หลิงหว่านโบกไม้โบกมือให้เสี่ยวซานแทนคำพูดว่านางไม่เป็นอะไร จากนั้นจึงยกมือลูบจมูกอีกครั้งแล้วเงยหน้ามองหลี่เหวยหยวน เอ่ยถามเขาด้วยท่าทีไร้เดียงสา “พี่ชาย ที่พี่หยุดเดินเป็นเพราะอยากจะรอข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ”

เพราะกำลังลูบจมูกอยู่ น้ำเสียงที่นางเอ่ยออกมาจึงฟังดูอู้อี้อยู่บ้าง กลายเป็นการเพิ่มความฉอเลาะออดอ้อนให้นางขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

ทว่าสีหน้าภายใต้แสงโคมของเด็กหนุ่มกลับดูเย็นชายิ่งนัก

“หลี่! หลิง! หว่าน!” น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยโทสะอย่างที่สุด เขากัดฟันกรอดเรียกชื่อของนางออกมาทีละคำ “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”

เหตุใดถึงมาคอยเป็นห่วงเขาเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังเป็นห่วงเขาอย่างมีเจตนาแอบแฝงอย่างเห็นได้ชัดอีก ทั้งที่มองใบหน้านางแล้วก็ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาถึงเพียงนี้ มองไม่ออกว่าเสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด เขาอยากรู้นักว่าในใจนางกำลังวางแผนทำสิ่งใดกันแน่ คิดว่าการได้หยอกล้อเขาเช่นนี้สนุกมากนักหรือ

เขาไม่กลัวคนอื่นปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชา ความจริงต่อให้คนทั้งโลกทำตัวเย็นชากับเขาก็ไม่เป็นไรเลย เพราะเขาเคยชินจนชินชาแล้ว ทว่าเขาไม่อยากเห็นคนคนหนึ่งที่เริ่มแรกเป็นห่วงและสนใจเขา แต่แล้ววันหนึ่งกลับยิ้มเย้ยบอกกับเขาว่าความจริงแล้วตลอดมาก็แค่หยอกล้อเขาเล่นเท่านั้น สำหรับเขานั้นมิอาจเทียบได้กับดินโคลนก้อนหนึ่งบนพื้นเสียด้วยซ้ำ

เป็นเพราะกลัวความสูญเสีย เขาจึงไม่อยากรับความปรารถนาดีใดๆ โดยเฉพาะจากหลี่หลิงหว่านที่ในสายตาเขาแล้วยังคงเห็นนางเป็นเด็กน้อยที่ยังเก็บซ่อนอาการไม่แนบเนียน นางมีความปรารถนาดีให้อย่างกระตือรือร้นทั้งที่แฝงไปด้วยเจตนาอื่นอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเขาไม่อาจไม่ยอมรับว่าความจริงแล้วเขาก็เกิดความหวั่นไหวกับความเป็นห่วงที่หลี่หลิงหว่านมอบให้เขาเช่นกัน…รสชาติของการมีคนห่วงใยนั้นดีมากเสมอ

หลี่หลิงหว่านรับรู้ถึงโทสะที่เขาแผ่ออกมาทั้งร่างนี้ก็ตกใจจนข้างในสั่นสะท้านไปหมด ทว่าเบื้องหน้านางยังคงแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ เอียงศีรษะมองเขาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสกระจ่างเป็นที่สุด “ข้าพูดออกไปแต่แรกแล้วนี่เจ้าคะ คืนนี้เป็นคืนข้ามปี ข้าอยากจะอยู่เฝ้าคืนข้ามปีเป็นเพื่อนพี่เจ้าค่ะ พี่ชาย”

หลี่เหวยหยวนจ้องเขม็งไปที่หลี่หลิงหว่าน สายตานั้นราวกับอยากจะผ่าหัวใจตับไตไส้พุงในร่างของนางออกมากองรวมเพื่อตรวจสอบดูสักรอบหนึ่ง อยากดูว่าที่สุดแล้วจะมีสีอะไรกันแน่

หลี่หลิงหว่านถูกจินตนาการที่คิดขึ้นมาเองในสมองทำให้ตกใจ ใบหน้าเล็กซีดขาวลงทันที

ในยามนั้นหลี่เหวยหยวนก็ดึงสายตากลับไป เขาหมุนตัวเดินไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ หลี่หลิงหว่านยืนอยู่กับที่ สุดท้ายก็กัดฟันตัดสินใจก้าวเดินตามฝีเท้าของเขาไป

หลี่เหวยหยวนที่อยู่ด้านหน้าปลดกลอนที่แขวนอยู่บนประตูเรือนแล้วผลักเปิดประตูเดินเข้าไป

หน้าผากของหลี่หลิงหว่านมีเหงื่อหยดลงมาเม็ดหนึ่ง ค่ำคืนนี้ฟ้ามืดลมพัดแรง เมื่อครู่นางถึงกับไม่ได้สังเกตว่าบนประตูได้ลงกลอนเอาไว้ ช่างน่าละเหี่ยใจจริงๆ

ทว่าหลังจากเห็นหลี่เหวยหยวนเดินเข้าไปในเรือนแล้ว เขาก็ไม่ได้หันกลับมาลงกลอนประตูในทันที ทั้งยังยอมให้ประตูเรือนเปิดอยู่เช่นนั้น ส่วนตัวเขาก็เดินตรงเข้าไปในเรือน

ในใจหลี่หลิงหว่านลอบยินดี การกระทำนี้ของหลี่เหวยหยวนชัดเจนว่าเป็นการยอมให้นางเข้าไปในเรือนแล้ว

นางจึงหันกลับไปยิ้มสดใสและเอ่ยกับเสี่ยวซานที่ยืนอยู่ด้านหลังนาง “เสี่ยวซาน รีบมาเร็วเข้า”

หลี่หลิงหว่านถือโคมแก้วกลมเดินนำเข้าไปในเรือนของหลี่เหวยหยวนก่อน ในใจนางนั้นไม่มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่แล้ว ตรงกันข้ามยามนี้ในใจนางกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี วางแผนโจมตีมานานเพียงนี้ ในที่สุดนางก็สามารถเข้าไปในเรือนของหลี่เหวยหยวนได้อย่างราบรื่นแล้ว ทำให้นางขยับเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นไปอีก

ทว่าในใจของเสี่ยวซานกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางเคยได้ยินคนในจวนพูดว่าคุณชายใหญ่ไม่เคยยอมให้ผู้ใดเข้าไปในเรือนมาก่อน แม้แต่นายท่านใหญ่ก็ตาม ได้ยินว่าตอนเขามาหาคุณชายใหญ่ด้วยตนเองยังถูกปฏิเสธให้อยู่ที่นอกประตู ทำได้เพียงยืนพูดอยู่ที่หน้าประตูเรือนเท่านั้น แต่นางในยามนี้กลับสามารถเข้าไปในเรือนของคุณชายใหญ่ได้…

ชั่วขณะนี้เสี่ยวซานพลันรู้สึกว่าภายในเรือนของหลี่เหวยหยวนแห่งนี้จะต้องมีบางสิ่งที่น่ากลัวอยู่แน่ ในเมื่อคุณชายใหญ่ก็ดูเป็นคนมืดมนออกอย่างนั้น ตลอดทางนางจึงเดินไปพร้อมกับยกโคมไฟที่สานจากไม้ไผ่ส่องดูไปทั่วบริเวณ เกรงว่าจู่ๆ จะมีตัวอะไรกระโดดออกมา

แม้คืนนี้จะเป็นคืนข้ามปี ทว่าภายในเรือนแห่งนี้กลับไม่ได้จุดโคมอย่างเรือนอื่น และบริเวณที่โคมไฟในมือเสี่ยวซานสามารถส่องไปถึงนั้นก็มีอยู่จำกัด ดังนั้นพื้นที่ส่วนใหญ่ที่มองเห็นได้จึงมีแต่ความมืดมิด

คืนที่หิมะตก ทั้งในตอนพลบค่ำยังมีพายุพัดรุนแรง บริเวณมุมกำแพงตรงนั้นไม่รู้ว่าเป็นกิ่งไม้แห้งเหี่ยวของต้นอะไรถูกลมพัดหักลงมาแกว่งไกวไม่หยุด ส่งเสียงสากๆ เกล็ดหิมะที่ตกกระทบใบหน้าก็หนาวๆ เย็นๆ ฉับพลันเสียงแกร๊กก็ดังขึ้นกะทันหัน เมื่อได้ยินในค่ำคืนที่เงียบสงัดเช่นนี้ก็ยิ่งน่าหวาดกลัวเป็นพิเศษ

เสี่ยวซานสะดุ้งตกใจจนตัวสั่นไปทั้งร่าง นางส่งเสียงร้องออกมาทีหนึ่ง ก่อนจะก้าวกระโดดไปเกาะแขนของหลี่หลิงหว่านแน่น พลางเอ่ยด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “คุณ…คุณหนู บ่าว…บ่าวกลัวเจ้าค่ะ”

ความจริงตั้งแต่หลี่หลิงหว่านเดินเข้ามาในเรือนแห่งนี้ ในใจนางก็เริ่มหวาดกลัวแล้วเช่นกัน

เดิมทีบทของหลี่เหวยหยวนในนิยายก็ถูกนางวางให้เป็นคนวิปริตที่จิตใจบิดเบี้ยวคนหนึ่ง ไหนเลยจะใช้ความคิดเช่นคนปกติไปคาดเดาความคิดของเขาได้กัน และจะมีใครที่รู้ว่าเบื้องหลังความมืดมิดของยามค่ำคืนในเรือนแห่งนี้ได้ปิดบังซ่อนเร้นอะไรเอาไว้บ้าง

ต่อให้นางหวาดกลัวมากกว่านี้ก็ไม่อาจแสดงออกมาให้ใครเห็นได้ นางพยายามมาหลายวันขนาดนี้ วันนี้ได้เข้ามาในเรือนของหลี่เหวยหยวนแล้วมิใช่หรือ

ตามความคิดของหลี่หลิงหว่าน ในเมื่อหลี่เหวยหยวนยอมให้นางเข้ามาในเรือนของเขาแล้ว ซึ่งเรือนก็เปรียบได้กับพื้นที่ส่วนตัว และนางเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของเขาได้แล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าหลี่เหวยหยวนกำลังค่อยๆ เปิดใจให้นาง ถึงขั้นนี้แล้วนางจะถอยหลังกลับได้อีกหรือ ต่อให้ข้างหน้าเป็นภูเขามีดหรือทะเลเพลิง นางก็ต้องบุกฝ่าเข้าไปให้ได้

หลี่หลิงหว่านเกาะแขนเสี่ยวซานกลับไปด้วยมือที่สั่นเทา พร้อมกับฝืนให้น้ำเสียงของตนเองฟังแล้วไม่สั่นเครือ “ไม่ต้องกลัว เสี่ยวซาน ไม่ต้องกลัวแล้วก็ไม่ต้องร้องไห้ด้วย”

ถ้าเจ้ายังร้องไห้อีก ข้าก็จะร้องไห้ตามแล้วนะ!

เงยหน้ามองตรงไปอีกครั้งก็เห็นหลี่เหวยหยวนหยุดยืนอยู่บนขั้นบันไดที่มีหิมะปกคลุมอยู่ กำลังมองตรงมาที่พวกนางสองคนโดยไม่พูดอะไร

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 มิ.ย. 62

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

Jamsai Editor: