X
    Categories: Blue Bridge สะพานรักสีน้ำเงินWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Blue Bridge สะพานรักสีน้ำเงิน บทที่ 7

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 7

ตกเย็นสวีเจิ้นจงโทรมาหาพ่อของจ้าวหนานเซียว ถามถึงเรื่องที่ลูกชายมาเรียนเมื่อเช้า จ้าวเจี้ยนผิงคุยกับเพื่อนเก่าเสร็จ สุดท้ายก็ให้จ้าวหนานเซียวมาพูดสาย

จ้าวหนานเซียวที่กำลังซ้อมเปียโนจึงหยุดเล่นแล้วรับมือถือที่พ่อส่งมาให้

‘สวัสดีค่ะลุงสวี!’

‘สวัสดีเสี่ยวหนาน!’ น้ำเสียงเอ็นดูของลุงสวีดังเข้ามา

‘เมื่อเช้าสวีซู่ไปเรียนพิเศษกับหนูเป็นยังไงบ้าง เขาเชื่อฟังไหม รังแกหนูรึเปล่า’

เมื่อเช้าพอเขาไป เธอก็อดขอบตาแดงไม่ได้ รีบหลบเข้าไปเช็ดน้ำตาในห้องน้ำก่อนที่แม่จะมาเห็น

‘เปล่าค่ะ เขาเชื่อฟังดีค่ะ’ จ้าวหนานเซียวตอบทันควัน ‘ลุงสวีคะ ที่จริงแล้วพื้นฐานเขาดีมากเลย คนก็ฉลาด แค่ต้องเสริมขั้นที่ไม่เหมือนกันของสองที่ให้ทัน หนูว่าเขาไม่มีปัญหาเลยค่ะ’

สวีเจิ้นจงดีใจมาก ‘ดีๆ งั้นก็ดี เขาเชื่อฟังหนูก็ดีแล้ว งั้นลุงให้เขาไปเรียนพิเศษกับหนูต่อนะ’

จ้าวหนานเซียวลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบ ‘ได้ค่ะ’

‘เสี่ยวหนาน ลุงขอโทษด้วย ทำให้หนูไม่ได้พักผ่อนช่วงปิดเทอมฤดูร้อน…’

‘ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงหนูก็ไม่มีธุระอะไรอยู่ดี’

‘เสี่ยวหนาน หนูช่วยลุงไว้เยอะมาก ลุงไม่รู้ว่าจะขอบใจหนูยังไงดี ถ้าสวีซู่เขาทำอะไรไม่ดี หนูต้องบอกลุงทันทีนะ! พ่อหนูบอกว่าหนูกำลังซ้อมเปียโนหรือ ลุงไม่กวนแล้ว แค่นี้ละกัน…’

‘ค่ะ สวัสดีค่ะลุงสวี’

ตอนที่จ้าวหนานเซียวกำลังจะวางสายก็ได้ยินเสียงตวาดที่ไม่ชัดเจนนักดังลอดมา ‘กลางวันแกไปไหนมา ถือว่าแกยังรู้สำนึก! ถ้าแกกล้ารังแกพี่เขา ฉันจะตีขาแกให้หัก! พรุ่งนี้ไสหัวไปเรียนพิเศษต่อซะ…’

จ้าวหนานเซียวสะดุ้งตกใจ

โทรศัพท์ตัดสายไปแล้ว เธอตั้งสติ คืนมือถือให้กับพ่อ

เสิ่นเสี่ยวมั่นส่งผลไม้ที่ปอกเสร็จแล้วจานหนึ่งมาให้ลูกสาวแล้วหันไปพูดกับสามีว่า ‘เด็กแค่พั้งก์ไปหน่อย แต่ว่ามารยาทค่อนข้างดีนะ ไม่ได้แย่อย่างที่เหล่าสวีว่า ที่นอกลู่นอกทางกว่าเขาฉันเห็นมาเยอะแล้ว เขาเป็นอย่างนั้นไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย เด็กก็แค่มีความสุนทรีย์ทางศิลปะเฉยๆ เมื่อเช้าฉันเห็นว่าคนคร่ำครึโบราณอย่างสวีเจิ้นจงมีลูกชายแบบนี้ก็แค่ผิดคาดนิดหน่อย! ตอนหลังพอเขาไปแล้วฉันถามเสี่ยวหนาน เสี่ยวหนานก็บอกว่าเขาใช้ได้ ตอนแรกฉันยังนึกว่าเขาจะทำไมซะอีก!’

เสิ่นเสี่ยวมั่นมีความสามารถแต่ก็ไม่ขาดอารมณ์ศิลปิน ตอนยังสาวเธอเป็นคนแรกในสมัยนั้นที่ดัดผมและทาลิปสติก บวกกับสาขาที่เรียนจึงมีความเปิดกว้างมากอยู่แล้ว

จ้าวเจี้ยนผิงพูด ‘แบบนี้ก็ดีแล้ว เหล่าสวียุ่งมาก แถมยังไม่ได้อยู่ด้วยกันมาหลายปี ไม่ค่อยเข้าใจลูกเท่าไหร่…’

พ่อแม่พูดคุยพลางเดินไปแล้ว จ้าวหนานเซียวก็หมดอารมณ์จะซ้อมเปียโน เธอนั่งใจลอยอยู่บนเก้าอี้เปียโน

ที่โรงเรียนเธอเป็นแบบอย่างของคนเรียนเก่งที่ช่วยเหลือคนเรียนอ่อน ไม่ใช่เพราะว่าเธออยากอวดตนเอง แต่เป็นเพราะความรู้สึกรับผิดชอบโดยธรรมชาติที่มีต่อการทำหน้าที่ ความรู้สึกรับผิดชอบแบบนี้น่าจะมาจากท่าทีที่มีความรับผิดชอบอย่างสูงต่ออาชีพการงานของคุณตาและพ่อ เธอได้รับอิทธิพลจากพวกเขามาตั้งแต่เด็ก บวกกับเธอมีนิสัยที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นโดยกำเนิด

สวีซู่เป็นลูกชายของลุงสวี ทั้งยังเด็กกว่าเธอ ก็ทำเหมือนว่าเขาเป็นน้องชายที่ไม่รู้ความไปละกัน ไม่จำเป็นต้องลดตัวลงไปเทียบกับเขา อย่างไรเสียน้องชายไม่รู้ความ เป็นถึงพี่สาวจะปล่อยไปไม่สนใจได้อย่างไร

การยอมแพ้เมื่อพบเจออุปสรรคไม่ใช่วิถีของจ้าวหนานเซียว

ไม่นานจ้าวหนานเซียวก็จัดการกับความรู้สึกละอายและความเสียใจที่มีมาแต่เช้าได้ ลุกขึ้นกลับไปที่ห้อง นอกจากรีบทำเวลาตระเตรียมเนื้อหาการสอนในครั้งถัดไปแล้ว ก็ใคร่ครวญใหม่ว่าควรจะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้อย่างไรดี

เวลาเธอทำงานมักจะวางแผนการจนชิน ทำทุกอย่างตามลำดับขั้นตอน เมื่อวานนี้รีบร้อนเกินไป บวกกับไม่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาเพียงพอ จึงตอบรับได้ไม่ถ้วนถี่เลยจบไม่สวย

 

เช้าวันรุ่งขึ้นจ้าวหนานเซียวส่งพ่อออกเดินทางไกลด้วยความอาลัยอาวรณ์พร้อมกับแม่ แล้วก็มานั่งรอสวีซู่อยู่ในห้องรับแขก

พอเก้าโมงเขาก็มา ยังคงเป็นเหมือนเมื่อวาน ขณะที่เข้าไปในห้องหนังสือก็หยุดฝีเท้าลงอีกครั้ง

จากการขอร้องอย่างแรงกล้าของจ้าวหนานเซียว เมื่อคืนพ่อก็ยอมโละกำแพงถ้วยรางวัลในที่สุด

จ้าวหนานเซียวเห็นเขามองตนเองทีหนึ่ง รู้สึกเหมือนเขาจะเบะปาก

เธอจะถือว่าตัวเองคิดมากไปเองก็แล้วกัน แล้วหยิบอุปกรณ์การสอนที่เมื่อคืนเตรียมไว้ออกมา เริ่มต้นการสอนของวันนี้

ท่าทีของเธอก็เหมือนกับเมื่อวาน ทั้งอดทนและอ่อนโยน แต่สวีซู่กลับไม่เหมือนเมื่อวานแล้ว ดูใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ภายหลังเธอเรียกให้เขาทำโจทย์ เขาจ้องเธอ สายตาส่อแววร้าย ไม่ขยับเขยื้อน

‘เขียนสิ จ้องฉันทำไม ถ้ายังไม่เข้าใจข้อควรรู้เมื่อกี้ ฉันอธิบายอีกรอบก็ได้’ เธอยิ้มพลางเร่ง

เขาหยิบปากกาขึ้นมาช้าๆ ก้มหน้าเขียนสองสามที พลันโยนปากกาลูกลื่นทิ้งแล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดว่า ‘เลิกเสแสร้งได้แล้ว! เร็วสิ โทรหาพ่อฉัน บอกว่าฉันรังแกเธอ เธอจะไม่สอนแล้ว!’

จ้าวหนานเซียวยังคงยิ้ม ‘นายไม่ได้รังแกฉัน ฉันจะพูดแบบนั้นไปทำไม’

เขาหรี่ตา ‘ไว้หน้าเธอแล้วนะ อย่าได้คืบจะเอาศอก!’

จ้าวหนานเซียวยิ่งยิ้มหวาน ‘ฉันจะได้คืบแล้วเอาศอก! นายลองรังแกฉันดูสิ ฉันอยากรู้ว่านายจะรังแกฉันยังไง’

ดวงตาสวีซู่ฉายแววประหลาดใจ เขามองเธอ

‘สวีซู่ ถ้านายไม่อยากเรียนขนาดนี้จริงๆ นายก็ไปพูดกับลุงสวีให้รู้เรื่องเองสิ อย่ามาแล้วมาก่อกวนฉันที่นี่ นายทำแบบนี้ออกจะไร้เดียงสาไปหน่อยนะ’

‘เธอว่าไงนะ’

สีหน้าเด็กหนุ่มเปลี่ยนไป เขากำหมัดและลุกขึ้นมาทันใด เท้าเกี่ยวขาเก้าอี้ล้ม ทำให้เกิดเสียงดังตึง!

ใบหน้าจ้าวหนานเซียวยังคงมีรอยยิ้ม ‘ถ้านายไม่อยากคุยกับลุงสวี ฉันจะสอนอีกวิธีให้นาย แม่ฉันอยู่ข้างนอก นายออกไปตอนนี้เลยก็ได้ ทำเป็นอาละวาดใส่เธอแบบที่ทำกับฉันที่นี่ ฉันรับรองว่าพรุ่งนี้นายจะไม่ต้องมาที่นี่แล้ว’

สวีซู่ก้มหน้าจ้องเธอ แววตาดุร้าย จ้าวหนานเซียวนั่งอยู่ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย สบตากับเขาโดยไม่หลบเลยสักนิด

ตอนนี้เองประตูห้องหนังสือก็มีคนเคาะเบาๆ สองที แม่เปิดประตู ในมือถือผลไม้จานหนึ่งเข้ามา

เสิ่นเสี่ยวมั่นมองดูท่าทางของทั้งสอง สีหน้าก็ปรากฏแววสงสัย วางผลไม้บนโต๊ะแล้วถาม ‘อะไรกัน เมื่อกี้แม่อยู่ข้างนอก เหมือนได้ยินเสียงบางอย่าง’

จ้าวหนานเซียวมองสวีซู่

ท่าทีดุร้ายของเขาเมื่อครู่หายไป ภายใต้สายตาสำรวจมองของเธอ เขาดูค่อนข้างจนมุม พูดจาอึกอัก ‘น้าเสิ่น ผม…’

‘เมื่อกี้หนูบอกให้เขาไปหยิบหนังสือ เขาลุกขึ้นมาก็เกี่ยวเก้าอี้ล้มค่ะ’

จ้าวหนานเซียวแย่งพูด พอพูดจบก็จ้องเขา

เขามองเธอทีหนึ่ง ปิดปากไปเงียบๆ

เสิ่นเสี่ยวม่านยิ้ม แล้วก็ว่าลูกสาว ‘หนูเป็นเจ้าบ้าน ทำไมใช้ให้สวีซู่ไปหยิบหนังสือ ไม่ไปหยิบเอง’

จ้าวหนานเซียวพูดว่า ‘ทราบแล้วค่ะ ครั้งถัดไปหนูจะหยิบเอง’

‘สวีซู่ เรียนเหนื่อยแล้วก็กินผลไม้สักหน่อย พักสักเดี๋ยว อย่าหักโหม ทำเหมือนอยู่ที่บ้านนะ อีกสักพักอย่าเพิ่งไปล่ะ อยู่กินข้าวกันก่อน’

แม่ออกไปแล้วก็ปิดประตูเบาๆ

‘กลับไปนั่ง ฉันมีเรื่องจะพูด!’

จ้าวหนานเซียวชี้ที่เก้าอี้ข้างหลังเขา สีหน้าเอาจริง น้ำเสียงเป็นการออกคำสั่ง

สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นไม่น่ามองอีกครั้ง แต่ก็นั่งลงไปช้าๆ ในที่สุด

‘สวีซู่ ถ้านายก่อเรื่องอะไรที่นี่แล้วลุงสวีรู้เข้า เขาไม่มีทางตีนายขาหักแน่นอน เรื่องนี้ฉันรับรองได้ แต่คงทำให้นายเจ็บตัวบ้างอยู่แล้ว เรื่องนี้ฉันก็รับรองได้’

เขาเหมือนโดนเข็มแทงทีหนึ่ง รีบช้อนตาขึ้นมาจ้องเธอ สายตาดูสงสัย

‘ง่ายมาก เมื่อวานตอนเย็นลุงสวีคุยโทรศัพท์กับฉันเสร็จ ยังไม่ทันวางสาย ฉันก็เลยได้ยิน’ เธออธิบาย

สีหน้าเขายิ่งเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู

‘นายอาจจะไม่สนใจ แล้วก็ไม่กลัวพ่อนาย’ จ้าวหนานเซียวพูดต่อ ‘แต่นายลองคิดดูว่านายมาเรียนกับฉันที่นี่ อย่างมากหนึ่งวันก็แค่สองชั่วโมง แป๊บเดียวก็ผ่านไปแล้ว ถ้านายไม่มาเรียนกับฉันที่นี่ แล้วลุงสวีจะปล่อยไว้อย่างนี้เหรอ เขาก็ต้องหาที่เรียนพิเศษให้นายต่อไปอยู่ดี หาแล้วหาอีกต่อไป ยังไงนายก็หนีไม่พ้นหรอก ในเมื่อเป็นอย่างนี้ นายจะทำเรื่องไร้ประโยชน์ไปทำไม นายก็เป็นคนที่ค่อนข้างฉลาดนะ คิดเอาเองว่าอย่างนี้มีเหตุผลรึเปล่า’

เขาไม่พูดอะไรสักคำ

จ้าวหนานเซียวรออยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยพูด ‘ฉันจะไม่บังคับนายให้เรียน นี่เป็นเรื่องของนาย นายตัดสินใจเอง ถ้าหากนายไม่อยากเรียนกับฉันจริงๆ ฉันช่วยบอกปัดกับลุงสวีให้ได้ แค่บอกว่าฉันมีธุระสอนไม่ได้แล้ว แต่ว่ามีเรื่องที่ฉันอยากพูดกับนายให้ชัดเจน ฉันทำอะไรไม่เคยทำชุ่ยๆ ถ้านายเลือกจะเรียนพิเศษกับฉันที่นี่ต่อ ฉันก็หวังว่านายจะเรียนด้วยความตั้งใจ ยังไงซะถึงจะเข้าเรียนแต่ละครั้งแค่สองชั่วโมง แต่ฉันก็ต้องเสียเวลาเตรียมตัวอีกต่างหาก ฉันหวังว่าจะได้รับความเคารพจากความพยายามที่ฉันทุ่มเท…นายตัดสินใจเอาเองเถอะ’

ในห้องหนังสือเงียบเสียงไป

จากนั้นสักพักสวีซู่อยู่ๆ ก็คว้ากระเป๋าหนังสือ สะบัดหน้าจากไปเหมือนอย่างเมื่อวาน

คืนนั้นจ้าวหนานเซียวกอดตุ๊กตาหมีสีชมพูที่เป็นเพื่อนนอน หลับไม่ค่อยลงสักเท่าไหร่

เธอไม่แน่ใจว่าวิธีการของตนในวันนี้จะได้ผลหรือเปล่า ความจริงแล้ววันนี้ตอนที่แตกหักกับสวีซู่ซึ่งยืนขึ้นมาแล้วสูงกว่าตนเองถึงครึ่งศีรษะ ในใจเธอก็ตื่นเต้นตึงเครียดมาก กลัวว่าจะเอาเขาไม่อยู่ ทำให้ส่งผลในทางตรงกันข้าม เพราะอย่างไรเขาก็ดุออกขนาดนั้น เธอกลัวอยู่นิดหน่อย

แต่นี่เป็นวิธีการที่เธอคิดว่าเหมาะสมที่สุดเท่าที่เธอจะเค้นสมองออกมาได้แล้วจริงๆ

ถ้าเธอโน้มน้าวเขาได้ หลังจากนี้เธอไม่เพียงแต่จะวางอำนาจต่อหน้าเขาได้ ยังสามารถทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนรู้สูงขึ้นได้ด้วย เรียกว่าได้ประโยชน์เป็นเท่าตัว

แต่ว่า…แต่ว่าถ้าไม่ได้ผล อย่างนั้นเธอก็คงได้แต่ทำให้ลุงสวีผิดหวังแล้ว

 

สาวน้อยจ้าวหนานเซียวกอดตุ๊กตาหมีของเธอพลิกไปพลิกมาตลอดคืน เช้าวันรุ่งขึ้นก็ตื่นแต่เช้า คอยเงี่ยหูฟังเสียงกริ่งประตูอยู่ในห้องรับแขก

เวลามาถึงเก้าโมงในที่สุด กริ่งประตูยังไม่ดัง

รออีกสักครู่หนึ่งก็ยังไม่ดัง

‘ทำไมวันนี้สวีซู่ยังไม่มาอีกล่ะ’

แม่ก็สังเกตเห็นเวลาแล้วจึงถามขึ้น

จ้าวหนานเซียวนั่งอยู่บนโซฟา ความรู้สึกอย่าว่าแต่เครียดเลย ยังรู้สึกเสียใจที่ตนเองใจร้อนบุ่มบ่ามทำเป็นอวดฉลาด

ถ้าให้เวลาเขาอีกสักหน่อย รอให้เขาและเธอคุ้นเคยกัน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะฟังคำพูดของเธอมากกว่านี้

‘แม่คะ หนู…’

ติ๊งต่อง…กริ่งประตูพลันดังขึ้นในเวลานี้ เสิ่นเสี่ยวมั่นไปเปิดประตู

สวีซู่ยืนอยู่นอกประตู ‘น้าเสิ่น ขอโทษครับ ผมมาสาย’

‘ไม่เป็นไร! เข้ามาเร็ว เสี่ยวหนาน สวีซู่มาเรียนแล้ว…’ เสิ่นเสี่ยวมั่นตะโกนบอกลูกสาว

เมฆหมอกในใจจ้าวหนานเซียวพลันสลายไป เธอตื่นเต้นจนแทบจะกรีดร้องออกมา จากนั้นก็เด้งตัวขึ้นมาจากโซฟา

เธอทำสำเร็จแล้ว!

เด็กสาวโอบกอดความรู้สึกสำเร็จอันล้นใจวิ่งไปเปิดประตู ยิ้มและรับนักเรียนของเธอมา ‘สวีซู่ เข้ามาสิ’

สวีซู่ถือกระเป๋าหนังสือยืนอยู่ตรงทางเดินเข้าบ้าน มองจ้าวหนานเซียวแวบหนึ่งแล้วตามเธอเข้าไปในห้องหนังสือช้าๆ

ปิดเทอมฤดูร้อนนี้จึงผ่านไปเช่นนี้ ตามปกติสวีซู่จะมารายงานตัวที่ห้องหนังสือของบ้านเธอทุกวัน แล้วนั่งอยู่สองชั่วโมง เขายังคงมีท่าทีเฉยชา สงวนคำพูดราวกับทองคำ เวลาที่อยู่ด้วยกันส่วนใหญ่มักจะเป็นจ้าวหนานเซียวที่พูดไม่หยุด บางครั้งเด็กสาวก็ไม่ยอมแพ้ ยังพูดเปิดใจกับเขาเมื่อมีโอกาส ถ้าเขาไม่จากไปก็ฟุบหลับลงบนโต๊ะ จ้าวหนานเซียวก็สงสัยว่าเขากลับไปแล้วจะไม่ทบทวนบทเรียนให้แม่นยำตามที่เธอร้องขอเลย แต่เห็นแก่ที่ระดับความก้าวหน้าถือว่าพัฒนาไปอย่างราบรื่น จึงอดทนต่อไป

พริบตาเดียวก็เปิดเทอม จ้าวหนานเซียวขึ้นชั้น ม.สาม สวีซู่แทรกชั้น ม.สอง วันแรกที่เปิดเทอมการมาถึงของเขาสร้างความฮือฮาให้กับทั้งโรงเรียน เปลวไฟสีทองบนหัวเขาที่อยู่ห่างออกไปสองร้อยเมตรก็ยังมองเห็นได้ชัดเจนไม่มีทางหลบรอดสายตาเจ้าระเบียบของผู้อำนวยการฝ่ายปกครองได้อยู่แล้ว แน่นอนว่าผู้อำนวยการไม่มีทางอนุญาตให้ทรงผมที่ประหลาดอย่างนี้ปรากฏขึ้นในโรงเรียน ขอร้องอย่างเคร่งครัดให้เขาเปลี่ยนเป็นทรงผมอย่างที่นักเรียนควรจะมีในทันที

สถานการณ์แบบนี้จ้าวหนานเซียวคาดไว้แล้วตั้งแต่ก่อนเปิดเทอม มีวันหนึ่งก็เคยเตือนแบบอ้อมค้อม ตอนนั้นเขาไม่โต้ตอบใดๆ เลย เธอจึงได้แต่ปล่อยไป

ไม่นานพ่อของเขาก็ได้รับโทรศัพท์จากโรงเรียน จึงอาศัยโอกาสนี้บังคับให้ลูกชายเปลี่ยนทรงผมที่ตนเองเห็นแล้วขัดตามาตั้งแต่แรก จ้าวหนานเซียวไม่รู้ว่าพ่อลูกตระกูลสวีจัดการกันอย่างไร กลับกลายเป็นว่าในตอนท้ายคนเป็นลูกชายไม่ไปโรงเรียนเอาเสียดื้อๆ แล้วก็ไม่ยอมเปลี่ยนทรงผม

คนเป็นพ่อโกรธแทบตาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพื่อไม่ให้ลูกชายถูกไล่ออกจากโรงเรียนก็ไม่รู้ว่าเขาเก่งกล้าสามารถมาจากไหนไปเจรจากับผู้อำนวยการโรงเรียน กลับกลายเป็นว่าในท้ายที่สุดเขาช่วยลูกชายยื่นใบลาป่วยระยะยาวให้กับทางโรงเรียน สวีซู่ได้รับการปฏิบัติเป็นกรณีพิเศษ ไม่ต้องไปเรียนหนังสือแล้ว แต่ต้องมาเข้าร่วมสอบตั้งแต่ข้อสอบจัดลำดับประจำเดือนเป็นต้นไป ขอเพียงเขาสอบผ่านทุกครั้ง โรงเรียนก็จะรักษาสภาพความเป็นนักเรียนของเขา อนุญาตไปจนถึงการสอบเข้ามัธยมปลายในครั้งสุดท้าย

การสอบประจำเดือนสองครั้งหลังจากเปิดเทอม สวีซู่คงจะโชคเข้าข้าง สอบผ่านได้โดยไร้อุปสรรคใดๆ สวีเจิ้นจงไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปชั่วคราว นอกจากเจ็บใจที่ลูกชายเป็นเหล็กที่ไม่กลายเป็นเหล็กกล้า* แล้ว เขายิ่งรู้สึกซาบซึ้งใจต่อจ้าวหนานเซียว

สวีซู่ไม่ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน แต่หลังจากที่เปิดเทอม ขอเพียงจ้าวหนานเซียวหาเวลาว่างนัดเขามาเรียน ไม่ว่าจะเป็นตอนเย็นหรือว่าสุดสัปดาห์เขาก็มาตลอด ไม่เคยเว้นเลยสักครั้ง

แต่อย่างไรเสียลูกสาวก็ขึ้นชั้น ม.สาม แล้ว เสิ่นเสี่ยวมั่นเป็นห่วงเล็กน้อยว่าจะกระทบกับการเรียนของเธอ เคยถามเธอเป็นการส่วนตัวอยู่ครั้งหนึ่ง บอกว่าถ้าเธอรู้สึกกินแรงเกิน แม่จะช่วยเธออธิบายสถานการณ์ให้กับลุงสวี ลุงสวีต้องเข้าใจอยู่แล้ว แต่จ้าวหนานเซียวบอกว่าไม่มีปัญหา หลังขึ้น ม.สาม โรงเรียนก็ตระหนักในการให้พวกเขาลดทอนกิจกรรมของโรงเรียนเพื่อเป้าหมายในการฝึกฝนสอบเข้า ม.ปลาย ตอนนี้ตัวเธอยิ่งมีเวลาให้จัดการมากขึ้น จึงบอกให้แม่วางใจ

ตั้งแต่เล็กจนโตลูกสาวก็มีวินัยในตนเองและยังรู้ความ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหรือการใช้ชีวิต เดิมทีไม่ต้องให้ตนกังวลอยู่แล้ว เสิ่นเสี่ยวม่านเชื่อใจในตัวลูกสาวมาก ในเมื่อลูกว่าอย่างนี้ เธอก็วางใจไม่ยุ่งเกี่ยวแล้ว

ความรู้สึกที่จ้าวหนานเซียวมีต่อสวีซู่ในตอนนี้ก็เป็นเหมือนกับลุงสวีจริงๆ มีความรู้สึกเจ็บใจเหล็กที่ไม่กลายเป็นเหล็กกล้า

เรียนหนังสือมาจนถึงตอนนี้ เธอรู้สึกว่าอาศัยหัวสมองอย่างเขา ขอแค่ใส่ใจในการเรียนอีกสักนิด อีกหน่อยอย่าว่าแต่ ม.ต้น ขึ้น ม.ปลาย เลย สอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายชื่อดังก็ยังเป็นไปได้ แต่ตัวเขาเองออกจะเรื่อยเปื่อยขนาดนี้ รู้สึกเหมือนเขาไม่สนใจอะไรเลย จ้าวหนานเซียวเป็นห่วงอนาคตของเขา ดังนั้นหลังจากวางอำนาจได้แล้ว ไม่ว่าตอนนี้จะยุ่งกับการบ้านของตนมากเพียงใด เธอก็ยังตัดสินใจหาเวลาเรียกให้เขามาเรียนอย่างสุดความสามารถ เพื่อไม่ให้คลาดบทเรียนมากเกินไป เผื่อว่าวันไหนคนไม่เอาถ่านจะหันกลับมาเรียนแล้วตามไม่ทัน

บ่ายวันเสาร์นี้เสิ่นเสี่ยวมั่นไม่อยู่บ้าน จ้าวหนานเซียวนัดกับสวีซู่ให้มาเรียนตอนบ่ายโมง เขามาสายไปสิบนาที ดูเหมือนจะเร่งรีบรุดมา หลังนั่งลงแล้วจ้าวหนานเซียวก็พบว่าแขนซ้ายของเขาส่วนที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อมีรอยเลือด ดูเหมือนเพิ่งเป็นในวันนี้จึงบอกให้เขาพับแขนเสื้อขึ้นให้เธอดู

สวีซู่ไม่ตอบสนอง จัดการเทหนังสือออกมาจากกระเป๋าดังพึ่บแล้วถาม ‘เรียนเล่มไหน’

ตอนที่เปิดเทอม จ้าวหนานเซียวช่วยห่อปกหนังสือทั้งหมดให้เขา เพิ่งผ่านไปไม่นาน ตอนนี้อย่าว่าแต่ปกหนังสือ ปกหน้าของหนังสือสองสามเล่มต่างขาดออกแล้ว และยังมีรอยม้วนตามขอบที่จ้าวหนานเซียวรับไม่ได้ที่สุด หนังสือเหล่านั้นวางกองระเกะระกะอยู่บนโต๊ะอย่างกับขยะ

จ้าวหนานเซียวสะกดกลั้นความวู่วามที่อยากจะสั่งสอนเขา ‘แขนไปโดนอะไรมา ฉันขอดูหน่อย!’

เขาหดมือ ‘ไม่มีอะไรสักหน่อย! เลิกทำตัวจุกจิกได้แล้ว รีบสอนวิชาของเธอสิ!’

เด็กสาวขืนคว้าแขนเขาแล้วถกแขนเสื้อขึ้น เห็นด้านนอกของแขนมีรอยเลือดเป็นทางยาว ลากตั้งแต่ข้อมือไปจนถึงข้อศอก ดูเหมือนเกิดจากการขูด

เลือดซึมออกมาจากผิวส่วนที่แตก ดูค่อนข้างสะดุดตา

‘นายเป็นอะไรเนี่ย แผลถลอกหนักขนาดนี้ยังไม่สนใจอีกเหรอ’

จ้าวหนานเซียวตกใจมาก รีบลุกขึ้นไปหยิบกล่องยา หยิบแอลกอฮอล์ล้างแผลและสำลีออกมา จะทำความสะอาดฆ่าเชื้อที่ปากแผลให้เขา

เด็กหนุ่มดูเหมือนจะหมดความอดทน ชักมือไปหลบข้างหลัง ‘ไม่ต้อง! แค่นี้ไม่ตายหรอก!’

‘ยื่นแขนออกมาให้ฉัน!’ จ้าวหนานเซียวทำหน้าบึ้ง ออกคำสั่งเขา

สวีซู่มองดูสีหน้าเธอ สุดท้ายก็ฝืนยื่นแขนมาให้ในที่สุด

จ้าวหนานเซียวถือคีมคีบสำลีไปจุ่มแอลกอฮอล์ เช็ดที่ปากแผล พอเห็นเขาสูดปากก็รีบพูด ‘นายทนอีกหน่อย แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว’

ตอนเที่ยงเธอเพิ่งสระผม ผมยาวประบ่าสีดำขลับไม่ได้มัดขึ้นเหมือนเวลาปกติ แต่ใช้กิ๊บติดผมสีชมพูสวยงามเหน็บไว้หลังใบหู ตอนที่โน้มเข้ามา สวีซู่ได้กลิ่นหอมอ่อนจาง

พอจ้าวหนานเซียวฆ่าเชื้อบนปากแผลให้เขาอย่างระมัดระวังเสร็จแล้วก็ยืดตัวตรง เห็นเขายังนั่งตัวตรงแหน็วอยู่ มองจากมุมลำคอแล้วดูค่อนข้างแข็งทื่อ จึงพูดว่า ‘เจ็บเหรอ นายมันบ้าบอ! ตกลงว่าไปทำอะไรมา แขนถึงได้ถลอกขนาดนี้ วัยที่ควรเรียนหนังสือก็ไม่เรียน ดื้อกับลุงสวี! ฉันได้ยินมาว่าเขาไม่ให้เงินนายใช้แล้ว เรื่องนี้นายเป็นคนทำตัวเองไม่ใช่เหรอ วันๆ นายกำลังทำอะไรกันแน่ อายุน้อยไม่ขยัน แก่ตัวไป…’

เด็กหนุ่มหมุนตัวไปทันที ดึงแขนเสื้อกลับลงไปแล้วขมวดคิ้ว ‘เธอสวดพอรึยัง น่ารำคาญ! รีบสอนเหอะ!’

จ้าวหนานเซียวรู้ว่าเขาไม่มีทางบอกกับตนว่าได้รับบาดเจ็บมาอย่างไร เธอไม่อาจทำอะไรได้ จึงวางกล่องยา นั่งลงแล้วเริ่มสอนเนื้อหาของวันนี้ พอพูดจบแล้วก็ให้เขาทำแบบฝึกหัด ตนเองหยิบหนังสือประวัติศาสตร์มาท่องอยู่ด้านข้างเงียบๆ

ในห้องหนังสือเงียบสงบมาก แสงแดดหลังเที่ยงส่องลอดผ่านหน้าต่างที่แขวนม่านกรองแสงสีขาวเข้ามา อบอุ่นสบาย ที่หูมีเพียงเสียงปากกาในมือของสวีซู่ที่ขีดเขียนและลากบนกระดาษทดดังแกรกกรากบางเบา

เมื่อคืนเพื่อที่จะเตรียมบทเรียนของวันนี้ทำให้เธอเข้านอนค่อนข้างดึก เวลานี้จึงค่อยๆ รู้สึกง่วง ท่องหนังสือไปสักพักก็ฟุบหลับลงบนโต๊ะ

แมลงปีกแข็งสีเขียวตัวหนึ่งอยู่ๆ ก็บินเข้ามาจากนอกหน้าต่าง บางทีอาจจะถูกกลิ่นหอมดึงดูด จึงหยุดอยู่บนเส้นผมปอยหนึ่งที่ปรกลงมาบนใบหน้าเธอ

เด็กหนุ่มเปลี่ยนไปเหม่อลอย เห็นแมลงไต่ไปไต่มาบนเส้นผมเธอ กำลังจะค่อยๆ ไต่ขึ้นหน้า จึงอดไม่ได้จริงๆ เขาโน้มตัวเข้าไปเงียบๆ ถือปากกาคิดจะไล่แขกไม่ได้รับเชิญที่รบกวนการนอนของเธอตัวนี้

สายตาของเขาพลันหยุดชะงัก

เดือนสิบ อากาศเปลี่ยนเป็นเย็นเล็กน้อย

เสิ่นเสี่ยวมั่นปกติแต่งกายประณีตงดงาม และก็ชอบแต่งตัวให้ลูกสาว แม้ว่าเวลาส่วนใหญ่จ้าวหนานเซียวจะสวมเครื่องแบบนักเรียน แต่ในตู้เสื้อผ้าก็มีเสื้อผ้าสวยงามมากมาย

วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ เธออยู่ในบ้านสวมเสื้อขนแกะตัวบางสีขาวล้วนคอปาด เหตุเพราะฟุบอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ คอเสื้อจึงร่นลงมาที่หัวไหล่ข้างหนึ่ง สวีซู่โน้มตัวเข้าไปอย่างนี้จึงเห็นเสื้อบังทรงที่อยู่ใต้เสื้อ

หน้าอกของเด็กสาวมีชุดชั้นในผ้าฝ้ายไร้แขนสีชมพูปกปิดไว้อย่างมิดชิดและอ่อนโยน แต่เมื่อมองจากมุมเหนือคอเสื้อลงไปก็ยังมีบางส่วนที่เล็ดลอดออกมาเล็กน้อย

ใต้ลำคอผิวขาวบริสุทธิ์ ส่วนโค้งสมบูรณ์แบบที่ขยับขึ้นลงเล็กน้อยซึ่งปกติซ่อนอยู่ลึกใต้เสื้อผ้าดูราวกับดอกไม้ตูมบอบบางที่เพิ่งจะแตกดอก

มือที่ถือปากกาของเด็กหนุ่มค้างอยู่กลางอากาศ

ในที่สุดเจ้าแมลงก็คว้าชัยชนะในการไต่ขึ้นบนแก้มเธอ จ้าวหนานเซียวถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเพราะความคันบนใบหน้า เธอลืมตาขึ้นมา ยกมือลูบหน้า เมื่อก้มลงแล้วเห็นว่าในมือมีแมลงเปลือกเขียวหงายท้องอยู่บนมือก็พลันเบิกตากว้าง กรีดร้องแล้วเด้งตัวขึ้นมา สะบัดมือสุดแรง

‘สวีซู่! แมลง! ช่วยจับมันไปทิ้งให้ฉันที!’

เสียงของเธอตกใจจนเปลี่ยนไป

สวีซู่ก็เด้งตัวขึ้นมาทันใด รีบจับแมลงออกไปให้เธอ จากนั้นก็เดินดุ่มไปข้างหน้าต่าง ปล่อยให้มันบินออกไป

จ้าวหนานเซียวถอนใจโล่งอก ลูบคลำใบหน้าพลางรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ ล้างหน้าแรงๆ อยู่หลายรอบ ค่อยถอนหายใจแล้วเดินออกมาบอกเขา ‘ขอบใจนาย…เอ๊ะ นายจะทำอะไร นายทำโจทย์เสร็จแล้วเหรอ ฉันยังไม่ได้ตรวจเลย!’

‘ฉันมีธุระด่วน! ไปละ!’

สวีซู่ถือกระเป๋า ตาจ้องมองพื้น พูดด้วยเสียงแหบห้วนพลางก้าวเท้าเดินออกจากห้องหนังสือไป

จ้าวหนานเซียวโกรธอยู่หน่อยๆ เธอย่ำเท้า ยังคงตามเด็กหนุ่มไปถึงทางเข้าบ้านแล้วพูดกับเงาหลังของเขาว่า ‘พรุ่งนี้เช้านายมาใหม่! ฉันว่าง! แล้วก็วันนี้กลับไปอย่าลืมท่องหนังสือล่ะ พรุ่งนี้ฉันจะทดสอบ!’

สวีซู่ทำเป็นไม่ได้ยิน เปิดประตูออกไป ไม่มองเธอสักแวบเดียว จากไปโดยไม่แม้แต่จะหันศีรษะกลับมา

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 .. 64 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: