X
    Categories: ความรู้สึกดีที่เรียกว่ารักทดลองอ่านบอสหน้าตายกะยัยสอางค์

ทดลองอ่าน บอสหน้าตายกะยัยสอางค์ บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 8

3

“บอสว่าอะไรนะคะ” หญิงสาวถามย้ำ ต้องการความแน่ใจ

“คุณเป็นคนพูดเองว่าภาษาไทยผมดีไม่ใช่เหรอ ผมกำลังชวนคุณกินข้าวคุณสอางค์” เขาตอบกลับด้วยสีหน้าตายสนิท เหมือนกำลังพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศมากกว่าชวนสาวไปไหน

“ฉัน? ฉันเนี่ยนะ? ฉันไม่เคยเห็นบอสกินข้าวเลยด้วยซ้ำ ยังคิดอยู่เลยว่าบอสชาร์จแบตฯ กับ…ช่างเถอะค่ะ แล้วทำไมต้องมาชวนฉันด้วย”

สอางค์ออกอาการพาลนิดๆ เวลาช่วงเย็นของเธอทั้งอาทิตย์จะโดนเขาผูกขาดไปตลอดเลยหรือยังไงกัน

“ว่าไงคะบอส”

“มันไม่ลำบากไม่ใช่หรือ กับการไปนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนผม”

คำตอบของเขาทำให้สอางค์คันปากยิบๆ

จะให้เถียงออกไปอย่างที่ชอบทำกับตาเฉื่อยคงไม่ดีนัก อย่างน้อยเขาตำแหน่งสูงกว่าเธอ อาจจะต้องเกรงใจอยู่สักหน่อย

“ก็ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกค่ะ แต่มันเป็นความพอใจส่วนบุคคล” คำสุดท้ายเธอย้ำชัดเพื่อให้เข้าใจตรงกัน

บอสหนุ่มยืนพิงขอบโต๊ะ ยกมือกอดอก พูดด้วยท่าทีสบายๆ ดูก็รู้ว่าพยายามคุมเกมเธออยู่

“คุณไม่พอใจที่ต้องไปกินข้าวกับผมเหรอคุณสอางค์”

“ค่ะ” ตอบออกไปอย่างหนักแน่น

“เหตุผลล่ะ”

“ความสบายใจ ทำไมต้องมีเหตุผลด้วยคะ”

“ไม่ใช่เพราะคุณเกลียดขี้หน้าผมหรอกนะ” ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลมองเธออย่างจับผิด

หญิงสาวเสมองไปทางอื่น มือรูดซิปปิดกระเป๋าเพื่อถ่วงเวลา

ใครจะไปกล้าตอบตรงๆ ยิ่งถูกมองแบบนั้นยิ่งหายใจไม่ทั่วท้องเข้าไปใหญ่

แล้วเรื่องนี้ไม่ใช่งานที่ต้องฟังคำบัญชาจากเขาด้วย

“ฉันถือว่า…นอกเวลางาน ขอไม่ทำตามคำสั่ง เอ๊ย คำขอของบอสแล้วกันค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”

ตอบไปแล้วนึกว่าเขาจะโกรธ แต่ชายหนุ่มเพียงแค่ยักไหล่ บอกว่า “ก็ได้ ไม่เป็นไร”

ร่างสูงขยับยืนตรงแล้วเดินกลับห้องตัวเอง ปล่อยให้คนหน้าเหวอกลายเป็นคนถูกชวนเสียเอง

“บทจะไปก็ไปเอาดื้อๆ อะไรของเขาเนี่ย”

บ่นขมุบขมิบอยู่สองคำแล้วชะงัก เมื่อเจ้านายเปิดประตูกลับออกมา มองเธอเหมือนคนเพิ่งคิดอะไรได้ แล้วพูดขึ้นว่า

“เมื่อกี้ผมบอกคุณไปหรือยังว่าจะชวนไปกินโอมากาเสะ” เขาพูดหน้านิ่ง น้ำเสียงเรียบเฉยเหมือนสิ่งที่บอกไม่ได้สลักสำคัญอะไร ก่อนระบุชื่อร้านที่ไม่ใช่ว่าใครจะจองได้ให้เธอฟัง

โอมากาเสะ…ที่ร้านนั้น

เชฟมือทองเลยนะ โอ๊ย…

“ฉันไม่ได้ชอบ…อาหารญี่ปุ่น…เท่าไหร่หรอกค่ะ” เธอกัดฟันตอบไปแต่ละคำด้วยความเสียดาย

คนทั้งบริษัทรู้ ถ้ามีเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นที่ไหน สอางค์ต้องยกมือพร้อมเสนอชื่อร้านเป็นคนแรกเสมอ แต่เรื่องอะไรจะให้เขาเอาอาหารสุดโปรดมาล่อได้ล่ะ

ใจแข็งไว้ อย่าเห็นแก่อูนิ อย่านึกถึงโอโทโร่หรือคุรุมะเอบิ อย่านึกนะ อย่านึก!

“งั้น…ไม่เป็นไร ผมอาจจะเข้าใจผิด เห็นมีคนบอกว่าคุณชอบอาหารญี่ปุ่น”

สอางค์กัดริมฝีปากแน่น ฝืนยิ้มแห้ง กลับลำตอนนี้ไม่ได้แล้วจริงๆ

“ฉันไม่ได้ชอบหรอกค่ะ อาหารจืดๆ พวกนั้น”

เจ้าของผมสีน้ำตาลอ่อนเพียงแค่พยักหน้า แล้วเดินออกจากออฟฟิศไป ทิ้งให้สอางค์ทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ ทุบโต๊ะด้วยความเจ็บใจ

โธ่เอ๊ย ทำไมไม่บอกแต่แรกว่าจะพาไปกินโอมากาเสะเล่า!

อด! บอกได้คำเดียวว่าอด ยายเอิง ห้ามเสียดายเป็นอันขาดนะ ห้ามเด็ดขาดๆ

บอสนะบอส ถ้าบอกแต่แรก จะไม่เล่นตัวให้เสียดายแบบนี้เลย

ยายเอิง ปากแข็งแล้วใจต้องแข็งด้วยสิ อย่าเห็นแก่กินเชียวนะ

เธอย้ำกับตัวเอง ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าอาหารญี่ปุ่นร้านนั้นเยี่ยมแค่ไหน

 

สอางค์เดินคอตกออกจากลิฟต์ ตรงไปยังป้ายรถเมล์อย่างหมดอาลัยตายอยาก ท้องฟ้าสีเทาครึ้มในช่วงเย็นมาพร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังอยู่สองสามครั้ง แกล้งให้คนยืนรอรถเมล์ใจหายเล่นได้ไม่ยาก ใครพกร่มติดกระเป๋าไว้ก็เริ่มหยิบขึ้นมาเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ ส่วนคนที่ไม่มีก็เริ่มเบียดตัวเองเข้าใต้อาคารบ้าง ร่มไม้บ้าง แบ่งๆ กันไป

และเนื่องจากเธอมาทีหลัง จึงได้เพียงแค่ร่มไม้โปร่งๆ ช่วยกำบังเท่านั้น หญิงสาวกอดกระเป๋าหนังราคาแพงไว้กับอก ตัวเธอจะเปียกยังไงก็ไม่สน แต่ค่าอาหารสี่เดือนที่เสียไปกับกระเป๋าใบนี้ จะบุบสลายเพราะฝนไม่ได้เป็นอันขาด

“ขอร้อง…อย่าตกลงมาเลยนะ ลูกช้างอยากกลับบ้านตัวแห้งๆ อย่าแกล้งกันเลยนะท่านนะ”

แต่ดูเหมือนพระพิรุณจะไม่เข้าข้างเธอเอาเสียเลย เพราะพอสิ้นคำอ้อนวอน สายฝนก็ตกลงมาทันที แบบเทกระหน่ำไม่ยั้ง ลูกรักในอ้อมกอดจึงถูกละอองฝนอย่างช่วยไม่ได้

“ไม่นะ…” กรีดร้องไปก็เท่านั้น เพราะไม่ว่าคนหรือกระเป๋าก็เปียกอยู่ดี

รถเมล์คันแล้วคันเล่าผ่านหน้าไป แต่ไม่มีคันไหนที่หญิงสาวพอจะแทรกตัวขึ้นไปได้เลยสักคันเดียว

“โอ๊ย…” หญิงสาวร้องเสียงหลง เมื่อป้าร่างยักษ์เหยียบเท้าเข้าเต็มแรง ร่างบางกระโดดหย็องแหย็งเข้าข้างทาง ไม่ทันจะอ้าปากด่าให้เจ็บๆ คันๆ รถเมล์คันนั้นก็แล่นจากไป ทิ้งไว้เพียงความเจ็บใจกับร่างที่เปียกปอน

“ซวย ซวยอะไรอย่างนี้ เพราะบอสคนเดียวเลย”

สอางค์กระจายแรงอาฆาตไปถึงคนที่ป่านนี้อาจจะกำลังนั่งกินโอมากาเสะสบายใจเฉิบ ปล่อยให้เธอต้องมาเผชิญกับสายฝน ไม่ต่างอะไรกับลูกหมาตกน้ำอยู่หน้าบริษัท

ระหว่างโมโหอยู่นั้น รถสีน้ำเงินเข้มคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดตรงหน้า หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ยกมือปัดเส้นผมที่เปียกลู่ยุ่งเหยิง เพื่อดูให้ชัดว่าเป็นรถของใคร

กระจกรถค่อยๆ เลื่อนลง เผยให้เห็นใบหน้าคนขับที่เธออยากจะหนีไปให้ไกล

“Get into the car.” เสียงเข้มดังออกมา แต่หญิงสาวก้มลงมอง ส่ายหน้าดิก

“เชิญบอสเถอะค่ะ”

“ขึ้นมาเร็ว ข้างหลังเขาบีบแตรไล่แล้วเห็นมั้ย” ชายหนุ่มตะโกนแข่งกับเสียงฝน

“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ บอสไปเถอะ” ไม่พูดเปล่า โบกมือไล่ส่งเสียอีก

แต่แทนที่เจ้านายของเธอจะออกรถ เขาทำเพียงนั่งพิงเบาะเฉยไม่พูดไม่จา สอางค์เหลือบมองรถคันหลังอย่างหวาดๆ พอเห็นคนขับไม่เพียงบีบแตรไล่ แต่ลดกระจกลงมาด่า หญิงสาวจึงรีบเปิดประตูก้าวขึ้นรถเจ้านาย เพราะกลัวจะโดนอะไรมากกว่าคำผรุสวาท

“ก็แค่นี้” ชายหนุ่มหันมาดุอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนออกรถไปตามถนนสายหลักใจกลางกรุงเทพมหานคร

 

สอางค์มองไปรอบรถ ทุกอย่างดูเนี้ยบและเป็นทางการเสียจนเธอนั่งตัวลีบ แผ่นหลังไม่แตะเบาะด้วยซ้ำเพราะกลัวเสื้อผ้าตัวเองจะไปทำให้อะไรเปื้อน หญิงสาวใช้มือค่อยๆ ปาดหยดน้ำที่เกาะพราวบนกระเป๋าใบรักอย่างระมัดระวัง

เจ้าของรถเหลือบมองคนนั่งข้างๆ แล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เธอรับมาพร้อมคำขอบคุณ แต่แทนที่จะเช็ดหน้าเช็ดตากับผมเปียกลู่ติดแก้ม สอางค์กลับเอามาเช็ดกระเป๋าในมือเสียแทน

“That’s for you, not your handbag.”

“หน้าฉันไว้ทีหลังได้ค่ะ แต่หนังแท้เนี่ยรอไม่ได้” หญิงสาวบอกเสียงหนักแน่น ค่อยๆ บรรจงเช็ดกระเป๋าอย่างเบามือ

คนมองได้แต่ส่ายหน้า ละสายตาจากคนหวงกระเป๋าไม่เข้าเรื่องมาที่ถนนอีกครั้ง

“บอสส่งฉันลงป้ายไหนที่ว่างๆ ก็ได้นะคะ เดี๋ยวฉันขึ้นแท็กซี่กลับเอง”

“เปียกขนาดนี้แล้วจะลงไปตากฝนอีกทำไม”

“ก็…” หญิงสาวเถียงไม่ออก แถมเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำยังเริ่มทำให้รู้สึกหนาวขึ้นมานิดๆ

ร่างสูงสังเกตเห็น จึงใช้จังหวะที่รถติดไฟแดง หยิบเสื้อนอกจากเบาะหลังส่งให้

“ใส่ซะ” เขาออกคำสั่งห้วนสั้น ให้ความรู้สึกเผด็จการมากกว่าหวังดี จนเธออดค้อนไม่ได้

“อย่าเลยค่ะ เสื้อแพงๆ ฉันไม่มีปัญญาจ่ายค่าซักรีดให้หรอก”

“ไม่แพงกว่ากระเป๋าของคุณหรอก รับไป ผมยังต้องใช้มือขับรถอยู่”

หญิงสาวอิดออดอยู่เพียงครู่เดียว ความหนาวที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้จำยอมคว้าเสื้อตัวนั้นมาสวมไว้ พร้อมกล่าวขอบคุณอย่างเสียไม่ได้

โทมัส แบรนดอนเหลือบมอง พูดขึ้นลอยๆ อย่างจงใจให้เธอได้ยินว่า “คำขอบคุณไม่เห็นดังเหมือนตอนแก้ตัวเลยนะ”

สอางค์กลอกตา พูดด้วยเสียงที่ดังขึ้น “ขอบคุณค่ะ”

จากหางตา เธอแน่ใจว่าเขากำลังยิ้มอยู่เป็นแน่

“บ้านคุณอยู่ที่ไหน”

“แล้วบอสไม่ไปกินโอมากาเสะแล้วหรือคะ” หญิงสาวยังไม่ได้ละความคิดจากอาหารสุดโปรดนั่นเสียทีเดียว

“ไม่ล่ะ ผมไม่ได้ชอบอาหารจืดๆ พวกนั้นเหมือนกัน” เขายกคำของเธอมาเหน็บคืนบ้าง

สอางค์กลืนน้ำลายอย่างเสียดาย

แต่ก็นะ…คนอย่างเขาจะกินของดีของแพงเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว

“ว่าไงครับคุณสอางค์ บอกได้หรือยังว่าบ้านคุณอยู่ที่ไหน”

เอาน่า ได้เจ้านายมาเป็นแท็กซี่ก็สบายดี จะเกี่ยงหาเรื่องลงไปตากฝนเล่นให้เป็นปอดบวมอีกทำไมยายเอิง

คิดได้ดังนั้น เธอจึงตัดสินใจบอกเส้นทางกลับบ้านแก่เขาอย่างไม่อิดออด

 

ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง รถของเขาก็เข้ามาจอดหน้าบ้านสองชั้น ล้อมรั้วด้วยกำแพงอิฐสูง พุ่มดอกแก้วริมรั้วส่งกลิ่นหอมอวลลอยมาตามไอฝน

สอางค์หันไปถอดเสื้อนอกส่งคืนให้เขา กล่าวขอบคุณอย่างสุภาพแล้วเปิดประตูลงจากรถ

บอสหนุ่มนั่งคิดอยู่อึดใจ ก่อนก้าวตามลงมาดักเธอที่หน้าประตูรั้ว

“มีอะไรเหรอคะบอส”

และเพราะเจ้าตัวใช้ทิชชูเปียกเช็ดเครื่องสำอางที่เลอะจากสายฝนออกบางส่วนระหว่างอยู่บนรถ ใบหน้าที่เงยถามจึงดูเกลี้ยงเกลาน่ามอง แม้ริมฝีปากสีสดจะบึ้งนิดๆ และคิ้วขมวดเข้าหากันก็ตามที

“คุณจะไม่เชิญผมเข้าบ้านหน่อยเหรอ”

“คะ?”

“ผมขับรถมาส่งคุณตั้งไกล หิวจะแย่ กาแฟรองท้องสักแก้วก็ยังดี” ชายหนุ่มครวญ สลัดคราบเจ้านายผู้แสนเคร่งขรึมทิ้ง

“บอสก็รีบกลับไปหาอะไรกินสิคะ จะมาขอกาแฟแค่แก้วเดียวทำไม”

เรื่องอะไรจะให้เข้าบ้าน อาสามาส่งเอง ไม่ได้ขอร้องให้มาสักหน่อย

“ใจร้ายจัง” เขาบ่นในลำคอ เสมองไปทางตัวบ้าน มองผ่านหน้าต่างเข้าไป แอบเห็นว่ามีใครกำลังเดินออกมา

“อะไรกันล่ะคะ บอสเองที่…”

ยังไม่ทันได้เถียงต่อ เสียงทักทายจากตัวบ้านก็ดังแทรกขึ้นมา

“อาเอิงกลับมาแล้วเหรอ เข้าบ้านๆ พาใครมาด้วยล่ะนั่น” หญิงชราท่าทางใจดี สวมเสื้อคอจีนตัวหลวมตัดด้วยผ้าแพรตะโกนถามเสียงดังลั่น

โทมัส แบรนดอนยิ้มกว้าง ก้มหัวแล้วยกมือไหว้ เป๊ะทุกองศา สวยกว่าคนไทยบางคนเสียอีก

“สวัสดีครับ ผมเป็นเจ้านายของสอางค์ครับ” ชายหนุ่มตะโกนตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดี

ตัวบ้านกับรั้วค่อนข้างไกล เจ้าของสายตาฝ้าฟางจึงมองเห็นคนพูดได้ไม่ถนัดนัก แต่พอได้ยินว่าเป็นเจ้านายของหลานสาวก็ยิ้มรับอย่างเป็นกันเอง

“ลีๆ คุงเจ้านาย อาเอิงอย่ามัวแต่ยืนเป็นปลาแช่แข็ง เชิงคุงเขาเข้ามาสิ”

“ไม่ต้องมั้งคะอาม่า เจ้านายเอิงเขาจะกลับแล้ว” เธอตะโกนบอกทั้งอาม่าและเขา แต่คนตัวสูงกลับยิ้มอย่างเป็นต่อ

“ไม่ล่าย เชิงมาๆ มาถึงบ้านแล้ว ให้เจ้านายอีเข้ามาก่อน”

สอางค์มองหน้าฝรั่งตัวโตยืนยิ้มกริ่มแล้วได้แต่ถอนใจ

“ค่า…อาม่า” หญิงสาวกัดฟัน เปิดประตูรั้วเดินนำเขาเข้าไปในบริเวณบ้าน

อาม่าขยับแว่นตามองหน้าเจ้านายของหลานสาวอีกครั้ง พอเห็นชัดว่าร่างสูงใหญ่ที่ต้องแหงนหน้าขึ้นมองเป็นใคร แกก็อุทานลั่น เล่นเอาสองหนุ่มสาวตกใจตามไปด้วย

“ไอ้หยา ยักษ์ฝาหรั่งนี่หว่า ซี้เลี่ยวๆ อั๊วพูดปะกิดเป็นที่หนายอาเอิง”

“โธ่ อาม่าคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เจ้านายเอิงพูดไทยได้ เมื่อกี้เขายังทักอาม่าอยู่เลยนี่คะ” สอางค์ยิ้ม อธิบายกับญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกับเธอ

หญิงชราหรี่ตามองชาวต่างชาติที่สูงใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่นอย่างไม่เชื่อนัก

“ผมพูดไทยได้ครับ” เขาก้มลงบอกหญิงชราด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าเคย เป็นโทนเสียงที่สอางค์เพิ่งจะเคยได้ยินวันนี้เช่นกัน

“อีพูดไทยล่ายจริงๆ ล่วย” อาม่าหันไปพยักพเยิดกับหลานสาว แล้วส่งยิ้มให้เขาอย่างเบาใจ

“ว่าแต่ลื้อไปทำไรมาอาเอิง ทำไมเปียกปอนอย่างนี้”

“โดนฝนตอนรอรถเมล์ค่ะ บอสเห็นเลยรับมาส่ง”

“ขอบใจนะคุงเจ้านาย ใจดีจริงๆ เลย”

ชายหนุ่มเพียงแค่ยิ้มรับ ถึงจะแอบเห็นเธอกลอกตา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

สอางค์เหลียวมองรอบตัวเหมือนกำลังหาใครสักคน ก่อนหันมาถามอาม่าซึ่งยังคงมองเจ้านายของเธอไม่วางตา “พวกลิงซนหายไปไหนกันคะเนี่ย บ้านเงียบเชียว”

“อาพุดอีเอาไปอาบน้ำข้างบน เดี๋ยวก็คงลงมา”

เห็นชายหนุ่มทำหน้างง เธอจึงอธิบายว่า “หลานๆ ของฉันน่ะค่ะ พอดีพี่ชายลงไปทำธุระที่ต่างจังหวัด เลยเอาพวกลิงซนมาฝากไว้ ปกติบ้านนี้มีแค่ฉัน อาม่า แล้วก็แม่บ้านแค่สามคนค่ะ”

เจ้านายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนหันไปมองทางบันไดเมื่อมีเสียงตึงตังดังมาจากชั้นบน

“พูดไม่ทันขาดคำ”

ร่างเล็กๆ ของเด็กสามคนแย่งกันวิ่งตึงตังลงมา พร้อมเสียงโวยวายจากแม่บ้านที่ดังตามหลังมาด้วย

“คุณเล็กคุณใหญ่ใส่เสื้อก่อนค่ะ แป้งเลอะเต็มบ้านหมดแล้ว”

“พุดแก่แล้วนี่ วิ่งตามเขาไม่ทันหรอก แบร่ๆ” เด็กชายตัวผอมหัวเราะร่วน ตะโกนมาจากหัวบันได พร้อมวิ่งกระโจนลงมาเมื่อเห็นใครยืนอยู่กับอาม่า

“พี่ใหญ่ น้องหลิง โกวเอิงกลับมาแล้ว”

“เย้!” เด็กน้อยทั้งสามวิ่งปรู๊ดมาหาเธอ คนเล็กเกาะแขนซ้าย คนโตเกาะแขนขวา คนกลางกระโดดหย็องแหย็งอยู่ตรงหน้า สร้างเสียงหัวเราะให้อาสาวได้พอๆ กับอาการปวดหัวเลยทีเดียว

“ขนมล่ะคะโกวเอิง ไหนวันนี้ว่าจะซื้อขนมมาให้หลิงไง” เด็กหญิงแก้มยุ้ย หลานคนโปรดอ้อนขอเป็นคนแรก พี่ชายทั้งสองไม่ยอมน้อยหน้า ตะโกนแข่งขึ้นมาบ้าง

“ของใหญ่ล่ะครับ”

“ของเล็กล่ะครับ โกวเอิง”

หญิงสาวมองซ้ายมองขวา ไม่รู้จะตอบใครก่อนดี อาม่าเห็นท่าจะไม่ไหว เลยเดินเข้ามาเขกหัวพวกเด็กๆ พร้อมกับเอ็ดว่า “เบาๆ หน่อยพวกลื้อสามคน ไม่เห็นหรือไงว่าอาโกวมีแขก ดูสิ ผ้าผ่อนก็ไม่ใส่ บ้านช่องเลอะแป้งไปหมดเลี้ยว”

พุดที่เพิ่งตามมาสมทบทีหลังนั่งถอนหายใจ สอางค์จึงดึงเสื้อจากมือแม่บ้านมาถือไว้เสียเอง

“มาจ้ะพุด ฉันช่วย”

อาม่าเอ็ดเหลนแล้วหันไปเอ็ดแม่บ้านซึ่งพ่วงตำแหน่งพี่เลี้ยงด้วยในช่วงนี้ว่า “อาพุด ลื้อนี่น้า ดูเด็กแค่สามคน ทำไมถึงได้ปล่อยให้เลอะทั่วบ้านแบบนี้”

“คุณๆ แกดื้ออย่างกับลิง วิ่งไล่ทันเสียที่ไหนคะอาม่า”

“ไม่เป็นไรค่ะอาม่า เดี๋ยวเอิงจัดการเอง ตี๋ใหญ่ตี๋เล็กใส่เสื้อก่อนเร็ว”

“ค้าบ”

หญิงสาวยื่นเสื้อให้เด็กชายสองคนสวมแล้วหันไปอุ้มหลานสาวที่แต่งตัวเรียบร้อยอยู่คนเดียวขึ้นมาหอมแก้ม แต่เจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดเบี่ยงหนี

“อี๋…โกวเอิงตัวเปียก น้ำก็ไม่อาบ” เด็กหญิงย่นจมูก โบกไม้โบกมือ หัวเราะคิกคัก

“อะ โทษทีจ้ะ โกวลืมไป” เธอวางหลิงลงกับพื้น จูงมือสองหนุ่มมายืนตรงหน้าเจ้านายที่ดูเหมือนจะถูกกันออกไปเป็นคนนอกหลังเด็กๆ วิ่งเข้ามา

“นี่หลานของฉันค่ะ ตี๋ใหญ่ ตี๋เล็ก แล้วก็อาหลิง เด็กๆ สวัสดีเจ้านายของโกวเร็ว”

ตัวป่วนทั้งสามเงยหน้า เบิกตากว้างตะลึงกับความสูงใหญ่ ก่อนหันไปซุบซิบสบตา อมยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วยกมือไหว้อย่างพร้อมเพรียง แต่แกล้งพูดไม่ชัดว่า

“ซาหวักลีครับ/ค่ะ คุณบอสจอมโหด!”

คำทักทายทำเอาชายหนุ่มปั้นหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะบึ้งหรือยิ้มดี

หญิงสาวกระแอมเหมือนมีอะไรติดคอ ก่อนก้มลงไปดุสามหน่อแก้เก้อ “พวกเรานี่ ดูละครตอนเย็นอีกแล้วใช่มั้ย จำอะไรมาก็ไม่รู้”

“ใครบอก จำมาจากโกวเอิงต่างหาก” ตี๋เล็กว่า

คนที่โดนหางเลขจากเด็กจอมยุ่งทำได้แค่ฉีกยิ้มแห้ง ก้มลงไปส่งสายตาคาดโทษกับหลานชายหลานสาว แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะแต่ละคนลอยหน้าลอยตา ไม่กลัวเธอเลยสักนิด

“ใหญ่จำได้ โกวเอิงชอบบ่นเรื่องเจ้านายฝรั่งโหดๆ ไม่ก็บอสหน้าดุประจำเลย” เด็กชายคนโตซึ่งดูใจกล้าที่สุดเล่าด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว

“หรือครับ” เขาแกล้งเลิกคิ้วถาม

ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับคำพูดนั้นเลยสักนิด เพราะขนาดเพื่อนยังเล่าเป็นไฟ แล้วที่บ้านจะเหลืออะไร

“ค้าบ โกวเอิงบอกว่าเจ้านายน่ะหน้าตาดี แต่ใจร้าย แล้วยังบอกด้วยว่า อุ๊บ…”

สอางค์ดึงหลานชายตัวดีมาปิดปากไว้ “ตี๋ใหญ่…ไว้หน้าโกวบ้าง”

เด็กน้อยดิ้นขลุกขลัก เถียงเสียงอู้อี้ในมือเธอ “ก็…โกว…พูด…จริงๆ…นี่”

นั่น…

เธอลอบมองเจ้านาย เห็นเขากลั้นยิ้มไม่พูดอะไร ก็ใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่ง

“พุดจ๊ะ” เธอหันไปเรียกแม่บ้าน มือยังปิดปากเจ้าตัวแสบไว้แน่น “ไปชงกาแฟให้บอสเขาหน่อย ไม่ต้องใส่ทั้งครีมทั้งนมนะ”

ถึงจะบ่นเรื่องเจ้านายให้คนรอบตัวฟัง แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของเขาโดยไม่รู้ตัว

“ขอบคุณที่จำได้”

“ก็…ไม่ได้จำยากอะไรนี่คะ โดนบังคับให้ชงอยู่ทุกเย็น แล้วถ้าบอสจะกลับหลังดื่มกาแฟแก้วนี้ ก็เชิญได้เลยนะคะ”

เจ้าของบ้านออกปากไล่แบบไม่เกรงใจ ส่งผลให้หญิงชราที่ยืนอยู่ใกล้เอื้อมมือมาหยิกต้นแขนแรงเสียจนเกือบสะดุ้ง

“เจ้านายอีมาส่งถึงบ้าน จะให้ไล่กลับได้ยังไง เชิงค่ะเชิง กิงข้าวกิงปลาด้วยกันก่อน อาเอิงอีทำกับข้าวอร่อยฮ่ะ”

“อาม่า”

“ขอบคุณครับ…อาม่า”

ชายหนุ่มผสมโรงเรียกตามคนในบ้าน ไม่สนใจตาเขียวๆ ที่ส่งกลับมา เมื่อหันไปอีกทาง จึงเห็นเด็กทั้งสามเงยหน้าจ้องเขาอยู่ด้วยความสนใจ

“What?” ถามเป็นภาษาอังกฤษอย่างลืมตัว

เด็กน้อยหันมองหน้ากัน ตี๋ใหญ่ที่ใจกล้ากว่าใครดิ้นออกมาจากอ้อมแขนอาสาว ประชิดตัวถามเป็นคนแรก

“ชื่อไรอะคุงบอสฝาหรั่ง”

“โทมัส แบรนดอน เรียกทอมก็ได้”

เด็กหญิงมองหน้าเขาแล้วยิ้มแก้มใส ความละม้ายของอาหลานทำให้นึกภาพหญิงสาวอีกคนยามเป็นเด็กได้ไม่ยาก “เขารู้ ลุงทอมก็ต้องเรียกอังเคิลทอมใช่มั้ยคะ”

“Uncle? ฟังดูแก่จัง แต่อังเคิลก็อังเคิล” ชายหนุ่มหัวเราะ ปล่อยให้เจ้าตัวเล็กนับญาติแบบที่คนไทยชอบเรียกใครต่อใครว่าพี่ป้าน้าอาอย่างไม่ถือสา

ตี๋ใหญ่กลัวน้อยหน้าเลยพูดขึ้นบ้าง “ภาษาปะกิดทำไมเขาจะไม่รู้ อีเลเฟ่น ช้าง ไลอ้อน สิงโต”

คนกลางพอเห็นพี่พูดก็ไม่ยอมเช่นกัน “ซี แคท แมว บี เบิร์ด นก”

ชายหนุ่มหัวเราะร่วน ใช้มือใหญ่ขยี้หัวเด็กชายทั้งสองอย่างเอ็นดู แล้วแกล้งทำหน้าสงสัย “งั้นร่มล่ะเขาเรียกว่าอะไร”

“เขารู้ เขารู้ อัมเบรลล่า” เด็กๆ ยกมือแย่งกันตอบอวดความรู้จากโรงเรียน เรียกเสียงหัวเราะให้คนทั้งบ้าน

สอางค์มองคนตัวโตที่ยิ้มมากกว่าวันไหนๆ แล้วอดยิ้มตามไม่ได้

ความจริงเวลาเขายิ้มน่าดูกว่าตอนทำหน้าเคร่งตั้งเยอะ ทำไมถึงไม่ค่อยชอบยิ้มก็ไม่รู้

 

หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย และรับรู้ว่าเจ้านายของเธออยู่กินข้าวด้วยแน่ๆ สอางค์จึงตรงเข้าครัว หยิบผ้ากันเปื้อนที่แขวนไว้ข้างตู้เย็นขึ้นสวมแล้วผูกเอว จัดแจงหยิบผักกาดมาเด็ดล้างทีละใบ

พุดที่กำลังทอดปลาอยู่ใกล้ๆ อมยิ้มมองเธอ แล้วพูดว่า “แฟนคุณเอิงหล่อนะคะ”

“ฮะ!” มือที่กำลังเด็ดผักหยุดชะงัก หันขวับไปทางแม่บ้าน เล่นเอาอีกฝ่ายตกใจตามไปด้วย “พูดผิด พูดใหม่ได้นะพุด”

“ก็คุณฝรั่งคนนั้น ไม่ใช่หรือคะ” ถามเพราะรู้ว่าเจ้าของบ้านมีสเป็กแบบใดมาตั้งแต่เด็ก

“บ้าสิ…แค่เจ้านาย แล้วฉันก็ไม่มีทางสนเขาด้วย พุดจำที่ฉันเล่าให้ฟังบ่อยๆ ไม่ได้เหรอ รายนั้นน่ะดุจะตาย ขี้เก๊ก แถมเรื่องมากอีกต่างหาก”

“แต่พุดว่าไม่หรอกค่ะ เห็นเล่นกับสามลิง ดูยิ้มง่าย หัวเราะร่วนเชียว”

พุดพยักพเยิดให้เธอชะเง้อมองออกไปทางหน้าบ้าน โทมัส แบรนดอนที่ตอนนี้ปลดเนกไท พับแขนเสื้อ วิ่งไล่จับกับเด็กๆ อย่างอารมณ์ดี ไม่เหลือคราบบอสหน้าตายอีกต่อไป

“คงผีเข้าล่ะมั้ง”

“คุณเอิง”

“น่า…เอาเป็นว่าไม่ใช่แฟนฉันก็แล้วกัน” ย้ำอีกครั้งก่อนหันไปล้างผักต่อ

แม่บ้านมองหญิงสาวสลับกับฝรั่งตัวใหญ่ แล้วอมยิ้มกับตัวเอง ไม่ใช่แค่ตอนนี้ล่ะมั้งคะคุณเอิง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 .. 64 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: