บทนำ
แปดปีแล้วที่เธอไม่อาจละสายตาไปจากผู้ชายคนนี้!
มาลินีเจอเขาครั้งแรกตอนเรียนอยู่ปีหนึ่งกำลังจะขึ้นปีสอง กัลยา เพื่อนสนิทสุดซี้ซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่ชั้นประถมชวนเธอไปงานจ็อบแฟร์ของมหาวิทยาลัยที่จัดขึ้นในหอประชุมใหญ่ วันนั้นเธอไม่ได้ตั้งใจจะไปฟังบรรยายหรอก แต่ถูกเพื่อนลากเข้าไปมากกว่า
‘เราเพิ่งจะปีหนึ่งเองนะแก้ว ไปทำไมเนี่ย’ มาลินีท้วงทั้งที่ยังมีแก้วชานมไข่มุกโปะวิปครีมอยู่ในมือ
‘ก็ต้องวางแผนไว้ก่อนป่ะ อีกแค่สามปีจะจบแล้ว ฟังๆ ไว้เผื่อได้อะไรบ้าง’
‘งั้นแกเข้าไปจองที่ให้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันตามไป ชานี่แก้วละตั้งห้าสิบห้าบาท วิปครีมยังไม่ได้แตะเลยจะให้ทิ้งก็เสียดาย’
มาลินีโบกมือไล่เพื่อนพลางละเลียดวิปครีมเนื้อนุ่มโรยผงซินนามอนด้วยความเสียดาย ก่อนดูดชานมอีกอึกใหญ่จนหมดแก้ว
จังหวะที่เธอกำลังเอี้ยวตัวมองหาถังขยะ สายตาเจ้ากรรมดันไปสะดุดเข้ากับเรือนร่างกำยำสูงใหญ่ในชุดสูทสีกรมท่าที่กำลังเดินออกมาจากห้องรับรองข้างหอประชุม
สะโพกสอบ ก้นตึงแน่น อกผาย ช่วงไหล่กว้างบึกบึนรับกับสูทที่สวมใส่
มาลินีถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเห็นโครงหน้าบึกบึน ประดับด้วยริมฝีปากหยักสวยน่าจูบ จมูกโด่งงุ้มเข้าเล็กน้อยเหมือนจมูกเหยี่ยว กรอบตาเรียวยาวซ่อนดวงตาสีดำเปล่งประกายคมกล้าไว้
ดูเหมือนเขาจะสัมผัสได้ว่าถูกเธอจับจ้องจึงหันกลับมามองก่อนกระตุกยิ้ม เป็นรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ที่สั่นคลอนหัวใจของนักศึกษาปีหนึ่งจนแก้วชานมไข่มุกว่างเปล่าในมือสั่นระริก
ทั้งที่เขาเดินตามคณบดีเข้าหอประชุมไปแล้ว แต่หัวใจของสาวน้อยวัยสิบแปดปียังเต้นกระหึ่ม และไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่ายๆ
‘แก…ฉันเจอแล้ว’ มาลินีรีบนั่งลงข้างเพื่อนสนิทพลางชี้มือไปยังชายหนุ่มในชุดสูทสีกรมท่าที่นั่งอยู่แถวหน้าเวที
‘เจออะไรของแก’
‘พ่อของลูก! ฉันเจอแล้ว’
ยังไม่ทันขาดคำเขาก็ก้าวขึ้นไปบนเวทีตามคำเชิญของพิธีกรท่ามกลางเสียงฮือฮาของนักศึกษาสาว
‘หล่อไม่บันยะบันยังแบบนี้ ลูกของฉันออกมาคงหน้าตาดีเหมือนพ่อเนอะ’
กัลยาเบ้ปาก เหลือบตาขึ้นมองบน ‘นี่แกตื่นรึยังมะลิ ถ้ายังจะได้ช่วยเขย่าให้ตื่น’
มาลินีหน้าง้ำ ย่นจมูกใส่เพื่อนสนิท ก่อนเพ่งความสนใจไปยังชายหนุ่มรูปงามบนเวที
อาจารย์ชายซึ่งรับหน้าที่พิธีกรในงานแนะนำว่าเขาชื่อ เจตต์ ธนศักดิ์วงศา เป็นทายาทรุ่นที่สามของบริษัท เจ.ซี.กรุ๊ป ถูกเชิญให้มาบอกเล่าประสบการณ์การทำงานด้านไฟแนนซ์ที่อเมริกาก่อนหันมาจับธุรกิจแอพพลิเคชั่นส่งอาหารและแม่บ้านออนไลน์ สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำโดยไม่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจาก เจ.ซี.กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทด้านอุปโภคบริโภคระดับต้นๆ ของประเทศไทย
ด้วยวัยเพียงยี่สิบเก้าปีเขากลายมาเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงของเมืองไทย นิตยสารธุรกิจหลายหัวและรายการทีวีต่างๆ เชิญเขาไปสัมภาษณ์ถึงมุมมองที่มีต่อเศรษฐกิจของประเทศในฐานะคนรุ่นใหม่ แถมยังได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารผู้หญิงให้เป็นสุดยอดหนุ่มโสดในฝันของสาวๆ ถึงสามปีซ้อน
‘แกว่าเขามีแฟนรึยัง’
‘มีหรือไม่มีก็ไม่เกี่ยวกับแกป่ะ’ กัลยาดีดนิ้วที่หน้าผากมาลินี ‘ตื่นค่ะตื่น บ้านมีกระจกไหม’
‘รว้าย! นี่เพื่อนนะ’
‘ก็ถ้าไม่ดูหนังหน้ากับรูปร่าง วัดกันที่คุณสมบัติล้วนๆ นะ เขาอายุยี่สิบเก้า ส่วนแกสิบแปด ห่างกันตั้งสิบเอ็ดปี แถมเขายังเป็นนักธุรกิจไฟแรง ส่วนแกเป็นแค่นักศึกษาไฟมอด เรียนจะตกมิตกแหล่ ช่วยบอกฉันทีสิว่าอะไรจะทำให้คนระดับนั้นโคจรมาเจอแกได้’
นอกจากกัลยาจะไม่ส่งเสริมแล้ว ยังขยันดับฝันของเธอด้วย
ช่วยไม่ได้ที่มาลินีมีรูปร่างอวบอ้วนมาตั้งแต่เด็ก จำความได้ก็อ้วนกระปุ๊กลุกราวกับกระปุกตั้งฉ่าย เธอถูกล้อแบบนี้ตั้งแต่เล็กจนชินเสียแล้ว คอยดูเถอะมาลินีจะพิสูจน์ว่าคนอ้วนก็มีแฟนหล่อได้เหมือนกัน
วันนั้นเจตต์ดูมีเสน่ห์มาก ทั้งท่วงท่าสง่างาม ทั้งพูดจาฉะฉานและเฉียบขาด ทำเอามาลินีประทับใจ พอออกจากห้องประชุม เธอก็คว้ามือเพื่อนสนิทลากไปที่โต๊ะรับสมัครงานของบริษัทในเครือ เจ.ซี.กรุ๊ป เพื่อสอบถามเรื่องการรับนักศึกษาฝึกงานทันที
‘อีกตั้งสองปี ไม่ต้องรีบหรอกจ้ะ แต่ถ้าอยากฝึกงานกับที่นี่จริงๆ ไว้ปีสามค่อยมาถามอีกทีก็ได้’ มาลินีพนมมือไหว้หลังได้รับคำแนะนำจากหญิงสาวที่โต๊ะรับสมัครงานก่อนจะหันหลังไปกลับพบแผงอกตึงแน่นเด่นหราอยู่เบื้องหน้า เธอเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าหล่อเหลาด้วยหัวใจเต้นกระหน่ำราวกับจะหลุดกลิ้งออกมานอกอกเสียให้ได้
‘คนมาสมัครเยอะไหมธิดา’
‘เยอะค่ะบอส นี่มีน้องปีหนึ่งมาถามเรื่องฝึกงานด้วยค่ะ เด็กสมัยนี้ไฟแรงจังเลยนะคะ’
เรียวคิ้วหนาเลิกขึ้น ดวงหน้าคมคายก้มต่ำ แววตาคมกริบฉายแววว่าเขาจำเด็กผู้หญิงที่มีวิปครีมโปะอยู่ตรงริมฝีปากได้
‘อีกสองปีเจอกันนะครับ’
มาลินียิ้มแก้มปริ แววตาเป็นประกายฉายความมุ่งมั่น
สองปีต่อมาเธอก็ได้ฝึกงานที่ เจ.ซี.กรุ๊ป พร้อมกับกัลยาตามความตั้งใจ แต่ทั้งคู่ฝึกงานอยู่กันคนละแผนก กัลยาเรียนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร จึงฝึกงานอยู่ที่แผนกวิจัยและพัฒนา (Research and Development) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าอาร์แอนด์ดี ขณะที่เธอซึ่งเรียนบัญชีจึงถูกส่งไปฝึกงานในแผนกบัญชีที่ดูแลด้านเงินเดือนของพนักงาน แต่งานหลักๆ ของเธอก็ไม่พ้นซื้อกาแฟกับเอาเอกสารไปส่งให้แผนกอื่น
โอกาสที่จะได้พบหนุ่มในฝันนั้นมีแต่ศูนย์กับศูนย์
‘แกจะนอยด์ทำไม ขนาดฉันอยู่อาร์แอนด์ดีนานๆ ทีถึงจะเจอคุณเจตต์เหมือนกัน’
‘แต่ก็ยังได้เจอป่ะ เขาเป็นคนคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้บริษัท อย่างน้อยต้องติดต่อประสานงานกับแผนกแก แต่ฉันเนี่ยหมกอยู่แต่ในคอก ไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปากพูดคุยกับเขา แล้วเมื่อไรลูกของฉันจะได้อุแว้ๆ ล่ะแก้ว’
กัลยาถอนหายใจเฮือก
‘เป็นเอามากนะ ต่อให้ได้เห็นหน้าบอสเหมือนฉันก็ใช่ว่าแกจะมีหวังป่ะ ฉันได้ยินพวกรุ่นพี่ในแผนกคุยกันว่ายังไม่เคยเห็นบอสควงใครเป็นกิจจะลักษณะ อีกอย่างคนระดับนั้นถ้าจะควงเขาก็ควงแต่พวกเซเลบดาราไว้อัพเกรดโพรไฟล์ตัวเองป่ะ ฉันว่าแกอกหักตั้งแต่คิดจะชอบเขาแล้วล่ะมะลิ’
‘แต่ฉันรักเขาไปแล้วนะแก้ว…’
‘พูดกันสักคำยังไม่เคย แกเอาส่วนไหนไปรักยะ ฉันว่าแกไปกรี๊ดพวกรุ่นพี่ที่มหา’ลัยยังมีลุ้นเสียกว่า’
‘ม่ายยย คนนี้ฉันรักจริงหวังแต่ง’
นอกจากชีวิตรักจะไม่คืบหน้าแล้ว การงานของมาลินียังดูท่าจะดิ่งลงเหวไปตามๆ กัน เมื่อวันหนึ่งความซวยมาเยือน เธอถูกรุ่นพี่ในแผนกบัญชีหมายหัวตั้งแต่สองอาทิตย์แรกของการฝึกงาน เนื่องมาจากสำเนาสลิปเงินเดือนของพนักงานแผนกเซลส์หลุดออกไปรู้ถึงหูของพนักงานในแผนกจนเกิดดราม่าระหว่างพนักงานด้วยกัน
รุ่นพี่ในแผนกบัญชีเข้าใจว่าเป็นฝีมือของนักศึกษาฝึกงานแต่ไม่มีใครยอมรับ จึงขู่ว่าหากไม่ยอมรับผิดจะไม่ให้ผ่านการฝึกงานกันทั้งหมด แต่ถ้ายอมรับจะอภัยให้ มาลินีฝึกงานในแผนกบัญชีร่วมกับเพื่อนนักศึกษาต่างมหาวิทยาลัยอีกสองคน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครแสดงตัวว่าเป็นคนทำสักที เธอเลยพาซื่อยืดอกยอมรับทั้งที่ไม่ได้ทำ เพราะรุ่นพี่บอกไว้ว่าจะไม่เอาเรื่อง แต่กลับกลายเป็นว่าเธอถูกรุ่นพี่ตำหนิ
‘งานง่ายๆ แค่นี้ทำไมถึงทำเอกสารหลุดออกไปได้ คอยดูนะพี่จะฟ้องอาจารย์ที่ปรึกษาเธอ’
มาลินีพยายามขอโทษขอโพยและขอร้องจนรุ่นพี่ใจอ่อนไม่ไปฟ้องอาจารย์ที่ปรึกษา แต่ก็โดนรุ่นพี่ในแผนกหมายหัวจนกลายเป็นหมาหัวเน่าต้องนั่งกินข้าวคนเดียว หรือถ้าเวลาตรงกันก็จะได้ไปนั่งกินข้าวกับกัลยา
‘แกไม่น่าซื่อเลยนะมะลิ ไม่ได้ทำแล้วยอมรับทำไม’
‘ฉันไม่รู้ว่าตอนนั้นอะไรสั่งให้หลุดปากออกไปอ่ะ แล้วพี่ที่แผนกบอกเองว่าจะไม่เอาเรื่อง เลยคิดว่ายอมรับให้จบๆ ไป แต่ที่ไหนได้…เฮ้อ เป็นคนดีนี่มันยากจังนะแก้ว’
‘สังคมการทำงานก็แบบนี้แหละแก เหยียบหัวได้ก็เหยียบ นี่ขนาดแค่ฝึกงาน ยังไม่ได้ทำงานจริงๆ เลยนะแกยังเจอขนาดนี้’
วันรุ่งขึ้นมาลินีกำลังจะลงลิฟต์ไปกินข้าวตามลำพัง แต่แล้วจู่ๆ รุ่นพี่สาวในแผนกบัญชีซึ่งอยู่ระหว่างทดลองงานก็ลากเธอเข้าไปคุยตรงบันไดหนีไฟ
‘พี่ขอโทษนะน้องมะลิ พี่จำเป็นต้องได้งานนี้จริงๆ เพราะแม่พี่ป่วยอยู่’
เรื่องราวดราม่าในชีวิตของรุ่นพี่สาวถูกบอกเล่าโดยเจ้าตัวจนมาลินีสะเทือนใจ ทีแรกเธอว่าจะโกรธแล้วต่อว่าอีกฝ่ายให้เจ็บๆ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ลง
‘ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มะลิสัญญาว่าจะไม่บอกใคร พี่สบายใจได้ อีกอย่างมะลิแค่มาฝึกงาน ไม่กี่เดือนก็ฝึกเสร็จแล้วกลับไปเรียน แต่พี่จำเป็นต้องทำงานเลี้ยงดูแม่ มะลิทนได้ค่ะ’
หลังจากมาลินีรับปากไปแล้ว วันรุ่งขึ้นรุ่นพี่สาวคนนี้ก็ทำเป็นไม่เห็นหัวเธอ แถมยังนินทาเธอกับรุ่นพี่ในแผนกจนมาลินีกลายเป็นหมาหัวเน่า ร่ำๆ จะฝึกงานไม่ผ่านด้วยซ้ำ
แต่แล้ววันนึงก็เหมือนฟ้าเปิด เมื่อมาลินีได้พบกับธิดา เลขาฯ สาววัยสามสิบกว่าของเจตต์รถเสียอยู่ข้างทาง ใกล้ๆ กับอพาร์ตเมนต์ของเธอ ตอนนั้นเป็นเวลาสามทุ่มเห็นจะได้ เธอจึงเข้าไปทักทายและแนะนำตัวว่าเธอเคยพบกับธิดาในงานจ็อบแฟร์ที่มหาวิทยาลัยและตอนนี้เป็นนักศึกษาฝึกงานอยู่ที่บริษัท พอธิดาเห็นป้ายห้อยคอนักศึกษาฝึกงานจึงรู้ว่าเธอไม่ได้โกหก เธอกับธิดาจึงคุยกันเรื่อยเปื่อยระหว่างรอให้ช่างซ่อมรถจนเสร็จ
‘ทีมของบอสเป็นทีมพิเศษ ตั้งขึ้นเพื่อความคล่องตัวในการทำงานจ้ะ’
‘รวมตัวเฉพาะกิจแบบทีมอเวนเจอร์เหรอคะ’
‘จะเทียบอย่างนั้นก็ได้อยู่จ้ะ ทีมของบอสจะโฟกัสไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ๆ ให้ เจ.ซี.กรุ๊ป รับผิดชอบตั้งแต่เริ่มคิดผลิตภัณฑ์ไปจนถึงประสานงานกับฝ่ายผลิตและออกเป็นแคมเปญโฆษณา พอสินค้าเริ่มติดตลาดก็ส่งต่อไปให้แผนกที่ดูแลผลิตภัณฑ์แล้วทีมก็จะเริ่มคิดสินค้าตัวใหม่ต่อ’
‘สินค้าฮิตๆ ของบริษัทก็มาจากทีมนี้ใช่ไหมคะ’
ธิดาพยักหน้ายิ้มๆ
นอกจากมีบอสเป็นแรงจูงใจแล้ว ตัวงานยังท้าทายอีก แต่จะให้ถามตรงๆ มาลินีก็ไม่กล้า ดังนั้นพอกลับถึงอพาร์ตเมนต์มาลินีจึงรีบถามกัลยาว่าจะเข้าร่วมกับทีมนี้ได้อย่างไร
‘เห็นพี่ๆ ในแผนกบอกว่าทีมนี้คัดแต่พวกหัวกะทินะแก ส่วนใหญ่ถ้าไม่จบนอก ก็ต้องได้เกรดไฮโซ คนอยากเข้าทีมนี้เพราะได้เงินเดือนสูงมาก แล้วโบนัสก็ให้ตั้งสิบเดือนจนถึงปีนึงเลย แต่เค้าว่ากันว่าที่ให้มากกว่าแผนกอื่นก็เพราะงานหนัก แถมบอสนี่เขี้ยวสุดๆ เคยมีบางคนได้เข้าไปทำสุดท้ายก็ร้องห่มร้องไห้ขอย้ายกลับมาแผนกปกติ บอกว่าทนแรงกดดันจากบอสไม่ไหว แต่อย่างว่าถ้าแกอยากใกล้ชิดบอส ต้องเข้าทีมนี้ให้ได้’
แค่ฝึกงานให้ผ่านมาลินียังคาบลูกคาบดอก ประสาอะไรกับได้เข้าทีมของบอสเจตต์ แต่ไม่รู้เหตุผลกลใด หลังจากนั้นไม่กี่วัน จู่ๆ ธิดาก็มาหาเธอที่โรงอาหารของบริษัท
‘พี่รู้มาว่ามะลิมีปัญหากับแผนก ร่ำๆ ว่าจะฝึกงานไม่ผ่านเลยเหรอ’
‘ก็นิดหน่อยค่ะ แต่มะลิจะลองคุยกับหัวหน้าดูอีกที คงเคลียร์กันได้ค่ะ’
‘แล้วปกติฝึกงานในแผนกเขาให้ทำอะไรบ้าง’
‘มีซีรอกซ์เอกสาร ชงกาแฟ แล้วก็เดินไปส่งเอกสารนิดหน่อยค่ะ’
‘งานแค่นี้ทำไมถึงมีปัญหาได้ล่ะ’
‘คือ…มะลิขอไม่พูดแล้วกันค่ะ มันกระทบคนอื่น เอาเป็นว่ามะลิผิดเองที่ดันซวยไปอยู่ตรงจุดนั้นพอดี’
หลังจากวันนั้นธิดาก็หายหน้าไปอีกหนึ่งวันก่อนกลับมาหาเธอพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า
‘ถ้าพี่จะดึงตัวน้องมะลิมาฝึกงานกับทีมพี่ น้องมะลิติดขัดอะไรไหม’
มาลินีเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ก่อนส่ายหน้าหวือ ‘ไม่ค่ะ’
‘แต่พี่บอกไว้ก่อนนะว่างานในทีมหนักมากๆ แล้วหลายอย่างต้องเก็บเป็นความลับ บอกใครไม่ได้’
‘แล้วทำไมถึงเลือกให้มะลิไปฝึกงานล่ะคะ พี่ธิดาคงพอรู้ว่ามะลิถูกหมายหัวเรื่องอะไร’
‘มีผู้ใหญ่บอกพี่ว่าน้องมะลิออกรับผิดแทนเพื่อน พอพี่แกล้งถาม น้องมะลิก็ไม่ยอมบอก ทั้งที่มีสิทธิ์จะบอกเพื่อให้ตนเองพ้นผิด’
‘มะลิน้ำท่วมปากนี่คะ จะบอกก็ใจไม่แข็งพอ เดี๋ยวคนนั้นจะซวยไปด้วย’
‘นั่นแหละเหตุผลที่พี่กับผู้ใหญ่ประทับใจ’
‘ผู้ใหญ่ไหนเหรอคะ’
‘เอาเป็นว่ามีผู้ใหญ่ใจดีคนนึงบอกพี่มา แล้วผู้ใหญ่ใจดีคนนั้นก็อนุมัติให้น้องมะลิย้ายมาอยู่ในทีม’
มาลินีรีบพยักหน้า ตะครุบโอกาสทองไว้ทันที
ในทีมงานของบอสนอกจากบอสเจตต์แล้วก็มีธิดาเป็นเลขาฯ ใหญ่ ผู้ช่วยเลขาฯ ของธิดาอีกหนึ่งคน ฝ่ายเซลส์สองคน มาร์เก็ตติ้งสามคน อาร์แอนด์ดีประจำทีมสองคน และฝ่ายดูแลด้านวางแผนธุรกิจอีกสามคน ทั้งหมดนี้เรียกได้ว่าคัดมาแต่ระดับหัวกะทิทั้งนั้น
ธิดาเล่าว่าด้วยความที่ เจ.ซี.กรุ๊ป เป็นบริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งอาหาร ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่ม ไปจนถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลไม้ งานหลักของทีมจึงเป็นการคิดค้นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ตลาดผู้บริโภคแทบทุกกลุ่ม
‘บอสน่ะทำตั้งแต่ลงพื้นที่คุยกับกลุ่มเป้าหมายด้วยตัวเองเลยนะ แต่ช่วงหลังๆ บอสยุ่งมาก ถึงได้ให้เอเจนซี่ช่วยทำรีเสิร์ช พอได้ผลสรุปแล้วก็มาคุยกับแผนกอาร์แอนด์ดีให้ช่วยคิดผลิตภัณฑ์ที่จะทำ กว่าสินค้าแต่ละตัวจะเข็นออกมาได้ต้องลองแล้วลองอีก ปรับแก้กันไปเรื่อยๆ เสร็จก็เอาสินค้าตัวอย่างไปให้กลุ่มเป้าหมายลองชิมก่อน ใช้เวลาตั้งแปดเก้าเดือนถึงจะผ่าน ยิ่งถ้าผลิตภัณฑ์ตัวไหนซับซ้อนหน่อยก็ใช้เวลาเป็นปีหรือสองปี’
‘โห นานขนาดนั้นเลยเหรอคะ’
‘อืม บอสแคร์เรื่องคุณภาพสินค้ามากๆ ถ้าไม่เวิร์กไม่มีทางปล่อยผ่าน อย่างชาสับปะรดที่ขายดีถล่มทลาย บอสก็คัดแล้วคัดอีกกว่าจะเจอสวนสับปะรดถูกใจที่สามารถนำวัตถุดิบมาทำชาผลไม้ใส่ไข่มุกฮิตติดลมบนแบบนี้ได้’
แค่ฟังเฉยๆ ยังไม่ทันได้ร่วมงานกับเขามาลินีก็ยิ่งหลงรักบอสเจตต์เข้าเต็มเปา หลังจากนั้นอีกสองวันมาลินีได้เริ่มฝึกงานในทีมของบอสเจตต์ แม้จะได้ทำงานในทีมเดียวกัน แต่ห้องทำงานก็เป็นห้องโถงใหญ่แบ่งที่นั่งเป็นคอกๆ บอสมีห้องทำงานของตัวเองอยู่ที่ด้านในสุด วันๆ เขาแทบไม่ได้ออกจากห้องทำงาน หรือ ‘ห้องเย็น’ ที่รุ่นพี่ในทีมชอบเรียก
หากไม่มีประชุมหรือไม่ต้องออกไปพบลูกค้าข้างนอกก็ไม่มีใครได้เห็นหน้าเขาเลย ยกเว้นธิดากับป้านิ่ม แม่บ้านประจำออฟฟิศที่มักยกกาแฟเข้มสีดำเข้าไปให้ในห้องทุกเช้าและบ่าย
เขาไม่คุยเล่นและรักษาระยะห่างระหว่างเจ้านายกับลูกน้องเสมอ โดยเฉพาะกับพนักงานสาวๆ
‘บอสน่ะไม่รับผู้ช่วยเลขาฯ อายุต่ำกว่าสามสิบหรอกนะ’
ธิดาเปรยขึ้นหลังจากเริ่มเมาในงานเลี้ยงส่งพนักงานคนหนึ่งในทีมที่ลาออกไปเรียนต่อเมืองนอก
‘พี่ทำงานกับบอสมาตั้งแต่พี่ยังไม่มีลูก จนตอนนี้ลูกสองแล้วนะมะลิ บอสเปลี่ยนผู้ช่วยพี่ทุกๆ สองเดือน หลังๆ เลยเลือกแต่คนที่แต่งงานแล้ว ถ้ามีลูกแล้วยิ่งดี เผื่อวันไหนพี่ไม่มา แล้วเธอต้องไปธุระกับผู้ช่วยเลขาฯ ข้างนอกจะได้ไม่มีใครครหา พี่ว่าถ้าเลือกได้เธอคงเลือกพนักงานชายมากกว่า’
‘บอสไม่ชอบผู้หญิงเหรอคะ’
‘เธอคงไม่อยากให้พนักงานสาวๆ ที่ยังโสดมายุ่งวุ่นวายมากกว่า มะลิก็เห็นว่าสาวๆ ในทีมน่ะไม่มีใครโสดสักคน แต่งงานแล้วทั้งนั้น’
‘แต่มะลิยังโสดนะคะ ทำไมบอสยอมให้เข้าทีมล่ะคะ เด็กฝึกงานคนอื่นก็ไม่มี’
ธิดายิ้มกว้างพลางหยิกพวงแก้มยุ้ย ‘ก็น้องมะลิยังเด็กมาก แล้วไม่ใช่สเป็กของบอสด้วยน่ะสิจ๊ะ’
คำตอบของเลขาฯ ใหญ่ทำให้มาลินีหน้าเสีย ตัวชาหนึบราวกับถูกช็อตด้วยไฟฟ้า
‘แล้วบอสชอบผู้หญิงแบบไหนคะ’
‘จากที่สังเกตคู่ควงที่ควงออกงานส่วนใหญ่ก็ต้องสูง หุ่นดี ผมยาวดำขลับ หน้าคม สำคัญเลยคือต้องเซ็กซี่’
จบ…แยกย้ายค่ะ!
มาลินีน่ะทั้งขาสั้น ตัวอ้วน แล้วยังใส่แว่นอีก เรียกว่าห่างจากคำว่า ‘เซ็กซี่’ ไกลโข
‘แล้วมะลิล่ะ ชอบบอสรึเปล่า’
มาลินีหน้าแดงก่ำ รีบโบกมือหย็อยๆ หลุบตาซ่อนความรู้สึกแทบไม่ทัน
‘ไม่ชอบน่ะดีแล้ว บอสไม่เหมือนผู้ชายทั่วไปหรอกนะ บ้างานมากกว่าบ้าผู้หญิง ถ้าเลือกได้พี่ว่าเธอคงอยู่เป็นโสดไปจนแก่’
‘แล้วบอสไม่เคยมีแฟนเลยเหรอคะ’
‘พี่ไม่แน่ใจนะ แต่ถึงมีสุดท้ายก็ต้องเลิก เพราะคุณหญิงท่านคงให้บอสแต่งงานกับคนที่ท่านเลือกเหมือนหลานคนอื่นๆ ที่ถูกท่านจับคลุมถุงชนนั่นแหละ’
‘น่าเศร้านะคะเนี่ย’
‘แต่พี่ว่าบอสคงเฉยๆ เธอรักใครไม่เป็นหรอก’
‘หรือว่าที่บอสไม่คบใครเพราะบอสไม่ชอบผู้หญิงคะ’
ธิดาโบกมือ หัวเราะร่วน
‘ไม่หรอก เธอก็มีเรียกผู้หญิงมาบริการบ้างเป็นครั้งคราว เพียงแต่บอสโฟกัสที่งานเป็นหลัก ผู้หญิงเป็นเรื่องรอง หล่อๆ แบบนี้น่ะโหดนักล่ะ หักอกสาวๆ มานักต่อนัก หลังๆ เลยไม่มีใครกล้าสารภาพรักต่อหน้าเธอ ได้แต่ฝากของขวัญให้พี่เอาไปให้แทน’
มาลินีเจอคำขู่จากธิดาเข้าไปก็ใจฝ่ออยู่หลายวัน จากที่ตั้งใจจะสารภาพรักพร้อมยื่นช็อกโกแลตให้บอสเหมือนในการ์ตูนตาหวานเป็นอันต้องแคนเซิล กระทั่งวันหนึ่งธิดาล้มป่วย เธอเลยถูกสั่งแกมขอร้องจากรุ่นพี่ให้เป็นตัวแทนนำเอกสารเข้าห้องเย็น
‘ทำไมต้องเป็นมะลิด้วยล่ะคะ’
‘วันนี้ฝ่าบาทกริ้วอะไรมาไม่รู้ อารมณ์เสียแต่เช้า ป้านิ่มเอากาแฟเข้าไปให้ถึงกับต้องรีบเผ่นออกมา พี่ธิดาไม่น่ามาป่วยอะไรเอาวันนี้เลย แถมยายผู้ช่วยเลขาฯ หน้าแป้นแล้นนั่นเล่นทิ้งจดหมายลาออกไว้ ชิ่งหนีไปตั้งแต่เมื่อเย็นวาน ทิ้งภาระให้พวกพี่รับผิดชอบ’
วลัยพรหรือพี่ออย หัวหน้าฝ่ายมาร์เก็ตติ้งเกริ่นนำ
‘แต่มะลิเป็นเด็ก เดี๋ยวทำอะไรพลาดจะยิ่งแย่นะคะ’
‘แค่เอาเอกสารไปให้ฝ่าบาทเซ็น พอฝ่าบาทเซ็นเสร็จก็รีบเผ่นแน่บออกมา ไม่มีอะไรหรอก แค่เข้าห้องเย็นเอง’ ฤทัย หัวหน้าฝ่ายวางแผนธุรกิจตัดบทด้วยรอยยิ้มเย็น
แม้จะบอกกับเธอว่าไม่มีอะไรหรอกแต่ในแววตาของรุ่นพี่ทั้งสองบอกว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ ถึงได้พร้อมใจกันโบ้ยหน้าที่มาให้เธอ
‘อีกไม่กี่วันมะลิก็ฝึกงานเสร็จแล้ว แต่พวกพี่ต้องทำงานกันอีกนาน ยังไม่อยากถูกบอสเอ็ดเอาน่ะ’ อรวีหรือพี่ทราย หัวหน้าฝ่ายเซลส์ออกตัว ก่อนที่วลัยพรจะเสริมต่อ
‘มะลิเข้าไปเถอะนะ เดี๋ยวพี่เลี้ยงชาบูโมโม่’
แหม เอาของแพงมาล่อแบบนี้ มีหรือมาลินีจะไม่ใจอ่อน แถมได้อยู่กันลำพังสองต่อสองกับบอสทั้งที โอกาสงามแบบนี้เธอจะพลาดได้อย่างไร
ทว่าพอสาวเท้าเข้าไปในห้องทำงานของบอสก็ชักใจฝ่อ จากที่มุ่งมั่นก็ชักอยากถอยเท้ากลับหลังหันเสียให้ได้ เพราะบรรยากาศอึมครึมกับโทนสีดำของห้องทำงานนั่นขับเน้นความรู้สึกเย็นยะเยือกมากกว่าเย็นสบาย
‘ธิดาล่ะ’ คนพูดเปรยขึ้นจากหลังโต๊ะทำงาน
‘พี่ธิดาไม่สบายค่ะ’
‘แล้วผู้ช่วยธิดาล่ะ’
‘คือ…พี่เขาลาออก ทิ้งจดหมายไว้บนโต๊ะตั้งแต่เมื่อวานค่ะ’
สิ้นคำเขาก็กระแทกปากกาลงบนโต๊ะ ลุกไปยืนอยู่ริมหน้าต่างคล้ายกำลังสะกดอารมณ์เดือดพล่าน
‘แล้วนี่เข้ามาทำไม’
‘เอ่อ พี่ออยให้เอาเอกสารมาให้ฝ่าบะ…ทะ…ท่านเซ็นค่ะ’
‘ผมไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง ไม่ต้องเรียกท่าน’
‘ค่ะบอส’ มาลินีรีบวางแฟ้มลงบนโต๊ะ แล้วถอยกรูดมายืนประสานมืออยู่หน้าโต๊ะ ก้มหน้างุด
‘แล้วนี่ยืนรออะไร’
มาลินีเข้าใจแล้วว่าทำไมใครๆ ถึงพากันส่ายหน้าหวือ ไม่ยอมเข้ามาในห้องเย็น ขนาดเธอตกหลุมรักเขาหัวปักหัวปำ ขนแขนยังสแตนด์อัพ อยากเผ่นแน่บออกจากห้อง แต่ดันก้าวขาไม่ออกเสียนี่
‘พี่ออยบะ…บอกว่าให้รอบอสเซ็นเสร็จแล้วเอาออกไปค่ะ’
‘จะไม่ให้เวลาผมอ่านเลยรึไง’
‘งะ…งั้นมะลิออกไปก่อนนะคะ’
‘เดี๋ยว!’
มาลินีชะงักกึก ได้แต่ยืนแข็งทื่อ เงยหน้ามองเขาเดินเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นหอมน้ำหอมผู้ชายผสมกลิ่นบุหรี่ เขานั่งลงที่ขอบโต๊ะทำงานพลางกวาดตามองเธออย่างพิจารณา
‘หน้าตาคุ้นๆ เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่า’
เขาจำได้ เขาจำได้
มาลินีอกใจสั่นรัว คลี่ยิ้มเต็มดวงหน้า
‘ใช่เด็กที่ยกมือถามตอนผมไปบรรยายที่คณะเศรษฐศาสตร์รึเปล่า’
จากใจที่ฟูฟ่องแฟบลงเหลือเท่าเม็ดกวยจี๊ เธอเรียนบัญชี ไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์
‘ไม่ใช่ค่ะ’ มาลินีส่ายหน้าอย่างหงอยๆ
‘แล้วคุณชื่ออะไร’
‘มาลินีค่ะ เรียกว่ามะลิก็ได้ค่ะ’
‘ฝึกงานเป็นไง ทำอะไรบ้าง’
มาลินีบรรยายสิ่งที่เธอทำตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ขณะที่เขาก้มหน้าอ่านเอกสารไปเรื่อยๆ ก่อนเปรยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
‘ก็ไม่ค่อยได้ใช้สมองเท่าไร’
มาลินีแทบสะดุดลมหายใจตัวเอง เลิกรักเขาตอนนี้ทันไหมเนี่ย
เขาเห็นเธอเงียบไปจึงเงยหน้าขึ้นกวาดมองดวงตากลมโตหลังกรอบแว่นสายตาอย่างพินิจพิจารณาทำเอามาลินีหน้าร้อนเห่อ
‘ทำไมหน้าแดง’
‘คะ? มะลิหน้าแดงเหรอคะ ไม่มั้งคะ’
หญิงสาวหัวเราะแก้เก้อ พ่นลมออกจากปาก สบตาเขาทีหนึ่งก็ต้องรีบหลบตา มือไม้พันกันจนไม่รู้จะไปวางไว้ที่ไหน
บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความเงียบงันชวนอึดอัด แต่กลิ่นหอมเย้ายวนชวนใจสั่นจากเนื้อตัวเขาชวนคิดทะลึ่งตึงตังไปถึงไส้ถึงสะดือ ทำให้พวงแก้มของเธอแดงเรื่อ
แขนแกร่งดึงเธอเข้ามาบดจูบ ก่อนกระชากเสื้อเชิ้ตสีขาวจนเม็ดกระดุมหลุดกระจายไปคนละทิศละทาง มาลินีรีบยกมือขึ้นปิดบังทรวงอกอวบอิ่มในบราเซียร์ตัวจิ๋ว แต่เขากลับปัดมือออก ก่อนก้มลงดื่มด่ำเนื้อตัวเธออย่างหิวกระหาย มือหนาร้อนระอุเลื้อยลงมาลูบไล้เนื้อตัวบอบบางจนตัวเธอสั่นระริก
‘คุณ…คุณ…’
มาลินีสะดุ้งเฮือก นัยน์ตาฉ่ำเยิ้มจากฉากพิศวาสเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกเมื่อเห็นแววตาคมกริบกำลังอ่านเธออย่างทะลุปรุโปร่ง
‘คิดไปถึงไหนเนี่ยคุณ’
‘กำลังเข้าด้ายเข้าเขะ…มะ…มะลิหมายถึง ป้านิ่มค่ะ ป้านิ่มทำกระดุมผ้ากันเปื้อนหลุด แกสายตาไม่ดี เมื่อกี้เลยจะวานให้มะลิช่วยร้อยด้ายใส่เข็มให้ค่ะ’
มาลินีฝืนยิ้ม พยายามหลบตากลบฉากเร่าร้อนเข้าด้ายเข้าเข็มในจินตนาการไว้ให้มิดที่สุด เขาไม่ได้พูดอะไรอีก รีบสะบัดปากกาเซ็นเอกสารแล้วยื่นให้
ตะ…แต่…ปลายนิ้วของเราชนกันจนต่างฝ่ายต่างสะดุ้งเหมือนไฟฟ้ากระตุก เขารีบชักมือออก หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาถูนิ้วแรงๆ คล้ายว่าเธอเป็นตัวเชื้อโรค
นอกจากปากร้ายแล้ว ยังขยันย่ำยีหัวใจดวงน้อยของเธออีก คอยดูสิมาลินีจะไม่รักเขาแล้ว กลับไปนั่งเฝ้าโอป้าเล่นบอลตอนเย็นก็ได้
แต่…พอถึงเวลาจริงมาลินีก็ทำไม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้สักอย่าง เธอบอกตัวเองว่าจะเลิกรักเขา จะหาเหยื่อรายใหม่ไว้ฟินเล่น แอบกรี๊ดโอป้าเกาหลีไปจนถึงนักดนตรีผมยาวสุดเท่ในผับแถวมหา’ลัย แต่กลับไม่มีใครโผล่เข้ามาในฝันของเธอได้เกือบทุกคืนเหมือนบอสเจตต์เลย
ในฝันนั้นเรากำลังจูบกันอย่างดูดดื่ม ตระกองกอดแนบชิดสนิทกันราวกับถอดออกมาจากคัมภีร์กามาสุตรา แค่หวนนึกถึงก็ทำเอามาลินีวาบหวามสะเทิ้นอาย หากเขารู้ว่าเธอคิดทะลึ่งตึงตังกับเขาล่ะก็ มีหวังเธอคงถูกเด้งออกจาก เจ.ซี.กรุ๊ป แทบไม่ทัน
หลังการฝึกงานจบลงธิดาได้บอกกับเธอว่าเรียนจบเมื่อไรให้ส่งเรซูเม่และใบเกรดมาทางอีเมล แล้วธิดาจะดึงตัวเข้าโปรเจ็กต์เอง
‘แล้วบอสโอเคเหรอคะ’
‘พี่ไม่เห็นเธอว่าอะไรนะ บอกว่าแล้วแต่พี่จัดการ’
มาลินีค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยเธอก็มีงานรองรับตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ แต่เพื่อเป็นหลักประกันว่าธิดาจะไม่เปลี่ยนใจ เธอเลยคอยติดต่อธิดาเป็นระยะ ส่งขนมไปให้บ้าง เวลามีงานเลี้ยงของทีมงานธิดาก็จะชวนเธอไปด้วยเป็นประจำเพราะมาลินีสนิทกับพี่ๆ ในทีมแล้ว
‘บอสให้บัดเจ็ตสองหมื่น กินดื่มไม่อั้น’
หลายคนเฮลั่นแต่ก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อธิดาพูดต่อว่า
‘พรุ่งนี้ประชุมแปดโมง บอสบอกห้ามขาด’
เหล่ารุ่นพี่พากันบ่นกระปอดกระแปดเรื่องความขยันเว่อร์วังของบอสเจตต์ แต่พวกที่ทำงานกับบอสมาหลายปีไม่ยักมีใครยอมลาออกหากไม่จำเป็นจริงๆ จะยกเว้นก็แต่ผู้ช่วยเลขาฯ ของธิดานั่นแหละที่ขยันลาออกกันเป็นว่าเล่นเพราะทนอารมณ์เหวี่ยงของเจ้านายไม่ไหว
‘งานแยะเงินเดือนก็เยอะตาม แถมสิ้นปียังได้โบนัสมากกว่าบริษัทอื่นอีก ลาออกก็โง่ล่ะ’ วลัยพรมาร์เก็ตติ้งสาวที่แต่งงานแล้วแต่ยังแต่งตัวสวยพริ้งตลอดเปรยขึ้น
‘ไปที่ไหนก็งานเยอะทั้งนั้นแหละ แต่อยู่ที่นี่ทำให้ฤทัยเก่งขึ้นนะเพราะความเฮี้ยบของบอสเนี่ยแหละ’ ฤทัยเสริมต่อ
‘สองสาวให้ทำอะไรมีบ่นทุกที แต่ให้ลาออกนี่เดินหนีนะ’ ธิดาแซว มาลินีเลยอดหัวเราะตามไม่ได้
‘ออยว่านะถ้าลาออกไปนี่ตั้งบริษัทได้เลย ทำเป็นทุกอย่าง บอสแกสอนเหมือนไม่สอน คนทำงานชุ่ยๆ ไม่ตั้งใจเลยมักเกลียดแกกันหาว่าแกเขี้ยว ทนอยู่ได้ไม่นานก็ลาออกเหมือนผู้ช่วยพี่ธิดานี่แหละ’
‘แล้วพี่ธิดาล่ะคะ ไม่อยากลาออกบ้างเหรอ ทำงานใกล้ชิดบอสขนาดนี้โดนเหวี่ยงบ้างไหมคะ’
ธิดาหัวเราะหึๆ ‘แรกๆ ก็มีจ้ะ แต่หลังๆ บอสไม่ค่อยกล้าเหวี่ยงพี่หรอก เธอรู้ว่าพี่เอาจริง พี่อยากลาออกไปดูแลลูก เธอเลยไปเหวี่ยงใส่ผู้ช่วยเลขาฯ แทน’
‘ที่จริงใครๆ ก็อยากทำงานกับบอสนะแกเงินหนา แต่ก็ใช้งานจนคุ้มเงินล่ะ’ อรวี หัวหน้าเซลส์ลูกหนึ่งเสริม
‘เล่าให้ฟังแบบนี้ น้องมะลิยังอยากทำงานกับพวกพี่อีกรึเปล่าคะเนี่ย’ อรวีแซวกลั้วหัวเราะ
‘นั่นสิ ฤทัยยังอยากได้น้องมะลิมาช่วยวางแผนธุรกิจนะคะ’
‘ที่สำคัญมะลิคือความหวังของหมู่บ้าน ถ้ามะลิฝ่อเสียก่อน แล้วใครจะถือเอกสารเข้าห้องเย็นล่ะ ทุกวันนี้เวลาพี่ธิดาไม่อยู่ทีไร พวกพี่นี่ต้องโยนหัวโยนก้อยกันเลย’ วลัยพรเสริมต่อทันที
หลังจากครั้งแรกที่มาลินีสามารถถือเอกสารเข้าไปให้บอสเซ็นได้สำเร็จโดยไม่วิ่งร้องไห้ออกมา เธอเลยกลายเป็นคนโปรดของบรรดารุ่นพี่ มักถูกไหว้วานให้นำเอกสารเข้าไปให้หรือไม่ก็เข้าไปขออนุญาตทำโน่นทำนี่จากบอสหน้าดุเสมอ
ไม่ใช่ว่าเธอไม่ถูกเหวี่ยงหรอก มาลินีโดนประจำ เพียงแต่เธอเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะขอแค่ได้เห็นหน้า ได้พูดคุยเล็กๆ น้อยๆ มาลินีก็ชื่นใจ เก็บกลับไปนอนฟินตัวแตกแล้ว
‘ฉันว่าแกต้องเป็นมาโซคิสม์แน่ๆ คนบวมๆ แบบนั้น ทนเข้าไปได้ยังไง’
‘เวลาปกติที่ไม่เหวี่ยงวีน บอสใจดีจะตายไปแก ขออะไรก็ให้ บางครั้งเวลาเผลอๆ ยังยิ้มให้ฉันด้วย’
‘ฉันว่าบอสต้องอ่อยแกไว้ใช้งานแน่ๆ’
กัลยาฟันธง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นจริงมาลินีก็พร้อมถูกใช้งานหากได้เห็นหน้าเขาทุกวัน
หลังจากเรียนจบมาลินีก็เข้าทำงานที่ เจ.ซี.กรุ๊ป พร้อมกัลยา เพื่อนสนิทสุดซี้ กัลยาทำงานในแผนกอาร์แอนด์ดี ซึ่งทำหน้าที่วิจัยและคิดค้นสินค้าตัวใหม่ให้บริษัท มีแล็บของแผนกอยู่ชั้นสิบสี่ ทำงานประสานกับมาลินีซึ่งอยู่แผนบัญชี ชั้นยี่สิบสอง
มาลินีมารู้หลังจากเป็นพนักงานประจำได้สองเดือนว่ารุ่นพี่แผนกบัญชีที่เคยก่อเรื่องจนเธอเกือบไม่ผ่านการฝึกงานคนนั้นไม่ผ่านทดลองงานและถึงขั้นติดแบล็กลิสต์ของฝ่ายบุคคลเลยทีเดียว ส่วนสาเหตุจะเป็นอะไรนั้นมาลินีไม่อยากรับรู้อีกแล้ว
มาลินีเข้าทำงานในทีมของบอสเจตต์ มีหน้าที่ดูแลด้านวางแผนการเงินและร่วมทำบิสิเนสแพลน โดยมีฤทัยเป็นหัวหน้า
งานหลักๆ ของเธอระหว่างรอแผนกอาร์แอนด์ดีคิดและทดลองผลิตภัณฑ์ตัวใหม่คือทำบิสิเนสแพลนว่าสินค้าที่จะออกมานั้นควรขายอย่างไร ขายที่ไหน และต้องตั้งราคาขายเท่าไรถึงจะได้กำไรซึ่งต้องคำนึงต้นทุนของวัตถุดิบที่ฝ่ายจัดซื้อเป็นคนหาราคามา โดยราคาที่จะตั้งขายแบบยังได้กำไรนั้นต้องสอดคล้องกับราคาที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายสามารถจ่ายได้ด้วย
ฤทัยเป็นหัวหน้างานสายตรง มาลินีจึงต้องเสนองานกับฤทัยก่อนเสมอ แต่ภายหลังเธอทำงานดีขึ้นทั้งยังมีสินค้าออกใหม่หลายตัว ฤทัยจึงดูเพียงคร่าวๆ แล้วให้เธอนำเสนอในที่ประชุม โดยบอสเป็นคนเคาะราคาคนสุดท้าย
แม้เกรดของเธอจะไม่ได้สูงลิบลิ่วและไม่ได้จบเมืองนอกมา แต่การได้ทำงานในทีมของบอสขึ้นชื่อว่าคัดแต่พวกหัวกะทิ ทำให้มาลินีกลายเป็นที่อิจฉาของพนักงานสาวๆ ไปโดยปริยาย ยกเว้นกัลยา เพื่อนสนิทสุดซี้ที่รู้ทุกอย่างเพราะเช่าหอพักอยู่ห้องเดียวกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย จนทำงานมีเงินเดือนถึงได้แยกย้ายเช่าห้องพักของตนเองแต่ก็ยังอยู่ในอพาร์ตเมนต์หลังเดียวกันย่านพระรามสี่
‘อิจฉาก็บ้าล่ะ เดี๋ยวเหวี่ยงเดี๋ยวจิกกัด ไม่รู้ว่าปากหรือกรรไกร ฉันคนนึงล่ะกระเดือกไม่ลง’
มาลินีเคยอยากถอนตัวแต่ติดตรงปีนขึ้นจากหลุมรักไม่ได้สักที เจอเขาวีนหรือพูดจาไม่เข้าหูวันไหนเธอจะกลับมานั่งร้องไห้โฮที่ห้องพักโดยมีกัลยาคอยอยู่เคียงข้าง
‘หมูกระทะจะเยียวยาแกเองมะลิ’ กัลยายกของกินขึ้นมาปลอบ
‘ไม่ บอสเท่านั้นจะเยียวยาหัวใจดวงน้อยของฉันได้’
กัลยาเท้าเอว เซ็งกับการเล่นใหญ่รัชดาลัยของเพื่อน ‘แล้วแต่นะ งั้นฉันไปก่อนล่ะ’
‘ดะ…เดี๋ยวสิ แกไม่คิดจะปลอบฉันอีกหน่อยเหรอ ฉันอกหักอยู่นะ’
‘แกอกหักเป็นรอบที่ร้อยแล้วมั้ง พอก่อนไหม ไปชอบคนอื่นบ้างก็ได้ นอกจากหล่อกับฉลาดแล้ว ฉันไม่เห็นว่าบอสจะมีอะไรดี แต่งตัวก็เชย วันๆ ใส่แต่เชิ้ตขาวกับกางเกงดำ กระเป๋าเอกสารที่ใช้นี่โบราณมากมีแต่คนรุ่นพ่อใช้กัน มือถือก็ตกรุ่น จะใช้ทีต้องหยิบออกจากซองมือถือที่เอว รวมๆ แล้วคือมีความลุงสูงมากกก’
‘เขาเรียกคลาสสิกย่ะ’
‘คลาสสิกกับเชยมันมีเส้นบางๆ กั้นอยู่นะมะลิ บอสของแกเนี่ยเรียกว่าเชย วันไหนไม่ได้ออกข้างนอกก็ใส่แต่เชิ้ตขาวกางเกงดำกับรองเท้าสีดำเก่าๆ ผมก็ไม่ได้จัดทรง มีดีอย่างเดียวตรงฉลาดกับหล่อนี่แหละ ฉันได้ยินสาวๆ ในออฟฟิศเม้าท์กันว่าเวลาจะออกงานหรือออกสื่อทีไร คุณหญิงต้องส่งสไตลิสต์ ช่างหน้า ช่างผมมาแต่งตัวให้ เพราะรู้ว่าหลานชายไม่มีเทสต์เรื่องพวกนี้เลย ให้เลือกเองคงทำท่านขายขี้หน้าเปล่าๆ’
‘บอสต้องใช้สมองในการทำงานมากกว่าป่ะ จะให้มาสนใจเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ได้ไง’
มาลินีเถียงแทนเข้าทำนอง…ผู้ชายข้าใครอย่าแตะ
แต่พอแก้ตัวแทนบอสสุดที่เลิฟแล้ว เธอก็นั่งถอนหายใจต่อ
‘ลาออกไหมล่ะ’
จู่ๆ กัลยาก็แทรกขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
‘ไม่เอา ฉันกลัวบอสอนุมัติ’
‘บอสไม่อนุมัติง่ายๆ หรอก ไม่ลาป่วย ไม่ลาพักร้อน แถมรองรับอารมณ์หงุดหงิดของพ่อเจ้าประคุณได้ทุกชนิด จะไปหาพนักงานดีเด่นแบบนี้ได้จากที่ไหนอีก แกแกล้งเปรยๆ ว่าจะลาออกสิ เผื่อเขาจะขึ้นเงินเดือนให้’
‘ฉันว่าเผลอๆ จะโดนหักเงินเดือนน่ะสิไม่ว่า บอสเหมือนชาวบ้านเสียที่ไหน’
‘ถ้าหักก็ลาออกเลย มีอย่างที่ไหน งานหลักก็ต้องทำ งานผู้ช่วยเลขาฯ พี่ธิดาก็ต้องสู้ นี่ตกลงเขาจะไม่หาผู้ช่วยเลขาฯ คนใหม่แล้วเหรอ กะจะให้แกทำถาวรเลยรึไง’
‘ฉันก็ไม่ได้ยุ่งอะไร…’
‘หิ้วงานกลับมาทำที่ห้องยันเที่ยงคืนตีหนึ่งเรียกไม่ยุ่งเหรอมะลิ จะรักจะชอบให้มันมีลิมิตบ้าง’
คิดไปคิดมามาลินีชักคล้อยตามจึงลองวัดใจทำตามแผนของกัลยา แกล้งยื่นหนังสือลาออกให้เขาในวันถัดมา เขากำลังอยู่ในดงเอกสารปึกโตจึงปรายตามองเพียงเล็กน้อย
‘นี่อะไร’
‘จดหมายลาออกค่ะ’ เขาเลิกคิ้ว เงยหน้ามองเธอครู่หนึ่งคล้ายคาดไม่ถึง
‘แล้วจะไปทำที่ไหน’
นั่นสิไปทำที่ไหนดี มาลินียังไม่ได้คิดเลย เธอคิดแค่ว่าจะได้เห็นฉากเขายื้อยุดเกาะกุมมือเธอไว้เพราะขาดเธอไม่ได้ แล้วเธอก็จะยอมเป็นทาสรักผู้ภักดีต่อไป ทว่าภาพที่เห็นของจริงคือเขาก้มหน้าอ่านเอกสารตามเดิมพลางเปรยเสียงเย็นชา
‘วางไว้ เดี๋ยวผมเซ็นให้ อ้อ บอกธิดาเรียกฝ่ายบุคคลมาหาผมหน่อย’
เขาไม่ได้สนใจน้ำตาที่กลิ้งลงบนพวงแก้มสีชมพูระเรื่อของเธอเลยสักนิด
หลังจากบรรดารุ่นพี่ในทีมรู้ข่าวการลาออกของมาลินีก็รวมตัวกันเข้ามาในห้องเพื่อยับยั้งการตัดสินใจของบอส แต่เพียงครู่เดียวเป็นต้องถอยกรูดออกมา เหลือเพียงธิดาที่ยังยืนเผชิญหน้าเจ้านายหนุ่ม
มาลินีขยับตัวเข้าไปแอบมองอยู่ตรงช่องว่างระหว่างประตูห้องทำงานที่เปิดแง้มอยู่พร้อมฤทัย วลัยพร และอรวี
‘ผมใจร้ายตรงไหนก็เขาลาออกเอง ผมแค่อนุมัติให้ เขาน่าจะดีใจด้วยซ้ำที่ผมอนุมัติ’
‘น้องมะลิตั้งใจทำงาน นิสัยน่ารัก ใครๆ ก็เอ็นดูน้องทั้งนั้น เด็กแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ บอสน่าจะรั้งไว้มากกว่ายอมอนุมัติง่ายๆ นะคะ’
‘ผมคัดแต่เพชรนะธิดา ไม่ได้โกยกรวดโกยหินเข้าทีม ถ้าเขาไม่อยากทำงาน ผมจะได้หาคนเก่งๆ มาแทน’
มาลินีน้ำตาร่วงเผาะอาบสองแก้ม หัวใจดวงน้อยสั่นสะท้านยามถูกเขาเชือดเฉือน
‘น้องมะลิทำงานหนักมากนะคะ มาเช้ากลับดึก ทำตามที่บอสสั่งทุกอย่าง ก็เพราะ…’ ธิดายังไม่ทันพูดจบก็เม้มปากก่อนจะตัดบท ‘เอาเป็นว่าถ้าบอสเซ็นอนุมัติ ธิดาจะลาออก’
เจตต์นิ่งงันคล้ายกับคาดไม่ถึงว่าเลขาฯ ที่ทำงานด้วยกันมาเป็นสิบปีจะตั้งเงื่อนไขแบบนี้
‘รู้ตัวไหมธิดาว่าไม่ควรขู่ผม’ เขาขบกรามแน่น เดินตึงตังไปมาก่อนสั่งเสียงเข้ม
‘เรียกเด็กนั่นเข้ามา!’
ธิดาออกมาแจ้งประกาศิตจากเบื้องบน มาลินีก้มหน้างุด เดินเจี๋ยมเจี้ยมเข้าไปในห้องเย็นอย่างเชื่องช้าราวกับเดินเข้าสู่ลานประหาร ร่างกายของเธอร้อนระอุ เหงื่อกาฬแตกซ่านเหมือนซ้อมลงนรก
เขายืนหันหลังอยู่ริมกระจกหน้าต่าง ส่วนเธอยืนเยื้องอยู่ทางด้านหลังของเขา นี่เป็นช่วงเวลาเงียบงันที่ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไร ครู่หนึ่งเขาก็หันกลับมาโยนซองจดหมายลาออกของเธอลงถังขยะ ก่อนประกาศิตเสียงเข้ม
‘ผมไม่อนุมัติ!’
มาลินีเงยหน้าพรึ่บทั้งน้ำตานองหน้า
‘ร้องไห้ทำไม เสียใจที่ไม่ได้ลาออกเหรอ’
หญิงสาวยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา ก่อนโผเข้าสวมกอดเขาไว้ทั้งตัว
‘มะลิดีใจต่างหากที่บอสไม่อนุมัติ’
เธอร้องไห้โฮเหมือนเด็กๆ เขายกมือขึ้นค้างกลางอากาศคล้ายทำตัวไม่ถูกว่าจะกอดปลอบหรือผลักเธอออกดี ครู่หนึ่งเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ
‘เสื้อผมเปียกหมดแล้ว’
มาลินีไม่อยากเงยหน้าจากแผงอกกว้างตึงเปรี๊ยะเลย ตัวเขาหอมกรุ่น มีกลิ่นบุหรี่ผสมกลิ่นน้ำหอมผู้ชายชวนใจสั่นเป็นบ้า แม้ลุคของบอสจะมีความเชยอยู่ในตัว แต่ขณะเดียวกันก็มีเซ็กซ์แอพพีลสูงมาก อยู่ใกล้เขาทีไรเธอเป็นต้องคอยคิดถึงแต่ฉากรักแสนวาบหวาม
ทว่าบอสของเธอไม่เหมือนคนปกติ เขาไม่เคยปลอบใคร ถนัดแต่กินหัวชาวบ้าน ขืนเธอไม่ปล่อยมือตอนนี้คงโดนกินหัวเป็นรายต่อไป มาลินียอมคลายอ้อมแขนออกแล้วยกมือไหว้ ก่อนจะรีบสาวเท้าออกจากห้อง พร้อมตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะยึดขาเก้าอี้ไว้ให้แน่น
ใครหน้าไหนก็อย่าหวังเลื่อยขาเก้าอี้เธอ…ไม่งั้นได้มีตายกันไปข้าง!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 พ.ย. 62
Comments
comments
No tags for this post.