บทที่หก
วันรุ่งขึ้นยามเช้าตรู่เสี่ยวซานก็อุ้มห่อผ้าสีน้ำเงินกลมๆ กลับมา ยามที่เลิกม่านตรงประตูกั้นห้องแล้วเดินเข้ามานั้นเสี่ยวซานไม่ได้สนใจที่จะสะบัดเกล็ดหิมะบนตัวทิ้งไป นางเอ่ยว่า “คุณหนู ชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อของคุณชายใหญ่ล้วนซื้อมาหมดแล้วเจ้าค่ะ”
หลี่หลิงหว่านกำลังนั่งกินอาหารเช้าอยู่บนเตียง พอได้ยินคำพูดของเสี่ยวซานนางก็รีบวางตะเกียบในมือลง “เอามาให้ข้าดูหน่อยเร็วเข้า”
เสี่ยวซานรับคำคราหนึ่ง ก่อนจะวางห่อผ้าในอ้อมแขนของตนลงบนเตียงแล้วคลี่ผ้าชั้นนอกออก
หลี่หลิงหว่านยื่นมือออกไปหยิบชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อขึ้นมาดู
ชุดผ้าแพรสีขนนกกาตัวนี้มองดูแล้วเนื้อสัมผัสดีมาก ยามที่มือลูบไล้ก็นุ่มลื่นเป็นอย่างยิ่ง รองเท้าหุ้มข้อทำมาจากหนังกวาง ภายในบุไว้ด้วยขนนุ่มๆ คิดถึงตอนที่เขาสวมแล้วย่อมอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง
รองเท้าหุ้มข้อนั้นยังไม่เท่าไร แต่หากชุดผ้าแพรตัวนี้ได้ไปสวมอยู่บนร่างของหลี่เหวยหยวนแล้วล่ะก็ จะต้องเหมาะสมกับเขามากเป็นแน่
หลี่หลิงหว่านในใจมีความสุข แม้แต่อาหารเช้าก็ไม่กินแล้ว นางนำชุดผ้าแพรกับรองเท้าหุ้มข้อบรรจุกลับไปในห่อผ้าให้เรียบร้อยอีกครั้ง จากนั้นจึงอุ้มห่อผ้าเอาไว้ในอ้อมแขน ขยับลุกลงจากเตียงไพลางเอ่ยยิ้มแย้มกับเสี่ยวซาน “ไป พวกเราไปส่งชุดผ้าแพรกับรองเท้าหุ้มข้อให้คุณชายใหญ่กันเถอะ”
บนท้องฟ้ายังคงมีหิมะตกลงมาอย่างหนัก
เสี่ยวซานกางร่มผ้าไหมเคลือบน้ำมันสีเขียวรีบเดินติดตามอยู่ข้างหลังหลี่หลิงหว่านพร้อมเอ่ยเรียกนาง “คุณหนู ท่านเดินช้าลงหน่อยสิเจ้าคะ”
ในอ้อมแขนหลี่หลิงหว่านมีห่อผ้าซึ่งบรรจุชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้ออยู่ บนศีรษะก็สวมหมวกคลุมของเสื้อคลุม นางเดินตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วยิ่ง กระทั่งเกือบจะเป็นวิ่งอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดของเสี่ยวซานนางก็หันหน้ากลับมากวักมือเรียกอีกฝ่าย “เร็วๆ หน่อยสิเสี่ยวซาน”
เสี่ยวซานไร้หนทางอื่น ทำได้เพียงวิ่งเหยาะๆ ตามไป
ใช้เวลาเพียงไม่นานทั้งสองก็มาถึงเรือนที่แยกอย่างโดดเดี่ยวของหลี่เหวยหยวนแล้ว
สองข้างของประตูเรือนปลูกต้นไผ่เอาไว้ หลังจากที่หิมะตกมาหลายวัน จากไผ่เขียวก็แทบจะเปลี่ยนเป็นหยกขาวอยู่แล้ว บนขั้นบันไดหน้าเรือนก็ทับถมเอาไว้ด้วยหิมะชั้นหนาๆ ทั้งขาวทั้งราบเรียบเป็นอย่างยิ่งโดยปราศจากรอยเท้าของผู้ใด เกรงว่าคนที่อยู่ในเรือนคงไม่ได้ออกจากประตูอีกเลยนับตั้งแต่กลับจากกินอาหารเช้าเมื่อวานนี้
หลี่หลิงหว่านเองก็ไม่ได้สนใจหิมะชั้นหนาเหล่านั้นแม้แต่น้อย นางก้าวเท้าขึ้นไปบนขั้นบันไดก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตู
ก่อนหน้านั้นหลี่เหวยหยวนเองก็อยู่ในห้องกำลังนั่งอ่านตำราเก่าขาดเล่มหนึ่งอยู่ จิ่นเหยียนบ่าวรับใช้ของเขายืนอยู่ด้านข้าง คอยยกมือขึ้นมาป้องปากแล้วพ่นลมหายใจใส่ หรือไม่ก็แอบซอยเท้าอยู่เสมอ
หนาวเกินไปแล้วจริงๆ
หน้าต่างหลายบานในเรือนล้วนขาดไปหมดแล้ว สายลมหนาวจากข้างนอกห้องพัดหอบเอาเกล็ดหิมะเข้ามาแล้วร่วงหล่นลงบนพื้นอิฐสีเทา เพียงไม่นานก็ละลายกลายเป็นแอ่งน้ำ ทั้งที่อากาศหนาวยะเยือกถึงเพียงนี้ ทว่าภายในห้องนี้กระทั่งเตาพกสักใบก็ยังไม่จุด…ช่างแช่แข็งผู้คนให้ตายได้เลยจริงๆ
แต่พอจิ่นเหยียนหันไปมองคุณชายของตนเองก็จะเห็นอีกฝ่ายกำลังตั้งใจอ่านตำราอยู่บนเก้าอี้ ถึงขั้นไม่ขยับร่างกายเลยแม้แต่น้อย ราวกับเขาไม่รู้จักความหนาวยะเยือกนี้อย่างไรอย่างนั้น
ทว่าคุณชายจะไม่หนาวได้อย่างไรกัน จิ่นเหยียนมองไปยังเสื้อคลุมยาวบางๆ กับรองเท้าผ้าที่ชื้นไปแล้วครึ่งหนึ่งบนร่างของหลี่เหวยหยวน ยังมีสองมือที่ถูกความเย็นกัดจนแดงก่ำ ในใจเขาพลันรู้สึกขมฝาด
จิ่นเหยียนเดินไปที่ข้างโต๊ะ ยกกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมา อยากจะรินน้ำอุ่นสักถ้วยหนึ่งให้หลี่เหวยหยวนได้ดื่มเพื่อที่ร่างกายของเขาจะได้อบอุ่นขึ้นมาสักเล็กน้อย แต่น้ำที่รินออกมากลับเย็นชืดไปหมดแล้ว
เพียงเพราะไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่า ทุกคนในจวนแห่งนี้จึงล้วนเอาเปรียบคุณชายของเขา กระทั่งถ่านที่จะเอามาใช้เพื่อให้ผ่านหน้าหนาวไปก็ยังถูกลิดรอน ฤดูหนาวของปีนี้ถ่านที่พวกเขาได้รับมาล้วนเป็นถ่านที่แย่ที่สุด เวลาจุดแล้วก่อให้เกิดควันหนาจนชวนสำลักก็ช่างเถอะ ทว่าจำนวนที่ให้มานั้นกลับมีเพียงน้อยนิด จะไปใช้พอที่ไหนกัน เพียงไม่นานก็ถูกใช้จนหมดแล้ว
ในใจจิ่นเหยียนยากจะทนรับไหว เขาอยากจะเทน้ำเย็นในถ้วยชานี้ทิ้งไป แต่พลันได้ยินเสียงเย็นชาของหลี่เหวยหยวนดังขึ้นมาก่อน “เอามาให้ข้าดื่ม”
“แต่นี่เป็นน้ำเย็น” จิ่นเหยียนเอ่ยอย่างลำบากใจ “คุณชายอย่าดื่มดีกว่าขอรับ”
ดื่มน้ำเย็นในวันที่อากาศหนาวจะยิ่งรู้สึกเย็นมากเพียงใดกัน
ทว่าหลี่เหวยหยวนยังคงยืนกราน “เอามา”
จิ่นเหยียนไร้หนทาง เขาทำได้เพียงประคองน้ำเย็นถ้วยนั้นยื่นส่งไปให้
หลี่เหวยหยวนยื่นมือออกมารับแล้วยกถ้วยชาขึ้นจ่อริมฝีปาก จากนั้นก็ดื่มลงไปอึกใหญ่
ดื่มน้ำเย็นในวันที่อากาศหนาวจึงจะเตือนสติเขาในทุกๆ ชั่วขณะถึงความเป็นคนบนโลกใบนี้ มีเพียงต้องขยันขันแข็งและโดดเด่นเหนือใครเท่านั้นจึงจะเหยียบย่ำทุกคนที่เคยเอาเปรียบรังแกเขาให้มาอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาได้
เพียงแค่สองสามอึกเขาก็ดื่มน้ำเย็นในถ้วยจนหมด จิ่นเหยียนที่อยู่ด้านข้างมองดูแล้วยังรู้สึกหนาวเยือกแทน กระนั้นผู้เป็นนายก็ยังคงมีสีหน้าปกติอยู่เช่นเดิม
หลังวางถ้วยชาลงบนโต๊ะที่น้ำมันเคลือบเงาหลุดออกไปหมดแล้ว หลี่เหวยหยวนก็ตั้งใจอ่านตำราต่อ
คุณชายคนอื่นๆ ของจวนสกุลหลี่ล้วนมีบิดามารดาที่ตั้งใจเชิญอาจารย์มาสอนพวกเขาอ่านตำราเป็นพิเศษ ทว่าหลี่เหวยหยวนกลับไม่มี ต่อให้ในใจหลี่ซิวซงจะรักถนอมเขาเพียงใด แต่เมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันจากฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็ไม่กล้าทำเรื่องที่ขัดขืนจนออกนอกหน้าเช่นกัน ดังนั้นในตอนที่หลี่เหวยหยวนไปหาหลี่ซิวซงแล้วบอกว่าเขาอยากจะศึกษาเล่าเรียนนั้น หลี่ซิวซงจึงไม่กล้าเชิญอาจารย์มาสอนเขา ทำได้เพียงแอบยัดตำราให้เขาเพียงไม่กี่เล่มเท่านั้น
ยังดีที่แม้ตู้ซื่อจะทุบตีเขาเพียงใด ทว่าสุดท้ายก็ยังคงอยากให้เขาแก้แค้นให้กับสกุลตู้อยู่ และหากคิดจะแก้แค้นให้สำเร็จก็จำต้องให้หลี่เหวยหยวนเดินไปบนเส้นทางของการสอบเคอจวี่ ให้ได้
ตู้ซื่อเป็นผู้ที่รู้หนังสือ ทุกครั้งหลังจากทุบตีเขาแล้วนางก็จะหักกิ่งไม้กิ่งหนึ่งมาวาดเขียนลงบนพื้นดินที่อ่อนนุ่ม สอนให้เขารู้ตัวหนังสือ หลี่เหวยหยวนเองก็จะคอยศึกษาตัวอักษรจากตู้ซื่อทั้งๆ ที่บนร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลอันแสบร้อนเช่นนี้เสมอ
หลี่เหวยหยวนตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอย่างมาก นั่นเป็นเพราะไม่อาจไม่ตั้งใจ เขาเองก็ไม่อยากจะถูกผู้คนเหยียบย่ำเช่นนี้ไปตลอดชาติเหมือนกัน
หลังพลิกตำราไปอีกหน้า หลี่เหวยหยวนก็ได้ยินเสียงเคาะประตูจากข้างนอกดังเข้ามา เขาเงยหน้าแล้วมองออกไปข้างนอก
ในใจจิ่นเหยียนเองก็สงสัย เรือนของคุณชายนี้เดิมทีก็ทั้งผุพังทั้งแยกห่างจากเรือนอื่นอยู่แล้ว คนอื่นๆ ในจวนก็ล้วนไม่ต้อนรับคุณชาย ปกติคุณชายจะออกจากเรือนนานๆ ครั้งยังไม่พูดถึง กระทั่งคนอื่นๆ ก็ไม่เคยมีใครมาหาพวกเขาถึงเรือนเช่นเดียวกัน
จิ่นเหยียนเงยหน้ามองออกไปข้างนอกซึ่งยังมีหิมะตกลงมาอย่างหนัก ในใจเขาครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจ ในวันที่หิมะตกหนักเช่นนี้จะมีใครมาเคาะประตูเรือนของพวกเรากัน
เสียงเคาะประตูยังคงดังต่อไป จิ่นเหยียนหันหน้าไปมองหลี่เหวยหยวน
แม้จิ่นเหยียนจะอายุมากกว่าหลี่เหวยหยวนหนึ่งปี อายุตอนนี้ก็สิบสี่ปีเข้าไปแล้ว กระนั้นเขาก็ยังเคยชินกับการฟังคำสั่งจากหลี่เหวยหยวนในทุกเรื่องอยู่
เขาได้ยินหลี่เหวยหยวนเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องเปิดประตู ไปดูที่รอยแตกของประตูว่าใครอยู่ข้างนอกนั่น”
จิ่นเหยียนรับคำก่อนเปิดประตูออกไป เพียงไม่นานเขาก็กลับเข้ามาแล้วประสานมือกล่าวรายงาน “เป็นคุณหนูสามกับสาวใช้ข้างกายนางขอรับ”
หลี่หลิงหว่าน? นางมาทำอะไรที่นี่อีกแล้ว
หลี่เหวยหยวนขมวดคิ้ว นับตั้งแต่วันนั้นที่หลี่หลิงหว่านฟื้นขึ้นมาเขาก็รู้สึกว่านางเปลี่ยนไปอย่างมาก สิ่งแรกคือเวลาที่นางเจอเขาก็จะคอยส่งยิ้มให้ ถึงกับไล่ตามหลังเขาแล้วพูดว่านางอยากจะขออภัยเกี่ยวกับเรื่องที่นางเคยทำเมื่อก่อนหน้านี้ จากนั้นเมื่อวานนางยังพูดต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าว่าวันนั้นเขาเป็นคนช่วยนางเอาไว้ ทั้งที่วันนั้นเป็นเขาเองที่ผลักนางล้ม เหตุใดนางถึงได้พูดโกหกต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อประจบเขาเช่นนี้เล่า มิหนำซ้ำตอนที่กินอาหารเช้าด้วยกันนางยังคีบเกี๊ยวไส้หวานมาให้เขาชิ้นหนึ่ง นั่นเป็นเรื่องที่ในอดีตไม่มีวันเกิดขึ้นเป็นอันขาด
หลี่เหวยหยวนไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่เขามองออกอย่างชัดเจนว่าในใจหลี่หลิงหว่านหวาดกลัวเขา แต่ทั้งที่เป็นเช่นนี้นางก็ยังพยายามทำตัวใกล้ชิดกับเขาอยู่ดี
หลี่หลิงหว่านที่อยู่ข้างนอกยังคงเคาะประตู เมื่อเห็นว่าคนข้างในไม่ยอมเปิดประตูให้เสียที นางจึงเปิดปากเรียกเขาขึ้นมา “พี่ชาย เปิดประตูสิเจ้าคะ”
ต่อหน้าคนอื่นๆ นางจะเรียกหลี่เหวยหยวนว่า ‘พี่ใหญ่’ เสมอ แต่ในสถานการณ์ที่เป็นส่วนตัวเช่นนี้นางกลับชอบเรียกเขาว่า ‘พี่ชาย’ มากกว่า…เรียกพี่ชายแล้วฟังดูสนิทสนมมากกว่ามิใช่หรือ
หลี่เหวยหยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ขยับเขยื้อน ส่วนหลี่หลิงหว่านที่อยู่ข้างนอกก็ยืนหยัดเคาะประตูเรียกพี่ชายต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้
คิ้วของหลี่เหวยหยวนขมวดเข้าหากันแน่นกว่าเดิม เพียงชั่วครู่เขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินออกไปนอกห้องโดยไม่พูดอะไรสักคำ จิ่นเหยียนเองก็รีบร้อนสาวเท้าก้าวตามไป
แม้หลี่เหวยหยวนจะเดินออกจากห้องแล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดจะเปิดประตูให้กับหลี่หลิงหว่าน ท่ามกลางหิมะนี้เขาเพียงแค่ยืนเม้มปากอยู่ด้านหลังประตูเรือน
หิมะตกหนักมาก เพียงไม่นานทั้งบนศีรษะและบ่าของเขาก็เต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ
ขณะเดียวกันบนร่างของหลี่หลิงหว่านที่อยู่อีกฝั่งของประตูก็เต็มไปด้วยเกล็ดหิมะเช่นเดียวกัน ยังดีที่บนร่างของนางมีเสื้อคลุม บนศีรษะเองก็มีหมวกคลุมอยู่ ดังนั้นอาภรณ์ชั้นในกับเรือนผมจึงล้วนไม่เปียกชื้น ทว่าแม้จะมีเสี่ยวซานคอยกางร่มยืนอยู่ด้านหลังนาง แต่ลมก็พัดแรงเกินไปจริงๆ ไม่อาจป้องกันความหนาวได้เลยสักนิด
เห็นปลายจมูกของหลี่หลิงหว่านเย็นจัดจนกลายเป็นสีแดงแล้ว เสี่ยวซานก็อดเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมไม่ได้ “คุณหนู ในเมื่อคุณชายใหญ่ไม่ยอมเปิดประตู เช่นนั้นพวกเราก็กลับกันก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
หลี่หลิงหว่านเองก็อยากจะกลับเช่นกัน ต่อให้ยามนี้บนร่างกายนางจะห่อตัวหนากว่านี้ ทว่าสายลมที่พัดปะทะใบหน้าอยู่นี้ก็ไม่ต่างกับมีดกรีดอย่างไรอย่างนั้น นางรู้สึกว่าใบหน้าตนเองราวกับถูกแช่แข็งจนไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว
แต่นางไม่เต็มใจจะกลับไปเสียหน่อย ทั้งที่ซื้อชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อมาใหม่อย่างกระตือรือร้น ยืนเคาะประตูอยู่ตรงนี้อย่างไม่สนใจลมและหิมะอยู่ครึ่งค่อนวัน แล้วจะให้นางกลับไปอย่างพ่ายแพ้น่ะหรือ
หลี่หลิงหว่านเคาะประตูต่อไปอีกสักพัก ทั้งส่งเสียงเรียกพี่ชายอีกหลายครั้ง นางมีความรู้สึกว่าบางทีหลี่เหวยหยวนอาจกำลังยืนอยู่ข้างหลังประตูนี้ หากนางยืนหยัดให้นานกว่านี้สักนิด เขาอาจจะยอมเปิดประตูก็ได้
สุดท้ายหลี่เหวยหยวนยังคงไม่เปิดประตูให้ตั้งแต่ต้นจนจบ
หลี่หลิงหว่านรู้สึกว่าตนเองฝืนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ร่างนางหนาวแข็งจนแทบจะกลายเป็นน้ำแข็งย้อยๆ บนชายคานั่นอยู่แล้ว หลังจากใคร่ครวญจึงใช้ปลายเท้าเขี่ยหิมะบนขั้นบันไดหน้าประตูออก รอจนปรากฏพื้นบันไดที่ปราศจากหิมะแล้วนางก็ก้มตัววางห่อผ้าที่โอบเอาไว้อย่างแน่นหนาตลอดเวลาลงบนพื้น ก่อนจะตะโกนไปทางประตู “พี่ชาย ข้าจะไปแล้ว แต่ข้าวางห่อผ้าห่อหนึ่งเอาไว้ที่หน้าประตู พี่ต้องออกมาหยิบเอาเข้าไปนะเจ้าคะ หากรั้งรอจนพื้นเต็มไปด้วยหิมะ ชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อในห่อผ้าก็จะเปียกชื้นได้เจ้าค่ะ!” หลังเอ่ยคำพูดพวกนี้จบนางก็หันตัวแล้วให้เสี่ยวซานประคองกลับ
ศึกยืดเยื้อหนนี้นับว่าฝืนกำลังเกินไปแล้วจริงๆ…ทว่านางเพิ่งเดินไปบนหิมะได้เพียงไม่กี่ก้าวก็พลันได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง
ประตูเรือนถูกเปิดออกแล้ว
หลี่หลิงหว่านในใจยินดี นางรีบหันหน้ากลับไปมอง
ท่ามกลางหิมะโปรยปรายที่ขวางกั้นเอาไว้ เพียงมองตรงไปนางก็เห็นหลี่เหวยหยวนยืนอยู่ที่หน้าประตูด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ในที่สุดเขาก็ยอมออกมาแล้วไหมเล่า
หลี่หลิงหว่านในใจยินดียิ่ง รีบหันตัววิ่งกลับไปหาเขาพร้อมเอ่ยอย่างมีความสุข “พี่ชาย ในที่สุดพี่ก็ยอมออกมาเจอข้าแล้วหรือ”
พริบตาต่อมาหลี่หลิงหว่านก็เห็นหลี่เหวยหยวนก้มตัวลงหยิบห่อผ้าที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นเขาก็ยกแขนขึ้นสูงแล้วโยนของในมือมายังทิศที่นางอยู่ คำพูดที่ออกมาจากปากก็เย็นชายิ่งนัก “เอากลับไปซะ ข้าไม่ต้องการการกระทำที่เสแสร้งไม่จริงใจและมีแต่มารยาของเจ้า!”
หลี่หลิงหว่านนิ่งอึ้งก่อนจะเม้มปาก แล้วสาวเท้าเดินไปด้านข้างอย่างช้าๆ
ห่อผ้าไม่ได้ห่ออย่างแน่นหนานัก หลี่เหวยหยวนโยนมาเช่นนี้ ยามที่ห่อผ้าตกลงบนพื้นหิมะ รองเท้าหุ้มข้อในนั้นก็หล่นออกมาข้างหนึ่ง ทำให้เลอะหิมะจำนวนมาก
หลี่หลิงหว่านหลุบตาลงมองห่อผ้ากับรองเท้าหุ้มข้อข้างนั้นที่หล่นออกมาบนพื้นหิมะ พยายามควบคุมอารมณ์ตนเองให้เป็นปกติ ที่จริงนางเองก็หงุดหงิดมากเช่นกัน ในวันที่อากาศหนาวเช่นนี้ ท่ามกลางหิมะโปรยปราย นางตั้งใจวิ่งออกมาส่งความอบอุ่นให้ด้วยความปรารถนาดี ถูกปฏิเสธอยู่นอกประตูตลอดเรื่องนี้ยังไม่พูดถึง ทว่ากระทั่งชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อที่นำมาให้เขาในวันนี้ยังได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ไปด้วย
ชั่วขณะนั้นหลี่หลิงหว่านอยากจะหมุนตัวแล้วเดินจากไปจริงๆ ใครยังสนเรื่องที่ว่าตนเองในวันหน้าจะถูกบุคคลตรงหน้านี้ฆ่าตายอีก อย่างน้อยในยามนี้นางก็ยังมีอิสรเสรีเป็นของตนเองอยู่
ทว่าอารมณ์เสียก็ส่วนอารมณ์เสีย สุดท้ายนางยังคงก้มตัวลงนั่งยองแล้วยื่นมือไปเก็บรองเท้าหุ้มข้อข้างนั้นบนพื้นหิมะขึ้นมา ทั้งยังปัดหิมะที่เลอะบนรองเท้าทำความสะอาดให้อย่างใส่ใจ
จากนั้นนางก็เก็บห่อผ้าขึ้นมาปัดหิมะบนนั้นออกให้จนสะอาด นำมาอุ้มไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะเดินย่ำหิมะไปหาหลี่เหวยหยวน
หลังจากที่เขาโยนห่อผ้าทิ้งไปแล้วก็ไม่ได้หันร่างกลับเข้าไปในเรือน แต่ยังคงยืนแผ่นหลังตั้งตระหง่านอยู่หน้าประตูเรือนด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
บนศีรษะกับบ่าของเขาล้วนเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ มือที่กำเป็นหมัดแน่นอยู่ข้างลำตัวมีสีแดงก่ำ ชุดจื๋อตัวสีน้ำเงินบนร่างมีรอยขาดอยู่หลายจุด บนรองเท้าผ้าคู่นั้นก็เต็มไปด้วยหิมะ บางทีอาจจะมีหิมะที่ละลายเปียกชื้นไปถึงเท้าของเขาแล้วก็ได้
หลี่หลิงหว่านพลันรู้สึกว่าหลี่เหวยหยวนที่เป็นเช่นนี้มิต่างจากเด็กที่เอาใจยากคนหนึ่งเลย เป็นเพราะสิ่งที่เขาได้รับมาจากคนรอบข้างเมื่อก่อนนี้ล้วนมีแต่ประสงค์ร้าย จู่ๆ ก็มีคนทำดีกับเขาขึ้นมา หลี่เหวยหยวนย่อมรู้สึกว่าอีกฝ่ายเสแสร้งแกล้งทำ
ความจริงข้าก็เสแสร้งแกล้งทำอยู่จริงๆ
คิดมาถึงตรงนี้หลี่หลิงหว่านก็รู้สึกว่าตนเองเกลียดหลี่เหวยหยวนไม่ลง และไม่รู้ว่าจะเกลียดเขาไปทำไมด้วย ในเมื่อสภาพรันทดของเขาตั้งแต่อดีตจนมาถึงตอนนี้ล้วนเป็นนางที่เขียนขึ้นมาเอง
หลี่หลิงหว่านทอดถอนใจอยู่ในใจรอบหนึ่ง ก่อนจะหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าหลี่เหวยหยวนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่ชาย ต่อให้ในใจพี่จะไม่ชอบข้า หรือจะเกลียดข้ามากกว่านี้ก็ไม่เป็นไร ทว่าพี่ไม่จำเป็นต้องสร้างปัญหาให้กับตนเองกระมัง นี่…” นางชี้ไปยังเสื้อผ้ากับรองเท้าของเขา “ถ้าถูกความเย็นมากๆ เข้าจะไม่สบายเอาได้ พี่ลองคิดดู ถ้าพี่ป่วยแล้วจะมีใครมาสนใจพี่หรือเจ้าคะ ถึงตอนนั้นเกิดพี่ป่วยตายไปทั้งแบบนี้ พี่คิดว่าจะมีคนมาร้องไห้เสียใจให้กับพี่หรือ”
ในเมื่อพูดดีๆ แล้วไม่ยอมฟัง เช่นนั้นนางก็ต้องใช้คำพูดที่ฟังดูโหดร้ายหน่อยแล้ว ในใจนางรู้สึกว่าคนเช่นหลี่เหวยหยวนนี้จะต้องปรารถนาที่จะเอาตัวรอดอย่างรุนแรงมากแน่ มีเพียงยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นจึงจะสามารถแก้แค้นความยากลำบากเหล่านั้นที่เขาเคยได้รับมาได้ หากว่าตายไปแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ล้วนไม่มีประโยชน์
หลี่เหวยหยวนได้ยินแล้วไม่พูดอะไร เพียงก้มหน้ามองดูรองเท้าตนเองซึ่งน้ำจากหิมะซึมเปียกไปทั้งรองเท้านานแล้ว ตอนนี้เท้าของเขาถูกความเย็นกัดจนแข็งกระด้าง ไม่หลงเหลือความรู้สึกใดๆ
หลี่หลิงหว่านคาดเดาว่าเขาน่าจะหวั่นไหวไปกับคำพูดของตนเองแล้ว ดังนั้นนางจึงส่งห่อผ้าในอ้อมกอดไปให้ “พี่ชาย ถึงพี่จะรับชุดกันหนาวชุดนี้กับรองเท้าหุ้มข้อคู่นี้ไป ในใจพี่ก็ยังไม่ชอบข้าหรือเกลียดข้าต่อไปได้มิใช่หรือเจ้าคะ ข้าไม่ได้บอกว่าหลังจากที่พี่รับของไปแล้ว นับจากนี้ต่อไปพี่จะต้องชอบข้าเสียหน่อย”
กระนั้นหลี่หลิงหว่านก็ไม่เชื่อที่ตนเองพูดไปเท่าไรนัก เพราะหากหลี่เหวยหยวนรับของที่นางนำมาให้นี้ไปแล้วจริงๆ ในใจเขาย่อมไม่มีทางเคียดแค้นนางเท่ากับก่อนหน้านี้อีก ต่อให้ยังมีความแค้นอยู่ ทว่าระดับความแค้นก็ย่อมลดน้อยลงไปกว่าเมื่อก่อนแน่ ในวันหน้าขอเพียงนางทำดีกับหลี่เหวยหยวนอย่างต่อเนื่อง ความแค้นในใจเขาที่เคยมีต่อนางก็จะค่อยๆ เจือจางจนสลายหายไปในที่สุด ถึงยามนั้นนอกจากนางจะไม่ตายแล้ว ไม่แน่เขาอาจจะห่วงใยนางก็เป็นได้ หลี่เหวยหยวนจะไม่กลายเป็นคนวิปริตแสนอำมหิตคนนั้นในนิยายอีกต่อไป และกลายเป็นเพียงลูกแกะตัวน้อยที่อบอุ่นไร้ซึ่งพิษภัยแทน คิดมาถึงตรงนี้ใบหน้าของหลี่หลิงหว่านก็อดปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาไม่ได้
“พี่ชาย” น้ำเสียงของนางฟังดูอ่อนหวานปราศจากความร้ายกาจ “นี่เป็นความจริงใจที่น้องสาวมีต่อพี่ชาย พี่ชายโปรดรับความจริงใจนี้ของข้าไปเถอะนะเจ้าคะ”
หากเจ้ายังไม่รับไว้อีก เช่นนั้นข้าก็จะร้องไห้ใส่เจ้าแล้วนะ!
หลี่เหวยหยวนไม่ได้เคลื่อนไหว เขาเพียงมองไปยังหลี่หลิงหว่าน เอ่ยถามนางอย่างสงบนิ่งยิ่ง “เหตุใดเจ้าถึงมาทำดีกับข้าเช่นนี้”
“เป็นเพราะข้ารู้สึกละอายใจต่อพี่ชายเจ้าค่ะ” หลี่หลิงหว่านตอบกลับอย่างจริงใจ ประโยคนี้นางเอ่ยออกมาจากใจจริง เดิมทีนางก็คือคนที่ก่อให้เกิดความทุกข์ยากตลอดชีวิตของหลี่เหวยหยวน นางในตอนนั้นไม่ควรไร้สติจนคิดสร้างตัวละครเช่นนี้ออกมาแต่แรกอยู่แล้ว
หลี่เหวยหยวนมองหลี่หลิงหว่านนิ่งๆ ราวกับจะค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่หลังประโยคนั้นบนใบหน้าของนาง
หลี่หลิงหว่านสบสายตาของเขาอย่างปราศจากความเกรงกลัว ยินดีที่จะให้เขามองอย่างใจกว้าง
หลี่เหวยหยวนมองนางอยู่สักพักก่อนจะเบือนหน้าหลบ หันไปเอ่ยสั่งจิ่นเหยียนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาเสียงเบา “รับห่อผ้าที่อยู่ในมือของคุณหนูสามมา”
จิ่นเหยียนรับคำอย่างนอบน้อมแล้วเดินขึ้นหน้ามา ยื่นสองมือออกไปรับห่อผ้าที่อยู่ในมือของหลี่หลิงหว่าน
ในใจหลี่หลิงหว่านยินดียิ่ง แววตาปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
แม้หลี่เหวยหยวนจะเบือนหน้ามองไปทางต้นไผ่ซึ่งเต็มไปด้วยหิมะที่ด้านข้างประตู แต่ก็ยังเปิดปากเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “แม้ข้าจะรับชุดกับรองเท้าของเจ้ามา แต่เจ้าไม่ต้องหวังหรอกนะว่าในใจข้าจะรู้สึกซาบซึ้งใจต่อเจ้า ก็เป็นเช่นที่เจ้าพูดมา ข้าแค่ไม่อยากตายเท่านั้น”
เจ้าเด็กเอาใจยากคนนี้นี่!
ทว่าฉากหน้าหลี่หลิงหว่านยังคงผงกศีรษะ ยิ้มรับอย่างสดใสพลางเอ่ย “พี่ชาย ข้าเข้าใจดีเจ้าค่ะ”
หลี่เหวยหยวนยังคงไม่มองหลี่หลิงหว่าน แต่ดีหน่อยที่เขายังคงผงกศีรษะรับด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ในเมื่อส่งของเรียบร้อย ยามนี้เจ้าก็น่าจะกลับไปได้แล้วกระมัง”
แม้น้ำเสียงของเขาจะเรียบเฉย ทั้งยังมีเจตนาที่จะไล่แขก แต่หลี่หลิงหว่านไม่ถือสาแม้แต่นิดเดียว นางลอบชูสองนิ้วให้ตนเองในใจ เยี่ยม! ข้าเอาชนะในศึกแรกได้แล้ว
หลี่หลิงหว่านเอ่ยลาหลี่เหวยหยวนอย่างมีความสุข ก่อนจะให้เสี่ยวซานประคองมือแล้วหมุนตัวเดินกลับไป
หลังเดินออกมาไม่กี่ก้าวนางก็คิดว่าในใจหลี่เหวยหยวนยามนี้คงจะมีอาการหวั่นไหวต่อนางบ้างแล้ว จากนี้นางก็ควรจะจู่โจมเขาหนักกว่านี้ใช่หรือไม่ ให้เขารู้สึกผิดต่อนางบ้างไม่มากก็น้อย ถ้าเกิดว่าในใจหลี่เหวยหยวนเกิดความรู้สึกผิดต่อนางแล้ว ขอแค่สักเล็กน้อยก็ยังดี อย่างน้อยในภายภาคหน้ายามที่นางจู่โจมเขาอีกครั้งก็น่าจะง่ายขึ้นมาก…
ชั่วขณะต่อมา ยามที่หลี่เหวยหยวนกำลังหันหลังกลับเข้าไปในเรือนก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเสี่ยวซานดังขึ้น “คุณหนู ท่านเป็นอะไรไป อย่าทำให้บ่าวตกใจเช่นนี้สิเจ้าคะ!”
หลี่เหวยหยวนได้ยินแล้วก็หันร่างกลับมา เขาเห็นร่างเล็กๆ นั้นล้มลงบนพื้นหิมะไปแล้ว
หิมะโปรยปรายลงมาอย่างหนัก รอบด้านล้วนเป็นสีขาวโพลนไร้ขอบเขต มีเพียงเงาร่างนั้นที่เป็นแต้มสีแดงชัดเจน ทว่าสีแดงที่สดถึงเพียงนั้นยามอยู่บนร่างของนางแล้วกลับดูเหมาะสมยิ่งนัก องคาพยพทั้งห้าก็ช่างงดงามจนชวนให้ผู้คนลืมไม่ลง
หลี่เหวยหยวนสาวเท้าเดินเข้าไปหา ทว่าในสมองกลับปรากฏภาพในอดีตที่หลี่หลิงหว่านเคยกระทำต่อเขาขึ้นมาอีกครั้ง
มือหนึ่งเท้าสะเอว สองคิ้วเลิกสูง ปลายคางเชิดขึ้น น้ำเสียงทั้งดูถูกและไม่แยแสผสมกัน คอยเรียกเขาว่าเจ้าขยะ ทั้งลอบโยนก้อนหินเล็กๆ ใส่เขาจากทางด้านหลัง ซ้ำยังเคยฆ่าแมวที่เขาเลี้ยงเมื่อตอนเด็กตายไปตัวหนึ่ง
ตอนนั้นเขายังเด็ก ถูกตู้ซื่อทุบตีอย่างอำมหิต และถูกคนในจวนสกุลหลี่ดูถูกเหยียดหยาม ในใจโศกเศร้ายากจะทานทน เวลาดึกดื่นก็ข่มตาหลับไม่ลง มีเพียงยามที่กอดลูกแมวตัวนั้นไว้เขาถึงจะสัมผัสได้ว่าตนเองยังเป็นคนที่มีชีวิตอยู่
ทั้งที่มีลูกแมวไว้เป็นที่พึ่งทางใจแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายไม่รู้ว่าหลี่หลิงหว่าน หลี่เหวยหลิง กับหลี่หลิงเจียวไปเห็นลูกแมวของเขาได้อย่างไร ทั้งสามคนนั้นสั่งให้พวกบ่าวชายกับสาวใช้ฆ่าลูกแมวตัวนั้นต่อหน้าเขา นึกถึงตรงนี้มือของหลี่เหวยหยวนก็กำเป็นหมัดแน่น ปลายเล็บจิกลึกเข้าไปในเนื้อ
เสี่ยวซานยังคงร้องไห้พร้อมกับเขย่าร่างของหลี่หลิงหว่านที่อยู่บนพื้นหิมะ เอ่ยเรียกคุณหนูแล้วก็หันกลับมาทางหลี่เหวยหยวนพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “คุณชายใหญ่ คุณหนูหมดสติไปแล้วเจ้าค่ะ ท่านรีบมาดูคุณหนูเร็วเข้า”
จิ่นเหยียนที่อยู่ด้านหลังหลี่เหวยหยวนก็เดินขึ้นหน้ามาอีกก้าวหนึ่ง ส่งเสียงเรียกคุณชายคำหนึ่งด้วยความลังเล เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็อยากให้คุณชายของตนเข้าไปดูคนด้วยเช่นกัน
หางตาของหลี่เหวยหยวนเหลือบไปเห็นห่อผ้าที่ถืออยู่ในมือจิ่นเหยียน ในใจจึงคิดว่า ช่างเถอะ ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนสำหรับชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อที่วันนี้ได้รับมาจากนางแล้วกัน
เขาไม่ลังเลอีก สาวเท้าเร็วตรงเข้าไปหาหลี่หลิงหว่านกับเสี่ยวซาน
หลี่หลิงหว่านทำได้เพียงสบถด่าชุดใหญ่ในใจอย่างเจ็บปวด
พอเห็นนางหมดสติไปแล้ว ชั่วขณะต่อมาหลี่เหวยหยวนก็ควรจะรีบอุ้มนางเข้าไปในห้องของเขา จากนั้นก่อไฟให้นางผิง แล้วรินน้ำอุ่นมาให้นางดื่มสิ ขณะเดียวกันเขาก็ต้องรู้สึกผิดอยู่ในใจว่าที่นางหมดสติไปล้วนเป็นเพราะนางมาส่งอาภรณ์กับรองเท้าให้เขาในวันที่หิมะตกหนัก หลี่หลิงหว่านคิดแทนไปล่วงหน้า
ทว่าพอหลี่เหวยหยวนเข้ามาใกล้แล้วก็ใช้เล็บจิกไปที่จุดเหรินจง ของนางทันที ซ้ำยังออกแรงมากด้วย!
หลี่หลิงหว่านพยายามอดทนให้ถึงที่สุด นางยังอยากแกล้งหมดสติต่อไป ไม่เชื่อหรอกว่าหลี่เหวยหยวนจะไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดหลี่หลิงหว่านก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของหลี่เหวยหยวนดังมาจากเหนือศีรษะนางอย่างชัดเจน “ในเมื่อฟื้นแล้วเจ้าก็ลุกขึ้นเองเถอะ”
ได้ยินเช่นนี้ความคิดแรกในหัวของหลี่หลิงหว่านก็คือ หา? หมายความว่าอะไรกัน หลี่เหวยหยวนมองเรื่องที่ข้าแกล้งหมดสติออกแล้วหรือ
ไม่ใช่เพราะหลี่เหวยหยวนมองออกว่านางแกล้งทำ แต่เมื่อครู่นี้ตอนที่เขายื่นมือออกไปจิกที่จุดเหรินจงของหลี่หลิงหว่าน เห็นนางฝืนทนความเจ็บไม่ไหวจนคิ้วข้างขวาขยับเล็กน้อย เขาเห็นแล้วจึงเข้าใจว่าหลี่หลิงหว่านได้สติกลับมาแล้ว
หลี่หลิงหว่านคิดไปว่า ช่างน่าอับอายยิ่งนัก ข้าถูกคนมองออกง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ทว่าใบหน้านางยังคงแกล้งทำเหมือนเมื่อครู่หมดสติไปจริงๆ แต่เป็นเพราะถูกหลี่เหวยหยวนจิกจุดเหรินจงอย่างโหดเหี้ยมไปทีหนึ่ง นางถึงได้สติกลับมาเช่นนี้
หลี่หลิงหว่านค่อยๆ ลืมตาขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความสับสน นางเอ่ยถามเสี่ยวซานที่ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ด้านข้าง “เสี่ยวซาน เกิดอะไรขึ้นกับข้าหรือ”
เสี่ยวซานเห็นคุณหนูของตนเองฟื้นแล้วก็ดีใจจนหลั่งน้ำตาอีกหน “คุณหนู เมื่อครู่ท่านหมดสติไป เป็นคุณชายใหญ่ที่ช่วยท่านไว้เจ้าค่ะ”
หลี่หลิงหว่านรู้สึกโมโห ช่วยอะไรกันเล่า! มีใครเป็นเหมือนเขาบ้างหรือ มาถึงก็ใช้วิธีโหดร้ายเช่นนี้เลย จุดเหรินจงของข้าแทบจะถูกเขาจิกจนหลุดติดมือเขาไปด้วยอยู่แล้ว
ทว่าเบื้องหน้านางยังคงแสร้งแสดงสีหน้าซาบซึ้งใจออกมา แล้วหันหน้าไปทางหลี่เหวยหยวน “พี่ชาย เป็นพี่ที่ช่วยข้าหรือ ขอบคุณนะเจ้าคะ”
หลี่เหวยหยวนลุกขึ้นยืน เขาไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าหลี่หลิงหว่านเพียงแค่แกล้งหมดสติ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าในท้องเด็กหญิงที่อยู่ตรงหน้านี้จะเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมมากมาย เดิมทีร่างกายของนางก็บอบบางอยู่แล้ว วันที่อากาศหนาวเช่นนี้นางกลับมาโดนลมเย็นนานขนาดนั้น นางหมดสติไปเช่นนี้ก็นับเป็นเรื่องปกติยิ่ง
หลี่เหวยหยวนไม่ได้เอ่ยอะไรอื่นอีก เพียงพูดว่า “ร่างกายไม่สบายก็รีบกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”
หลี่หลิงหว่านตั้งมั่นเอาไว้แล้วว่าจะเล่นลูกไม้ ดังนั้นนางจึงนั่งอยู่บนพื้นหิมะต่อไป เงยใบหน้าเล็กขึ้นมองหลี่เหวยหยวนพลางใช้น้ำเสียงออดอ้อนเอ่ย “พี่ชาย ขาข้าชาจนลุกไม่ขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”
เจ้าก็รีบยื่นมือออกมาดึงข้าลุกขึ้นเร็วๆ เข้าสิ
หลี่เหวยหยวนไม่แม้แต่จะยื่นมือออกมา สายตาเย็นชาของเขามองตรงมาที่นางโดยไม่เคลื่อนไหว
เพียงพริบตาหลี่หลิงหว่านพลันรู้สึกว่าหิมะที่ตกลงบนใบหน้าตนเองไม่เย็นเยือกอีกต่อไป ลมที่พัดมาโดนใบหน้าก็ไม่หนาวอีกแล้ว นั่นเป็นเพราะสายตาของเขาเหน็บหนาวเสียยิ่งกว่าหิมะและลมหนาวนี้เสียอีก
ชั่วขณะนั้นหลี่หลิงหว่านพลันนึกเสียใจภายหลังยิ่ง รู้สึกว่าตนเองใจเร็วเกินไปจริงๆ หลี่เหวยหยวนเพิ่งแสดงท่าทีไม่รังเกียจนางออกมาเล็กน้อยเท่านั้น เหตุใดนางถึงต้องรีบหาเรื่องตายเช่นนี้ด้วย
หลี่หลิงหว่านไม่กล้าทำตัวเช่นนั้นอีกแล้ว นางหันกลับไปมองเสี่ยวซานแล้วเอ่ยเรียกอีกฝ่ายแทน “เสี่ยวซาน รีบพยุงข้าลุกขึ้นเร็วเข้า”
เสี่ยวซานรับคำพลางรีบร้อนเข้ามาประคองนางลุกขึ้นยืน ทั้งช่วยปัดเกล็ดหิมะบนร่างนางออก
หลี่หลิงหว่านปล่อยให้เสี่ยวซานปัดหิมะบนเนื้อตัวไป ใบหน้านางแสดงรอยยิ้มใสซื่อไร้เดียงสาซึ่งพยายามทำให้หลี่เหวยหยวนเห็น น้ำเสียงก็เอ่ยอย่างแผ่วเบา “พี่ชาย ข้ากลับก่อนนะเจ้าคะ”
แม้หลี่เหวยหยวนจะไม่พูดอะไร แต่ในใจเขากลับคิดว่า เมื่อครู่นางเพิ่งจะหมดสติ เหตุใดตอนนี้นางกลับดูไม่เป็นอะไรเลยสักนิด หรือเมื่อครู่นี้นางเพียงแค่แกล้งหมดสติ เหตุใดถึงต้องแกล้งหมดสติด้วยเล่า จริงๆ แล้วในใจนางคิดอะไรอยู่ นางอยากจะทำอะไรกันแน่
หลี่เหวยหยวนเพียงมองส่งหลี่หลิงหว่านที่ค่อยๆ เดินหายไปจากสายตาของเขาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
ท่ามกลางหิมะสีขาวโพลนมีเพียงสีแดงประดุจเปลวเพลิงอยู่ตรงจุดนั้นเท่านั้น ไม่ว่าใครก็เห็นได้อย่างชัดเจน
รอจนหลี่หลิงหว่านกับเสี่ยวซานเดินจากไปไกลแล้ว หลี่เหวยหยวนจึงหมุนตัวกลับเข้าไปในเรือนโดยไม่พูดอะไรสักคำ จิ่นเหยียนที่อยู่ด้านหลังเขาเองก็รีบติดตามไป
บทที่เจ็ด
ทันทีที่กลับมาถึงห้องของตนเองแล้ว หลี่หลิงหว่านก็สั่งให้เสี่ยวอวี้ย้ายเก้าอี้กลมมาวางไว้ข้างกระถางไฟ นางยื่นมือและเท้าที่สั่นเทาจนใกล้จะแข็งไปอังอยู่ข้างกระถางไฟ ขณะเดียวกันก็เรียกให้เสี่ยวซานมาอังไฟด้วย
แม้เสี่ยวอวี้กับเสี่ยวซานจะรู้สึกว่าคุณหนูของตนนับแต่หกล้มหัวกระแทกก้อนหินจะเปลี่ยนเป็นใจดีขึ้นไม่น้อย ทว่าทั้งสองคนก็ยังไม่กล้าทำตัวตามสบายอยู่ดี
เสี่ยวซานจึงไม่กล้านั่ง เอาแต่ยืนอยู่ด้านข้างกระถางไฟ ยื่นสองมือไปทางไอร้อน
เวลาพักใหญ่ผ่านไปถึงได้ยินเสียงถอนหายใจด้วยความสบายของหลี่หลิงหว่านดังขึ้นมา
ที่ข้างนอกนั่นสามารถแช่แข็งคนให้ตายได้จริงๆ
เสี่ยวอวี้ประคองถาดซึ่งวางน้ำอุ่นถ้วยหนึ่งเข้ามา หลี่หลิงหว่านหยิบถ้วยมาวางไว้บนมือ ยกขึ้นจ่อที่ริมฝีปากแล้วค่อยๆ ดื่มลงไป
ยามที่น้ำอุ่นไหลผ่านลำคอลงไปถึงท้อง หลี่หลิงหว่านพลันรู้สึกว่าอวัยวะภายในท้องซึ่งถูกแช่แข็งอยู่นานพากันอุ่นร้อนขึ้นมาด้วย ภายในและภายนอกร่างกายล้วนอบอุ่นไปหมด จวบจนตอนนี้นางถึงค่อยรู้สึกว่าตนเองกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ในใจยังคิดว่า ลำบากหลี่เหวยหยวนแล้วจริงๆ อากาศหนาวเช่นนี้กลับต้องสวมใส่เพียงอาภรณ์บางๆ กับรองเท้าเปียกชื้น แต่ก่อนนั้นไม่เคยได้ยินเขาพูดว่าหนาวออกมาสักครั้ง แผ่นหลังก็ยังตั้งตรงอยู่ได้ ก่อนที่ในใจนางจะคิดอย่างอิ่มเอมว่า ยามนี้เขารับชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อที่ข้าส่งไปแล้ว แม้ของสองสิ่งนี้ไม่อาจเทียบกับสิ่งของสิ้นเปลืองอย่างพวกของว่างได้ ทว่าของว่างเพียงไม่นานก็หมดไป แต่นี่เป็นสิ่งที่ต้องสวมใส่จำต้องใช้เป็นเวลานาน ทุกครั้งที่เขาเห็นชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อที่ตนเองสวมใส่แล้ว ในใจย่อมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่น้องสามมอบให้มา และทุกครั้งที่เขาคิดเช่นนี้ ความแค้นที่เคยมีต่อข้าย่อมลดน้อยลงทุกครั้งด้วยใช่หรือไม่
หลี่หลิงหว่านรู้สึกว่าตนเองเฉลียวฉลาดยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่านางจะคิดเรื่องมอบชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อให้หลี่เหวยหยวนออกมาได้ แม้วันนี้นางจะยืนรับลมหนาวที่ด้านหน้าประตูเรือนของหลี่เหวยหยวนอยู่นานจนร่างกายหนาวแข็ง แต่อย่างน้อยนางก็ส่งของออกไปสำเร็จแล้ว และจากที่นางเห็นนั้น ยามนี้ท่าทีที่หลี่เหวยหยวนปฏิบัติต่อนางมีเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้วแน่นอน มิเช่นนั้นตอนที่เห็นนางหมดสติเขาคงไม่เดินเข้ามาหานางหรอก
หลี่หลิงหว่านดื่มน้ำอุ่นหมดถ้วยด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะถามเสี่ยวอวี้ว่าได้นำอาหารกลางวันมาให้แล้วหรือไม่ ยามนี้นางหิวแล้ว
เสี่ยวอวี้ตอบ “เมื่อครู่บ่าวนำอาหารกลางวันของคุณหนูมาจากห้องครัวแล้วเจ้าค่ะ แต่กลัวอาหารจะเย็น บ่าวจึงวางอุ่นอยู่ในน้ำร้อนตลอดเวลาเจ้าค่ะ”
กล่าวจบก็เดินไปหยิบกล่องอาหารที่ทำจากไม้ไผ่สลักลายเคลือบเงามาเปิดฝาที่อยู่ด้านบนออก แล้วนำอาหารที่อยู่ภายในกล่องมาวางลงบนโต๊ะเล็กซึ่งอยู่บนตั่งไม้ริมหน้าต่างทีละอย่าง
ยามที่หลี่หลิงหว่านหยัดกายลุกขึ้นยืน นางก็เห็นว่าในชามลายครามมีหัวสิงโตราดน้ำแดง บรรจุอยู่สองชิ้น ส่วนชามลายครามอีกสองชามที่เป็นแบบเดียวกันนั้นชามหนึ่งเป็นเต้าหู้ฝูหรง อีกชามก็เป็นผัดฟองเต้าหู้สด และยังมีขนมพันชั้น อีกจานหนึ่ง
สกุลหลี่ไม่นับเป็นสกุลคหบดีชั้นสูง แม้ในอดีตจะเคยรุ่งเรืองมาก่อน แต่ภายหลังก็ตกต่ำลง ยามนี้นายท่านผู้เฒ่าเองก็เสียชีวิตไปแล้ว บรรดาบุตรชายทั้งสามมีถึงสองคนที่ยังอยู่ในเรือนคอยใช้สมบัติเก่า อีกคนก็ทำงานอยู่ต่างเมือง คิดดูแล้วสมบัติเก่าเหล่านั้นต้องเลี้ยงดูคนถึงสามครอบครัวทีเดียว ของกินของใช้ในยามปกติจึงต้องประหยัดอยู่
อาหารกลางวันในยามปกติของบรรดาคุณหนูคุณชายจะเป็นกับข้าวสามอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง ทว่าในฤดูหนาวเช่นนี้ใครยังจะดื่มน้ำแกงอยู่อีก ดังนั้นจึงตัดส่วนของน้ำแกงออกไปแล้วเปลี่ยนเป็นของว่างแทน ยิ่งอยู่ในช่วงฤดูหนาวที่เวลากลางวันสั้นกลางคืนยาว เผื่อเหล่าคุณหนูคุณชายจะรู้สึกหิวในยามค่ำคืน จึงมีการจัดเตรียมของว่างไว้ล่วงหน้าด้วย
ทว่าหลี่หลิงหว่านยังคงรู้สึกพอใจกับอาหารพวกนี้อยู่มาก เพราะตอนที่นางเช่าห้องอยู่ข้างนอกตามลำพังเพื่อเขียนนิยายทั้งวันทั้งคืนนั้น ยามหิวก็แค่สั่งอาหารมาส่ง บางครั้งเขียนนิยายจนติดพันมากๆ นางถึงกับลืมกินข้าวเลยทีเดียว แค่ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินสักห่อหนึ่งก็นับเป็นอาหารหนึ่งมื้อแล้ว
หลี่หลิงหว่านกินกับข้าวสามอย่างกับข้าวเปล่าอีกหนึ่งชามที่อยู่ตรงหน้าจนหมดเกลี้ยง เหลือขนมพันชั้นเอาไว้ เผื่อหิวในตอนบ่ายหรือตอนเย็นก็ค่อยหยิบมากิน
หลังกินอิ่มนางก็นั่งผิงไฟต่ออีกสักพัก ก่อนจะเริ่มรู้สึกง่วงงุนขึ้นมา สุดท้ายจึงตัดสินใจปลดอาภรณ์ชั้นนอกแล้วขึ้นไปนอนบนเตียงเสียเลย
หลี่หลิงหว่านนอนหลับไม่สนิทนัก เนื่องจากฝันถึงเรื่องราวที่ไม่ปะติดปะต่อมากมาย หลังตื่นขึ้นมานางก็รู้สึกหนักอึ้งไปทั้งร่าง ทั้งใบหน้าตนเองก็ร้อนผ่าว…เกรงว่านางจะเป็นไข้เสียแล้ว
อย่างไรเจ้าของร่างเดิมก็ถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม ออกไปวิ่งเล่นข้างนอกในวันที่อากาศหนาวเหน็บถึงเพียงนี้รอบหนึ่ง ถูกลมเย็นเป็นเวลานานขนาดนั้น หากจะจับไข้ขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
หากเป็นเมื่อชาติก่อนสมัยที่หลี่หลิงหว่านอยู่ข้างนอกตามลำพังนั้น นางนับว่าเป็นคนแข็งแกร่งคนหนึ่งเลยทีเดียว อาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้นางไม่เก็บมาใส่ใจเสียด้วยซ้ำ
หลี่หลิงหว่านเรียกเสี่ยวซานพร้อมเอ่ยสั่ง “เจ้าไปบอกที่ห้องครัวหน่อย ให้พวกนางต้มน้ำขิงชามหนึ่งมาให้ข้าดื่ม”
เสี่ยวซานเห็นใบหน้านางมีสีแดงระเรื่อผิดปกติ ในใจก็ตื่นตระหนกจึงรีบเอ่ยถาม “คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ!”
“ข้ามีไข้นิดหน่อย แต่ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก ดื่มน้ำขิงสักชามให้ขับเหงื่อออกมาก็ไม่เป็นไรแล้ว” หลี่หลิงหว่านหลับตาลงอีกครั้ง บนใบหน้ามีอาการเหนื่อยล้าอยู่บ้าง “เจ้าวิ่งไปห้องครัวสักรอบเถอะ ก่อนออกไปก็เรียกเสี่ยวอวี้เข้ามาดูแลข้าด้วย”
เมื่อเย็นวานฮว่าผิงมาขอลาหยุด บอกว่าร่างกายมารดาของนางไม่ค่อยจะดี อยากกลับไปอยู่ข้างกายมารดาสักสองวัน หลี่หลิงหว่านอนุญาตแล้ว ยามนี้ในเรือนอี๋เหอจึงมีสาวใช้ที่คอยรับใช้ข้างกายหลี่หลิงหว่านเพียงแค่เสี่ยวซานกับเสี่ยวอวี้สองคนเท่านั้น
เสี่ยวซานรีบรับคำแล้วออกไปเรียกเสี่ยวอวี้เข้ามา ส่วนตนก็หยิบร่มกระดาษเคลือบน้ำมันกางเดินออกจากเรือน มุ่งหน้าไปทางห้องครัวอย่างทุลักทุเล
เสี่ยวซานมาถึงห้องครัวแล้วก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันอย่างรุนแรงระหว่างจิ่นเหยียนกับป้าจางคนของห้องครัวเข้าพอดี
เสี่ยวซานเก็บร่มกระดาษเคลือบน้ำมันในมือวางพิงไว้ข้างประตู จากนั้นค่อยๆ ย่องเดินแล้วยื่นหน้าเข้าไปสำรวจความเคลื่อนไหวภายใน พร้อมกับเอียงหูตั้งใจฟังว่าจิ่นเหยียนกับป้าจางกำลังทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร
เสี่ยวซานเห็นจิ่นเหยียนกำลังเคาะนิ้วไปบนถาดที่วางอยู่บนเตา พร้อมกับซักถามป้าจางด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่โกรธอย่างมาก “ส่วนแบ่งอาหารของคุณหนูและคุณชายในจวนเราเป็นเช่นนี้หรือไร ผักใบเขียวชามหนึ่ง? เต้าหู้ขาวชามหนึ่ง? นี่ใช่อาหารเย็นของคุณชายอย่างนั้นหรือ ป้าจาง ส่วนแบ่งอาหารของคุณชาย ป้าลอบเก็บเอาไว้เองใช่หรือไม่ เอาไปให้หลานชายของป้ากินหมดแล้วหรือ!”
ป้าจางอายุสี่สิบกว่าปี รูปร่างอ้วนเตี้ย หน้าตาเหมือนหมั่นโถวสีขาวที่เพิ่งออกจากหม้อนึ่งซึ่งทั้งกลมทั้งใหญ่อย่างไรอย่างนั้น พอฟังจิ่นเหยียนแล้วนางก็โยนตะหลิวในมือไปบนเตา สองมือเท้าสะเอว เลิกคิ้วที่ทั้งหนาทั้งเข้มขึ้นพลางสบถด่า “เจ้าบ่าวรับใช้สุนัขชั้นต่ำ! คำพูดชั่วๆ ที่เจ้าพูดออกจากปากหมายความว่าอะไรกัน เต้าหู้กับผักใบเขียวดีๆ เช่นนี้ เหตุใดถึงไม่ดีไปได้เล่า คุณชายท่านนั้นของเจ้าคู่ควรกับเต้าหู้และผักใบเขียวที่ดีขนาดนี้แล้วหรือ ยังมาพูดว่าข้าลอบเก็บอาหารส่วนของคุณชายเจ้าอีก เจ้านี่ช่างไม่รู้จักส่องกระจกดูเงาตนเองเลย แล้วก็ดูเงาคุณชายของเจ้าด้วย คู่ควรให้ข้าลอบเก็บอาหารส่วนของเขาหรือไร!”
จิ่นเหยียนได้ยินแล้วก็เกิดโทสะ เขากระทืบเท้าพลางชี้นิ้วไปยังป้าจาง เส้นเลือดเขียวบนหน้าผากปูดออกมาให้เห็น “ป้าจาง อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ คนบ้านเจ้าคนนั้นที่ดูแลจับจ่ายสิ่งของให้จวนเราแอบลิดรอนถ่านที่คุณชายของข้าควรได้ในฤดูหนาวนี้ไปไม่น้อย ถ่านที่เขาเอามาให้พวกเรามีปริมาณแค่หนึ่งส่วนจากสิบส่วนของคุณหนูคุณชายท่านอื่น จะไปพอใช้ทำอะไรกัน วันที่อากาศหนาวเช่นนี้พวกเจ้าตั้งใจจะแช่แข็งให้คุณชายข้าต้องหนาวตายหรือไร แม้คุณชายข้าจะยอมรับง่ายๆ แต่ข้าไม่ได้ยอมง่ายดายเช่นนั้น ถ้าทำให้ข้าโมโห พวกเราก็ไปถกเรื่องพวกนี้ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าให้รู้เรื่องกันไปเถิด”
“เช่นนั้นหรือ” ป้าจางเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นสูง แล้วเอ่ยอย่างเหี้ยมโหด “ก็แค่มีสกุลหลี่นำหน้าชื่อเท่านั้น คุณชายเจ้ายังหลงคิดว่าตนเองเป็นเจ้านายในจวนสกุลหลี่นี้จริงๆ หรือ เพ้ย! ทั้งจวนใหญ่โตนี้มีผู้ใดสนเขากัน มีผู้ใดเห็นเขาเป็นนายอยู่อีกหรือ เขามีสิทธิ์ใดมาเทียบกับเหล่าคุณหนูคุณชายคนอื่นของจวน อย่าได้ลืมไปเล่า ท่านเจ้าอาวาสเคยบอกว่าเขามีชะตาพิฆาตครอบครัว พิฆาตแผ่นดินมานานแล้ว อย่างอื่นไม่พูดถึง แค่ตอนที่เขาเกิดมาก็ทำให้นายท่านผู้เฒ่าต้องเสียชีวิตไป คำพูดนี้ยังไม่ตรงอีกหรือ ในใจฮูหยินผู้เฒ่านั้นยิ่งเกลียดชังเขานัก ไม่ได้ใช้ไม้กวาดเขี่ยเขาออกไปก็นับว่าเมตตาเท่าไรแล้ว นี่เขายังหน้าด้านมาเรียกตนเองเป็นเจ้านายของจวนเราอีกหรือ!”
ป้าจางเอ่ยคำพูดประโยคนี้จนบรรดาคนครัวคนอื่นๆ หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง
จิ่นเหยียนอายุยังน้อย ฝีปากจะร้ายกาจเทียบกับป้าจางได้อย่างไร ยามนั้นเขาโมโหจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ชี้นิ้วไปยังป้าจาง พูดแค่ว่า “เจ้า…พวกเจ้า ข้าจะกลับไปบอกคุณชายข้า!”
“ไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าจะไปบอกคุณชายเจ้าอย่างไรเลย ต่อให้เจ้าไปบอกฮูหยินผู้เฒ่าจริง ข้าเองก็ไม่กลัว” สีหน้าป้าจางยังคงเคร่งขรึมขณะเอ่ย “สรุปแล้วผักใบเขียวกับเต้าหู้พวกนี้เจ้ายังต้องการอยู่หรือไม่ หากไม่ต้องการแล้วข้าจะได้เททิ้งให้หมูกิน หมูมันกินแล้วยังสามารถเพิ่มเนื้อหนังได้ แต่คุณชายเจ้ากินแล้วจะไปทำอะไรได้เล่า มีแต่เปลืองอาหารไปโดยเปล่าประโยชน์”
คำพูดประโยคนี้ทำให้ทุกคนในห้องครัวหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง ป้าจางเองก็หัวเราะ แต่พอหันหน้าไปก็ได้เห็นเสี่ยวซานยืนอยู่ตรงประตู
ในบรรดาลูกหลานทั้งหมด หลี่หลิงหว่านถือว่าได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่า ดังนั้นแม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็กๆ ข้างกายนางคนหนึ่ง แต่ป้าจางยังคงเผยรอยยิ้มกว้างขึ้นมาบนใบหน้า รีบเดินขึ้นหน้าไปถาม “เสี่ยวซานมาแล้วหรือ มาเอาอาหารเย็นของคุณหนูสามใช่หรือไม่ ข้าเตรียมเอาไว้นานแล้ว” เอ่ยจบก็หยิบกล่องอาหารกล่องหนึ่งยื่นส่งให้ด้วยสองมือ
เสี่ยวซานรับกล่องอาหารมาแล้วก็มองไปยังจิ่นเหยียนที่ยืนโมโหจนใบหน้าซีดขาวอยู่ด้านข้าง จากนั้นจึงหันกลับมาเอ่ยกับป้าจางอีกครั้ง “คุณหนูของพวกเราเป็นไข้อยู่ รบกวนป้าจางช่วยต้มน้ำขิงร้อนๆ มาชามหนึ่งให้ข้านำกลับไปให้คุณหนูดื่มด้วย”
ป้าจางได้ยินแล้วก็รีบร้อนเอ่ยถามว่าคุณหนูสามอาการร้ายแรงหรือไม่ ต้องการแจ้งบ่าวที่ประตูให้ไปเชิญท่านหมอมาดูอาการหรือไม่ ก่อนที่นางจะล้างมือ เลือกขิงแง่งใหญ่ๆ ออกมาด้วยตนเองแล้วล้างให้สะอาด จากนั้นจึงหั่นเป็นชิ้นใส่ลงในหม้อต้มจนได้น้ำขิงออกมา
เสี่ยวซานยืนรออยู่ที่ด้านข้าง เมื่อหันหน้าไปอีกครั้งก็เห็นจิ่นเหยียนนำผักใบเขียวกับเต้าหู้ที่วางอยู่บนเตานั้นใส่ลงไปในกล่องอาหาร ก่อนที่เขาจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างมีโทสะ
รอจนจิ่นเหยียนกลับถึงเรือนแล้ว เขาก็เห็นหลี่เหวยหยวนยังคงนั่งอ่านตำราอยู่หลังโต๊ะหนังสือ ท่าทางไม่แตกต่างจากก่อนหน้าที่เขาจะออกไปเลย
แม้ภายในห้องจะไม่มีกระถางไฟ ทั้งลมหนาวกับเกล็ดหิมะก็ยังคงพัดเข้ามาทางหน้าต่าง ทว่าบนร่างของหลี่เหวยหยวนในยามนี้สวมชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อที่เมื่อเช้าหลี่หลิงหว่านตั้งใจนำมาให้แล้ว ดังนั้นจึงอบอุ่นกว่าเมื่อก่อนอยู่บ้าง
เป็นเช่นที่หลี่หลิงหว่านคาดเอาไว้จริงๆ เมื่อหลี่เหวยหยวนดูตำราจนเหนื่อย ยามที่เขาพักผ่อนสักเล็กน้อยแล้วสายตามองไปเห็นชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อที่ตนสวมอยู่ เขาก็จะคิดอยู่เสมอว่านี่เป็นสิ่งที่หลี่หลิงหว่านตั้งใจนำมามอบให้เขา
แม้แรกเริ่มเขาจะต่อต้านที่ตนเองคิดเช่นนี้ มิหนำซ้ำในใจยังคงครุ่นคิดว่าที่นางทำเช่นนี้มีจุดประสงค์ใดกันแน่ ทว่าในท้ายที่สุดเขาก็คิดว่านางเป็นแค่เด็กหญิงอายุแปดขวบคนหนึ่งเท่านั้น นางจะไปมีความคิดสลับซับซ้อนได้อย่างไรกัน บางทีนางอาจรู้สึกจริงๆ ก็ได้ว่าเมื่อก่อนได้กระทำเรื่องผิดมากมายกับเขา ดังนั้นนางจึงคิดอยากชดเชยให้ หรือเป็นเพราะครั้งที่แล้วเขาผลักนางที่สวนดอกเหมย ทำให้นางตกใจกลัว นางเลยไม่กล้าหาเรื่องเขาอีก และพยายามมาประจบเขาแทน
เทียบกันแล้วหลี่เหวยหยวนค่อนข้างเห็นด้วยกับความคิดหลังมากกว่า เพราะบางครั้งเขาสัมผัสได้ว่าหลี่หลิงหว่านยังรู้สึกหวาดกลัวเขาอยู่ ทว่าเรื่องนี้เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไร ขอเพียงหลี่หลิงหว่านไม่มาหาเรื่องเขาอีกก็พอแล้ว
หลี่เหวยหยวนพลิกตำราไปอีกหนึ่งหน้า ก่อนจะเห็นจิ่นเหยียนถือกล่องอาหารเดินเข้ามา
ในใจจิ่นเหยียนยังมีโทสะ แก้มพองลมด้วยความโมโห
หลี่เหวยหยวนมองไปที่เขาคราหนึ่ง จากนั้นจึงถามขึ้นว่า “ใครรังแกเจ้ากัน”
ดั่งคำกล่าวที่ว่าตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของ จิ่นเหยียนเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายเขา ในจวนสกุลหลี่แห่งนี้อีกฝ่ายก็ถูกผู้อื่นรังแกไม่ต่างจากเขา จิ่นเหยียนถือเป็นบ่าวผู้ซื่อสัตย์คนหนึ่งที่หาได้ยากยิ่ง ต่อให้ลำบากเพียงใดก็ยังปรนนิบัติเขาอย่างภักดี ไม่เคยคิดจะไปจากเขามาก่อน เพราะเหตุนี้หลี่เหวยหยวนจึงปฏิบัติต่อจิ่นเหยียนไม่เลวนัก
ได้ยินหลี่เหวยหยวนถามขึ้นมา จิ่นเหยียนจึงเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดที่ห้องครัวทั้งหมดให้ฟัง “…สายตาสุนัขต่ำๆ ของป้าจางผู้นั้นช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก กล้าดูถูกท่านถึงเพียงนี้ ลับหลังยังลิดรอนอาหารและข้าวของเครื่องใช้ประจำวันที่ท่านควรได้รับอีกด้วย บ่าวกล้ำกลืนโทสะนี้ไม่ลงจริงๆ อยากจะไปโต้เถียงกับนางให้รู้เรื่องรู้ราวกันไปเลยขอรับ”
“ในเมื่อเจ้ารู้ทั้งรู้ว่านางเกิดมามีสายตาสุนัขเช่นนั้น ยังจะไปมีโทสะกับนางอีกทำไมเล่า มิใช่เป็นการดึงฐานะของตนเองให้ต่ำลงหรอกหรือ” หลี่เหวยหยวนวางตำราในมือบนโต๊ะหนังสือ แล้วเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้หลังโต๊ะอาหาร หยิบกับข้าวออกจากกล่องอาหารด้วยตนเอง ก่อนจะยกตะเกียบขึ้นมาเริ่มลงมือกินอาหาร
ทั้งผักใบเขียวและเต้าหู้ ปริมาณน้ำมันที่ใส่ลงไปนั้นช่างน้อยนิดนัก ทว่าหลี่เหวยหยวนยังคงกินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเติมกระเพาะให้เต็ม ในยามนี้คนเช่นเขายังจะเรียกร้องสิ่งใดได้อีก มีเพียงต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป รอจนภายภาคหน้าตนเองมีอำนาจขึ้นมาแล้ว เขาจะต้องนำโทษทัณฑ์ต่างๆ ที่ได้รับในวันนี้คืนสนองกลับไปเป็นร้อยเป็นพันเท่าแน่นอน
จิ่นเหยียนเห็นหลี่เหวยหยวนไม่เอ่ยคำพูดตัดพ้อเลยสักคำเดียว เพียงแค่ก้มหน้ากินอาหาร ในใจเขาก็อดรู้สึกแย่ขึ้นมาไม่ได้ จะว่าไปแล้วคุณชายของเขาก็นับว่าเป็นหลานชายคนโต ไม่ว่าจะรังแกกันอย่างไร อย่างน้อยอาหารของคุณชายก็ไม่ควรแย่ไปกว่าบ่าวรับใช้เช่นนี้ พวกป้าจางและคนครัวเหล่านั้น ทุกคนต่างกินดีอยู่ดี อ้วนท้วนสมบูรณ์กันทั้งหมดมิใช่หรือ
เมื่อคิดถึงป้าจาง เขาก็คิดถึงเสี่ยวซานขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณชาย เมื่อครู่ตอนที่บ่าวอยู่ที่ห้องครัวได้เจอเสี่ยวซานสาวใช้ข้างกายคุณหนูสามด้วยขอรับ เสี่ยวซานบอกว่าคุณหนูสามของนางกำลังเป็นไข้ ต้องการให้ป้าจางต้มน้ำขิงร้อนๆ ให้ นางจะได้นำกลับไปให้คุณหนูของนางดื่ม”
จิ่นเหยียนเป็นคนที่จิตใจใสซื่อคนหนึ่ง เมื่อเช้าเขาเห็นหลี่หลิงหว่านนำชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อมามอบให้หลี่เหวยหยวน ในใจยังคงรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง เขาอยู่รับใช้ข้างกายหลี่เหวยหยวนมาหลายปีขนาดนี้ นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เห็นคนมอบสิ่งของให้กับหลี่เหวยหยวน มิหนำซ้ำยังให้ชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อที่ดีขนาดนั้น ดังนั้นเขาจึงใส่ใจเรื่องของหลี่หลิงหว่านมากขึ้นกว่าแต่ก่อน พอได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับนางแล้วก็จะพยายามฟังให้มากขึ้น
ทันทีที่หลี่เหวยหยวนได้ยินประโยคนี้ มือที่กำลังคีบผักใบเขียวก็ชะงักไป ทว่าหลังจากนั้นเขาก็ทำเหมือนไม่ได้ยินประโยคนี้อย่างไรอย่างนั้น ยังคงกินอาหารของเขาต่อไปอย่างช้าๆ
จิ่นเหยียนยืนสีหน้าเป็นกังวลอยู่ด้านข้างพลางเอ่ย “บ่าวคิดว่าจะต้องเป็นเพราะเมื่อเช้าคุณหนูสามฝ่าหิมะมาส่งชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อให้คุณชายแน่ กลับไปถึงได้มีไข้เช่นนี้ วันที่อากาศหนาวแบบนี้ แม้แต่คนผิวหนาอย่างบ่าวออกไปยืนที่ด้านนอกนานหน่อยยังอดตัวสั่นไม่ได้เลยขอรับ กับคุณหนูสามที่บอบบางเพียงนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เมื่อเช้านางยืนอยู่ที่ด้านนอกเรือนของเราเป็นเวลานานนัก จากนั้นยังหมดสติไป…”
คำพูดกล่าวไม่ทันจบ เขาก็ได้ยินเสียงปึงดังอย่างชัดเจนคราหนึ่ง เป็นหลี่เหวยหยวนที่ตบตะเกียบในมือลงกับโต๊ะ
จิ่นเหยียนสะดุ้ง รีบร้อนคุกเข่าลงเอ่ย “บ่าวไม่ได้ตั้งใจตำหนิเรื่องที่เมื่อเช้าคุณชายให้คุณหนูสามยืนอยู่นอกเรือน บ่าวเพียงแค่…เพียงแค่เป็นห่วงที่คุณหนูสามป่วยเท่านั้นขอรับ”
“เจ้าเป็นห่วงนางไปทำไม” น้ำเสียงของหลี่เหวยหยวนฟังแล้วมีความเย็นชาอยู่หลายส่วน “นางเป็นหลานสาวคนโตที่ได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่า ข้างกายมีพวกสาวใช้คอยดูแลอยู่ นางป่วยก็ย่อมมีคนไปเชิญท่านหมอที่ดีที่สุดมารักษานาง เจ้ายังจะเป็นห่วงอะไรอีก”
จิ่นเหยียนนิ่งอึ้งไปไม่พูดอะไร เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าคำพูดนี้ของคุณชายฟังไปแล้วราวกับแฝงความนัยบางอย่างอยู่เล่า
หลี่เหวยหยวนลุกขึ้นยืนอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะหนังสือแล้วอ่านตำราต่อไป
จิ่นเหยียนมองไปยังอาหารที่ยังกินไม่เสร็จเรียบร้อยบนโต๊ะอย่างทำอะไรไม่ถูก
ในชามยังมีข้าวเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่งมิใช่หรือ เดิมทีระยะนี้ก็เป็นช่วงเจริญเติบโตของหลี่เหวยหยวน ยามปกติข้าวเพียงชามเดียวเขายังกินไม่อิ่มเสียด้วยซ้ำ เหตุใดวันนี้จึงเหลือเอาไว้ครึ่งชามเช่นนี้เสียได้
จิ่นเหยียนจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “คุณชาย ท่าน…ท่านไม่กินแล้วหรือขอรับ”
สายตาของหลี่เหวยหยวนจับจ้องไปที่ตำรา ทว่าคำพูดที่เอ่ยออกมาแฝงไปด้วยความเย็นชาอยู่หลายส่วน “ไม่กินแล้ว”
เห็นอีกฝ่ายเกิดโทสะขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุเช่นนี้ จิ่นเหยียนจึงได้แต่หดคอไม่กล้าถามอะไรอีก
หลังจากนั้นเขาก็เก็บอาหารที่เหลือไปอย่างระมัดระวัง ในใจคิดว่า รอให้ดึกกว่านี้ พอคุณชายอ่านตำราจนหิวแล้วก็ค่อยใช้น้ำร้อนอุ่นอาหารเหล่านี้ให้คุณชายกินก็ได้ จะได้ไม่เป็นการสิ้นเปลือง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 มิ.ย. 62
Comments
comments