บทที่สี่ หลังคืนมืดมิดมีวันฟ้าสว่าง
สามวันให้หลัง
อูลั่วซิงเพิ่งปฏิบัติภารกิจหนึ่งเสร็จ แม้พูดว่าระหว่างทางเกิดอุปสรรค ท้ายที่สุดยังคงนำหญ้าหลิงจี้ต้นที่หกกลับมาได้ ประกอบกับจำเป็นต้องพักฟื้นรักษาอาการบาดเจ็บ สามวันนี้นางจึงอยู่ในโอวาทยิ่งอย่างแท้จริง เพียงพักอยู่ที่เรือนไผ่ไม่ได้ไปที่ใดทั้งสิ้น หากไม่เดินลมปราณขับพิษรักษาอาการบาดเจ็บ ก็จะอยู่พูดคุยกับศิษย์น้องอูเฉี่ยวเอ๋อร์ หรือที่จริงคือเวลาส่วนใหญ่ล้วนเป็นอูเฉี่ยวเอ๋อร์เกาะติดข้างกายนางพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด ทว่านางก็คุ้นชินกับการรับฟังแล้ว
ศิษย์น้องร่างกายไม่แข็งแรงลมปราณอ่อนแอ อาจารย์ยังดูแลปกป้องไข่มุกในอุ้งมือ นี้อย่างเกินเหตุอีก จึงเป็นเหตุให้บัดนี้ศิษย์น้องที่อายุสิบห้าสิบหก นอกจากนางผู้เป็นศิษย์พี่ ข้างกายก็ไม่มีเพื่อนเล่นอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเลย จึงไม่แปลกที่ทุกครั้งยามนางหวนกลับเรือนไผ่ ศิษย์น้องมักงอแงจะนอนกับนาง ดึงตัวนางมาพูดจ้อไม่รู้จบ
วันนี้หลังกินอาหารค่ำไม่นาน นางก็ส่งศิษย์น้องที่ร่างกายอ่อนเพลีย อ้าปากหาวบ่อยครั้งกลับไปนอนที่ห้อง หลังเก็บกวาดภายในเรือนกับห้องครัวเสร็จและเห็นอาจารย์กลับห้องแล้วเช่นกัน นางจึงพลันออกไปด้านนอกตามลำพัง
ลำธารสายเล็กคดเคี้ยวเลี้ยวลดสายหนึ่งตั้งอยู่ห่างไปครึ่งหลี่ น้ำใช้ที่เรือนไผ่ล้วนมาจากลำธารสายนี้ ต่อให้ตลอดทางมีเพียงดวงจันทร์ดวงดาวเป็นเพื่อนเท่านั้นและนางไม่มีโคมทั้งไม่ได้ถือคบไฟ กระนั้นหลับตาก็สามารถจดจำได้ว่าในลำธารที่ใดมีหินโผล่พ้นน้ำขึ้นมาให้เหยียบได้บ้าง
ด้วยเหตุนี้ยามเมื่อเงาร่างแบบบางคล่องแคล่วเดินทะลุผ่านป่าไผ่แถบใหญ่มายังริมลำธาร จึงไม่ได้จงใจใช้วิชาตัวเบา เพียงเหยียบหินในลำธารที่พ้นน้ำขึ้นมาสองสามก้อนด้วยฝีเท้าแผ่วเบาพอเหมาะ และกระโดดข้ามไปยังอีกฝั่งของลำธาร
เดินต่อไปอีกคือหมู่บ้านเล็กมากแห่งหนึ่ง ขนาดประมาณยี่สิบหลังคาเรือน อูลั่วซิงชอบไปมาหาสู่กับชาวบ้านที่นั่นเป็นอย่างมาก
นางคิดว่าในใจอาจารย์ย่อมรู้อย่างกระจ่างชัดว่าหากนางกลับเรือนไผ่ก็จะชอบไปที่หมู่บ้าน อาจารย์แม้จะไม่ชอบให้นางมีปฏิสัมพันธ์กับพวกชาวบ้านมากนัก แต่ก็มิได้พูดยับยั้งตรงๆ มักจะลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งปล่อยนางทำตามใจ ไม่เข้มงวดเหมือนเช่นที่ดูแลศิษย์น้อง
อืม บางทีนางก็นึกอิจฉาไม่น้อยที่ศิษย์น้องได้รับการคุ้มครองอย่างดีเยี่ยม สามารถดื้อรั้นหรือออดอ้อนได้ตามใจชอบ แต่เรื่องการ ‘ปล่อยอิสระ’ ข้อนี้ นางกลับต้องยินดี ยินดีที่อาจารย์ไม่ยุ่มย่ามกับนางมากเกินไปและให้อิสระนางมากยิ่ง
ดังนั้นนี่ก็คือความหมายของคำโบราณที่ว่า ‘เมื่อหนึ่งดี ย่อมไม่มีดีที่สอง’ กระมัง
นางเย้ยหยันตนเองในใจ ฉีกปากหัวเราะโดยไร้เสียง ลูบจมูกขณะจะยกเท้าเดินไปทางหมู่บ้าน แสงจันทร์เหนือศีรษะกลับวูบวาบผิดปกติ คล้ายมีสิ่งของขนาดมหึมาลอยผ่านด้านบนไปอย่างรวดเร็ว
นางช้อนตามองทันใด ใต้แสงดาราจันทราบางเบาแยกแยะออกว่านั่นคือคนผู้หนึ่งกำลังแบกคนอีกคนอยู่
คนที่สำแดงวิชาตัวเบารูปร่างสูงใหญ่กำยำ คนที่ถูกแบกบนบ่าอาภรณ์ปลิวไสว เสื้อฤดูใบไม้ผลิหลากสีสันและรูปร่างสูงโปร่ง…มิใช่สตรี กลับเป็นบุรุษ!
ช้าก่อน! ใต้แสงจากดวงดาวดวงเดือน เสื้อที่สีสันค่อนข้างโดดเด่นตัวนั้นวาบผ่านก้นบึ้งนัยน์ตาไปเพียงชั่วอึดใจ
เหตุใดนางจึงรู้สึกคุ้นตาเล่า
หรือว่า…ฉินชิว?!
คืนนั้นเพื่อต้อนรับแขกสูงศักดิ์ เขาจึงแต่งกายอย่างเลิศหรู ชุดที่เปลี่ยนไปใส่ต่อหน้านางก็คือเสื้อหลากสีตัวนั้น!
เท้าของอูลั่วซิงที่เดิมต้องการมุ่งไปทางหมู่บ้านพลันหมุนกลับ เรียกพลังลมปราณขึ้นมาไล่ตามทันที
นางเสียเวลาที่พื้นดินครู่หนึ่ง กอปรด้วยบาดแผลยังไม่หายสนิท ใช้วิชาตัวเบาขึ้นมาจึงติดขัดอยู่บ้าง กว่าจะไล่ตามได้ อีกฝ่ายก็ห่างไปไกลหลายหลี่แล้ว
ทว่าเมื่อเข้าไปในเขตป่าเขาของชานเมืองตะวันตกร่องรอยของฝ่ายตรงข้ามก็หายไปโดยสมบูรณ์
อูลั่วซิงปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่สูงที่สุดในป่า พยายามค้นหาอีกฝ่ายอีกครา ทว่าแสงจันทร์สุกสกาวสาดส่องผืนป่าหนาทึบเป็นประกายแสงระยิบระยับ เสียงที่แว่วเข้าหูนอกจากเสียงลมราตรีพัดกระโชกดังซ่าๆ กับเสียงนกฮูกร้องแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นอีก
สภาพบ้านเมืองในยุคสมัยนี้ ไม่เพียงสตรีเท่านั้นที่อาจประสบเคราะห์ภัย แม้แต่บุรุษรูปงามก็อันตรายอย่างมาก
คนสุภาพอ่อนแองามหมดจดเช่นเขาขืนตกไปอยู่ในมือคนชั่ว จะถูกย่ำยีจนมีสภาพเช่นใด
“น่าตายนัก!” นางกัดฟันสบถด่าอย่างอดไม่ได้ หัวใจหดรัดเกร็งพลางชกหมัดหนึ่งไปที่ต้นไม้ที่อยู่ใกล้