X
    Categories: ความรู้สึกดีที่เรียกว่ารักทดลองอ่านบอสหน้าตายกะยัยสอางค์

ทดลองอ่าน บอสหน้าตายกะยัยสอางค์ บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 4

1

แม้ว่าจะเลยเวลาเที่ยงมาแล้วก็ตาม แต่พนักงานส่วนใหญ่ในออฟฟิศยังคงนั่งทำงานง่วนอยู่ตามโต๊ะของตนโดยไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปไหน ดังนั้นพอมีเสียงใครสักคนเริ่มเรียกหาป้าแม่บ้านให้ออกไปซื้อข้าวกลางวันมาให้ รายการอาหารยาวเหยียดจึงถูกส่งต่อกันมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“ใจเย็นๆ ค่า ป้ามีแค่สองมือนะ ถือมาไม่หมดสามสิบกล่องหรอก”

“โธ่ป้า ถือว่ายกน้ำหนักออกกำลังกายก็แล้วกัน พวกเราลงไปซื้อเองไม่ได้จริงๆ” พนักงานชายสวมแว่นหนาร้องบอกด้วยน้ำเสียงใกล้เดี้ยงเต็มที

“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ ทำไมวันนี้ถึงนั่งกันเต็มออฟฟิศได้ ทุกทีไม่ทันเที่ยงก็หายกันไปหมดแล้ว”

“พายุลงในที่ประชุมเมื่อเช้าน่ะสิ บอสใหม่ของป้าอย่างโหดเลย!”

“จริงหรือคะ” ถามอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก “เห็นแกยิ้มทักป้าทุกเช้า ดูไม่น่าจะเป็นคนดุอะไร”

“น้อยซะที่ไหนล่ะ ป้ารีบลงไปซื้อข้าวให้พวกเราก่อนดีกว่า หิวจะแย่อยู่แล้วเนี่ย”

“ค่าๆ คุณเฉื่อย ได้ค่ะ” แม่บ้านวัยกลางคนรับคำแล้วรีบลงลิฟต์ไปตามคำขอ

เฉื่อยหรือนายพีระที่เพิ่งสั่งข้าวเสร็จหันมาทางหญิงสาวซึ่งนั่งก้มหน้างุด ปั่นงานในมือเป็นระวิง ทุกๆ ห้านาทีเธอจะเหลือบตาขึ้นมองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่คิดไปเองว่าเดินเร็วยิ่งกว่าวันไหนๆ

ความรู้สึกตอนนี้ไม่ต่างจากตอนทำข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลยสักนิด เวลาก็ไม่มี ตีโจทย์ก็ไม่ได้ ถ้าเสนองานลวกๆ ไปตอนนี้มีหวังโดนสวดกลับมาอีกแน่ๆ

“เอิงไม่กินอะไรเหรอ ป้าเขาลงไปแล้วนะ”

“ไม่เอา! ใส่แว่นหนาขนาดนั้นแล้ว ดูด้วยสิว่าเพื่อนยุ่งแค่ไหนไอ้คุณเฉื่อย”

“เอ้า ยายนี่ โดนแก้งานแล้วอย่าพาลเดะ คนเขาอุตส่าห์หวังดี”

“เออๆๆ งานนายเสร็จแล้วก็ไปรอข้าวเงียบๆ ไป๊” มองนาฬิกาแล้วต้องห้ามใจหยุดต่อปากต่อคำ

อีกสิบนาที โอ๊ย…จะทันมั้ยเนี่ย

“ตายๆๆ โดนปีศาจเหยียบอกตายแน่ๆ”

และถึงนายเฉื่อยจะเริ่มเห็นเมฆดำบนหัวเพื่อน ก็ยังไม่วายทิ้งท้ายให้คนนั่งหน้าตูมหงุดหงิดเล่นๆ ว่า

“อีกไม่ถึงสิบนาที ยังไงก็ไม่ทันหรอกเอิง โดนแน่ๆ โดนๆ แน่ๆ โดนแน่ๆ ไม่ล้อเล่นน้า…เฮ้ย!”

คำอุทานตอนท้ายดังขึ้นพร้อมขวดน้ำที่ลอยผ่านหน้าไปอย่างฉิวเฉียด

“ใจเย็นดิวะเอิง!”

“ไม่ยงไม่เย็นละ แซวอีกที แม่จะเอาให้หัวแตกเลย คอยดู!”

“กลัวแล้วจ้ะ กลัวแล้ว”

เห็นท่าไม่ดี พีระรีบยกมือยอมแพ้ แล้วหลบหายเข้าไปหลังฉาก จังหวะเดียวกับที่เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่งใกล้ตัว หญิงสาวมองไปรอบโต๊ะที่รกยิ่งกว่ารังหนู เปิดนู่นรื้อนี่ หาที่มาของเสียงอย่างโมโหโทโส

สาละวนอยู่นานจนเจอต้นเสียงในลิ้นชัก เธอไม่มีเวลาสงสัยด้วยซ้ำว่าโทรศัพท์เจ้ากรรมไปอยู่ในนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ พอเห็นเป็นเบอร์เพื่อนรักก็ได้แต่ถอนใจ เพราะถ้าวางสาย ต้องถูกตามตัวไม่เลิกแน่

รับๆ ให้มันจบๆ ไปแล้วกัน

“ยายส้ม! โทรมาทำไม! ไม่รู้หรือว่าอเมริกาจะถล่มเมืองไทยอยู่ไม่กี่นาทีนี้แล้ว!”

หญิงสาวใส่อารมณ์ราวกับกำลังรายงานข่าวสงครามก็ไม่ปาน ส่วนไอ้ประเทศมหาอำนาจที่พูดถึงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้านายสุดโหดคนใหม่ที่ถูกส่งตัวมาจากบริษัทแม่เมื่อสองเดือนก่อนนั่นแหละ

“ฉันไม่สนหรอกย่ะว่าใครจะถล่มใคร ฉันสนแต่ว่าใครก็ไม่รู้มีบอสใหม่เป็นฝรั่งตาน้ำข้าว”

“โทรมาเรื่องแค่นี้อะนะ เดี๋ยว…แป๊บนึงนะ”

เอิงหรือสอางค์ สาวมั่นแต่ชื่อเชยสนิท กรอกเสียงลงไปอย่างหงุดหงิด หญิงสาวหันซ้ายหันขวา มองนาฬิกาอีกครั้งก่อนตัดสินใจทิ้งปากกาในมือ

แค่สามนาทีคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

จากนั้นจึงมุดลงใต้โต๊ะ เตรียมนินทาเจ้านายเต็มที่ แต่อดระแวงนิดๆ ไม่ได้ หญิงสาวชะโงกหน้าขึ้นมาเหนือโต๊ะ แอบมองไปทางประตูห้องเขา เห็นว่ายังปิดสนิทดีอยู่ เลยมุดลงไปอีกครั้ง

หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง ไอ้เรื่องแบบนี้ต้องระวัง ยิ่งมีเจ้านายจอมเฮี้ยบสิงในออฟฟิศด้วยแล้วล่ะก็…ยิ่งต้องระวังเป็นสามเท่า

“อยากรู้อะไรก็ว่ามา”

องค์อรไม่สนใจเสียงขุ่น ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นทันที “เขาเป็นยังไงเล่า”

“จะให้เป็นยังไงล่ะคุณส้ม ฝรั่งมันก็ผมทองตาสีฟ้าเหมือนกันหมดนั่นแหละ”

ในความ ‘เหมือนกันหมด’ สอางค์ไม่ได้เจาะจงลงไปว่าฝรั่งคนนั้นมีนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลคมกริบ โดยเฉพาะเวลาตั้งใจฟังใครพูดด้วยแล้วยิ่งน่ามองเป็นพิเศษ รวมถึงเครื่องหน้าเข้มแบบชาวตะวันตก จมูกโด่งเป็นสัน ผมสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทอง รูปร่างล่ำสันแบบนักกีฬา รวมๆ แล้วหลอกใครว่าเป็นพระเอก คนเขาก็คงเชื่อ

“เหมือนกันหมดจริงอะ? ทุกทีคุณสอางค์ที่รักเจอฝรั่งมีแต่จะกรี๊ดใส่นี่ยะ”

“กรี๊ดอะไร ไม่ใช่ทุกคนสักหน่อย” ตอบกลับไปอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงนัก

ตลอดสองปีที่ทำงานที่นี่ หญิงสาวมักบ่นกับเพื่อนเสมอว่าเมื่อไหร่บอสเจ้าระเบียบชาวฟิลิปปินส์จะถูกส่งกลับประเทศไปเสียที แต่พอถึงเวลานั้นเข้าจริงๆ แถมบริษัทแม่ยังส่งบอสหนุ่มผมทองตาสีฟ้าน้ำทะเลมาให้ เธอกลับปิดข่าวเงียบสนิท ไม่บอกใครสักคน

เพราะใครๆ ต่างก็รู้ว่าสอางค์สาวมั่นประกาศอย่างเป็นทางการตั้งแต่สมัยเรียนแล้วว่าสเป็กหนุ่มในฝันต้องเป็นฝรั่งตัวสูง ร่างใหญ่ จูงหมาลาบราดอร์เดินเล่นในสวนตอนเช้าเท่านั้น ถึงขนาดเจ้าตัวเลือกเรียนเอกภาษาอังกฤษและเข้าทำงานในบริษัทต่างชาติก็เพราะหวังไว้ว่าสักวันหนึ่ง ถ้าสวรรค์มีตาคงเห็นความสามารถและส่งเธอไปยังโลกกว้างใบใหม่ ในวงเล็บว่าจะต้องมีหนุ่มหล่ออย่างคริส อีแวนส์รออยู่ด้วยนะ

“หรือเขาพุงโร หัวล้าน หน้าตาน่าเกลียด” เพื่อนสาวตั้งข้อสันนิษฐาน

“เปล่า…”

“งั้นก็แสดงว่าหน้าตาดี”

“ก็…ดี” ตอบอย่างเสียไม่ได้

“แล้วทำไมล่ะ หรือเขามีเมียหุ่นนางแบบ แถมลูกชายน่ารักอีกสองคน”

“โสดสนิทเลยต่างหาก” เท่าที่รู้มาน่ะนะ

“งั้น…หรือว่าเขาเป็นเกย์” ปลายสายสรุปเอาง่ายๆ

“ใช่ที่ไหนเล่า”

“อ้าว แล้วทำไมเขาถึงไม่น่าสนสำหรับแก”

“ก็…ความเข้าใจภาษาไทยเขาดีเกินไป” คำตอบเฉไฉยิ่งทำเอาองค์อรงงเป็นไก่ตาแตก

“ฮะ ความเข้าใจอะไรของแก ฝรั่งครบสูตรเขาห้ามเว้าไทยหรือไง”

“ไม่ใช่อย่างนั้น จะให้บอกไงดี คือ…ไอ้เวลาปกติน่ะ เขาก็พูดไทยบ้าง อังกฤษบ้าง แต่เรื่องฟังเนี่ย อย่าได้นินทานะแก รู้หมดทุกคำ ยังกะอยู่เมืองไทยมาสักสิบปี ทั้งที่เพิ่งถูกส่งตัวมาแท้ๆ แล้วอาทิตย์ก่อนนะเขาวิจารณ์โปรเจ็กต์ของฉันกลางที่ประชุมเสียไม่มีดี ทั้งที่ฉันอดหลับอดนอน ตาเป็นหมีแพนด้ามาตลอดทั้งเดือน แถมยังสั่งให้อยู่แก้โปรเจ็กต์กับเขาทุกเย็นอีก จะบ้าตาย”

“เหตุผลล่ะ”

“เหตุผลน่ะเหรอ ‘ผมต้องการงานที่เพอร์เฟ็กต์’ ” หญิงสาวดัดเสียงต่ำอย่างหมั่นไส้ “บ้าอำนาจจะตาย อีตานี่น่ะ”

พอได้พูดแล้วก็เหมือนไม่มีอะไรมารั้งการเม้าท์ของเธอไว้ได้อีก สอางค์ใส่อารมณ์เล่าต่อเป็นฉากๆ โดยไม่รู้เลยว่าพายุร้ายกำลังจะพัดเข้ามาในอีกไม่กี่นาทีนี้

“เขาร้ายกะฉันมากนะส้ม ภายใต้รอยยิ้มสดใสแบบ ‘เมกันจ๋า’ ผู้ชายแบบเขาไม่ต่างอะไรจากหนุ่มเอเชียที่ยังชอบกดผู้หญิงไว้ใต้เข็มขัดหรอก” คำอธิบายของสอางค์เล่นเอาอีกฝ่ายหัวใจแทบหล่นไปที่ตาตุ่ม

“เดี๋ยวนะ นี่แกอย่าบอกนะว่า…แกกับเขา”

“ฉันกับเขาอะไร” พอไล่ตามความคิดเพื่อนทันก็โวยลั่น “จะบ้าเหรอ! ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันหมายถึงกดขี่การออกความคิดเห็นน่ะ ประมาณว่าผู้ชายถูกเสมอ ผู้หญิงจะไปรู้อะไรทำนองนั้น”

“อ๋อ…แล้วไป”

“แล้วบอสฉันน่ะนะ นายโทมัส แบรนดอน หนุ่มอเมริกันวัยสามสิบ สถานภาพโสด จบโทสองใบ ทำงานในบริษัทแม่มาสี่ปี ได้เลื่อนขั้นตลอด ทุกอย่างเลิศหมด อนาคตสดใส แต่พี่แกดันคิดแผลงๆ ย้ายตัวเองมาประจำสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเหตุผลแบบฝรั่งผู้แสวงหาความท้าทายอะไรของเขานั่นแหละ แถมเข้าใจภาษาไทยดีเกิ๊น ไม่รู้หัดมาจากไหน ป้าแม่บ้านชอบบอกว่าเขาอัธยาศัยดี ดีตายล่ะ เขาน่ะ…”

“ทำไม”

“เป็นมนุษย์ชอบจับผิดน่ะสิ!”

“อ้าว เป็นงั้นไป”

“เออสิ แล้วถ้าเขาจับผิดทุกคน ฉันจะไม่บ่นสักคำเลย นี่อะไรจับผิดแต่ฉัน ทั้งตอนประชุม ทั้งงานเอกสารเล็กๆ น้อยๆ เขาว่า ‘คุณสอางค์ ภาษาอังกฤษของคุณดีมาก ผมยอมรับ แต่ความรอบคอบของคุณเอาไปศูนย์คะแนน ทำงานที่นี่มาตั้งหลายปี น่าจะรอบคอบให้มากกว่านี้หน่อยนะ ไปแก้คำผิดสิบที่นั่นมาใหม่แล้วเอากลับมาให้ผมดูภายในยี่สิบนาทีนี้’ ” สอางค์ดัดเสียงต่ำ เลียนท่าเหมือนตอนเขาพูดเป๊ะ “หมั่นไส้! ตานั่นเคร่งยิ่งกว่าซิสเตอร์สมัยเรียนอีกนะส้ม”

“โธ่ เอิง ไม่เอาน่า เขาอาจจะอยากให้งานออกมาดีจริงๆ ก็ได้”

“เหอะ เขาน่ะปีศาจชัดๆ Devil wears Prada Gucci Armani Whatever เลย!” สอางค์ใส่อารมณ์ทุกคำด้วยความหงุดหงิด

และเพราะมัวแต่เม้าท์อยู่ใต้โต๊ะ จึงไม่ได้สัมผัสถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปรอบตัว รวมทั้งใครบางคนที่มายืนฟังเธอร่ายประวัติเจ้านายใหม่ยาวเหยียดตั้งแต่ต้น

“เนี่ย เดี๋ยวก็ต้องเข้าไปเจอปีศาจอีก บอกเลยว่าเบื่อมาก เขาน่ะ…”

พอหญิงสาวอ้าปากจะเม้าท์ต่อ เสียงทุ้มต่ำที่เจ้าตัวเพิ่งเลียนแบบไปเมื่อกี้ก็ดังขึ้น

“ผมเป็นปีศาจอย่างนั้นหรือคุณสอางค์”

“ฉิบ…บอส!” หญิงสาวอุทานออกมาเสียงดัง แต่ยังไม่ยอมออกมาจากหลุมหลบภัย เธอคิดว่าถึงโต๊ะจะเล็ก แต่ก็ยังช่วยกันเจ้าของเสียงดุๆ นั่นได้แหละน่า

“ออกมาพูดกับผมด้วย คุณสอางค์ วรรักษ์”

พอโดนเรียกเต็มยศ ร่างบางจึงกรอกเสียงลงโทรศัพท์ในมือว่า “แค่นี้ก่อนนะส้ม ถ้ารอดตายจะโทรกลับไปนะ”

สอางค์ค่อยๆ ดันเก้าอี้ออก โผล่หน้าขึ้นมาส่งยิ้มแห้งๆ ให้เขา แต่คนตรงหน้าไม่ยิ้มตอบเลยสักนิด แถมมองเธออย่างไร้อารมณ์ที่สุดด้วย

“ขอบคุณที่ชมผมเรื่องภาษา…” เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตาแทบจะเผาเธอให้ไหม้เป็นตอตะโก

ไอ้ที่พูดแบบนี้ก็แสดงว่ายืนฟังเธออยู่นานแล้วน่ะสิ

เวรกรรมล่ะฉัน ให้ตายเหอะยายเอิงเอ๊ย…เตรียมหาลังเก็บของรอได้เลย โดนไล่ออกแหงแซะ

“แต่ผมต้องการคำอธิบายเรื่องที่คุณกล่าวหาว่าผมเป็นปีศาจตอนเราแก้โปรเจ็กต์กันอีกครั้ง…ในอีกห้านาทีนี้ ถ้างานของคุณเสร็จทันนะ”

เขาปรายตามองกองกระดาษรกเกลื่อนโต๊ะด้วยสายตาค่อนไปทางตำหนิ

“ค่ะ บอส” ตอบแล้วรีบกวาดทุกอย่างมากองรวมกันเท่าที่จะทำได้

ชายหนุ่มเดินกลับห้องตัวเองพร้อมเสียงถอนหายใจจากพนักงานแถวนั้นดังขึ้นพร้อมๆ กัน หลังประตูห้องเจ้านายปิดลง สายตาทุกคู่จ้องมาที่เธอเป็นจุดเดียว

“มองอะไรกันยะ ทำงานของตัวเองไปสิ” โวยแก้เก้อแล้วกระแทกตัวลงนั่ง ก้มหน้างุด ไม่มองใครอีก

ไม่เอาแล้ว…ลาออกดีกว่า ถ้าโดนว่าอีกครั้ง จะลาออก ไม่อยู่แล้ว…เจ้านายฟิลิปปินส์ว่าระเบียบจัดแล้ว ยังสู้อีตานี่ไม่ได้เลยสักนิด

บ่นในใจอย่างคนไม่เคยโทษตัวเอง

หรือจะแอบหนีกลับไปก่อนดี…ยังไงงานก็ไม่ผ่านแน่ๆ แต่ถ้าไม่อยู่ให้เห็นหน้าก็ต้องโดนหมายหัว เตรียมหาที่ทำงานใหม่ได้เลยเหมือนกัน

จะเอายังไงดีล่ะ ยายเอิง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 .. 64 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: