บทที่ 2
กาลเวลาโบกมือลาเกรียงศักดิ์ที่สนามบินสุวรรณภูมิในเวลาเช้ามืด ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า ขณะที่กำลังเดินเข้าเกต เธอหันไปมองเพื่อนร่วมงานอีกครั้งในระยะไกล เหมือนว่าใบหน้าตี๋อย่างคนที่มีเชื้อสายจีนของชายหนุ่มมีเขี้ยวงอกออกมา
“ไอ้บ้าเกียง ฉันสาบานได้ว่าฉันจะฆ่าแกถ้ามีโอกาส”
กาลเวลาบ่นกับตัวเองหลังจากเครื่องเทกออฟได้ไม่กี่นาที อยู่ๆ เธอก็นึกถึงเหตุผลที่ทำให้เธอต้องเดินทางในวันนี้
ล่องเรือสำราญ
เธอเดินทางท่องเที่ยวอย่างจริงจังมาเกือบเจ็ดปี ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย ตอนนั้นนักศึกษาปีหนึ่งจะได้เลือกชมรมตามความสนใจ และเธอได้เข้าร่วมกับชมรม ‘นักเดินทาง’ ซึ่งกิจกรรมของชมรมคือเดินทางไปทำประโยชน์ในถิ่นที่ห่างไกลความเจริญ และตอนนั้นเองที่ทำให้เธอได้รับการแนะนำจากเพื่อนในชมรมว่ามีกิจกรรมหนึ่งสำหรับคนชอบเที่ยวของแฟนเพจ ‘เที่ยวคนเดียวด้วยกันไหม’ เธอลองเข้าไปร่วมกิจกรรมครั้งแรกก็ติดใจจนกลายเป็นว่าจากนั้นมาสมองไม่เคยคิดเรื่องอื่นเลยนอกจากคิดว่าทริปหน้าจะไปที่ไหน ขึ้นเขา ล่องแก่ง เที่ยวเกาะ หรือย่านคนเมือง เธอไปมาหมด แต่กลับไม่เคยคิดถึงการล่องเรือสำราญเลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอจะได้รู้จักกับมัน ซึ่งจากที่ศึกษามาคร่าวๆ
…มันไม่เหมาะกับเธอสักเท่าไหร่
เครื่องลงจอดที่สนามบินชางงีประเทศสิงคโปร์ในเวลาแปดโมงเช้า กาลเวลาเคยมาร่วมงานเทศกาลไหว้พระจันทร์เมื่อปีที่แล้ว และก่อนหน้านั้นประมาณสี่ปีเธอกับเพื่อนในคลาสเคยจัดทริปเล็กๆ เที่ยวที่นี่มาก่อน ฉะนั้นการมาสิงคโปร์ครั้งนี้จึงไม่ยากสำหรับเธอเท่าใดนัก
กาลเวลามีกระเป๋าเดินทางล้อลากหนึ่งใบ โดยปกติเธอใช้เป้สะพายหลังใบใหญ่ในการเดินทาง แต่เนื่องจากเรือสำราญลำนี้หรูระดับห้าดาว ฉะนั้นเธอจึงเตรียมเสื้อผ้ารองเท้าเยอะกว่าทุกทริป ส่วนกระเป๋าสะพายข้างเธอเลือกแบบกลางๆ ที่สามารถใส่กับชุดไหนก็ได้ กาลเวลาไม่ชอบพกของมากเวลาเดินทาง ถึงแม้จะประสบปัญหาของไม่ครบเป็นประจำ แต่เธอคิดว่าการหอบของพะรุงพะรังไปเที่ยวไม่ใช่เรื่องสนุก
ดังนั้นอะไรขาดก็ไปหาเอาดาบหน้าจะดีกว่า
แต่นั่นคงใช้กับทริปล่องเรือสำราญไม่ได้
กาลเวลาใช้บริการรถสาธารณะเพื่อมาลงที่ท่าเรือโดยใช้เวลาเดินทางสามสิบนาที และใช้เวลาอีกเพียงแค่สิบนาทีในการเช็กอิน เธอยื่นพาสปอร์ตตัวจริงพร้อมสำเนาแล้วรับบัตรมาคล้องคอ
เท่าที่ประเมินด้วยสายตา กลุ่มนักท่องเที่ยวทริปนี้มีหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งเอเชียและยุโรป โดยส่วนมากมากันเป็นครอบครัว กาลเวลาเห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างสรวลเสเฮฮากับสมาชิกในกลุ่มตัวเอง เป็นภาพชินตาที่พบบ่อยสำหรับการเดินทาง และชินด้วยเช่นกันที่พวกเขามองมาที่เธออย่างสนใจใคร่รู้
กาลเวลายกกล้องถ่ายรูปบันทึกภาพโดยรอบอยู่พักใหญ่ กระทั่งเจ้าหน้าที่นำไปยังทางเดินอันทอดยาวเลียบไปกับเรือลำใหญ่มหึมา เรือลำนี้มีชื่อว่าเอลิซซ่า ครูซ ขนาดของเรือสามารถบรรจุผู้โดยสารได้ถึงสามพันห้าร้อยคน และลูกเรืออีกราวพันห้าร้อย ร่างบางในชุดทะมัดทะแมงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกวิดีโอ
“สวัสดีค่ะ ที่นี่คือท่าเทียบเรือมารีนา เบย์ ครูซ เซ็นเตอร์ เวจะพาทุกคนไปพบกับเรือสำราญที่ขึ้นชื่อเรื่องความหรูหราระดับโลก ทริปนี้บอกเลยว่าคุ้มค่ามากๆ เพราะเรือลำนี้จะพาเราล่องเรือบนน่านน้ำสากล ไปยังประเทศมาเลเซีย และกลับมาพักบนเกาะภูเก็ตประเทศไทย เกาะที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามและมีนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ความนิยมเป็นจำนวนมาก จากนั้นเรือลำนี้จะพาเรามุ่งตรงสู่ประเทศฮ่องกง จุดหมายปลายทางสุดท้ายของโปรแกรมเดินทางค่ะ แต่ตอนนี้เวขอหนีร้อนพาทุกคนมาสัมผัสกับทุกซอกทุกมุมของเรือนี้ก่อนนะคะ…และนี่คือทางขึ้นไปเรือสำราญของเราค่ะ”
กาลเวลาแพนกล้องโทรศัพท์ไปที่เรือสูงตระหง่านจนต้องแหงนมองคอตั้งบ่า ขณะที่กำลังจดจ่ออยู่กับการบันทึกภาพอยู่นั้น ใครบางคนกลับยื่นมือมากระชากโทรศัพท์ไปจากมือเธอ
“อุ้ย!”
“ใครอนุญาตให้ถ่าย”
เพราะยังตกใจจึงได้แต่ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น และยิ่งอึ้งมากไปอีกเมื่อได้เห็นว่าคนที่ยืนทำหน้าขมึงทึงใส่เธอเป็นใคร
หญิงสาวร่างระหง ใบหน้าสวยจัด ผิวพรรณดีดูเปล่งแสงเหมือนมีออร่ากระจายอยู่รอบกายแม้จะสวมแว่นดำ ใส่หมวกปีกใบใหญ่ก็ไม่อาจปกปิดตัวตนของเธอได้มิด
“หนูพริม เกิดอะไรขึ้นลูก”
เสียงของใครบางคนแทรกเข้ามาทำให้กาลเวลาได้สติ ในตอนนั้นจึงเห็นว่าคนทั้งคู่มองเธอราวกับว่าเธอเพิ่งฆ่าใครตายอย่างไรอย่างนั้น
พริม พริมาจริงๆ ด้วย
นางเอกละครหลังข่าวที่คงไม่มีคนไทยคนไหนไม่รู้จัก
“ก็แม่นี่สิคะ แอบถ่ายรูปพริม”
กาลเวลาขมวดคิ้วเมื่อถูกกล่าวหาแบบนั้น เธอน่ะหรือแอบถ่ายรูปดาราสาว เธอทำแบบนั้นตอนไหน เมื่อไหร่กัน
“คุณแม่ดูสิคะ ไม่รู้ติดรูปพริมไปเท่าไหร่แล้ว” ดาราสาวปรายตามองกาลเวลาอย่างไม่พอใจ “พริมบอกคุณแม่หลายครั้งแล้วนะคะว่าให้ช่วยดูแลเรื่องพวกนี้หน่อย ไม่ใช่ให้พริมต้องมาเหนื่อยเองแบบนี้”
“ค่ะๆ แม่ขอโทษนะลูก เดี๋ยวแม่จัดการให้” หญิงวัยกลางคนรับโทรศัพท์จากลูกสาวมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
กาลเวลาไม่มีเวลามายืนงงอีกต่อไป เธอเอื้อมมือจะคว้าโทรศัพท์คืนแต่อีกฝ่ายรีบดึงมือกลับ
“ขอโทษค่ะ ฉันขอโทรศัพท์คืนด้วย”
“บอกมาดีๆ ว่าถ่ายภาพหนูพริมไปทำไม”
“ฉันเนี่ยนะ ถ่ายภาพคุณพริม”
“ก็ใช่น่ะสิ” ปานวาดเหยียดริมฝีปาก “พวกคนไทยไม่รู้จักคำว่าพื้นที่ส่วนตัว เห็นคนดังเป็นไม่ได้ อยากจะมีภาพไปลงโซเชียลเรียกยอดไลค์”
กาลเวลาสะดุดหูกับคำว่า ‘พวกคนไทย’ แต่เท่าที่ฟังสำเนียงหญิงผู้นี้ก็ไม่ได้ดูเหมือนว่าเป็นต่างชาติตรงไหน ทำไมต้องใช้คำพูดเรียกเธอว่าพวกคนไทย
“ฉันเป็นคนไทย คุณเองก็คงจะใช่ แล้วฉันไม่ได้ถ่ายรูปลูกสาวคุณ ไม่รู้จะถ่ายไปทำไม ไม่ได้บ้าดารา กรุณาคืนโทรศัพท์ให้ฉันด้วย แล้วการแย่งโทรศัพท์คนอื่นไปจากมือแบบนี้มันเสียมารยาทมากเลยนะคะ” กาลเวลาไม่พอใจเพราะถูกปฏิบัติอย่างไร้มารยาท แม้ว่าคนตรงหน้าจะเป็นถึงนางเอกแถวหน้าของเมืองไทย และกาลเวลาก็ยอมรับว่าเธอปลื้มหญิงสาวตรงหน้าอยู่ไม่น้อย เพราะก่อนที่จะเป็นนักเดินทางเต็มตัวอย่างทุกวันนี้ เมื่อก่อนเธอคือคอละครตัวยงเชียวล่ะ และพริมาก็เป็นดาราคนหนึ่งที่มีฝีมือมากทีเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมให้อีกฝ่ายทำอะไรกับเธอก็ได้
“หึ! ถึงเวลานี้พูดอะไรก็ได้หมดนั่นแหละ แต่ใครจะไปเชื่อ เอาพาสเวิร์ดมา”
“อะไรคะ”
“ก็รหัสโทรศัพท์ไง” อีกฝ่ายเสียงดังขึ้นจนเกือบกลายเป็นตะคอก
กาลเวลาหน้าตึง มองคนพูดด้วยสายตาเหลือเชื่อที่กล้าพูดขอรหัสผ่านโทรศัพท์คนอื่นอย่างหน้าตาเฉย
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่คิดว่าฉันจะทำแบบนั้น เอาโทรศัพท์ฉันคืนมา”
“นี่ อย่าให้เสียเวลาได้มั้ย ลูกสาวฉันร้อน” ปานวาดโวยวาย ขณะที่พริมาโบกมือไล่อากาศไปมาสีหน้าหงุดหงิดรำคาญใจ
“ไม่อยากเสียเวลาก็คืนโทรศัพท์ฉันมาค่ะ” กาลเวลาเริ่มขึ้นเสียงบ้าง
“โอ๊ย! จะให้พาสเวิร์ดดีๆ หรือจะให้ฉันโยนลงน้ำไป” พริมาตวาดแว้ด
กาลเวลามองคนพูดอย่างงุนงง พฤติกรรมของพริมาเหมือนนางมารร้ายในละครไม่มีผิด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถ่ายละครมากไปหรือว่าเป็นนิสัยส่วนตัวกันแน่
เธอนิ่ง กลอกตามองรอบๆ ก็เห็นว่าใครหลายคนกำลังมองมา เชื่อว่าพริมาคงไม่กล้าทำอะไรรุนแรง อย่างน้อยหญิงสาวก็ถือเป็นคนของประชาชนและดูเหมือนว่านักท่องเที่ยวกรุ๊ปนี้มีคนไทยเยอะเหมือนกัน
“เอาโทรศัพท์ฉันคืนมาค่ะ ฉันจะเป็นคนลบเอง”
“แล้วฉันจะแน่ใจได้ยังไง พวกชอบแสวงหาผลประโยชน์จากคนอื่นมีเยอะแยะ”
“ฉันไม่จำเป็นต้องแสวงหาผลประโยชน์อะไรจากใครค่ะ และฉันก็ไม่คิดจะให้พาสเวิร์ดโทรศัพท์กับคุณแน่นอน เร็วสิคะ ฉันคิดว่าคนเริ่มมองมาเยอะแล้วนะ คุณอยากเป็นข่าวหรือไง”
“กล้าขู่ฉันเหรอ” พริมาบิดริมฝีปากเป็นเส้นโค้ง ก่อนคว้าเอาโทรศัพท์ของกาลเวลามาถือไว้เอง “แต่ฉันไม่ใช่พวกชอบพูดเหมือนเธอ”
เสี้ยววินาทีหลังจากนั้นสมาร์ตโฟนสัญชาติเกาหลีรุ่นใหม่ล่าสุดก็ลอยละลิ่วผ่านหน้ากาลเวลาไป ก่อนที่มันจะร่วงลงสู่ท้องทะเลและจมหายไปต่อหน้าต่อตา
กาลเวลาตกตะลึง หัวใจกระตุกวูบ หน้ามืดตาลายจนอยากจะกระโจนไปบีบคอคนตรงหน้าให้คอหักตาย เพราะแค่คิดว่าต้องสูญเสียข้อมูลในสมาร์ตโฟนไปอย่างมหาศาลก็ราวกับมีไฟลุกท่วมศีรษะ
ไวเท่าความคิดเธอคว้าข้อมือเล็กของดาราสาวอย่างแรงจนเจ้าหล่อนร้องเสียงหลง
“ทำแบบนี้ได้ยังไงคะ นั่นมันของของฉันนะ”
“ปล่อยฉันนะ รู้มั้ยว่าถ้าข้อมือฉันมีรอยแม้แต่นิดเดียวบริษัทประกันเล่นเธออ่วมแน่ แล้วฉันก็ไม่อยากเสียเวลากับเธอเพราะคนอย่างเธอคงไม่มีปัญญาจ่าย”
ท่าทีไม่มีความสำนึกผิดนั้นทำให้กาลเวลายิ่งโกรธหนักมากขึ้นไปอีก
“คุณแย่มากเลยนะ ที่ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรที่ทำลายของของคนอื่น”
“ปล่อยแขนฉันนะ คุณแม่คะ ยืนเฉยอยู่ได้ ช่วยเอาแม่นี่ออกไปทีสิคะ”
“นี่ ปล่อยลูกสาวฉันนะ ช่วยด้วยค่ะ ใครก็ได้ช่วยเอาตัวผู้หญิงคนนี้ออกไปที” ปานวาดเข้าไปยื้อตัวลูกสาว
กาลเวลาโกรธจนไม่ฟังอะไร ไม่สนใจแม้กระทั่งว่าขณะนั้นมีชายสามคนเดินตรงเข้ามา จนเมื่อหนึ่งในนั้นคว้าแขนแล้วกระชากแรงพอที่จะทำให้เธอเสียการทรงตัว มือที่จับพริมาไว้ก็หลุดออก
“เกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงเข้มกังวานดังขึ้นและหยุดความวุ่นวายทั้งหมดได้ภายในวินาทีเดียว
กาลเวลามึนงง เธอใช้เวลาครู่หนึ่งเลยกว่าจะเรียกสติกลับมาได้ และรับรู้ว่าขณะนี้เธอถูกชายแปลกหน้าคนหนึ่งคว้าจับข้อมือไว้ เขารูปร่างสูงใหญ่มากๆ น่าจะสูงกว่าเธอเกือบหนึ่งฟุตหรือเกินร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรแน่ๆ เพราะเธอเองสูงร้อยหกสิบห้าเซนติเมตรยังต้องแหงนมองเขาคอตั้งบ่า
ชายอีกสองคนสวมสูทสีดำยืนอยู่ข้างหลังทำหน้าเข้มทำให้กาลเวลารู้สึกราวกับว่าหลุดไปอยู่ในหนังแนวเจ้าพ่อมาเฟียอะไรสักอย่าง
“แดนนี่คะ จัดการให้ทีค่ะ มันทำร้ายพริม”
คำพูดของพริมาทำให้กาลเวลาต้องหันไปมองหน้าคนที่สามารถพูดโทษคนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉย ใบหน้าสวยจัดของเจ้าหล่อนราวกับมีเงาแม่มดทาบทับอยู่ ทว่าไม่ทันได้โต้ตอบอะไร คนที่จับข้อมือเธอไว้แน่นก็เอ่ยขึ้นมาก่อน
“ขอโทษนะครับ ถ้าคุณจะมาก่อเรื่องที่นี่ผมคงต้องเชิญคุณออก”
“ขอโทษเหมือนกันค่ะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร” กาลเวลาถามเพราะไม่รู้จริงๆ ถ้าหากเขาไม่พูดภาษาไทยชัดเจนขนาดนี้เธออาจเข้าใจว่าเขาเป็นคนต่างชาติ เกาหลีหรือไม่ก็จีน เพราะชั้นตาเรียวรีของเขากับส่วนสูงอันเกินมาตรฐานชายไทย ผิวพรรณขาวจัดจนเห็นเส้นเลือดที่หลังมือ
เขาหล่อมาก แต่กาลเวลาไม่มีอารมณ์จะชื่นชมใครทั้งนั้น
“คุณแดนนี่ เฉิน เจ้าของเรือที่คุณกำลังจะขึ้นครับคุณผู้หญิง”
ชายรูปร่างหนาสูงไล่เลี่ยกับชายที่ชื่อแดนนี่ เฉินบอกแทน กาลเวลาลอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย ก่อนเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว
“เป็นเจ้าของเรือ ปฏิบัติกับลูกค้าแบบนี้เหรอคะ ปล่อยฉัน” เธอดึงมือออกจากมือเขาแล้วถอยออกมายืนห่างๆ
เอาล่ะ! เท่าที่ประเมินด้วยสายตาตอนนี้ ฝั่งตรงข้ามเป็นดาราสาวชื่อดังที่มีแบ็กอัพเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สามคน กับมารดาที่ทำท่าจะเขมือบเธอตลอดเวลา ส่วนเธอ…นับดูอย่างถ้วนถี่ก็มีแค่ตัวคนเดียว ฉะนั้นมีสิทธิ์ที่เธอจะหายไปจากโลกใบนี้โดยที่ไม่มีใครรู้ได้ง่ายๆ
แต่ใครจะไปกลัว ถ้ากาลเวลาเป็นคนขี้กลัวก็คงไม่กล้าไปไหนมาไหนคนเดียว หรือไปเที่ยวคนเดียวเป็นงานหลักแบบนี้
“เอาตัวเธอออกไป” แดนนี่ เฉินไม่สนใจสายตาของหญิงสาวแปลกหน้าที่มองมา เขาสนแค่ว่าจะทำอย่างไรให้ทุกอย่างกลับสู่ความเรียบร้อยให้เร็วที่สุด เขาไม่ชอบอธิบายหรือต่อความกับใครให้ยืดยาว
เขาไม่ชอบพูดมาก
“ครับ” หยางจงและปาริธรับคำอย่างพร้อมเพรียง ทว่าพอจะคว้าตัวหญิงสาวเจ้าปัญหา เจ้าหล่อนก็ขยับหนีพร้อมถลึงตาใส่
“พวกคุณคิดจะทำอะไร ฉันไม่ยอมหรอกนะ” กาลเวลาแทบจะกางกรงเล็บถ้าทำได้ แม้อีกฝ่ายจะเหนือกว่าเธอทุกอย่าง แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะกลัว “คุณชื่อว่าอะไรนะ คุณแดนนี่ เฉินใช่มั้ย ฉันจำได้”
เธอมองเขาและเขาก็มองเธอ ทั้งที่บอกว่าไม่คิดกลัวแต่เมื่อเห็นแววตาคมเข้มเปล่งประกายวาวโรจน์ขึ้นมาวูบหนึ่งใจก็สั่นรัว กระนั้นเลือดในกายของเธอก็ยังเข้มข้นมากพอให้เผชิญหน้ากับเขาด้วยความ…
กล้าๆ กลัวๆ
“คุณเป็นถึงเจ้าของกิจการ ลูกค้ามีเหตุวิวาทกันน่าจะสอบถามให้แน่ใจก่อนว่าใครผิดใครถูก เล่นตัดสินทั้งที่เพิ่งเดินเข้ามาไม่กี่นาทีแบบนี้ มันแย่มากเลยนะคะ”
“ผมว่าคุณยอมออกไปง่ายๆ ดีกว่านะครับคุณผู้หญิง อย่าให้เป็นเรื่องใหญ่เลย” ลูกน้องเจ้าเดิมเข้ามาเจรจา
“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันจ่ายเงินซื้อทัวร์ไม่ได้ขอมาฟรี แล้วฉันก็จะอยู่…เอาเรื่องคนที่โยนโทรศัพท์ฉันลงทะเลให้ถึงที่สุดด้วย” นึกแล้วโมโห กาลเวลาปรายตามองพริมาอย่างขุ่นเคือง
“ได้ ถ้าคุณอยากอธิบายมากนักล่ะก็…ผมก็จะให้คุณได้อธิบาย” แดนนี่ เฉินสืบเท้าเข้าไปหาหญิงสาวตรงหน้า ก่อนส่งสัญญาณให้ลูกน้องทั้งสอง “เอาตัวไป”
“ไม่นะ ไม่! ช่วยด้วย”
ปาริธและหยางจงพร้อมใจกันคว้าแขนกาลเวลาคนละข้าง ลากตัวเธอโดยไม่สนใจเสียงเอะอะโวยวายใดๆ ทั้งสิ้น กาลเวลาอยากกัดลิ้นตัวเองแล้วกลับคำพูดที่บอกว่าจะไม่ยอมออกไปจากที่นี่ เปลี่ยนเป็น…ขอกลับบ้านเลยตอนนี้
ทว่าคำพูดของเธอกลับถูกกลืนหายไปเพราะมือของหนึ่งในคนที่กำลังลากตัวเธออยู่ตอนนี้
กาลเวลาถูกพาตัวมานั่งในห้องห้องหนึ่งที่มีเพียงแสงเล็กๆ จากม่านบังแสงเล็ดลอดออกมาพอให้เห็นว่าบรรยากาศในห้องน่ากลัวเพียงใด
แดนนี่ เฉิน
ชื่อไม่เหมือนคนไทย แต่พูดไทยคล่องปร๋อ หรือว่าเขาจะเป็นลูกครึ่ง…
…ก็เป็นไปได้
ตอนนี้เขานั่งอยู่ตรงหน้าเธอ แต่ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารสลับกับอ่านข้อความในแท็บเลตอยู่เกือบสิบห้านาทีแล้ว
เธอดูนาฬิกาอยู่ตลอดเวลา…
ชายสองคนที่ทำหน้าที่ลากเธอมาอยู่ตรงนี้ขยับไปยืนหน้าประตู
…เงียบ! เหมือนกัน
“นี่คุณ”
“…”
“คุณ”
“…”
“คุณคะ ได้ยินที่ฉันพูดมั้ย” กาลเวลาหมดความอดทน คิดว่าตัวเองไม่ได้เสียงเบาและเขาไม่ใช่คนหูหนวก แต่ทำนิ่งเฉยเหมือนเธอไม่มีตัวตน เป็นอากาศธาตุ
“ผมได้ยิน” เขาตอบเสียงเรียบ เลื่อนสายตาขึ้นมองเธอขณะที่ยังอยู่ในอิริยาบถเดิม
“ได้ยิน แล้วทำไมถึงยังเฉย”
“ผมอ่านเอกสารอยู่ ไม่ว่างคุย”
“เอ้า!” กาลเวลาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีกับคำตอบแบบนี้ของเขา เธอได้แต่ทำหน้าเหวอ “ไม่ว่างคุยแล้วลากฉันมาทำไม”
แดนนี่ทำท่าเหมือนจะปล่อยลมหายใจออกมา ทว่าภาพที่เห็นคือเขายังคงนิ่ง
“ผมแค่ต้องทำให้ทุกอย่างอยู่ในความสงบ”
“นี่หมายความว่าฉันเป็นตัววุ่นวายเหรอคะ ทั้งที่แฟนคุณเป็นคนเริ่มก่อน” กาลเวลาลุกพรวดขึ้นยืน เวลานี้เธออยากโทรให้เกรียงศักดิ์จองตั๋วเครื่องบินกลับไทยให้เดี๋ยวนี้แล้วหนีเรื่องบ้าๆ นี้ไปซะ
ทว่าโทรศัพท์ของเธอถูกโยนลงก้นทะเลไปแล้ว นั่นทำให้กาลเวลาทำได้แค่ยืนสาปแช่งคนตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
“พริมไม่ใช่แฟนผม แล้วผมก็คิดว่าคุณไม่มีสิทธิ์เรียกเธอแบบนั้น”
“อ้อ! ลืมไป พวกชื่อเรียกความสัมพันธ์ของดาราคนดังมันซับซ้อน” เพราะโมโหเธอจึงสวนกลับไปทันควัน ทั้งที่ปกติกาลเวลาไม่ใช่พวกชอบกระแหนะกระแหนใคร
แต่นั่นแหละ บทคนจะซวยจะทำอะไรก็ซวยไปหมด เพราะคำพูดของเธอดันไปกระตุกต่อมโกรธของเขาจนใบหน้าเรียบเฉยนั้นยับขึ้นเล็กน้อย
…ซึ่งมันน่ากลัวมากๆ
“คุณจ่ายเท่าไหร่สำหรับการล่องเรือครั้งนี้ ผมยินดีคืนเงินให้คุณรวมค่าตั๋วเครื่องบินด้วย แลกกับการที่ผมไม่ต้องเห็นหน้าคุณอีก”
“พูดจาให้เกียรติกันบ้างนะคะ คุณคิดว่าตัวเองมีเงินแล้วจะทำอะไรกับใครก็ได้เหรอ” กาลเวลาคิดว่าตัวเองควรหยุดพูดทุกอย่าง รับเงินมาแล้วหันหลังกลับไปจากห้องนี้เสีย แต่ปากเจ้ากรรมก็ดันเถียงออกไป
“คุณจะพูดยังไงก็ช่างเถอะนะ แต่การที่คุณมาที่นี่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากคนอื่น เรือของผมไม่ต้อนรับ”
“อีกแล้วเหรอ นี่คุณกล่าวหาฉันโดยไม่มีหลักฐานอีกแล้วนะ ฉันจะบอกอะไรให้ ฉัน-ไม่-เคย-คิด” กาลเวลาย้ำทีละคำ ในใจเดือดดาล “ไม่เคยอยากจะสนใจคนอย่างพวกคุณเลย จะเป็นดาราบ้าบออะไรก็ช่างไม่ได้มีความสำคัญกับฉัน ฉันแค่มาเพราะต้องการเที่ยวและทำงานของฉันให้เสร็จ”
“งานอะไร”
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกคุณ”
กาลเวลาเม้มปาก มองเขาด้วยแววตาไม่ยอมแพ้ เสี้ยววินาทีเธอได้สังเกตเห็นว่านัยน์ตาของเขาสีดำสนิท จมูกโด่งได้รูป และริมฝีปากหยักลึก
เขาหล่อมากกว่าครั้งแรกที่เธอมอง…
“หยางจง นายหาข้อมูลได้หรือยัง” เขาถามลูกน้องแต่ดวงตายังจับจ้องเธอ
“สักครู่ครับคุณแดนนี่” หยางจงรับคำแล้วรีบเปิดแท็บเลตเช็กข้อมูล “ได้แล้วครับ”
เดินเร็วๆ มาหาเจ้านายแล้วส่งแท็บเลตให้ กาลเวลานิ่วหน้า สังหรณ์ใจว่าข้อมูลที่ว่านั่นเกี่ยวกับเธอ
“กาลเวลา นนท์สวัสดิ์” แดนนี่ เฉินอ่านข้อมูลที่ปรากฏบนหน้าจอช้าๆ “อายุยี่สิบหกปี อาชีพ…”
ชายหนุ่มนิ่วหน้าเล็กน้อยคล้ายแปลกใจ พลางเลื่อนสายตาขึ้นมองหน้ากาลเวลา
“บล็อกเกอร์นำเที่ยว”
กาลเวลาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ข้อมูลพวกนั้นเกรียงศักดิ์กรอกให้เธอตอนที่กดซื้อทริปผ่านหน้าเว็บไซต์ ซึ่งการที่เขาได้ข้อมูลพวกนี้มาไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่แปลกคือแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“นั่นเรียกว่างานเหรอ”
“ใช่หรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับคุณ ฉันจ่ายเงินมาเที่ยวไม่ได้ขอมาฟรี”
แดนนี่ เฉินหัวเราะในลำคอ เขารู้จักคนที่ทำอาชีพอย่างเธอดี แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอคนประเภทนี้ เรือของเขามีบล็อกเกอร์มาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสายหลายเชื้อชาติ ยุคนี้ใครๆ ก็ทำตัวเป็นบล็อกเกอร์ได้ทั้งนั้น แค่มีโทรศัพท์กับค่าอินเตอร์เน็ตไม่กี่บาท
…แค่พวกอยากดัง
“ยังไงผมก็คงให้คุณขึ้นเรือไม่ได้ เรือของผมเป็นเรือสำราญ แล้วมันคงไม่สำราญเท่าไหร่นักหากว่ามีพวกบล็อกเกอร์เกลื่อนๆ มาคอยถ่ายภาพแขกของผม”
กาลเวลาเหมือนถูกตีแสกหน้าด้วยไม้หน้าสาม เธอทำงานนี้มาหลายปีไม่เคยมีใครทำให้เธอรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย และที่แย่ไปกว่านั้นคือที่เขาพูดมันถูก
“ฉันมีจรรยาบรรณมากพอ ไม่ปล่อยภาพไม่สวยของใครลงสื่อ อีกอย่างคุณน่าจะดีใจ เพราะงานของฉันอาจทำให้คนรู้จักเรือของคุณมากขึ้น”
“ผมไม่ได้ง้อลูกค้าขนาดนั้น แล้วเรือผมก็เต็มทุกเที่ยวอยู่แล้ว”
“แล้วคุณจะเอายังไง” กาลเวลาอยากร้องไห้ อยู่ๆ ก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมา เธอคร้านจะเถียงกับเขาแล้วเพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีวันชนะ
แดนนี่นิ่งไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะร้องไห้ แต่ไม่ทันได้คิดอะไรต่อจากนั้นหยางจงก็ส่งภาพวิดีโอให้เขาดู
กล้องวงจรปิดตรงทางขึ้นเรือแสดงภาพบันทึกเหตุการณ์ตั้งแต่ที่กาลเวลากำลังถ่ายวิดีโอบรรยากาศรอบๆ วอล์กเวย์ซึ่งทอดยาวเทียบไปกับเรือ กระทั่งตอนที่พริมามาแย่งโทรศัพท์ไปเพราะหญิงสาวเดินมาในรัศมีของกล้องพอดี แดนนี่นิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อขณะที่ทั้งสองฝ่ายถกเถียงกัน อยู่ๆ พริมาก็โยนโทรศัพท์ของคนตรงหน้าทิ้งไป
แดนนี่กลอกตาเล็กน้อย เขาน่าจะรู้จักพริมาดี เธอวู่วามและมักทำอะไรไม่มีเหตุผล เอาแต่ใจตัวเอง
“หยางจง นายพาเธอไปห้องพักของเธอได้เลย อีกสักพักเรือจะออกแล้ว”
แดนนี่บอกกับคนของเขา แต่กาลเวลาต้องงงหนัก เธอมองเขาอย่างไม่เข้าใจแต่ชายหนุ่มก็ไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ถามเพราะทันทีที่เขาออกคำสั่งเสร็จชายหนุ่มก็เดินเร็วๆ ออกจากห้องไป
ทิ้งให้เธอมองตามอย่างงุนงง
กาลเวลาถูกพามายังห้องพักบนเรือซึ่งอยู่บนชั้นสิบหกจากทั้งหมดยี่สิบเอ็ดชั้น ที่แปลกใจคือข้าวของของเธอวางไว้อย่างเป็นระเบียบที่ปลายเตียงอยู่แล้ว
ตั้งแต่เดินตามผู้ชายที่ชื่อหยางจงมาจนถึงห้องพัก เธอไม่สามารถคลายคิ้วที่ขมวดชนกันออกได้เลย
…นี่มันเรื่องบ้าบอชัดๆ
กาลเวลาทรุดตัวนั่งบนเตียงนอนขนาดห้าฟุตแล้วเอนหลังลงไปเกลือกกลิ้งอย่างหงุดหงิดใจ ทั้งเรื่องโทรศัพท์ที่ถูกโยนลงน้ำ เรื่องที่เจอดาราดังซึ่งเธอไม่คิดว่าจะได้เจอในชาตินี้และเป็นการเจอในแบบที่เธอไม่ปรารถนาจะเจอ ไหนจะเรื่องที่ถูกผู้ชายที่ไหนไม่รู้มาลากตัวเข้าไปในห้องแล้วจ้องตำหนิเธออย่างเอาเป็นเอาตายเรื่องที่เธอไม่ได้มีความผิด
ความจริงเธอควรลากกระเป๋าเดินทางลงจากเรือแล้วขึ้นเครื่องกลับเลยตอนนี้
ใช่!
เธอไม่อยากเดินทางไปกับเรือที่มีเจ้าของสับปะรังเคห่วยแตกอย่างเขา
แดนนี่ เฉิน
กาลเวลาลุกพรวดขึ้นนั่ง แต่ขณะที่กำลังคิดว่าจะลากกระเป๋าออกจากห้อง เรือสำราญลำใหญ่ที่จุนักท่องเที่ยวและลูกเรือห้าพันชีวิตก็เคลื่อนตัวออกพร้อมเสียงประกาศเป็นภาษาอังกฤษ
หญิงสาวแทบอยากจะกรีดร้อง
ชีวิตเธอเพิ่งจะมาเจอพิษเบญจเพสตอนอายุยี่สิบหกหรือยังไงนะ
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.