บทที่สิบสอง
แม้ท้องฟ้าจะมืดจนมองเห็นสีหน้าของเขาได้ไม่ชัด แต่หลี่หลิงหว่านก็รู้สึกว่าตนเองสามารถจินตนาการสีหน้าของเขาออก…จะต้องเป็นสีหน้าเย็นชา สายตาเยือกเย็น มองไม่ออกว่าในใจกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ ในใจก็คงคิดว่าพวกนางสองคนจะกลัวหรือไม่กลัวกันแน่
เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองไม่กลัว หลี่หลิงหว่านจึงเงยหน้าส่งยิ้มให้เขา ทั้งส่งเสียงออกมาครั้งหนึ่งว่า “พี่ชาย”
ยิ้มบ่อยๆ อย่างไรก็ไม่ผิด ท่านอาจารย์กู่หลง เคยกล่าวไว้ว่าสตรีที่ชอบยิ้ม ดวงชะตามักจะไม่เลวร้ายจนเกินไป
หลี่เหวยหยวนได้ยินแล้วแต่ก็ไม่ได้สนใจนาง เพียงหมุนตัวผลักประตูห้องเดินเข้าไป
จากนั้นหลี่หลิงหว่านก็เห็นว่าในห้องมีแสงสว่างวาบขึ้นมา เป็นหลี่เหวยหยวนที่จุดเทียนไขบนโต๊ะให้สว่างนั่นเอง
ที่ผู้คนเกิดความกลัวขึ้นมาในความมืดก็เป็นเพราะไม่รู้ว่าในความมืดนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ บรรดาสิ่งของกับภาพที่สมองคิดออกมานั้นสามารถสร้างความตกใจให้กับตนเองได้ พอยามนี้มีแสงสว่างแล้ว ความหวาดกลัวในใจย่อมลดลงไปไม่น้อย
หลี่หลิงหว่านมองห้องที่สว่างขึ้นมาตรงหน้าแล้วก็อดถอนหายใจออกมาเงียบๆ ไม่ได้ หัวใจที่เต้นรัวเร็วในอกก็ค่อยๆ สงบลงเช่นกัน นางยื่นมือไปตบบนหลังมือของเสี่ยวซานเพื่อปลอบใจ จากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งก่อนจะยกเท้าก้าวเข้าไปในห้อง
ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องเดินต่อไปข้างหน้าเท่านั้น ทว่าหลังเข้ามาในห้องแล้วนางก็พบว่าภายในห้องไม่ได้น่ากลัวหรือมืดมนเหมือนที่คิดไว้ กลับกันยังสะอาดสะอ้านเป็นอย่างยิ่ง
ห้องสามห้องนี้แม้แต่ผ้าม่านสำหรับกั้นห้องก็ยังไม่มี พอนางเข้ามาแล้วจึงสามารถมองทะลุปรุโปร่งได้ทั้งหมด เครื่องเรือนภายในห้องมีอยู่น้อยมาก มีเพียงเครื่องเรือนจำเป็นแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น มิหนำซ้ำส่วนมากยังผุๆ พังๆ แขนขาดขาขาดอีก
ยามนี้หลี่เหวยหยวนเดินไปนั่งยังโต๊ะหนังสือที่ห้องรองปีกตะวันตกเรียบร้อยแล้ว เขาหยิบตำราเล่มที่ยังอ่านไม่จบตั้งแต่เมื่อเช้าขึ้นมา ไม่มีทีท่าว่าจะรับรองหลี่หลิงหว่านแต่อย่างใด ทว่าเขาเองก็ไม่ได้เอ่ยปากไล่ให้หลี่หลิงหว่านจากไปเช่นกัน
ดังนั้นหลี่หลิงหว่านจึงมองหาเก้าอี้นั่ง พอพบเก้าอี้แล้วนางก็เดินไปนั่ง ทว่านั่งไปแล้วจึงเพิ่งรู้ว่าเก้าอี้ตัวนี้ขาข้างหนึ่งหักไปแล้วครึ่งท่อน ด้านล่างปูรองด้วยก้อนอิฐหลายก้อนซึ่งไม่รู้ว่าไปหามาจากที่ใด นางมองไปรอบๆ ห้องนี้แล้วก็เห็นว่ามีเพียงเก้าอี้สองตัวนี้ที่หลี่เหวยหยวนกับตนเองนั่งอยู่ ต่อให้นางอยากเปลี่ยนไปนั่งเก้าอี้ตัวอื่นก็ไม่มีให้เปลี่ยน เช่นนั้นก็นั่งไปเถอะ อย่างไรจุดมุ่งหมายที่นางมาที่นี่ในวันนี้ก็ไม่ใช่เพราะอยากจะเลือกเก้าอี้ดีๆ นั่ง แต่ต้องการสร้างความประทับใจดีๆ ต่อหน้าหลี่เหวยหยวนต่างหาก
ทว่าความประทับใจดีๆ ต่อหน้าหลี่เหวยหยวนนั้น…ช่างยากจะสร้างขึ้นมาจริงๆ
หากพูดกันตามเหตุผล ในเมื่อเขายอมให้นางเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวแล้ว จากนี้ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่น่าฟังหรือไม่เขาก็ควรจะพูดออกมาสักหน่อย แต่นี่เขากลับไม่พูดอะไรสักคำ ทำราวกับว่าภายในห้องนี้ไม่มีนางกับเสี่ยวซานอยู่ตั้งแต่แรก ยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านตำราอยู่อย่างเดียว
หลี่หลิงหว่านทำได้เพียงลอบกัดฟันไม่พอใจอยู่ในมุมมืดโดยที่ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายยังคงเป็นนางที่ต้องเริ่มบทสนทนากับหลี่เหวยหยวนก่อน มิเช่นนั้นคนสองคนมานั่งอยู่ด้วยกันตลอดทั้งคืนโดยไร้คำพูดเช่นนี้ ถึงคืนข้ามปีจะได้อยู่ร่วมกับเขาแล้ว หากนางไม่อึดอัดตายไปก่อนก็คงจะหนาวจนแข็งตายอยู่ดี
…หนาวจริงๆ นะ
เรือนอี๋เหอที่นางอาศัยอยู่บนพื้นจะปูด้วยพรมผืนหนา รอบด้านวางประดับด้วยเครื่องเรือนและของตกแต่งเต็มไปหมด ทั้งยังจุดกระถางไฟตลอดทั้งวันทั้งคืน ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกหนาวเท่าไรนัก ทว่าภายในห้องของหลี่เหวยหยวนนี้ ด้วยมีสิ่งของตั้งวางประดับอยู่น้อย ห้องจึงดูกว้างเป็นพิเศษ เมื่อรวมกับที่เขาไม่ได้จุดกระถางไฟแม้แต่กระถางเดียว จึงทำให้หลี่หลิงหว่านรู้สึกหนาวมากยิ่งขึ้นไปอีก
แม้ในอ้อมกอดของหลี่หลิงหว่านจะอุ้มเตาพกอุ่นๆ เอาไว้ใบหนึ่งอยู่แล้ว แต่ต่อให้มีเตาพกนางก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ดี มองไปยังหลี่เหวยหยวนอีกที เห็นเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ไม่มีแม้แต่เบาะปูรองแบบนั้น เกรงว่าเขาจะรู้สึกหนาวมากกว่านางเป็นแน่ หลี่หลิงหว่านจึงเอ่ยปากถามเขา “พี่ชาย พี่ไม่หนาวหรือเจ้าคะ”
หลี่เหวยหยวนกลับตอบออกมาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก เพียงฟังคำพูดนี้แล้วก็ชวนให้ในใจรู้สึกหวาดหวั่น
“เจ้าหนาว? หากหนาวก็กลับไปเสียเถอะ ข้าไม่ได้ขอร้องให้เจ้าอยู่เฝ้าคืนข้ามปีเป็นเพื่อนข้า”
ฟังคำพูดนี้ของหลี่เหวยหยวนแล้ว หลี่หลิงหว่านรู้สึกราวกับเลือดในอกถูกกลั้นเอาไว้ที่ลำคอ คายไม่ออกกลืนไม่ลงอยู่ครึ่งค่อนวัน มารดาเถอะ อยากจะเอาฝ่ามือไปทักทายใบหน้าเจ้าจริงๆ จากนั้นก็บอกกับเจ้าว่ามารดาไม่เอาใจเจ้าแล้ว เจ้าคิดจะทำอย่างไรก็ทำไปเถอะ
ริมฝีปากของนางเม้มแน่น สองมือที่อยู่ในแขนเสื้อก็สั่นระริกด้วยความโมโหอย่างห้ามไม่อยู่ แต่นางยังคงพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทั้งปลอบใจตนเองไม่หยุดว่า อย่าโมโหๆ โทสะทั้งหมดที่ข้าได้รับในตอนนี้ล้วนมีเพื่อชีวิตดีๆ ในวันข้างหน้า
เทียบกับการมีชีวิตแล้ว แค่โทสะเล็กๆ น้อยๆ ยังจะนับเป็นอะไรได้อีก รอหลังจากเหตุการณ์ที่ควรเกิดทั้งหลายได้ผ่านไปหมดสิ้นแล้ว นางค่อยชำระบัญชีแค้นในวันนี้กับหลี่เหวยหยวนก็ไม่สาย
ตอนจบสุดท้ายของหลี่เหวยหยวนที่นางเขียนไว้นั้นก็เข้ากับประโยคเก่าๆ ที่ว่า ‘ทิ้งไว้เพียงพื้นขาวโล่งไร้ขอบเขต’ ไม่เพียงในมือจะไม่หลงเหลืออำนาจใดๆ ท้ายที่สุดเขาจะยังเสียสติอีกด้วย
ฮ่าๆ ขอเพียงข้าสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปดีๆ ได้ ถึงเวลานั้นจะยังจัดการกับคนเสียสติผู้หนึ่งไม่ได้เชียวหรือ ในใจหลี่หลิงหว่านจินตนาการว่าได้ทิ่มแทงคนเสียสติที่ชื่อว่าหลี่เหวยหยวนผู้นั้นอย่างโหดเหี้ยมไปหลายรู
หลังจากที่นางครุ่นคิดไปมาแล้วก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปยังเบื้องหน้าโต๊ะหนังสือของหลี่เหวยหยวน
“พี่ชาย ข้าให้พี่เจ้าค่ะ” สองมือของนางยื่นเตาพกทรงฟักทองที่ตนอุ้มอยู่ในอ้อมแขนมาตลอดส่งให้เขา
ในใจหลี่เหวยหยวนหวั่นไหวเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นมองนาง รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กหญิงมองแล้วก็ดูจริงใจไม่มีนอกมีในจริงๆ
“พี่ชาย พอพี่มีเตาพกใบนี้แล้ว หลังจากนี้ยามที่พี่อ่านตำราก็จะไม่หนาวอีกต่อไป”
เมื่อครู่ที่นางถามข้าว่าหนาวหรือไม่ ไม่ได้เป็นเพราะว่าตัวนางหนาว แต่เพราะเป็นห่วงว่าข้าจะหนาว?
คิดถึงตรงนี้มือที่ถือตำราของหลี่เหวยหยวนก็สั่นน้อยๆ เขามองนางโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียวเช่นเดิม
รอยยิ้มจริงใจไร้เดียงสาบนใบหน้าหลี่หลิงหว่านยังคงเหมือนเก่า นางถึงขั้นกะพริบดวงตาที่ทั้งกลมโตและสว่างไสวของตนเองเล็กน้อย เอียงศีรษะแล้วเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “พี่ชาย พี่มองข้าเช่นนี้ทำไมหรือเจ้าคะ หรือบนใบหน้าข้ามีอะไรอย่างนั้นหรือ” พูดจบนางก็ยกมือลูบใบหน้าตนเองไปมา ขณะเดียวกันก็มองไปที่เขาอย่างสงสัย เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “พี่ชาย ข้าลองลูบดูแล้ว บนใบหน้าข้าก็ไม่มีอะไรนี่เจ้าคะ”
ต่อให้เป็นหลี่เหวยหยวนที่รอบคอบฉลาดเฉลียวเพียงใด ในใจเขายามนี้ก็รู้สึกว่าอ่านคนไม่ขาดอยู่บ้าง
หลี่หลิงหว่านผู้นี้ที่สุดแล้วจริงใจไร้เดียงสาเช่นเปลือกนอกที่นางแสดงออกจริงๆ หรือทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่นางเสแสร้งออกมากัน ถ้าหากทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่นางแสร้งทำออกมาเท่านั้น นางก็คงจะแสดงเก่งมากจริงๆ
ชั่วขณะนั้นหลี่เหวยหยวนปรารถนาจากใจจริงให้หลี่หลิงหว่านไม่ได้แสร้งทำ อยากให้นางจริงใจไร้เดียงสาดั่งเปลือกนอกที่นางแสดงออกมาจริงๆ แล้วก็เป็นห่วงเขาผู้เป็นพี่ชายคนนี้จากใจจริง
หลี่เหวยหยวนมองหลี่หลิงหว่านสักพักหนึ่ง จู่ๆ เขาก็วางตำราที่ถืออยู่ในมือลงกะทันหัน เดินไปยังห้องโถงหลัก ค้นหากระถางไฟเก่าๆ ที่อยู่ตรงมุมห้องโดยไม่พูดอะไรสักคำ แล้วไปหยิบถ่านบางส่วนออกมา ท่าทางอยากจะก่อไฟ
ในตอนที่เขากำลังยุ่งวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้นั้น สายตาของหลี่หลิงหว่านก็มองไปยังตำราที่วางอยู่เพียงไม่กี่เล่มบนโต๊ะหนังสือเขาอย่างรวดเร็ว ล้วนเป็นตำราพื้นฐานจำพวกสี่ตำราห้าคัมภีร์ ทั้งหมด แม้ตำราจะเก่าขาดแต่ก็ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ บริเวณมุมตำรายังล้วนเรียบร้อย มองเห็นได้ถึงความรักถนอมที่เจ้าของมีต่อพวกมัน
ทั้งที่หลี่เหวยหยวนอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากถึงเพียงนี้แล้ว ทว่าเขากลับยืนหยัดอ่านตำราเหล่านี้มาโดยตลอด มิหนำซ้ำยังรักถนอมตำราถึงเพียงนี้ มิน่าเขาจึงสามารถสอบผ่านได้อย่างราบรื่นไปจนถึงตำแหน่งเสนาบดี
หลี่หลิงหว่านทอดถอนใจด้วยความชื่นชมอยู่ในใจ หันหน้ามาก็เห็นหลี่เหวยหยวนยังคงจัดการกับถ่านและกระถางไฟอยู่ตรงนั้น นางคิดๆ แล้วก็เดินไปที่เบื้องหน้าหลี่เหวยหยวน นั่งยองๆ ลงข้างกายเขา มองดูเขาก่อไฟ
ฝีมือในการก่อไฟของหลี่เหวยหยวนดูไม่ชำนาญอย่างมาก สามารถเรียกได้ว่ามือไม้เก้งก้างเสียด้วยซ้ำ หลี่หลิงหว่านนั่งยองๆ อยู่ข้างกายเขานานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่เห็นว่าเปลวไฟจะลุกขึ้นมาเลย อย่างมากก็ทำให้มีประกายไฟขึ้นมาได้บ้างเท่านั้น แต่เพียงไม่นานก็ดับไปอีกครั้ง
หลี่หลิงหว่านกลัวว่าหลี่เหวยหยวนจะหงุดหงิด ยิ่งกังวลว่าเขาจะอับอายจนพาลโกรธ ถึงยามนั้นเกรงว่าความผิดทั้งหมดจะล้วนถูกโยนลงมาบนศีรษะนาง ในนิยายนางวางให้หลี่เหวยหยวนเป็นคนมีความคิดลึกซึ้งมาตั้งแต่เด็ก จิตใจของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยววิปริตทีละนิด กับคนวิปริตบิดเบี้ยวคนหนึ่งยังมีเหตุผลอะไรให้คุยด้วยได้อีกเล่า ต่อให้เขาพูดว่าเมฆเป็นสีดำ ท้องฟ้าเป็นสีขาว นางเองก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ดังนั้นหลี่หลิงหว่านจึงเอ่ยปลอบหลี่เหวยหยวน “พี่ชาย ล้วนได้แต่โทษถ่านพวกนี้ที่ไม่ได้เรื่อง ถึงกับจุดยากเพียงนี้”
หลี่เหวยหยวนเงยหน้ามองนางคราหนึ่งด้วยสายตาประหนึ่งมองคนปัญญาอ่อน
หลี่หลิงหว่านเห็นแล้วก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที
มารดาเถอะ ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะเสียหน้า ถึงได้หาทางลงให้ เจ้ากลับดีนักนะ กล้าใช้สายตามองคนปัญญาอ่อนมามองข้าตรงๆ เชียวหรือ
นางโกรธจนหันศีรษะไปมองทางอื่นอย่างฮึดฮัด ไม่จับจ้องไปที่หลี่เหวยหยวนอีก
มุมปากของหลี่เหวยหยวนหยักโค้งขึ้นน้อยๆ เห็นหลี่หลิงหว่านที่โกรธจนฮึดฮัดเช่นนี้เขาก็อยากจะหัวเราะขึ้นมา
หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไร เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยิบเชิงเทียนที่ก่อนหน้านี้วางอยู่บนโต๊ะหนังสือมาถือไว้ ก่อนจะเดินกลับมาที่กระถางไฟ เทียนไขครึ่งเล่มบนเชิงเทียนยังคงส่องสว่างอยู่ เมื่อเห็นหลี่หลิงหว่านที่อยู่ภายใต้แสงสีส้มของเปลวเทียนยังมีท่าทีฮึดฮัดอยู่เช่นนี้ มุมปากของหลี่เหวยหยวนก็ยิ่งโค้งมากขึ้นกว่าเดิม
หลี่เหวยหยวนยังคงไม่พูดอะไร เพียงหยิบถ่านก้อนหนึ่งขึ้นมาจ่อเปลวเทียน รอจนถ่านติดไฟแล้วก็โยนเข้าไปในกระถางไฟ ทำซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้ ถ่านหลายก้อนก็ติดไฟขึ้นมาอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงค่อยนำถ่านก้อนอื่นๆ ขึ้นมาทับอยู่ข้างบนบรรดาถ่านที่ติดไฟแล้วเหล่านี้ เพียงไม่นานถ่านทั้งหมดก็ค่อยๆ ติดไฟขึ้นมา
หลี่หลิงหว่านยังคงนั่งยองๆ อยู่ข้างกระถางไฟ ยามนี้ถ่านติดไฟแล้ว นางก็รู้สึกได้ในทันทีว่าทั่วทั้งร่างกายอบอุ่นขึ้นมาไม่น้อย ทว่านางยังคงไม่ค่อยอยากพูดคุยเท่าไรนัก แล้วก็ไม่ค่อยอยากจะหันหน้าไปมองหลี่เหวยหยวนด้วย
ที่ผ่านมามีแต่นางที่ยินยอมเป็นผู้กระทำอยู่ฝ่ายเดียว กระทั่งนางรู้สึกเหนื่อยมากแล้ว อีกทั้งทุกครั้งที่คอยเข้าหาหลี่เหวยหยวนอย่างกระตือรือร้นก็จะถูกเขาโจมตีกลับมาต่างๆ นานาอย่างเย็นชาจนนางไม่มีความสุขเลยสักนิด ดังนั้นยามนี้นางจึงอยากจะพักสักหน่อย รออีกสักพักให้บรรยากาศกลับไปเป็นปกติแล้วค่อยคิดหาหนทางเอาอกเอาใจเขาต่อ
หลี่หลิงหว่านจึงเอาแต่รักษาท่าทางนั่งยองๆ อยู่บนพื้น หันหน้ามองไปทางห้องรองปีกตะวันออก ความจริงแล้วห้องรองปีกตะวันออกเองก็ไม่ได้มีอะไรให้มองนักหรอก เป็นเพียงห้องธรรมดาห้องหนึ่งที่มีเตียงสี่เสาซึ่งไม่อาจธรรมดาไปได้มากกว่านี้ แขวนมุ้งกันยุงซึ่งไม่รู้ว่าเป็นสีเขียวอ่อนหรือว่าเขียวเข้มกันแน่ บริเวณหัวเตียงวางโต๊ะเล็กตัวหนึ่งไว้ ริมผนังมีตู้เคลือบเงาที่กระดำกระด่าง น่าจะเอาไว้ใช้เก็บอาภรณ์ นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว
หลี่หลิงหว่านเคยไปดูห้องพักของเสี่ยวซานกับเสี่ยวอวี้มาก่อน เพียงแค่เครื่องเรือนกับของตกแต่งภายในห้องของทั้งสองคนนั้นก็มีมากกว่าในเรือนแห่งนี้ของหลี่เหวยหยวนมากแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้หลี่หลิงหว่านก็ถอนหายใจออกมาคำรบหนึ่ง หากเปลี่ยนเป็นนางที่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แทนหลี่เหวยหยวน ต้องถูกผู้คนเหยียบย่ำเช่นนี้ทุกๆ วันตลอดสิบกว่าปี เห็นทีจิตใจของนางก็คงจะบิดเบี้ยววิปริตเช่นกัน
คิดไปคิดมาหลี่หลิงหว่านก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้โกรธเขามากเพียงนั้นแล้ว
พอนางหันหน้ากลับมาจึงเห็นว่าหลี่เหวยหยวนเองก็ยังไม่ไปไหน เขานั่งคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ข้างกระถางไฟอีกฝั่งมาโดยตลอด ในมือถือไม้คีบปลายทองแดงกำลังพลิกถ่านในกระถางไฟ
หึ ดีไม่ดีในใจเขาเองก็คงรู้ว่าเมื่อครู่นี้ไม่ควรใช้สายตา ‘มองคนปัญญาอ่อน’ เช่นนั้นมองนาง แต่ปากก็เอ่ยคำพูดประเภท ‘เจ้าไม่ต้องโกรธแล้ว’ พวกนี้ไม่ออก ดังนั้นเขาจึงเอาแต่อยู่ที่เดิมเช่นนี้ไม่ไปไหน อยากจะใช้การกระทำมาแสดงออกถึงความรู้สึกผิดในใจเขา รอจนนางหายโกรธก็เป็นได้
เพียงคิดแบบนี้ ชั่วพริบตานั้นหลี่หลิงหว่านก็รู้สึกว่าหลี่เหวยหยวนช่างปากแข็งได้น่าเอ็นดูจริงเชียว เหตุใดเขาถึงได้ปากไม่ตรงกับใจขนาดนี้ได้เล่า นางจึงหายโกรธเขาในทันที
“พี่ชาย” นางกลับมาเรียกเขาเสียงหวาน ทั้งยังถามเขาว่า “จิ่นเหยียนเล่า เหตุใดข้าจึงไม่เห็นเขาเลย”
หลี่เหวยหยวนเงยหน้ามองนางอีกครั้ง คนที่เจ้าเป็นห่วงแท้จริงแล้วมีมากเพียงใดกันแน่ เห็นทีข้าคงไม่ได้เป็นคนเดียวที่เจ้าเป็นห่วง
หลังตระหนักในจุดนี้ได้ ในใจเขาก็รู้สึกคับข้องอย่างมาก มือที่ถือไม้คีบปลายทองแดงก็ค่อยๆ บีบแน่นขึ้น
ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่หลิงหว่านที่มีรอยยิ้มสว่างไสว เขายังคงตอบกลับนางไปอย่างไม่สบอารมณ์ “คืนนี้เป็นคืนข้ามปี ข้าให้เขาลาพักกลับบ้านไปหนึ่งวัน” เป็นเพราะในใจรู้สึกคับข้อง น้ำเสียงที่เขาเอ่ยออกมาจึงเย็นชาอยู่เช่นเดิม
แต่หลี่หลิงหว่านในหัวยังคิดว่าหลี่เหวยหยวนที่ปากแข็งเช่นนี้น่าเอ็นดูยิ่ง นางจึงไม่ได้สนใจน้ำเสียงเย็นชาของเขา กลับกันนางยังชื่นชมเขาอยู่ในใจ ในคืนข้ามปีแบบนี้หลี่เหวยหยวนยังยอมให้จิ่นเหยียนลาพักหนึ่งวัน ให้อีกฝ่ายกลับบ้านไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวได้ จะว่าไปแล้วยามนี้หลี่เหวยหยวนก็ไม่ได้ดูวิปริตไปเสียทั้งหมด เช่นนั้นภายใต้ความห่วงใยและการชักนำของนาง สุดท้ายแล้วหลี่เหวยหยวนอาจจะไม่ได้กลายเป็นตัวร้ายที่มีจิตใจวิปริตบิดเบี้ยวก็เป็นได้ ดีไม่ดีเขาอาจจะกลายเป็นเด็กหนุ่มที่มองโลกในแง่ดี ทุกวันกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตนเองไปข้างหน้า
หลังตระหนักได้แล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าหลี่หลิงหว่านก็ยิ่งสว่างสดใสมากขึ้นกว่าเก่า น้ำเสียงนางก็ยิ่งอ่อนหวานกว่าเดิม
“พี่ชาย” ร่างของนางขยับเข้าไปใกล้หลี่เหวยหยวนอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มตาหยีเอ่ยกับเขา “แม้คืนนี้จิ่นเหยียนจะไม่อยู่ แต่ก็ยังมีข้าน้องสาวของพี่อยู่ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเฝ้าคืนข้ามปีกับพี่ตลอดทั้งคืน รอจนพ้นยามจื่อ ไปแล้ว ข้ายังอยากจะเป็นคนแรกที่เอ่ยทักทายพี่ชายในวันปีใหม่ด้วยเจ้าค่ะ”
หลี่เหวยหยวนไม่ได้พูดอะไร เขาเอาแต่ก้มหน้าใช้ไม้คีบปลายทองแดงในมือเขี่ยถ่านในกระถางไฟอยู่เงียบๆ ทั้งที่ความจริงแล้วถ่านในกระถางไฟกำลังลุกไหม้อย่างโชติช่วงโดยไม่จำเป็นต้องเขี่ยอีก
ตอนนั้นเองหลี่หลิงหว่านก็ค้นพบอีกเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้นางไม่กล้าเข้าใกล้หลี่เหวยหยวนมาโดยตลอด หนนี้จู่ๆ ก็ขยับเข้าไปใกล้เขา บังเอิญกับที่เขาก้มหน้าลงมาพอดี นางจึงเห็นรอยเลือดสองรอยบนลำคอขาวสะอาดของเขา
เพียงแต่แสงเทียนนั้นไม่ได้สว่างมากนัก ทั้งยังวูบไหวไปมา นางมองไม่ชัดว่าที่สุดแล้วนั่นใช่รอยเลือดแน่หรือไม่ นางจึงโน้มตัวไปใกล้หลี่เหวยหยวนมากขึ้นอีก แล้วยื่นมือออกไปลูบบริเวณคอของเขา
แม้หลี่เหวยหยวนจะหลบสัมผัสนี้ได้รวดเร็วเพียงใด ทว่ามือของหลี่หลิงหว่านก็ลูบสัมผัสไปที่คอของเขาแล้ว
นางสัมผัสได้ถึงความเหนียวข้น เมื่อดึงมือกลับมาดมกลิ่นที่ปลายจมูกก็ได้กลิ่นของคาวเลือด นี่เป็นเลือด เห็นทีที่ลำคอของเขาจะมีรอยเลือดอยู่จริงๆ มิหนำซ้ำยังเป็นรอยเลือดจากบาดแผลที่ลึกมากด้วย
บทที่สิบสาม
หลี่เหวยหยวนพลันลุกพรวดขึ้นมา ไม้คีบปลายทองแดงในมือถูกกำแน่น เขามองไปที่หลี่หลิงหว่านด้วยแววตาเย็นชา
“เจ้าจะทำอะไร” น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำแฝงไปด้วยโทสะ “ใครอนุญาตให้เจ้าแตะต้องข้า!”
ความเจ็บปวดที่ถูกมารดาแท้ๆ ทุบตีอย่างอำมหิตนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากให้ผู้ใดมารับรู้ เขาก็แค่อยากจะเป็นเหมือนสัตว์เล็กๆ ที่ได้รับบาดเจ็บพวกนั้น ในมุมหนึ่งของค่ำคืนอันเงียบสงบไม่มีผู้ใดมารับรู้ ค่อยๆ เลียไล้บาดแผลบนร่างกายและหัวใจของตนเองไปเงียบๆ เขาไม่พร้อมที่จะแสดงบาดแผลเหล่านี้ให้คนอื่นได้เห็น ย่อมไม่อาจให้ผู้อื่นมาสัมผัสหรือถามไถ่ได้ ดังนั้นเขาถึงได้ระเบิดโทสะทันทีที่ถูกนางสัมผัส
ทว่าหลี่หลิงหว่านทำราวกับไม่รับรู้ถึงโทสะของหลี่เหวยหยวนอย่างไรอย่างนั้น นางกำลังคิดหาหนทางใช้พิษแก้พิษ จะอาศัยเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการส่งความอบอุ่นมาทำให้หลี่เหวยหยวนยอมเปิดใจให้นางจริงๆ ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นนางจึงต้องทุ่มจนหมดตัวด้วยการ ‘เล่นใหญ่’ กับเขาสักรอบก็แล้วกัน
นางมั่นใจว่ารอยเลือดสองรอยบนลำคอของหลี่เหวยหยวนนี้ต้องเกิดจากการถูกตู้ซื่อใช้แส้ฟาดใส่แน่ คงจะไม่ได้มีเพียงบนลำคอของเขาเท่านั้น เกรงว่าทุกส่วนบนร่างกายของเขาก็น่าจะเต็มไปด้วยรอยบาดแผลเช่นนี้
จะต้องเป็นเพราะเมื่อครู่ตอนที่อยู่ในเรือนซื่ออันหลี่เหวยหยวนเห็นคนรอบข้างล้วนอยู่กับสมาชิกในครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ดังนั้นในใจเขาจึงคิดถึงตู้ซื่อ อยากไปอยู่เฝ้าคืนข้ามปีร่วมกับมารดา ทว่าเขาที่ไปหาอย่างเปี่ยมด้วยความคาดหวังกลับถูกตู้ซื่อทุบตีอย่างเสียสติแทนกระมัง
…เขาจะรู้สึกเสียใจและสิ้นหวังมากเพียงใดกัน
หลี่หลิงหว่านถอนหายใจอยู่ภายใน ก่อนที่นางจะเงยหน้า ใช้ดวงตาบริสุทธิ์ใสกระจ่างมองไปยังหลี่เหวยหยวน เอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและอ่อนโยน “พี่ชาย พี่เจ็บหรือไม่เจ้าคะ”
สีหน้าบนใบหน้าหลี่เหวยหยวนพลันแข็งค้าง มือที่กำไม้คีบปลายทองแดงสั่นขึ้นมาเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้
เดิมทีเมื่อครู่นี้ในใจเขากำลังเปี่ยมไปด้วยโทสะเสียดฟ้าจนเกือบจะควบคุมตนเองไม่อยู่ กระทั่งเกือบจะยกไม้คีบปลายทองแดงในมือฟาดไปยังหลี่หลิงหว่านอยู่แล้ว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหลี่หลิงหว่านเอ่ยถามอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยนว่า ‘พี่ชาย พี่เจ็บหรือไม่เจ้าคะ’
นัยน์ตาสะอาดบริสุทธิ์เต็มไปด้วยความห่วงใยของนางมองมาที่เขา สีหน้าก็เต็มไปด้วยความปวดใจ
พริบตาต่อมาหลี่เหวยหยวนจึงฝืนเบือนหน้าหลบ ไม่มองหลี่หลิงหว่านอีกต่อไป ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ทว่าหลี่หลิงหว่านจำเป็นต้องพูด หลี่เหวยหยวนถูกมารดาแท้ๆ ทุบตีอย่างโหดร้ายเช่นนี้ ในใจเขาจะต้องเจ็บปวดมากเป็นแน่ เวลาที่อีกฝ่ายอ่อนแอแบบนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่สุดที่นางจะบุกรุกเข้าไปแล้ว หากไม่อาศัยโอกาสในตอนนี้โจมตีเขา เช่นนั้นจะต้องรอไปถึงเมื่อไรเล่า
ดังนั้นหลี่หลิงหว่านจึงเอ่ยถาม “พี่ชาย ที่นี่มียาทาอะไรที่สามารถแก้อาการฟกช้ำได้หรือไม่”
“ไม่มี” หลี่เหวยหยวนตอบเสียงห้วน เขายังคงรักษาท่าทีเบือนหน้ามองไปทางอื่น ไม่ยอมหันกลับมามองนางแต่อย่างใด
หลี่หลิงหว่านไม่พอใจจนลอบกัดฟันกรอด ความรู้สึกราวกับเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ นี้เป็นอะไรที่ใครไม่เจอกับตัวจะไม่เข้าใจจริงๆ แต่นางจะทำอะไรได้เล่า นางรักชีวิตของตนเองนี่ ยังคงยึดถือจุดมุ่งหมายนั้น อันดับแรกคือปกป้องชีวิตตนเองให้ดีก่อน รอจนภายหลังหลี่เหวยหยวนเสียสติและไร้จิตวิญญาณไปแล้วนางค่อยชำระบัญชีครั้งนี้กับเขาอีกทีก็ได้
“เสี่ยวซาน” หลี่หลิงหว่านหันหน้าไปถามเสี่ยวซานที่ยืนอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด “พวกเรามียาทาสำหรับแก้อาการฟกช้ำบ้างหรือไม่”
เสี่ยวซานครุ่นคิดก่อนตอบ “มีเจ้าค่ะคุณหนู”
“ดีมาก” หลี่หลิงหว่านผงกศีรษะ จากนั้นก็เอ่ยสั่งนาง “เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าวิ่งกลับไปสักรอบ ไปเอายาทาแก้ฟกช้ำของพวกเรามาที่นี่ แล้วก็หยิบของว่างกับเมล็ดแตงมาด้วย”
เมื่อครู่หลี่หลิงหว่านลอบสำรวจดูแล้ว ในเรือนของหลี่เหวยหยวนไม่มีของกินอะไรอยู่เลย ยามวิกาลที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้าเช่นนี้นางจะไม่หิวตายก่อนหรือ หากมีเมล็ดแตงมาเพิ่ม ยามที่ทุกคนนั่งล้อมวงกันแทะเมล็ดแตงไปพลางพูดคุยกันไปพลางคงจะช่วยสานสัมพันธ์ระหว่างกันได้ดียิ่งขึ้น
เสี่ยวซานรับคำ ก่อนจะถือโคมไฟไม้ไผ่สานขึ้นมาและตั้งท่าจะเดินออกไป ทว่าหลี่หลิงหว่านกลับเรียกเอาไว้ก่อน
“ข้างนอกนั่นลมแรง หิมะก็ตกหนัก เทียนไขในโคมดวงนี้ของเจ้าถูกลมพัดดับได้ง่าย เอาโคมแก้วกลมดวงนั้นของข้าไปดีกว่า”
ในยุคสมัยนี้แก้วไม่ใช่สิ่งที่หามาได้ง่ายๆ ยามปกติหลี่หลิงหว่านจะรักถนอมโคมแก้วกลมดวงนี้ราวกับดวงตาตนเองอย่างไรอย่างนั้น ไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องได้โดยง่าย ยามนี้ได้ยินคุณหนูบอกให้นางถือโคมแก้วกลมดวงนี้ไปส่องทาง เสี่ยวซานจึงรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง
ผ่านไปสักพักนางจึงรีบโบกไม้โบกมือ เอ่ยอธิบายอย่างร้อนรน “ไม่เจ้าค่ะๆ คุณหนู บ่าวเป็นคนไม่ระมัดระวัง มือก็หนัก เกิดหกล้มจนทำโคมแก้วกลมดวงนี้แตกขึ้นมา เช่นนั้นจะทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ”
ถึงยามนั้นต่อให้ขายนางออกไปก็ยังชดเชยไม่ได้เลย
ทว่าหลี่หลิงหว่านกลับลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยิบโคมแก้วกลมที่วางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะยัดเยียดโคมใส่มือเสี่ยวซานอย่างไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังยิ้มเอ่ย “โคมหล่นมีมูลค่า? คนหกล้มมีมูลค่า? ไม่ว่าอย่างไรตัวเจ้าก็มีค่ามากกว่าโคมดวงนี้มากนัก”
เสี่ยวซานได้ยินแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งใจจนดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมา
“คุณ…คุณหนู ท่านช่างดียิ่งนักเจ้าค่ะ” นางสะอึกสะอื้นเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง ก่อนจะกระชับโคมแก้วกลมในมือแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไป
หลี่หลิงหว่านมองจนเงาร่างของเสี่ยวซานหายไปจากประตูเรือน นางถึงได้ดึงสายตากลับมา
ทว่าเพียงหันหน้ามาก็เห็นสายตาไม่บอกอารมณ์ของหลี่เหวยหยวนกำลังจับจ้องมาที่นาง
เมื่อครู่หลี่เหวยหยวนเองก็ยืนดูทุกๆ การกระทำระหว่างหลี่หลิงหว่านกับเสี่ยวซานด้วยสายตาเย็นชา ฟังคำพูดทุกๆ คำระหว่างพวกนาง ก่อนจะค้นพบว่าความจริงแล้วยามที่หลี่หลิงหว่านพูดคุยกับคนอื่นนั้นล้วนอยู่ในท่าทีที่ผ่อนคลายเป็นอย่างมาก มีเพียงตอนที่คุยกับเขาเท่านั้นจึงจะระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง แทบจะระวังในทุกคำพูดที่เอ่ยออกมา ที่สำคัญที่สุดคือเขายังพบว่าหลี่หลิงหว่านไม่ได้ห่วงใยเขาเพียงคนเดียว นางเป็นห่วงทุกคนรอบตัวนาง รวมทั้งเสี่ยวซานที่เป็นสาวใช้คนหนึ่งด้วย
การได้รับรู้และเข้าใจในจุดนี้ทำให้ในใจหลี่เหวยหยวนรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
เหตุใดหลี่หลิงหว่านจึงไม่ยิ้มให้เขาเพียงผู้เดียว เหตุใดนางจึงไม่อาจเป็นห่วงเขาเพียงผู้เดียวได้
เพลิงโทสะในใจที่ลุกโหมกำลังมอดไหม้เหตุและผลของหลี่เหวยหยวน กระนั้นใบหน้าสีแดงที่ถูกแสงไฟสะท้อนก็ยังคงราบเรียบ มีเพียงแค่มือที่ออกแรงกำไม้คีบปลายทองแดงอย่างหนัก ทำให้เส้นเลือดสีเขียวบริเวณหลังมือของเขาโดดเด่นขึ้นมา
แต่ถึงแม้เขาจะไม่พูดอะไร หลี่หลิงหว่านก็ยังจับสังเกตได้ว่าเขาไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
หลี่หลิงหว่านเองก็รู้สึกจนปัญญาเช่นกัน เดิมทีนางแค่อยากจะใช้ชีวิตของตนเองให้ผ่านไปอย่างมีความสุข แต่เมื่อชีวิตของนางมาอยู่ในกำมือของหลี่เหวยหยวน นางจึงจำเป็นต้องคอยสังเกตเขาอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังจะทำอะไรได้อีกเล่า
หลังจากที่หลี่หลิงหว่านครุ่นคิดแล้ว นางยังคงไม่ถามอะไรออกไป ใครจะไปรู้ว่าหลี่เหวยหยวนไม่สบอารมณ์เรื่องใดอยู่ เมื่อครู่นางไปสัมผัสถูกเกล็ดย้อน ของเขาเข้าแล้ว นึกว่านางไม่รู้หรือไร เมื่อครู่เขาเกือบจะระเบิดโทสะจนใช้ไม้คีบปลายทองแดงในมือฟาดมาที่ศีรษะนางอยู่แล้ว
เมื่อคิดถึงความรู้สึกของการถูกไม้คีบปลายทองแดงฟาดศีรษะ หลี่หลิงหว่านก็รู้สึกขนลุก สั่นเทาไปทั้งร่าง
ดังนั้นหลี่หลิงหว่านจึงไม่มองหลี่เหวยหยวน นางเอาแต่ก้มหน้าเพ่งมองไปยังลายปักดอกอวี้หลันบนชายกระโปรงของตนเอง
ในใจนางเป็นทุกข์ยิ่งนัก รู้สึกว่าเหตุการณ์ในวันข้างหน้าของตนนั้นดำมืดไปหมด
ความจริงสองวันที่ผ่านมานี้นางก็เคยคิดว่าตนเองไม่อาจเอาแต่ประจบหลี่เหวยหยวนเพื่อจะเปลี่ยนแปลงจุดจบอันน่าอนาถในอนาคตของเจ้าของร่างเดิม นางดูจะเหนื่อยมากเกินไป นางสามารถใช้การที่ตนเองคุ้นชินกับเนื้อหาทั้งหมดเช่นนิ้วทองคำนี้ตามหาศัตรูของหลี่เหวยหยวนมาต่อกรกับเขาแทนได้
แน่นอนว่าศัตรูของหลี่เหวยหยวนย่อมเป็นพระเอก และก็มีตัวประกอบชายอันดับหนึ่งในนิยายอีกคนหนึ่งด้วย โดยเฉพาะตัวประกอบชายอันดับหนึ่งนั้นนับได้ว่าเป็นตัวละครที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง
ฝ่ายซ้ายมีเสนาบดีหยวน ฝ่ายขวามีเสนาบดีฉี ความสามารถของทั้งสองฝ่ายแทบจะเทียบเคียงกันได้ ไม่มีใครมากน้อยไปกว่ากัน นี่เป็นเรื่องที่ราษฎรทุกคนในแผ่นดินนี้ล้วนรู้กันโดยทั่ว
ทว่าน่าเสียดายนัก คาดว่ายามนี้พระเอกในนิยายน่าจะยังอยู่ในวังอย่างไม่มีอันจะกิน ส่วนตัวประกอบชายอันดับหนึ่งก็น่าจะยังเล่นกับเหยี่ยวของเขาอยู่แถวต้าซีเป่ย นางเองก็ถูกจำกัดบริเวณให้อยู่ภายในจวนใหญ่โตแห่งนี้ ออกจากจวนสักครั้งหนึ่งก็จะมีคนกลุ่มใหญ่คอยติดตาม ต่อให้นางมีใจจะตามหาพวกเขาก็ยังขาดกำลังอยู่ดี
หลี่หลิงหว่านกลุ้มใจ นางรู้สึกว่าชีวิตตนเองช่างยากลำบากโดยแท้ เหตุใดตอนแรกนางถึงได้ออกแบบตัวละครอย่างหลี่เหวยหยวนให้ออกมาเช่นนี้ มิหนำซ้ำนางยังต้องข้ามมิติมาเป็นตัวประกอบหญิงที่ถูกเขาฆ่าตายด้วย หากนางได้ข้ามมิติมาเป็นนางเอกจะดีเพียงใด แค่เพียงยิ้มน้อยๆ แสดงความอ่อนแอของตนเองให้เห็นสักเล็กน้อยก็มีบุรุษแย่งกันเข้ามาปกป้องนางแล้ว
หลี่หลิงหว่านรู้สึกว่าใจตนเองล้วนแหลกละเอียดเป็นไส้เกี๊ยวหมดแล้ว เพียงแค่เอาแป้งเกี๊ยวมาปั้นห่อตามแต่ใจแล้วก็ลงหม้อต้มได้เลย
เมื่อใจสลายนางจึงไม่ทันได้ยินคำพูดที่หลี่เหวยหยวนเอ่ยกับตน
รอหลังจากที่มีอาการตอบสนองขึ้นมาแล้วนางจึงรีบร้อนเงยศีรษะขึ้นเอ่ยถาม “พี่ชาย เมื่อครู่พี่พูดอะไรเจ้าคะ ข้าไม่ได้ยิน พี่พูดอีกทีได้หรือไม่”
ริมฝีปากของหลี่เหวยหยวนเม้มน้อยๆ ไม่ว่านางจะซักถามอย่างไรเขาก็ไม่ยอมเปิดปาก
หลี่หลิงหว่านไม่พอใจ ช่างน่าแค้นใจนักที่ข้าไม่อาจพุ่งตรงไปสะบัดมือใส่เขาได้จริงๆ
นางลอบกัดฟันกรอด สร้างตัวหลี่เหวยหยวนขึ้นมาในใจแล้วทิ่มแทงอย่างโหดเหี้ยมไม่หยุด ทว่าใบหน้าก็ยังต้องแสร้งยิ้มหวานออกมา เอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พี่ชาย เมื่อครู่นี้พี่พูดอะไรกับข้ากันแน่หรือเจ้าคะ”
หลี่เหวยหยวนไม่ตอบ แต่ถามนางกลับแทน “เมื่อครู่เจ้าคิดอะไรอยู่” สายตาเขาทั้งแหลมคมทั้งเย็นชา
ยามนี้ตัวเจ้าอยู่ด้วยกันกับข้า แต่ใจเจ้ากำลังคิดถึงผู้ใดอยู่!
หลี่หลิงหว่านยิ้มสดใส นางไม่อาจพูดได้ว่าเมื่อครู่นางกำลังคิดหาศัตรูในภายภาคหน้าของเขาออกมา จากนั้นก็ร่วมมือกับศัตรูของเขาเพื่อต่อกรกับเขา เกรงว่าหากนางพูดออกไปจริงๆ เช่นนั้นก็ไม่ต้องรอจนถึงวันหน้าแล้ว นางคงจะถูกเขาจัดการฆ่าตายไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย
ดังนั้นนางจึงแสดงท่าทีเป็นกังวลอย่างจริงใจยิ่งออกมาพลางเอ่ย “เมื่อครู่ข้ากำลังเป็นห่วงบาดแผลบนร่างกายของพี่ชายเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าพี่ชายจะเจ็บปวดมากเพียงใดกันแน่ เหตุใดเสี่ยวซานจึงยังไม่กลับมาอีก”
เสี่ยวซาน เจ้ารีบมาเร็วเข้า เจ้ามาแล้วอย่างน้อยข้าก็ยังพูดคุยกับเจ้าได้ ไม่ต้องมานั่งตรงกันข้ามมองหน้ากับคนวิปริตทั้งยังไม่ยอมพูดจาเช่นนี้ บรรยากาศช่างน่ากระอักกระอ่วนยิ่งนัก
หลี่เหวยหยวนไม่ได้พูดอะไร เขาเอาแต่ใช้ไม้คีบปลายทองแดงในมือเขี่ยถ่านในกระถางไฟต่อไปอย่างเงียบขรึมดังเดิม
หลี่หลิงหว่านแทบอยากจะร้องว่าไม่ยุติธรรมออกมาแทนถ่านในกระถางไฟเหล่านั้น การเขี่ยไปมาเช่นนี้แทบจะทำให้ถ่านเหล่านั้นแหลกเป็นผงอยู่แล้ว
มีสะเก็ดไฟปลิวขึ้นมาช้าๆ ทว่าเพียงครู่เดียวก็กลายเป็นเศษขี้เถ้าร่วงหล่นลงมาบนพื้นอีกครั้งอย่างไร้สุ้มเสียง
“หลี่หลิงหว่าน” น้ำเสียงของหลี่เหวยหยวนแผ่วเบาราวกับบรรดาเศษขี้เถ้าพวกนั้น เหมือนว่าชั่วเวลาต่อมาจะถูกลมหนาวจากข้างนอกพัดจากไปอย่างไรอย่างนั้น “เจ้ามีเหตุผลใดถึงมาเข้าใกล้ข้า ประจบข้าเช่นนี้ ในใจเจ้าวางแผนจะทำสิ่งใดกันแน่”
ขณะที่เขาพูด สายตาก็จับจ้องมายังหลี่หลิงหว่านอย่างนิ่งสงบ สีหน้านั้นราวกับกำลังบอกว่า หลี่หลิงหว่าน ข้าให้โอกาสครั้งสุดท้ายกับเจ้า เจ้าจะต้องพูดความจริงออกมา หากครั้งนี้เจ้ายังไม่ยอมพูดความจริงอีกล่ะก็ เช่นนั้นหลังจากนี้เจ้าก็จะไม่มีโอกาสได้พูดความจริงอีกต่อไปแล้ว
ภายใต้การจับจ้องด้วยสายตาสงบนิ่งของเขา หลี่หลิงหว่านพลันรู้สึกว่าหัวใจเต้นกระหน่ำขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งฝ่ามือก็เต็มไปด้วยเหงื่อ ชั่วขณะนั้นนางเกือบจะหลุดปากเล่าความจริงทุกอย่างออกไปแล้ว
ทว่าในช่วงคับขันนางยังคงฝืนยับยั้งตนเองได้ทัน ซ้ำยังแสร้งยิ้มอย่างไร้เดียงสาให้หลี่เหวยหยวน “พี่ชาย เหตุใดข้าจึงฟังคำพูดนี้ของพี่ไม่เข้าใจเล่า พี่เป็นพี่ชายของข้า ข้าเป็นน้องสาวของพี่ คนเป็นน้องสาวจะเข้าใกล้พี่ชาย ทำดีกับพี่ชาย นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทั่วไปที่สุดบนโลกใบนี้หรอกหรือเจ้าคะ”
ขอให้เขาอย่าได้ซักไซ้ไล่เลียงต่ออีกเป็นอันขาด หากซักถามต่อไปนางก็รู้สึกว่าตนเองอาจจะทนแรงกดดันนี้ไม่ได้จนต้องพูดออกมาหมดทุกสิ่งแล้ว
ยังดีที่หลี่เหวยหยวนไม่ได้ซักถามต่อแล้วจริงๆ
หลังได้ยินหลี่หลิงหว่านเอ่ยประโยคเหล่านั้นออกมาแล้ว สายตาของเขาก็เอาแต่จับจ้องอยู่ที่นางเป็นเวลานาน ก่อนที่มุมปากเขาจะยกขึ้นน้อยๆ เอ่ยออกมาหนึ่งคำว่า “ดี”
ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เป็นเจ้าเองที่ไม่ต้องการ
เมื่อครู่เขาคิดดูดีๆ แล้ว ระยะนี้หลี่หลิงหว่านไม่เพียงแต่วางตัวกับเขาแปลกไปเท่านั้น กระทั่งท่าทีที่มีต่อสาวใช้ข้างกายเองก็มีความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
เมื่อก่อนนางมีนิสัยยโสโอหังถึงเพียงนั้น แค่สาวใช้ข้างกายทำอะไรไม่ถูกใจเล็กน้อยนางก็จะต่อว่าทันที ไหนเลยจะเอ่ยคำพูดเช่นที่นางเอ่ยกับเสี่ยวซานในคืนนี้ออกมาได้ มิหนำซ้ำหลายวันมานี้เขาเองก็ได้ให้จิ่นเหยียนไปสืบข่าวมาโดยละเอียด ล้วนพูดกันว่าเมื่อหลี่หลิงหว่านฟื้นขึ้นมาหลังจากได้รับบาดเจ็บเมื่อครั้งนั้นแล้ว คนก็เปลี่ยนเป็นรู้ความมากขึ้นไม่น้อย ต่างจากเมื่อก่อนราวกับเป็นคนละคน
เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายนางกันแน่ ถึงกับทำให้นางเปลี่ยนแปลงไปมากในชั่วข้ามคืนได้เพียงนี้ ต่อให้พูดว่านางในตอนนี้กับเมื่อก่อนเป็นคนละคนก็ไม่เกินไปเลย
แม้ยามนี้หลี่เหวยหยวนจะยังคิดหาเหตุผลในเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้ ทว่าจิตใต้สำนึกของเขาก็ยังบอกว่าหลี่หลิงหว่านในยามนี้กับหลี่หลิงหว่านในอดีตนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากจริงๆ
ทว่าไม่เป็นไร เหตุผลในเรื่องราวเหล่านี้เขาสามารถค่อยๆ สืบจนรู้แน่ชัดได้ เขาไม่รีบร้อนอยู่แล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 มิ.ย. 62
Comments
comments