X
    Categories: LOVEทดลองอ่านปรารถนา... ให้เป็นคุณ ชุด Wishing You ด้วยรัก... และปรารถนา

ทดลองอ่าน ปรารถนา… ให้เป็นคุณ ชุด Wishing You ด้วยรัก… และปรารถนา บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 2

บริษัท เฟรชคูล จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อห้าปีก่อน แล้วหลังจากนั้นผลการดำเนินงานก็เจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด มูลค่าหุ้นรวมของบริษัทสูงถึงพันล้านบาท แม้ประธานกรรมการบริหารของบริษัทจะเป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการน้ำดื่มของประเทศมานานกว่านั้น แต่คนที่นำบริษัทเข้าตลาดเพื่อระดมทุนขยายกิจการให้มีขนาดใหญ่ขึ้นนั้นเป็นคนรุ่นลูก

กมลพัชรนั่งเป็นประธานกรรมการบริหารบริษัทนับตั้งแต่สามีของนางได้จากไป เขาทิ้งสมบัติ บุตรชาย บุตรสาว และภาระทุกอย่างในชีวิตไว้ให้เธอจัดการดูแล คงไม่ต้องบอกว่าเธอต้องใช้พลังงานมากเท่าไรเพื่อที่จะรักษาทุกอย่างไว้ อย่างน้อยที่สุดมันต้องเหมือนเดิม เหมือนตอนที่อุกฤษฏ์ยังมีชีวิตอยู่ แต่ความจริงแล้วกมลพัชรทำได้ดีมากกว่านั้น เพราะบริษัทเจริญรุ่งเรืองเรื่อยมาจนกระทั่งถึงวันที่กัณฑ์อเนกจะมารับช่วงต่อ ขณะนี้จึงเป็นเวลาหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น

เมื่อสิบนาทีที่แล้วคนขับรถประจำตัวของกมลพัชรโทรศัพท์เข้ามาแจ้งบุศรินทร์ เลขานุการของเธอแล้วว่ากำลังจะมาถึง หลังจากนั้นทุกคนในสำนักงานก็ตื่นตัวทันที คนที่มีหน้าที่ทำงานประจำก็นั่งประจำที่ของตน ส่วนคนที่ต้องเข้าร่วมประชุมต่างก็เข้าไปรอในห้องประชุมอย่างเป็นระเบียบ เลขานุการผู้บริหารระดับสูงส่งวาระการประชุมพร้อมรายงานการดำเนินงานให้กรรมการทุกคนได้อ่านก่อน ส่วนกัณฑ์อเนกนั้นเพิ่งเดินเข้ามาสมทบทุกคนในห้องภายหลัง

“สวัสดีครับ”

ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีครีมเดินเข้ามาพร้อมกับคำทักทาย เมื่อคณะกรรมการทั้งเจ็ดท่านเงยหน้าขึ้นมอง เขาจึงหยุดแล้วยกมือไหว้ เสียงทักทายและตอบรับดังขึ้นหลังจากนั้น กัณฑ์อเนกยิ้มกว้างแล้วนั่งลงประจำที่ซึ่งอยู่ทางด้านขวามือของประธาน พารณซึ่งเดินตามมาติดๆ นำเอกสารในส่วนของเจ้านายตนวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าแล้วถอยไปยืนทางด้านหลัง กัณฑ์อเนกไม่ได้สนใจเอกสารพวกนั้นแต่เขากลับกวาดสายตามองทุกคนบนโต๊ะด้วยสีหน้าที่อมยิ้มน้อยๆ

“ผมดีใจนะครับที่เห็นทุกคนสบายดี”

มีบรรยากาศของความตึงเครียดเกิดขึ้นอย่างชัดเจน คณะกรรมการทุกคนแม้จะมีอายุน้อยกว่ากมลพัชร แต่ก็อาวุโสมากกว่ากัณฑ์อเนกมาก จำนวนเกินครึ่งที่นั่งอยู่นี้เคยทำงานร่วมกันกับพ่อของเขา และทุกคนเคยเห็นเขาเข้ามาทำงานวันแรกในฐานะรองประธานกรรมการบริษัท

ยังไม่ทันที่ใครจะต่อบทสนทนากับกัณฑ์อเนก เลขานุการก็เข้ามาแจ้งกับทุกคนว่าท่านประธานกำลังจะมาถึง สมาชิกทุกคนในห้องจึงยืนขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน ไม่กี่อึดใจหญิงวัยห้าสิบปลายๆ ก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เธอดูภูมิฐานในชุดกระโปรงและสูทสีเขียวไข่กา พร้อมกับกระเป๋าถือสีเดียวกัน รูปร่างของกมลพัชรนั้นดูดีกว่าผู้หญิงในวัยเดียวกัน แสดงว่าดูแลตัวเองได้ค่อนข้างดี ผมหยักศกยาวแค่บ่าถูกโกรกเป็นสีน้ำตาลเข้ม เครื่องหน้าเล็กและดูดุกว่าลูกชายมาก เมื่อทุกคนยกมือไหว้เธอก็หยุดยืนแล้วไหว้ตอบ

“สวัสดีค่ะ เชิญนั่งค่ะ”

บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง คณะกรรมการคนอื่นดูจะสบายใจและผ่อนคลายกว่าเมื่อกมลพัชรปรากฏตัวขึ้นในห้องประชุม แตกต่างจากช่วงห้านาทีก่อน เมื่อทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้วกมลพัชรก็กล่าวต้อนรับและเปิดประชุมอย่างเป็นกันเองทันที

“ขอบคุณที่สละเวลามาทุกไตรมาส วันนี้จะพยายามให้การประชุมเสร็จเร็วกว่าครั้งก่อนนะ จำได้ว่าล่าช้าเกือบจะเที่ยงวัน”

คนที่นั่งหัวโต๊ะมีจมูกเล็กเป็นสันคม ช่วงปลายงองุ้มเล็กน้อย มันกำลังรองรับแว่นสายตาที่เพิ่งถูกสวม กมลพัชรไม่ได้ทักทายบุตรชายของตนเป็นการส่วนตัวแต่หันไปสนใจเอกสารตรงหน้าแทน

“ใครมีอะไรอยากจะพูดก่อนที่เราจะเริ่มการประชุมกันมั้ยคะ”

มีชายสูงวัยคนหนึ่งยกมือก่อนที่กมลพัชรจะอนุญาตให้เขาพูด

“ผมอ่านวาระการประชุมแล้วคิดว่าควรจะมีอะไรเพิ่มเติมสักหน่อย”

“อะไรคะ”

เลขานุการของกมลพัชรขยับปากกาในมือเตรียมจดสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น สายตาคมปลาบของกัณฑ์อเนกพุ่งตรงไปที่ชายคนนั้นอย่างเฝ้าระวัง กมลพัชรเองแม้ท่าทางภายนอกจะดูไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดแต่ในใจก็ลุ้นอยู่เช่นกันว่ากรรมการอาวุโสท่านนั้นจะกล่าวอะไร

“เรื่องของกัณฑ์…”

คนถูกพาดพิงกลอกตาขึ้นมองบนเพดานก่อนจะหายใจลึก กมลพัชรไม่ได้หันกลับมาดูลูกชายสักนิด นางแค่ยิ้มน้อยๆ ก่อนตอบ

“เรื่องส่วนตัวเก็บไว้ทีหลังเถอะค่ะคุณพฤกษ์”

“ทีหลังนี่หมายถึง เรื่องหลังสุดของวาระการประชุมวันนี้หรือหลังจากวันนี้แต่เป็นเมื่อไรก็ไม่รู้ล่ะ คุณพัชรก็รู้ดีว่าเรื่องที่ผมจะพูดไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของกัณฑ์คนเดียว”

กมลพัชรกรีดมุมกระดาษในมือเล่น เหมือนจะประวิงเวลาเพื่อหาคำตอบที่นุ่มนวลที่สุดมาตอบ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะเริ่มคนที่กลายเป็นหัวข้อการสนทนากลับชิงพูดเสียก่อน

“คุณลุงจะจับผมแต่งงานให้ได้เลยสินะครับ”

“ถ้าเป็นเด็กหัวอ่อนกว่านี้ลุงก็คงจะทำไปแล้ว”

คำตอบที่ตอบกลับมาเหมือนหลุดมาจากปากของคนไม่มีหัวใจ คนที่มองอะไรๆ เป็นเรื่องที่ตนสามารถควบคุมได้ไปเสียหมด แม้กระทั่งจิตใจของมนุษย์ด้วยกันเอง ตอนนี้กมลพัชรตวัดสายตามองใบหน้าของลูกชาย นัยน์ตานั้นกำราบเขาอยู่ในที กัณฑ์อเนกเองก็รู้ดีว่าในห้องประชุมแห่งนี้แม่ของเขาต้องแคร์ใครบ้าง ซึ่งคำตอบนั้นไม่ใช่เขาแน่

“กัณฑ์รู้แล้วนี่ว่าชีวิตส่วนตัวของเราน่ะมันขึ้นอยู่กับราคาหุ้นของบริษัทด้วย”

กัณฑ์อเนกแสยะยิ้มอย่างแค่นขำ ใบหน้าที่เคยงามราวเทพบุตรแปรเปลี่ยนเป็นซาตานเจ้าเล่ห์ในชั่วพริบตา

“ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ เมื่อสองวันก่อนแค่ข่าวซุบซิบยังทำให้มีแรงเทขายออกมามากกว่าปกติเลย”

ชายหนุ่มขยับเก้าอี้แล้วยืดตัวตรงกว่าเดิม เขาประสานมือไว้บนโต๊ะก่อนตอบ

“เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลออกมาพูดถึงแผนการเพิ่มอัตราภาษีสำหรับสินค้าประเภทเครื่องดื่มที่เติมความหวานเพิ่มลงไป เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นทำให้เฟรชคูลถูกจับตามอง เนื่องจากธุรกิจของเรามีสินค้าที่ให้ความหวานอยู่หลายชนิด มันก็อาจเกิดผลกระทบกับราคาหุ้นในตลาดในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ได้ ผมไม่คิดว่าเรื่องส่วนตัวของผมจะเป็นต้นเหตุอย่างที่คุณลุงว่ามานะครับ”

คู่กรณีถึงกับหน้าม้านไปแต่ก็ไม่ยอมรับออกมาว่าสิ่งที่กัณฑ์อเนกพูดมานั้นเป็นความจริงสำหรับเขา กมลพัชรเห็นโอกาสที่จะเริ่มผ่านเรื่องนี้ไป นางจึงเตือนสติคณะกรรมการอีกครั้ง

“เอาล่ะ เรามีเรื่องต้องคุยกันหลายเรื่อง เริ่มเลยดีกว่านะคะ”

ไม่รอให้ใครปฏิเสธ ประธานกรรมการหันไปพยักหน้าให้เลขานุการของตนเริ่มดำเนินการประชุม โดยในวาระแรกเป็นการรายงานผลการดำเนินงานที่ผ่านมา…

“เรื่องน้ำดิบสำหรับกระบวนการผลิตในปีนี้ บริษัทของเรามีเพียงพอและอาจจะเหลือสำหรับขายให้โรงงานอุตสาหกรรมหรือธุรกิจอื่นด้วยค่ะ”

กัณฑ์อเนกยิ้มกริ่มพร้อมกับกวาดสายตาไปทั่วโต๊ะ กมลพัชรก็ยิ้มน้อยๆ เช่นกัน

“แสดงว่าเรื่องการลงทุนเพื่อซื้อที่ดินสำหรับทำบ่อกักเก็บน้ำธรรมชาติในจังหวัดปราจีนบุรีเมื่อสองปีก่อนเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสินะ”

เรื่องราวในอดีตหมุนวนกลับมาในความทรงจำของชายหนุ่มผู้เป็นทายาทคนโตของอุกฤษฏ์ นี่คือโครงการแรกที่เขามีโอกาสแสดงให้เห็นว่าความคิดเรื่องการลงทุนของเขานั้นมีประโยชน์ต่อบริษัทเป็นอย่างยิ่ง เขากล้าตัดสินใจทำในสิ่งที่คณะกรรมการคนอื่นๆ เอาแต่คัดค้านเพราะไม่อยากเสียเงินก้อนใหญ่ไปกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์แล้วยังไม่รู้ว่าจะคืนทุนเมื่อใด กัณฑ์อเนกยอมเสี่ยงและพยายามหาข้อมูลมาสนับสนุนความคิดของตัวเอง เพื่อให้บอร์ดบริหารยกมือเห็นด้วยกับเขาในเรื่องนี้ ในตอนนั้นคณะกรรมการส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นด้วยนัก และเขามารู้ภายหลังว่ามารดาเป็นผู้ช่วยโน้มน้าวให้หลายๆ คนยอมสนับสนุนความคิดของเขา

กัณฑ์อเนกต้องทำงานร่วมกับคนหัวเก่า ซึ่งบางครั้งมันก็ทำให้เขาหงุดหงิดรำคาญใจ แต่คนที่เหนื่อยที่สุดก็น่าจะเป็นกมลพัชร เพราะต้องทำหน้าที่ประสานแนวความคิดของคนรุ่นเก่ากับคนหัวไวอย่างลูกชายให้ไปด้วยกันได้ ภายใต้สภาพการทำธุรกิจที่มีเรื่องให้ต้องขบคิดและปรับตัวอยู่ตลอดเวลา

ชายหนุ่มผู้อยู่เบื้องหลังอีกคนก็อดอมยิ้มไม่ได้ พารณก็เป็นอีกคนที่อยู่กับกัณฑ์อเนก ในวันที่เขาต้องต่อสู้ทางความคิดกับผู้บริหารรุ่นเก่าด้วย ความสำเร็จในวันนั้นก็มีเขาร่วมเป็นส่วนหนึ่งด้วยเหมือนกัน

การประชุมสิ้นสุดลงเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาพอดี ไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่พฤกษ์ได้เกริ่นไว้ อาจเป็นเพราะวาระการประชุมค่อนข้างอัดแน่น หรือไม่ก็เป็นเพราะกมลพัชรไม่เปิดโอกาสให้ใครถามเรื่องนี้ขึ้นมาอีก เมื่อคณะกรรมการต่างทยอยลุกจากเก้าอี้ไปแล้วก็เหลือเพียงแม่กับบุตรชายพร้อมกับเลขานุการส่วนตัวของทั้งคู่เท่านั้น กัณฑ์อเนกทิ้งแผ่นหลังลงกับพนักเก้าอี้ดั่งคนหมดเรี่ยวแรง

“ขอบคุณนะครับที่ช่วยไม่ให้ลุงพฤกษ์โจมตีผมไปมากกว่านี้”

เขากล่าวกับมารดาอย่างมีพิธีรีตอง แต่กมลพัชรไม่ได้สนใจ นางกลับหันมาจ้องมองเสื้อผ้าของลูกชายแทน

“เมื่อเช้าไม่ได้ใส่ชุดนี้นี่”

กัณฑ์อเนกขมวดคิ้ว “คุณแม่รู้ได้ยังไง เมื่อเช้าเราไม่ได้เจอกันสักหน่อย”

“ฉันเป็นใคร”

คนถามเสียงแข็งขึ้นนิดหนึ่งแต่แววตาไม่ได้ดุ กัณฑ์อเนกหัวเราะหึ

“จริง คุณหญิงกมลพัชรสามารถรู้ได้ทุกเรื่องหากเธอต้องการ”

“ไม่เอาน่า เลิกเรียกคุณหญิงเถอะ ไม่ชินแล้วก็ไม่ชอบด้วย”

ชายหนุ่มอมยิ้มแล้วพยักหน้ารับ มารดาของเขาทำงานเพื่อสังคมควบคู่กับการบริหารธุรกิจขนาดใหญ่มาหลายปี มีหลายโครงการที่เฟรชคูลทำเพื่อช่วยเหลือคนไร้บ้าน คนเป็นมะเร็ง เด็กที่ขาดทุนทรัพย์ในการเรียน และคนยากจน ดังนั้นตำแหน่งคุณหญิงที่ได้รับมานั้นจึงเป็นเครื่องการันตีได้ว่ากมลพัชรเป็นบุคคลที่เสียสละเพื่อสังคมมากเพียงใด

“อย่าเฉไฉ ตอบแม่มาก่อน ชุดเมื่อเช้าไปไหน ทำไมถอด แม่ชอบชุดนั้นนะ”

“อุบัติเหตุนิดหน่อยครับ เราไปคุยกันที่ห้องทำงานของผมมั้ย เผื่อมีใครจะใช้ห้องประชุม”

“ไม่ดีกว่า ตอนบ่ายแม่มีธุระ ภารกิจคุณหญิงคุณนายที่กัณฑ์ชอบเรียกน่ะ”

“อ้อ ครับ แต่มีเวลาทานข้าวด้วยกันก่อนใช่ไหมฮะ”

กมลพัชรส่ายหน้า “เดี๋ยวจะออกไปเลย เราน่ะก็ควรกลับไปนอนบ้านบ้างนะ”

“ครับ ถ้าว่าง…”

“แล้วมีเรื่องยุ่งอะไรนักหนาถึงกลับบ้านไม่ได้ ตอนนี้นักข่าวสังคมรู้เรื่องของเรามากกว่าแม่แล้วล่ะมัง”

กัณฑ์อเนกถอนหายใจหนัก “บ้านหลังใหญ่เกินไป เหงา”

กมลพัชรค้อนให้ “คนเดินกันยั้วเยี้ยเต็มบ้านบอกว่าเหงา”

“นั่นมันคนทำงานบ้านกับผู้ช่วยของคุณแม่นี่ครับ”

“งั้นก็รอน้องสาวแกกลับมา”

“กิ่งจะกลับบ้านเหรอครับ”

“เห็นว่าอย่างนั้นนะ”

กัณฑ์อเนกมีน้องสาวคนหนึ่งชื่อกิรติกา เธอเป็นสาวที่เปรี้ยวจี๊ด เติบโตที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมากกว่าในเมืองไทยไปเสียแล้ว จู่ๆ กมลพัชรก็ลุกขึ้น ทำให้เลขาฯ ของเธอและพารณพลอยยืนไปด้วย มีกัณฑ์อเนกคนเดียวที่ยังคงนั่งอยู่

“ถ้ากิ่งมาถึงเมื่อไรคุณแม่ก็บอกรณมาแล้วกันนะครับ เผื่อทานข้าวด้วยกัน”

“ได้ แม่ไปล่ะ”

กัณฑ์อเนกลุกขึ้นยืนเป็นคนสุดท้าย “ครับ”

กมลพัชรพยักหน้าให้ลูกชายน้อยๆ จากนั้นก็หมุนตัวออกจากโต๊ะห้องประชุมไป กัณฑ์อเนกเฝ้ามองตามหลังของมารดาซึ่งมักมีคนติดตามอยู่เสมอนั้นไป ไม่เว้นแม้แต่เลขานุการส่วนตัวของเขาเอง พารณก็เดินตามกมลพัชรออกจากห้องประชุมไปด้วย

เมื่อพ้นประตูของบริษัทออกมาแล้วพารณก็ถูกตั้งคำถามทันที

“เกิดอะไรขึ้น”

“อุบัติเหตุเล็กน้อยครับ ทำให้สูทของคุณหนูสกปรกเลยต้องเปลี่ยน”

“อื้ม…” กมลพัชรไม่ได้หยุดเดิน “แล้วผู้หญิงที่เป็นข่าวนั่นคนใหม่หรือคนเดิม”

“เอ่อ…คนใหม่ครับ เธอเป็นนางแบบ”

“ถ้าถึงเวลาต้องจัดการก็ลงมือเลย อย่าปล่อยไว้นานเหมือนคนก่อน มันจะกำจัดยาก เข้าใจที่ฉันพูดไหม”

“เข้าใจครับ”

ขบวนเล็กๆ นั้นไปหยุดยืนตรงหน้าลิฟต์ พารณเป็นคนยื่นมือออกไปกดปุ่มให้ แล้วเหมือนกับลิฟต์ถูกล็อกไว้เพื่อกมลพัชรโดยเฉพาะ มันตรงดิ่งมายังชั้นสิบห้าโดยไม่ได้แวะที่ชั้นไหนเลย เสียงสัญญาณบอกให้รู้ว่าประตูลิฟต์กำลังจะเปิด และท่านประธานกำลังจะฝากคำสั่งสุดท้ายไว้

“ฉันยอมให้กัณฑ์ไปอยู่ที่คอนโดฯ นั้นที่เดียว ถ้าเขาไปมีที่อยู่แห่งใหม่อีกเธอต้องรายงานทันที”

“ครับ” พารณก้มศีรษะให้

บุศรินทร์เปิดประตูลิฟต์ค้างไว้เพื่อรอเจ้านายของตน กมลพัชรหันมามองพารณแวบหนึ่งก่อนจะก้าวเข้าไปในลิฟต์ ชายหนุ่มไม่ได้ตามเข้าไปด้วย เพียงแต่ยืนส่งตรงหน้าประตูนั้น เมื่อประตูลิฟต์กำลังปิดลงจู่ๆ กมลพัชรก็ออกคำสั่งให้เปิดอีกรอบ

“เดี๋ยวก่อน!”

ประตูถูกค้างไว้ตามสั่ง พารณรู้แล้วว่ากำลังจะได้รับคำสั่ง เขายืนตัวตรงมือแนบลำตัว สายตาจ้องมองไปยังท่านประธานอย่างพร้อมที่จะตอบสนองคำสั่งนั้นทุกวินาที

“ถ้ากิ่งกลับมา เธอต้องไปทานข้าวที่บ้านด้วย”

พารณแทบกลั้นหายใจเมื่อได้ยิน แต่เขาก็รับปากไปในที่สุด เมื่อประตูลิฟต์ปิดลงชายหนุ่มจึงมีโอกาสผ่อนคลายหัวไหล่และถอนลมหายใจยาวๆ สักครั้ง

 

เลขานุการหนุ่มผู้มีนัยน์ตาเล็กหยีเดินกลับเข้ามาในออฟฟิศด้วยสีหน้าครุ่นคิด ประชาสัมพันธ์หน้าบริษัทของเขาดักรอพบตั้งแต่ประตูหน้า เมื่อทั้งสองประสานสายตากันพารณก็รู้ว่าคนข้างในคงต้องการพบตัวของเขาทันทีที่ส่งกมลพัชรเรียบร้อยแล้ว เขาพยักหน้าให้ประชาสัมพันธ์อย่างรู้ทันว่าตนเองต้องทำอะไรต่อไป

พารณไปหยุดที่หน้าห้องทำงานซึ่งมีป้ายบอกว่าเป็นห้องของรองประธานกรรมการ ชายหนุ่มเคาะประตูสามครั้ง เสียงอนุญาตดังลอดออกมาให้ได้ยิน จากนั้นเขาจึงเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานโทนสีเขียวเข้ม ซึ่งเป็นสีโปรดของกัณฑ์อเนก เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ในห้องนี้ตกแต่งด้วยไม้และหนัง โซฟาขนาดใหญ่ซึ่งไว้สำหรับรับแขกก็บุด้วยหนังชั้นดี มันทำให้ห้องทำงานแห่งนี้ดูเคร่งขรึมขึ้น เจ้าของห้องนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองซึ่งวางอยู่ตรงข้ามกับโซฟารับแขก เมื่อเห็นพารณเดินเข้ามาเขาก็ยิงคำถามทันที

“โดนซักละเอียดยิบเลยสิ” แล้วเขาก็ชี้หน้าเลขาฯ ของตัวเอง “ห้ามบอกเรื่องห้องใหม่นะ”

“ครับ ผมไม่ได้พูด”

เพราะมันเป็นที่อยู่เดิม ไม่ใช่ที่อยู่ใหม่อย่างที่กมลพัชรถาม มันเป็นคอนโดมิเนียมเดียวกันแต่ไม่ใช่ห้องเดียวกันกับที่คุณหญิงแม่ของกัณฑ์อเนกรู้ เขาไม่ได้โกหกแค่ช่วยปกปิด พารณไปหยุดยืนที่หน้าโต๊ะทำงานของคนเป็นเจ้านาย ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนกัณฑ์อเนกจะอารมณ์ดีขึ้นกว่าช่วงเวลาตอนเข้าประชุมมาก

“ดีมาก เอ้อ แล้วเรื่องเมื่อเช้านายจัดการยังไงบ้าง”

สมองของพารณคิดเร็วจี๋ว่าเจ้านายหมายถึงเรื่องไหนกันแน่ที่เขาต้องจัดการ แล้วใบหน้าของพนักงานออฟฟิศสาวที่มีเนื้อตัวเปรอะเปื้อนก็เด้งขึ้นมาในความทรงจำ

“อ้อ เรื่องนั้น…ผมให้นามบัตรของร้านคริสตัลไปครับ”

กัณฑ์อเนกพยักหน้าเห็นด้วย “ดีแล้ว แล้วเขาเลือกชุดไหน”

คราวนี้พารณอ้าปากหวอ ใครจะไปคิดว่าเจ้านายของเขาจะสนใจในรายละเอียดมากขนาดนั้น แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้จักกันเพราะอุบัติเหตุที่ไม่น่าประทับใจเอาซะเลย แล้วทำไมกัณฑ์อเนกต้องอยากรู้ว่าเธอจะเลือกเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดไหน

“มะ…ไม่ทราบครับ ผมยังไม่ได้ตามเรื่องนี้”

“ทำไมล่ะ ผิดวิสัยนายนะ”

“เอ่อ เพิ่งออกจากห้องประชุม ผมยังไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้”

“งั้นก็ตามเรื่องให้ด้วย ฉันไม่ชอบให้ใครคิดว่าฉันเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ แล้วนายว่าผู้หญิงคนนั้นจะรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”

พารณพยายามนึกถึงสีหน้าและท่าทางของจิรัศยาในช่วงที่เขามีโอกาสสนทนากับเธอ ว่ามีตรงไหนหรืออะไรที่พอจะบอกได้ไหมว่าเธอคนนั้นรู้จักกัณฑ์อเนก แล้วเขาก็ส่ายหน้า…

“ไม่น่าจะรู้จักนะครับ แต่เขาอาจจะทราบแล้วหลังจากที่เราสั่งให้โรงแรมจัดอาหารเช้าไปชดใช้ข้าวของที่เสียหายของเขา”

“เจ๋ง นายนี่ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลย” แล้วจู่ๆ เขาก็ลุกขึ้น “เสร็จเรื่องแล้ว ฉันกลับล่ะ”

“จะไปไหนครับ บ่ายนี้ไม่มีนัดหมายอะไร ผมนึกว่าคุณหนูจะอยู่ที่นี่ทั้งวัน”

“อยู่กันสองคนเรียกชื่อเถอะ ฟังนายเรียกฉันว่าท่าน เรียกว่าคุณหนูแล้วฉันขนลุก”

“ครับ…ผมนึกว่าคุณกัณฑ์จะอยู่ที่นี่ทั้งวัน”

กัณฑ์อเนกส่ายหน้า “จะไปพัทยา”

พารณตกใจแวบเดียวจากนั้นก็พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้านายของเขาเอาแต่ใจตัวเองและทำในสิ่งที่ไม่ได้มีในหมายกำหนดการ

“ครับ เดี๋ยวผมบอกให้คนขับรถ…”

“นายไม่ต้องตามไปนะ แค่บอกให้คนรถไปส่งฉันที่คอนโดฯ แล้วฉันจะขับรถไปเอง”

“ทำไมล่ะครับ”

กัณฑ์อเนกยังไม่ตอบ เขาเดินออกจากโต๊ะทำงานแล้วมุ่งหน้าไปที่ประตูห้องทันที ทำให้พารณต้องก้าวยาวๆ ตามไปด้วย

“นายมีเรื่องที่จะต้องจัดการ…จำไม่ได้เหรอ” เขาหยุดเดินแล้วหันมามองเลขาฯ ด้วยสายตากวนๆ “ให้เรียบร้อย อย่าให้มีการเรียกร้องค่าเสียหายภายหลัง แล้วมีอะไรก็ส่งข้อความมาไว้ในโทรศัพท์ของฉันก็แล้วกัน ว่างๆ จะเปิดดูเอง”

“ตะ…แต่พรุ่งนี้มีสื่อขอสัมภาษณ์ที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอทตอนบ่ายสองโมงนะครับ”

“ฉันจำได้น่า ตั้งบ่ายสอง เกือบยี่สิบสี่ชั่วโมง…ทำอะไรได้ตั้งเยอะ ไปล่ะ พรุ่งนี้เจอกัน”

พารณอ้าปากค้างทำได้แค่เพียงมองดูกัณฑ์อเนกเปิดประตูแล้วปิดใส่หน้าเขาเท่านั้น ชายหนุ่มมีเวลานิ่งอึ้งไม่ถึงนาทีก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าคนที่เพิ่งเดินหนีเขาไปได้ทิ้งงานไว้ให้ทำ คนตาเล็กหยีรีบล้วงมือถือขึ้นมาจากเสื้อสูทแล้วค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ที่บันทึกไว้ เขากดเรียกแล้วรอสายชั่วอึดใจคนปลายสายก็รับด้วยความกระตือรือร้น

“สวัสดีค่าคุณพารณ ยังไม่มีใครมาหาพี่เลยนะคะ”

“อ้าว…” พารณอุทานเบาๆ แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นยังไม่ได้ไปที่ร้านคริสตัล “ขอโทษนะครับ ทั้งที่รบกวนให้คุณคริสต้องมาเปิดร้านก่อนเวลาแท้ๆ”

“โอ๊ย เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาเลยค่ะ ว่าแต่คนที่จะถือนามบัตรของคุณพารณมานี่คือ…เอ่อ คือใครคะ พี่ถามได้มั้ย”

ปลายประโยคนั้นถูกลดน้ำเสียงลงเป็นกระซิบกระซาบ

“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ เป็นการชดใช้ค่าเสียหายเท่านั้นเอง”

“อ๋อออ” เธอลากเสียงยาว

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตามเรื่องก่อนนะครับ ยังไงถ้าเขามา ช่วยดูแลให้เต็มที่ด้วยนะครับ”

“รับทราบค่ะ ไว้ใจพี่ได้เลย”

พารณวางสายไปแล้วก็ยืนนิ่ง เขากำลังเรียกภาพและบรรยากาศรอบตัวเมื่อช่วงเช้าในตอนที่กัณฑ์อเนกประสบอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ นั่นขึ้นมา พารณนึกใบหน้าและส่วนสูงของผู้หญิงคนนั้นออก หากพบอีกครั้งเขาก็จะจำเธอได้ทันที แต่สิ่งที่เขาต้องการระลึกถึงไม่ใช่ใบหน้ากลับเป็นป้ายชื่อพนักงานที่ห้อยอยู่ตรงหน้าอกของเธอต่างหาก ชายหนุ่มหลับตา…

“จิรัศยา…ตัวอักษรสีน้ำเงิน มีอักษรภาษาอังกฤษ P หรือ F”

ชายหนุ่มส่ายหน้าด้วยความไม่มั่นใจนัก แล้วเขาก็เปลี่ยนวิธีการใหม่ พารณหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาใช้งานอีกครั้ง คราวนี้เขาเรียกหาผู้จัดการอาคาร

“ขอรบกวนอีกครั้งได้ไหมครับ บนชั้นที่สิบห้ามีบริษัทไหนที่มีชื่อสะกดด้วยตัว P หรือ F ไหมครับ”

เขารอไม่นานทางปลายสายก็ตอบกลับมา

“มีบริษัทหนึ่งที่มีทั้ง P และ F เลยค่ะ เพราะชื่อบริษัทคือ Perfect Furniture เป็นบริษัทเฟอร์นิเจอร์สำนักงานค่ะ เขาเป็นลูกค้าของเรามาหลายปีแล้ว…”

“ขอบคุณมากครับ”

พารณตัดบทแล้ววางสาย เขารู้ดีว่าผู้จัดการคนนี้ถ้าปล่อยให้พูดแล้วมักจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ ชายหนุ่มหาหมายเลขโทรศัพท์ของบริษัทนี้ด้วยตัวเองจากนั้นก็กดเรียกสายทันที เสียงโอเปอเรเตอร์ที่รับสายนั้นหวานจับใจ น่าแปลกที่ยังมีบริษัทที่จ้างคนรับโทรศัพท์อยู่ เพราะส่วนใหญ่หมายเลขกลางสำหรับติดต่องานทั่วไปนั้นหลายบริษัทมักจะเปลี่ยนเป็นเสียงตอบรับอัตโนมัติไปหมดแล้ว เมื่อรอฟังคำทักทายและคำโฆษณาเล็กๆ น้อยๆ จนเสร็จพารณก็ถามหาคนที่เขาต้องการเพื่อพูดคุยด้วยทันที

“มีพนักงานที่ชื่อจิรัศยาทำงานอยู่ที่นี่ไหมครับ”

“อ๊ะ” เสียงเงียบไปชั่วครู่ คล้ายกำลังนึก “มีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรคะ แล้วต้องการติดต่อเรื่องอะไร”

“โอนสายไปที่คุณจิรัศยาเลยได้ไหมครับ ผมขี้เกียจอธิบายหลายรอบ เรื่องส่วนตัวน่ะครับ”

คราวนี้ปลายสายนิ่งไปนานกว่าเดิมจนพารณคิดว่าสายหลุดไปแล้ว

“ฮัลโหล”

“อ่ะ ค่ะ ฟังอยู่ค่ะ ว่าแต่คุณชื่ออะไรนะคะ”

ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วตอบเสียงเข้ม “พารณ”

“เอ๊ะ ผู้ชายคนเมื่อเช้า…แล้วคุณมีธุระส่วนตัวอะไรคะ”

“นี่คุณจิรัศยาพูดอยู่เหรอ”

“ค่ะ”

“อ้าว แล้วทำไมไม่บอก ปล่อยให้ผมพล่ามอยู่ได้”

“เอ้า ก็ดิฉันถามแล้วว่าคุณชื่ออะไร ต้องการติดต่อเรื่องอะไร”

“ก็ผมไม่ทราบนี่ว่าคนที่รับโทรศัพท์เป็นคุณจิรัศยา คุณเป็นโอเปอเรเตอร์ของบริษัทรึไง”

“ค่ะ!”

พารณรู้สึกปวดศีรษะข้างเดียวขึ้นมาตงิดๆ “แล้วทำไมคุณไม่บอกว่าเป็นคุณล่ะ”

“ฉันต้องระวังตัวไว้ก่อนสิคะ คุณเล่นบอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ฉันพยายามคิดอยู่ว่าใครโทรมา ทั้งที่ไม่คุ้นกับเสียงนี้มาก่อน”

พารณตั้งใจถอนหายใจเสียงดังให้คนฟังได้ยิน “งั้นเข้าเรื่องเลยนะ”

“ค่ะ พูดมาเลย”

“ทำไมไม่ไปร้านเสื้อ”

“ยังไม่ได้ไปค่ะ”

“นั่นแหละ ทำไมไม่ไป คุณใส่เสื้อสกปรกแล้วก็เหม็นๆ นั่นทำงานเหรอ”

“เปล่า ฉันจะใส่ชุดอะไรทำไมฉันต้องรายงานคุณด้วย”

“คุณควรไปร้านคริสตัล รู้ไหมการที่ผมบอกให้เจ้าของร้านมาเปิดร้านเพื่อรอต้อนรับคุณคนเดียวแต่คุณกลับไม่ไปน่ะ มันเป็นเรื่องที่เสียมารยาทมาก”

“ไม่ทราบค่ะ อันนั้นมันไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของฉันนี่คะ คุณเป็นคนจัดการเอง”

พารณอยากขว้างโทรศัพท์ในมือทิ้ง เขาต้องระงับอารมณ์โดยการเดินมานั่งที่โซฟารับแขกของกัณฑ์อเนก

“คุณจิรัศยาครับ คุณควรไปเลือกเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ร้านคริสตัลได้แล้วนะครับ”

“ทำไมเหรอคะ นามบัตรของคุณมีวันและเวลาหมดอายุด้วยเหรอคะ”

“มีครับ!”

เขาตอบสวนกลับไปทันทีเพราะต้องการจบเรื่องที่กัณฑ์อเนกสั่งไว้ให้เร็วที่สุด โดยไม่ได้คิดเลยว่ายังมีมนุษย์อยู่อีกคนหนึ่งบนโลกใบนี้ที่ไม่ยอมจำนนต่อคำประชดประชันของเขาง่ายๆ

“งั้นฉันไม่เอาก็ได้ค่ะ คุณมีธุระแค่นี้ใช่ไหมคะ ฉันต้องวางสายแล้ว งานของฉันยุ่งมาก”

“ดะ…เดี๋ยว…”

“สวัสดีค่ะ”

กริ๊ก…

เลขานุการหนุ่มนั่งนิ่งหลังจากที่โยนโทรศัพท์มือถือลงบนโซฟาใกล้ตัวแล้ว ดวงตาของเขาดูเหม่อลอย แต่ความจริงพารณกำลังเพ่งตรงไปที่โต๊ะทำงานของเจ้านาย ในใจพลางนึกขึ้นมาว่าตำแหน่งของเขามันควรมีงานการที่ดีทำมากกว่าการไล่ตามแก้ปัญหาบ้าบออยู่อย่างนี้

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: