X
    Categories: ทดลองอ่านผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า··· คือข้าผู้เดียวมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า… คือข้าผู้เดียว บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 14

บทที่สี่

ซูเพียนจื่อพลันบังเกิดอารมณ์วู่วาม อยากจะเอาตำราวิชากลลวงเบื้องต้นที่อยู่ในมือทุบใส่ศีรษะของฝูอวิ๋นแรงๆ เหลือเกิน นางรู้อยู่แล้วว่าเจ้าตัวนี้พึ่งไม่ได้แม้แต่นิดเดียว!

“การสอบย่อยในอีกสามวันข้างหน้าท่านจะเข้าร่วมหรือไม่” ฝูอวิ๋นเห็นนางมีสีหน้าไม่เป็นมิตร จึงรีบเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาอย่างชาญฉลาด

“เข้าร่วมสิ เหตุใดจะไม่เข้าร่วมเล่า ฮึ! การเรียนหนังสือคือจุดแข็งของข้าอยู่แล้ว” ซูเพียนจื่อมั่นอกมั่นใจเต็มที่

ตั้งแต่เล็กนางก็ไม่มีบิดามารดาและญาติพี่น้อง การเติบโตในที่เช่นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั้น หากตนเองไม่แข็งแกร่งมากพอก็จะต้องถูกเด็กคนอื่นรังแก ส่วนที่นี่แม้จะได้ชื่อว่าเป็น ‘บ้าน’ ของนาง แต่นางก็รู้ว่าไม่มีใครสักคนที่เห็นนางเป็นญาติ ผู้ที่นางจะพึ่งพาได้ก็มีแต่ตนเองเช่นเดิม

เริ่มต้นจากการสอบย่อยครั้งนี้ก็แล้วกัน นางจะทำให้คนที่ดูแคลนนางเหล่านั้นได้รู้ว่านางเก่งกาจยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก!

เวลาสามวันพริบตาก็ผ่านไป ในที่สุดก็มาถึงวันสอบย่อยแล้ว

เดิมทีซูเจินเจินไม่เต็มใจจะไปเท่าไรนัก แต่เมื่อคิดว่าการขาดสอบมากเกินไปจะทำให้วันหน้าเลื่อนเป็นศิษย์ระดับกลางได้ยากยิ่งกว่าเดิม อีกทั้งซูเพียนจื่อที่เพิ่งมาได้แค่สามวันก็ยังสมัครใจไปสนามสอบ หากตนเองที่เป็นทั้งมือเก่าและ ‘คู่ซี้’ ไม่เป็นเพื่อนไปดูแลสักหน่อยก็แย่เกินไปแล้ว ดังนั้นซูเจินเจินจึงตัดสินใจที่จะไปด้วย

อาชาเทพของสกุลซูมีเยอะจนเกินเหตุจริงๆ แม้กระทั่งศิษย์ระดับต้นชั้นล่างอย่างซูเจินเจินก็ยังมีอาชาเทพตัวหนึ่งรับเป็นนาย ยิ่งไปกว่านั้นอาชาเทพตัวนี้ยังมีสีขาวหิมะตลอดทั้งร่าง น่ามองกว่าฝูอวิ๋นไม่ต่ำกว่าสิบเท่า

เพียงแต่ดวงของมันดีไม่เท่าฝูอวิ๋น เพราะตอนที่มันรับซูเจินเจินเป็นนาย สาวน้อยหน้ากลมคิดถึงซาลาเปาแป้งขาวฝีมือของมารดาขึ้นมาพอดี ดังนั้นอาชาเทพที่งดงามตัวนี้จึงต้องมีนามอันน่าเศร้าว่า…เจ้าซาลาเปา

เมื่อทั้งสองขี่อาชาเทพของตนเหาะไปจนถึงหน้าตำหนักเล็กๆ หลังหนึ่งบนไหล่เขา พวกนางก็พบว่ามีเด็กสาวกับหนุ่มน้อยสิบกว่าคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว เครื่องหมายบนสาบเสื้อของทุกคนล้วนบ่งชี้ว่าเป็นศิษย์ระดับต้น

พวกเขาจับกลุ่มเล็กๆ กระซิบกระซาบกันด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดอย่างยิ่ง

เมื่อเสียงย่ำระฆังดังขึ้น หนุ่มสาวแรกรุ่นสิบกว่าคนนี้ก็เดินเรียงแถวเข้าไปในตำหนัก ซูเจินเจินหน้าซีดขาวขณะจูงมือซูเพียนจื่อเดินตามเข้าไป อารมณ์ที่เขียนอยู่บนใบหน้าของซูเจินเจินนั้นฮึกเหิมปนเศร้าสลด ราวกับกำลังเดินไปสู่ลานประหาร

ในโถงตำหนักนั้นโล่งว่าง มีเพียงโต๊ะเล็กยี่สิบตัวกับเบาะรองนั่งที่เข้าชุดกัน แต่ละคนต่างเดินไปนั่งประจำที่ ซูเจินเจินนั่งอยู่ทางซ้ายมือของซูเพียนจื่อนี่เอง มือของสาวน้อยหน้ากลมกำอยู่ตรงโพยกระดาษที่ซุกมาในแขนเสื้อ อาการร้อนตัวนั้นมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นพวกที่คิดจะโกงสอบ

ช่างเป็นคนซื่อเสียจริง แค่โกงสอบก็ยังเด่นชัดถึงเพียงนี้ แบบนี้แล้วยังคิดจะเป็นสิบแปดมงกุฎอีก ฝันเฟื่องอยู่ชัดๆ

“อีกเดี๋ยวเจ้าเจอข้อไหนที่ไม่รู้ก็มาดูของข้าแล้วกัน” ซูเพียนจื่อพูดให้กำลังใจนางอีกครั้งเสียงเบา

ก่อนหน้านี้ซูเพียนจื่อเคยสอบถามรูปแบบโจทย์ข้อสอบจากซูเจินเจินมาแล้ว รู้สึกว่าไม่มีความยากแต่อย่างใด ทั้งตำราวิชากลลวงเบื้องต้นเล่มนั้นนางก็ท่องได้ขึ้นใจแล้วด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะสอบอย่างไรก็ล้มนางไม่ได้แน่

ซูเจินเจินขานดัง “อ้อ” เพียงคำเดียว ความเห็นแย้งถูกเขียนอยู่บนใบหน้าอย่างปิดไม่มิด…

เจ้าเพิ่งจะอ่านตำรามาแค่สามวัน ข้าดูของเจ้าจะไปมีประโยชน์อะไรเล่า

ตอนนี้เองสาวน้อยในเครื่องแต่งกายของศิษย์ระดับกลางผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา คือซูม่านม่านนั่นเอง

เมื่อเห็นซูเพียนจื่อถึงกับมาปรากฏตัวที่นี่ ซูม่านม่านก็ชะงักไปเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง ทว่าไม่ช้านางก็กลับมามีสีหน้าหยิ่งยโสตามเดิม ตีหน้าขรึมพลางแจกข้อสอบหนึ่งปึกที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะแต่ละตัว

ขณะเดินผ่านด้านข้างของซูเพียนจื่อกับซูเจินเจิน ซูม่านม่านก็แค่นเสียงฮึเบาๆ อย่างเหยียดหยาม “ขยะ ต่อให้ไม่ถอดใจอย่างไรก็เป็นแค่ขยะอยู่วันยังค่ำ”

หญิงคนนี้น่ารังเกียจชะมัด!

ซูเพียนจื่อไปขวางหูขวางตาอะไรอีกฝ่ายกันแน่ ตั้งแต่แรกเจอก็มาชักสีหน้าใส่ เพียงเพราะอีกฝ่ายได้เห็นสัญลักษณ์พรสวรรค์ของนางแล้ว คิดว่านางไม่อาจฝึกวิชายุทธ์ได้ใช่หรือไม่

เฮอะ การกระทำเช่นนี้ต้องเป็นคนประเภทไหนกัน!

ซูเพียนจื่อโมโหอยู่ในใจ ทว่าการสบประมาทดูถูกทำนองนี้นางเห็นมานักต่อนักตั้งแต่เล็กแล้วจึงคร้านจะไปแยแส เพียงคลี่เปิดข้อสอบออก แล้วสงบใจเริ่มตอบโจทย์ไป

 

ภายในศาลารับลมบนยอดเขาถ้ำพันจิ้งจอกอันสูงชะลูด ผู้อาวุโสใหญ่หานกำลังชี้แนะวิชายุทธ์แก่ศิษย์คนโตของตนอยู่

ศิษย์คนโตผู้นี้มีนามว่าซูป๋ออวิ๋น เป็นอัจฉริยะเชิงยุทธ์ในหมู่คนรุ่นหนุ่มสาวของสกุลซู รูปโฉมองอาจคมสัน ทั่วร่างแผ่ซ่านกลิ่นอายอันเย็นชาเฉียบขาดออกมาอย่างเข้มข้น อายุยังไม่ถึงยี่สิบก็มีเส้นผมที่ยาวเลยบ่าเอ่ยถึงพลังวัตรก็จวนจะทะลวงจากขั้นเปลี่ยนกระดูกไปขั้นชำระไขกระดูกแล้ว

ผู้อาวุโสใหญ่หานเพิ่งจะชี้ข้อบกพร่องในกระบวนท่าของเขา ศิษย์หนุ่มระดับต้นผู้หนึ่งก็วิ่งตามเส้นทางบนเขามาค้อมตัวคารวะ “คำนับผู้อาวุโสใหญ่หาน เด็กสาวที่ท่านให้ข้าจับตาดูคนนั้น วันนี้นางไปเข้าร่วมการสอบย่อยของศิษย์ระดับต้นแล้วขอรับ”

“หืม? มีความเคลื่อนไหวเร็วเพียงนี้เชียวหรือ เจ้ารีบไปดูซิว่าผลเป็นอย่างไร” ผู้อาวุโสใหญ่หานพูดด้วยความปลาบปลื้ม

“ขอรับ” ศิษย์ผู้นั้นรับคำสั่งแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว

น้อยครั้งนักที่ซูป๋ออวิ๋นจะเห็นอาจารย์ใส่ใจศิษย์ระดับต้นคนใด ดังนั้นเขาจึงเปรยถามดู “เด็กสาวคนนั้นเป็นใครกันขอรับ หรือว่าเร็วๆ นี้สกุลซูของพวกเรามีอัจฉริยะที่เก่งกาจคนใดปรากฏตัวขึ้นแล้ว”

“เป็นอัจฉริยะหรือไม่ยังสุดจะรู้ได้ เพียงแค่มีหวังเท่านั้น นางเพิ่งจะมาถึงถ้ำพันจิ้งจอกได้สามวันก็ไปเข้าสอบย่อยแล้ว ใจร้อนไม่เบาทีเดียว…” ผู้อาวุโสใหญ่หานไม่ได้พูดต่อ เพียงโบกมือเป็นความหมายให้ซูป๋ออวิ๋นฝึกวิชาต่อไป

เป็นเช่นนี้อยู่หนึ่งชั่วยามศิษย์ระดับต้นคนเดิมก็วิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมารายงาน “ผู้…ผู้อาวุโสใหญ่หาน ผลสอบออกมาแล้วขอรับ เด็กสาวคนนั้น นาง…นาง…”

ตั้งแต่ไหล่เขาถ้ำพันจิ้งจอกขึ้นไป หากไม่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษ อาชาเทพก็ไม่อาจล่วงล้ำขึ้นมาได้ ศิษย์ผู้นี้รีบวิ่งมารายงานข่าว ลมหายใจจึงเกือบจะขาดห้วงไปทีเดียว

ผู้อาวุโสใหญ่หานเอ่ยด้วยความแปลกใจ “เจ้าพูดช้าๆ ไม่ต้องรีบร้อน”

หนุ่มน้อยหอบฮักๆ สองหนก่อนรายงานต่อ “เด็กสาวคนนั้นสอบได้ที่หนึ่ง ข้อสอบทั้งหมดไม่มีตอบผิดหรือเว้นว่างแม้เพียงจุดเดียวขอรับ!”

ในหมู่ศิษย์ระดับต้นของถ้ำพันจิ้งจอก ผลคะแนนเช่นนี้ใช่ว่าไม่เคยมีมาก่อน ทว่าหากเกิดขึ้นกับเด็กสาวที่เพิ่งจะมาถึงถ้ำพันจิ้งจอกได้เพียงสามวันและเข้าร่วมการสอบย่อยเป็นครั้งแรก เช่นนั้นก็น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้ว!

“จริงหรือ!” ผู้อาวุโสใหญ่หานยืนพรวดขึ้นมาทันที

เมื่อนึกถึงคำพูดที่อาจารย์เอ่ยกับตนก่อนหน้านี้ ซูป๋ออวิ๋นก็ประหลาดใจมากเช่นกัน

เด็กสาวที่อาจารย์ให้ความใส่ใจคนนี้มีฝีมือไม่ธรรมดาจริงเสียด้วย

รอจนผู้อาวุโสใหญ่หานสั่งให้ศิษย์ที่มาแจ้งข่าวกลับไปสังเกตความเคลื่อนไหวของซูเพียนจื่อต่อแล้ว ซูป๋ออวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะถามซ้ำอีกหน “เด็กสาวคนนั้นเป็นผู้เยาว์ของครอบครัวใดขอรับ”

ผู้อาวุโสใหญ่หานลูบเคราสีขาวหิมะก่อนตอบ “นางคือบุตรีของซูหู่หลี่คุณชายสามของท่านประมุข วันที่นางกลับมา เจ้ากำลังกักตนฝึกวิชาอยู่จึงไม่ได้พบกัน ไม่เลว…สติปัญญาของนางไม่เลวเลยจริงๆ แต่ว่า…เหตุใดกลับไม่มีพรสวรรค์เชิงยุทธ์เสียได้เล่า”

“คุณชายสามซูหู่หลี่?!” ซูป๋ออวิ๋นรักษาความเยือกเย็นต่อไปไม่ไหวแล้ว

ซูหู่หลี่ผู้นี้แม้ตนจะไม่เคยได้พบตัวจริงมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินอาจารย์เอ่ยถึงเกียรติประวัติของเขานับครั้งไม่ถ้วน…เขาคืออัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ ผู้เป็นทั้งความหวังและความรุ่งโรจน์ของสกุลซูเมื่อสิบกว่าปีก่อน เขาเคยสะกดให้ศิษย์นับไม่ถ้วนในรุ่นเดียวกันต้องอับแสงไร้ประกาย ถึงขั้นที่แม้แต่ประมุขและเหล่าผู้อาวุโสล้วนเห็นพ้องต้องกันว่าเขาจะกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสกุลซูได้ก่อนอายุสามสิบปีอย่างแน่นอน

ที่เชิงบรรพตเซียนพันเมฆาซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของดินแดนมีจารึกหยกขาวอยู่เจ็ดแผ่น แต่ละแผ่นแยกกันจารึกนามของยอดฝีมือหนึ่งร้อยอันดับแรกในแต่ละขั้นพลังวัตร

บนเส้นทางการเลื่อนขั้นพลังวัตรของซูหู่หลี่นั้น เขาเคยกวาดรวดทั้งอันดับหนึ่งของขั้นถอดรูป อันดับหนึ่งของขั้นเปลี่ยนกระดูก อันดับหนึ่งของขั้นชำระไขกระดูก และอันดับหนึ่งของขั้นเปลี่ยนเส้นลมปราณมาแล้ว…ในขณะที่คนทั้งหมดคิดว่าเขาจะคว้าอันดับหนึ่งเช่นนี้เรื่อยไป นามของเขากลับพลันสาบสูญไปจากจารึกหยกขาวอย่างลึกลับ และไม่มีใครล่วงรู้ร่องรอยของเขาอีกเลย

ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าอัจฉริยะในอดีตผู้นั้นถึงกับมีทายาทอยู่ หากซูป๋ออวิ๋นยังสามารถเยือกเย็นอยู่ได้ก็แปลกแล้ว

แต่ว่าอาจารย์ของตนบอกว่านาง…ไม่มีพรสวรรค์เชิงยุทธ์? นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!

ผู้ที่ถูกการแสดงออกอันยอดเยี่ยมของซูเพียนจื่อทำให้ตกใจนั้นไม่ได้มีแต่พวกเขา บรรดาศิษย์ระดับต้นที่สอบเสร็จและได้เห็นผลคะแนนที่ประกาศออกมาอย่างรวดเร็วต่างก็ตื่นตะลึงกันไม่สิ้นสุด

ซูม่านม่านเองก็นึกไม่ถึงว่ากระดาษคำตอบอันสมบูรณ์แบบที่นางเป็นผู้ตรวจถึงกับเขียนออกมาจากมือของเด็กขยะที่นางไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาเลยคนนั้น

ทว่าเพียงไม่นานซูม่านม่านก็เยือกเย็นลง สอบย่อยได้คะแนนเต็มแค่นี้นับเป็นอะไรได้ หากไม่มีพรสวรรค์เชิงยุทธ์ สุดท้ายก็เป็นได้แค่ขยะชิ้นหนึ่งอยู่ดี นับแต่มีสกุลซูมายังไม่เคยมีศิษย์สักคนที่ไม่ฝึกวิชายุทธ์แล้วเลื่อนขึ้นเป็นศิษย์ระดับกลางได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะสร้างความสำเร็จอื่นที่ใหญ่ไปกว่านี้

เด็กขยะนี่ยิ่งเฉลียวฉลาดเท่าไร วันหน้าก็มีแต่จะขมขื่นยิ่งขึ้นเท่านั้น ก็เหมือนที่นางพูดไว้ก่อนหน้านี้… ‘ขยะ ต่อให้ไม่ถอดใจอย่างไรก็เป็นแค่ขยะอยู่วันยังค่ำ’

แน่นอนว่ายังมีซูเจินเจินอีกคนที่ตกใจกับผลสอบของซูเพียนจื่อ แววตาที่นางใช้มองพิจารณาสหายเหมือนกำลังมองสัตว์ประหลาดยักษ์ก่อนยุคประวัติศาสตร์ตัวหนึ่งอยู่ ไม่มีใครรู้ชัดไปกว่านางว่าอาจื่อได้จับตำราวิชากลลวงเบื้องต้นเล่มนั้นแค่เพียงสามวัน อาจื่อทำได้อย่างไรกันนี่!

หากนางฟังคำของอาจื่อและลอบมองกระดาษคำตอบของอีกฝ่ายล่ะก็ ตอนนี้นางต้องสอบผ่านแล้วแน่ๆ ฮือๆๆ!

ความตื่นตะลึงที่ซูเพียนจื่อมอบให้แก่ทุกคนนั้นไม่ได้หยุดอยู่แค่เพียงเท่านี้

จากนั้นการสอบย่อยของศิษย์ระดับต้นสิบสี่สนามติดกันในช่วงหลายเดือนต่อมา ซูเพียนจื่อล้วนไปทุกสนามสอบ และทุกครั้งก็ล้วนเผยโฉมอย่างสง่างามด้วยการคว้าคะแนนเต็มทั้งสิ้น

แม้กระทั่งซูเจินเจินที่สอบย่อยมาหลายหนแต่ไม่ผ่านด่านเสียทีนั้น ก็ยังฝ่าด่านฉลุยอย่างต่อเนื่องจนผ่านการสอบย่อยทั้งสิบสี่สนามด้วยความช่วยเหลือเป็นพิเศษของซูเพียนจื่อ

ซูเพียนจื่อใช้ฝีไม้ลายมือในการสอบกับความจำอันน่าทึ่งสร้างความตกตะลึงแก่ศิษย์ทั้งหมดในถ้ำพันจิ้งจอกได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน แม้แต่ศิษย์ระดับสูงบางส่วนก็ได้ยินได้ฟังเรื่องของนางแล้ว

เหตุผลแรกเป็นเพราะคะแนนสอบของนางน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ เหตุผลที่สองเป็นเพราะชาติกำเนิดของนางกลายเป็นหัวเรื่องใหญ่ให้ผู้คนได้ซุบซิบกันอย่างออกรสไปแล้ว

แววตาอันหลายหลากที่บ้างก็ชื่นชม บ้างก็เห็นใจ บ้างก็หัวเราะสมน้ำหน้า ล้วนจับรวมอยู่บนตัวนางเป็นตาเดียว…น่าเสียดายสาวน้อยผู้มีมันสมองเป็นอัจฉริยะนี้กลับเป็นขยะในเชิงยุทธ์ ขอแค่นางมีพรสวรรค์เชิงยุทธ์แม้เพียงนิดเดียว อาศัยหัวสมองที่ปราดเปรื่องเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะเลื่อนขั้นอย่างเร็วไวไปเป็นศิษย์ระดับกลางภายในเวลาครึ่งปีเศษได้แน่

ซูเพียนจื่อไม่ใส่ใจว่าผู้อื่นจะมองนางอย่างไร ทุกวันนอกจากอ่านตำราแล้วก็จะให้ฝูอวิ๋นพานางตระเวนไปตามสถานที่ต่างๆ ของถ้ำพันจิ้งจอก ด้วยหวังว่าจะดวงดีพบเบาะแสของ ‘ไร้นาม’ บ้างสักนิด ทว่าหลายเดือนที่ผ่านมาก็ยังคว้าน้ำเหลวเช่นเดิม

“ได้ยินว่าตอนนั้นบิดาของท่านรู้สึกถึงไร้นามได้ที่ละแวกคลังสมบัติสกุลซู ท่านหาทางเลื่อนขั้นเป็นศิษย์ระดับสูงได้เมื่อไรก็จะมีโอกาสเข้าใกล้ละแวกคลังสมบัติ ไม่แน่อาจหามันพบก็เป็นได้” ฝูอวิ๋นกล่าว

“เจ้าพูดง่ายนี่ เลื่อนขั้นเป็นศิษย์ระดับกลางด่านนี้ข้ายังไม่มีปัญญาจะผ่านเลย ยังจะพูดถึงศิษย์ระดับสูงอีก” ซูเพียนจื่อเหลือกตาใส่อีกฝ่ายทันที

ศิษย์ระดับต้นต้องผ่านการสอบย่อยทั้งสิ้นยี่สิบสนาม สิบห้าสนามแรกเพียงขยับพู่กันก็ใช้ได้แล้ว ทว่าห้าสนามหลังเป็นการทดสอบทักษะวิชากลลวง ผู้ที่ไร้พื้นฐานวิชายุทธ์ไม่มีทางแสดงท่วงท่าที่เน้นหนักด้านความเร็วและการพลิกแพลงเช่นนั้นได้เป็นอันขาด

เมื่อเห็นว่าอีกไม่กี่วันซูเพียนจื่อก็จะสอบย่อยสนามที่สิบห้าเสร็จสิ้น และสถิติชนะรวดของนางก็จะต้องหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้แล้ว ในถ้ำพันจิ้งจอกไม่รู้มีคนที่ทั้งริษยาทั้งชิงชังนางจำนวนมากเท่าไรกำลังรอชมเรื่องสนุกกันอยู่

ต่อให้โชคช่วยจนนางกลายเป็นศิษย์ระดับกลางได้ แต่การสอบย่อยของศิษย์ระดับกลางถัดจากนั้นก็จะเน้นหนักไปที่การผนวกรวมพลังวัตรเข้ากับทักษะความรู้ในวิชากลลวงมากขึ้นเรื่อยๆ นางซึ่งตอนนี้ตกอยู่ในสภาพที่ไม่อาจฝึกวิชายุทธ์โดยสิ้นเชิงจึงไม่ต้องคิดฝันว่าจะผ่านได้แม้แต่การสอบย่อยสนามแรกของศิษย์ระดับกลาง

คลังสมบัติของถ้ำพันจิ้งจอกตั้งอยู่บนยอดเขา มีแต่ศิษย์ระดับสูงจึงจะขึ้นไปบริเวณที่อยู่เหนือไหล่เขาได้ตามใจปรารถนา กระนั้นหากจะเข้าใกล้บริเวณคลังสมบัติ ต่อให้เป็นศิษย์ระดับสูงก็ยังต้องได้รับอนุญาตเป็นการเฉพาะเท่านั้นจึงจะมีโอกาส

ในช่วงที่ผ่านมาซูเพียนจื่อกับฝูอวิ๋นจึงเคลื่อนไหวอยู่แต่บริเวณที่ต่ำกว่าไหล่เขา เหนือไหล่เขาขึ้นไปนั้นซูเพียนจื่อเคยไปในวันแรกที่มาถึงถ้ำพันจิ้งจอกเท่านั้น

ซูเพียนจื่อถอนหายใจก่อนกล่าวเป็นเชิงให้กำลังใจตนเองออกมา

“ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน อย่างไรก็ต้องมีวิธีแน่”

พริบตาก็มาถึงวันสอบย่อยสนามที่สิบห้าแล้ว สนามสอบรอบนี้อยู่ที่ตำหนักเล็กอีกหลังหนึ่งบนไหล่เขา ตำหนักยี่สิบแห่งที่ถูกใช้เป็นสนามสอบย่อยของศิษย์ระดับต้นล้วนมีลักษณะภายนอกกับการตกแต่งภายในที่ไม่ต่างกันมากนัก เพียงแต่บรรยากาศนอกสนามสอบในครั้งนี้ดูพิกลอยู่บ้าง

ศิษย์ระดับต้นที่มาเข้าสอบส่วนใหญ่ล้วนรายล้อมอยู่ที่ข้างกายหนุ่มน้อยชุดขาวรูปงามผู้หนึ่ง แม้แต่ซูม่านม่านที่วันนี้ไม่ได้เป็นผู้คุมสอบก็ยังยืนเคียงไหล่อยู่กับเขา ทั้งสองพูดคุยยิ้มหัว ดูสนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่ง

ซูเจินเจินกระตุกชายเสื้อของซูเพียนจื่อแล้วเอ่ยเสียงเบา “คนที่สวมชุดขาวผู้นั้นมีชื่อว่าซูเทียนหวา สนิทกับอาจารย์อาม่านม่านมากทีเดียว เขาเป็นหลานคนเล็กที่ผู้อาวุโสรองซูรักมากที่สุด และยังเป็นศิษย์ที่มีผลคะแนนดีเยี่ยมกว่าใครในหมู่ศิษย์ระดับต้น…ก่อนที่เจ้าจะปรากฏตัว”

“การสอบย่อยครั้งก่อนๆ ไม่เห็นเคยเจอเขาเลย” ซูเพียนจื่อกล่าวด้วยความแปลกใจ

ยามนี้ซูเพียนจื่อมาอยู่ที่ถ้ำพันจิ้งจอกได้เกือบครึ่งปีแล้ว ทว่าไม่เคยพบเจอซูเทียนหวาผู้นี้ในการสอบย่อยครั้งใดๆ สีหน้าอันเย่อหยิ่งของหนุ่มน้อยชุดขาวเหมือนโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกับซูม่านม่าน ซึ่งเป็นจำพวกที่ซูเพียนจื่อไม่ชอบเป็นที่สุด

“เมื่อครึ่งปีก่อนเขาติดตามผู้อาวุโสรองซูออกไปทำภารกิจที่นอกถ้ำพันจิ้งจอก ได้ยินว่าเพิ่งจะกลับมาสองวันนี้เอง เดิมทีอย่างน้อยต้องเป็นศิษย์ระดับกลางจึงจะออกไปฝึกฝีมือที่นอกถ้ำพันจิ้งจอกได้…” ซูเจินเจินอิจฉาไม่หาย

ฝ่ายซูม่านม่านพอมองเห็นเงาร่างของซูเพียนจื่อกับซูเจินเจินตั้งแต่ไกล สีหน้าก็เย็นชาขึ้นนิดๆ แค่นเสียงฮึออกมาเบาๆ

ซูเทียนหวาจึงเอียงหน้ามายิ้มถาม “มีอะไรหรือ”

ซูม่านม่านบุ้ยปากไปทางซูเพียนจื่อก่อนตอบ “นั่นก็คือขยะที่ข้าเคยบอกเจ้า”

เมื่อซูเทียนหวามองไปตามทิศทางที่นางชี้บอก ในดวงตาของเขาก็ทอประกายประหลาดขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยถ้อยคำที่แฝงนัยลุ่มลึก “นางเพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้เกือบครึ่งปีก็ทำคะแนนเต็มในการสอบย่อยสิบสี่สนามติดกัน เช่นนี้แล้วจะเรียกว่าขยะได้อย่างไร เอ่ยถึงคะแนนสอบ ข้ายังสู้นางไม่ได้ด้วยซ้ำ”

“ไร้พรสวรรค์เชิงยุทธ์เยี่ยงนั้นหากยังไม่ใช่ขยะแล้วจะเป็นตัวอะไร ท่องตำราได้ ทำข้อสอบได้ แล้วใช้การอะไรได้เล่า นางจะเผยอมาเทียบกับเจ้าได้อย่างไร เจ้าเป็นถึงอัจฉริยะผู้ลือนามของถ้ำพันจิ้งจอกเราเชียวนะ” ซูม่านม่านยกย่องชื่นชมญาติผู้น้องห่างๆ คนนี้เป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความรู้ในวิชากลลวงหรือพรสวรรค์เชิงยุทธ์เขาล้วนเป็นที่หนึ่งในหมู่ศิษย์รุ่นหนุ่มสาวในปัจจุบัน

แม้ตอนนี้เขาจะยังเป็นเพียงศิษย์ระดับต้น แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าการสอบย่อยไม่กี่สนามที่เหลือนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยมากสำหรับเขา การที่เขาจะกลายเป็นศิษย์ระดับกลางรวมถึงเลื่อนเป็นศิษย์ระดับสูงในวันข้างหน้าล้วนเป็นเรื่องที่แน่เสียยิ่งกว่าแน่

ซูเทียนหวาเพียงยิ้มน้อยๆ สำหรับคำชมของอีกฝ่าย จากนั้นก็เดินก้าวยาวไปพูดตรงหน้าซูเพียนจื่อ “อาจารย์ปู่ซูหู่หลี่เป็นผู้ที่ข้าเคารพเลื่อมใสมาตลอด ในที่สุดวันนี้ข้าก็มีโอกาสได้ร่วมสนามสอบกับบุตรีของท่านแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวัง”

นี่ไม่ใช่หนแรกที่ซูเพียนจื่อได้ยินผู้อื่นเอ่ยถึงบิดาของนางไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง ส่วนคำพูดแฝงนัยท้าทายพรรค์นี้นางก็ยิ่งแสนจะเอือมระอา “ข้าไม่ได้สนิทกับเจ้า เจ้าจะผิดหวังหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”

ซูเทียนหวาแม้เป็นเพียงศิษย์ระดับต้น ทว่าเขามีท่านปู่ซึ่งรั้งตำแหน่งผู้อาวุโสของตระกูล อีกทั้งมีพรสวรรค์และสติปัญญาที่ทุกคนล้วนเห็นแวว ปกติศิษย์ระดับต้นอยู่ต่อหน้าเขาจึงต่างพินอบพิเทา ไม่เคยมีแม้ครึ่งคนที่กล้าพูดจาไม่เกรงใจเขาซึ่งหน้าเช่นนี้

ซูเทียนหวาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะแค่นหัวเราะหมุนตัวเดินเข้าตำหนักไป

ซูเจินเจินรีบกระตุกแขนเสื้อของซูเพียนจื่อแล้วพูดโน้มน้าว “ศิษย์พี่เทียนหวาเก่งกาจมากนะ เจ้าอย่าได้ล่วงเกินเขา เดี๋ยวจะเสียเปรียบเอาได้”

“ก็เขาโผล่มารังควานข้าก่อน เหตุใดข้าต้องทนเขาด้วย ข้ายอมรับว่าเรื่องต่อยตีเขาคงเก่งกาจกว่าข้า แต่ที่ถ้ำพันจิ้งจอกห้ามใช้กำลังตัดสินกันเองไม่ใช่หรือ แล้วมีอะไรน่ากลัวกันเล่า” ซูเพียนจื่อเอ่ยแย้ง

คนบางคนหากเจ้ายิ่งรอมชอม เขาก็จะยิ่งกำเริบเสิบสาน

ช่วงเวลาที่ผ่านมา คนที่อิจฉาริษยาและชังน้ำหน้านางมีเยอะแยะไปหมด และก็มีบางคนที่หมายมั่นจะให้นางได้เห็นดี ทว่านางเป็นใครกัน ผู้ที่ไต่เต้าจนได้เป็นจอมอหังการน้อยแห่งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาแล้ว มีลูกไม้อะไรบ้างที่ไม่เคยเห็น บรรดาแผนตบตาและหลุมพรางที่จะใช้กลั่นแกล้งนางเหล่านั้น ในสายตาของนางแล้วก็เหมือนกับเด็กเล่นขายของไม่มีผิด

และที่สำคัญที่สุดก็คือถ้ำพันจิ้งจอกมีกฎที่ไม่เลวอยู่ข้อหนึ่ง…นั่นคือระหว่างศิษย์ของถ้ำพันจิ้งจอกห้ามใช้กำลังตัดสินกันเอง เว้นเสียแต่จะประลองกันอย่างเป็นทางการภายใต้การควบคุมของอาจารย์ ผู้ใดฝ่าฝืนจะเอาความถึงที่สุดด้วยการลงโทษสถานหนักไม่มีงดเว้น

ในช่วงเวลาไม่ถึงครึ่งปีมานี้ ซูเพียนจื่อพบว่ากฎข้อนี้ถูกบังคับใช้อย่างเคร่งครัดจริงๆ ดังนั้นนางจึงยิ่งวางใจในสวัสดิภาพของตน

ขอเพียงไม่ใช่การประลองด้วยหมัดเท้า นางมีอะไรต้องกลัวด้วยเล่า

เมื่อเสียงย่ำระฆังดังขึ้น ผู้คุมสอบก็แจกข้อสอบให้ทุกคนเริ่มทำ ไม่มีใครรู้ว่าภายในเขตเรือนพักของประมุขที่อยู่บนยอดเขาถ้ำพันจิ้งจอกนั้นมีผู้เฒ่าสามคนที่กำลังให้ความสนใจกับสนามสอบเล็กๆ ของศิษย์ระดับต้นนี้อยู่เงียบๆ

ประมุขซูถิงหยวนกับผู้อาวุโสใหญ่หานหันหน้าเข้าหากระดานหมากอย่างใจลอย ผู้อาวุโสรองซูที่ชมศึกดวลหมากอยู่ด้านข้างจึงเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “แค่การสอบเล็กๆ ของศิษย์ระดับต้นก็คู่ควรให้ใส่ใจถึงเพียงนี้ด้วยหรือ”

ซูถิงหยวนเงยหน้ามองไปทางขอบฟ้าแล้วพรูลมหายใจออกมาเบาๆ “นับรวมสนามนี้ด้วยก็เป็นการสอบย่อยสิบห้าสนามเต็มๆ แล้ว แม้ในอดีตหู่หลี่ลูกคนนั้นของข้าก็คว้าอันดับหนึ่งในการสอบย่อยทุกครั้งเช่นกัน แต่ก็ไม่อาจทำคะแนนเต็มได้ในทุกสนามสอบ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการสอบติดกันสนามแล้วสนามเล่าโดยที่ระหว่างกลางไม่เคยหยุดพักเลยเช่นนี้”

ผู้อาวุโสใหญ่หานหัวเราะหึๆ พลางเอ่ยกับผู้อาวุโสรองซู “เทียนหวาหลานชายคนนั้นของเจ้าก็ลงสนามสอบวันนี้ด้วยนี่ ตำแหน่งที่หนึ่งของเขาอันตรายเสียแล้ว”

“การสอบย่อยสนามเดียวใช้นับอะไรได้” ผู้อาวุโสรองซูเอ่ยแย้ง เขากลับมาถึงถ้ำพันจิ้งจอกได้เพียงสองวัน ก็มีคนบอกเขาไม่ต่ำกว่าหนึ่งหนเกี่ยวกับสาวน้อยผู้มีปัญญาเป็นเลิศทว่าพรสวรรค์เชิงยุทธ์กลับไม่เอาไหนถึงขีดสุดผู้นี้

แท้จริงแล้วความคิดในใจของเขาก็ไม่ได้ต่างจากซูม่านม่านและซูเทียนหวาที่เป็นผู้เยาว์สักเท่าไร…หากไร้ซึ่งพรสวรรค์เชิงยุทธ์ ต่อให้สาวน้อยผู้นี้เฉลียวฉลาดสักเพียงใด นางก็ไม่อาจเป็นที่นับหน้าถือตาในแวดวงชั้นสูงได้อยู่ดี

แม้ว่าพวกเขาสกุลซูคือตระกูลสิบแปดมงกุฎ แต่พวกเขาก็รู้ดี เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ที่มีพลังฝีมือเหนือกว่าโดยสิ้นเชิง วิชากลลวงและเหลี่ยมเล่ห์ทั้งปวงก็ล้วนเปล่าประโยชน์

ผู้อาวุโสรองซูผู้เป็นปู่ไม่เชื่อว่าหลานชายที่ตนภาคภูมิใจจะพ่ายแพ้แก่ซูเพียนจื่อในการสอบย่อยครั้งนี้ ทว่าต่อให้พ่ายแพ้ก็ไม่ได้มีอะไรหนักหนา เพราะในการสอบย่อยอีกห้าสนามถัดไป ต่อให้ซูเพียนจื่อมีความสามารถในการท่องตำราสูงส่งยิ่งกว่านี้เป็นร้อยเท่าก็ไร้ความหมาย

ผู้อาวุโสใหญ่หานเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายจึงเอ่ยอย่างจนใจ “ภัยพิบัติครั้งใหญ่ใกล้จะมาถึงแล้ว ต่อให้มีความหวังแม้เพียงน้อยนิด ข้าก็ไม่อยากจะยอมแพ้”

ผู้อาวุโสรองซูแค่นเสียงฮึก่อนกล่าว “ข้าเอาความหวังไปฝากไว้กับเทียนหวายังจะดีเสียกว่า แม้เขาไม่อาจเปรียบกับหู่หลี่ได้ แต่อย่างน้อยก็เก่งกาจกว่าเด็กสาวที่ไร้พรสวรรค์เชิงยุทธ์คนหนึ่งเป็นไหนๆ”

ผู้อาวุโสใหญ่หานรู้ว่าไม่อาจโน้มน้าวอีกฝ่ายได้แล้วจึงไม่พูดอะไรมากอีก ประจวบกับเห็นดวงตาที่หรี่อยู่ของซูถิงหยวนพลันเบิกมองไปทางประตูลาน

ซูป๋ออวิ๋นศิษย์คนโตของผู้อาวุโสใหญ่หานก้าวฉับๆ เข้ามาคารวะคนทั้งสามก่อนรายงาน “การสอบย่อยสนามที่สิบห้าของศิษย์ระดับต้น ซูเพียนจื่อยังคงได้คะแนนเต็มเช่นเดิมขอรับ”

“เทียนหวาล่ะเป็นอย่างไร” ผู้อาวุโสรองซูอดถามขึ้นไม่ได้ เขาไม่ได้ใส่ใจ ‘ขยะ’ อย่างซูเพียนจื่อ เพียงใส่ใจว่าหลานชายที่ยอดเยี่ยมของตนแสดงผลงานได้เป็นอย่างไร

ข้อสอบครั้งนี้ประมุขออกโจทย์เองเป็นกรณีพิเศษ กระทั่งตนกับผู้อาวุโสใหญ่หานก็ไม่รู้เนื้อหาในข้อสอบ

“ศิษย์หลานเทียนหวาด้อยกว่าขั้นหนึ่งในโจทย์ข้อสุดท้ายขอรับ” ซูป๋ออวิ๋นเอ่ยตอบ

“โจทย์ข้อสุดท้าย? ท่านประมุข โจทย์ข้อสุดท้ายถามว่าอะไรกัน” ทั้งที่ผู้อาวุโสรองซูเชื่อมาตลอดว่าตนจะไม่เก็บเอามาใส่ใจ ทว่าตอนนี้กลับไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในใจตนรู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้างจริงๆ

ซูถิงหยวนประหลาดใจยิ่งนัก “กระทั่งโจทย์ข้อสุดท้ายนางก็ตอบถูกจริงๆ น่ะหรือ”

“ใช่ขอรับท่านอาจารย์ คุณหนูเพียนจื่อตอบโจทย์ข้อสุดท้ายได้ถูกต้องจริงๆ” ผู้ตอบคือโจวโม่ศิษย์ระดับสูงที่เพิ่งจะเดินเข้าประตูลานมา เขาอายุราวห้าสิบ มีกลิ่นอายของบัณฑิตแผ่ซ่านออกมาทั่วร่าง ดูแล้วสุภาพสมถะ คล้ายอาจารย์ที่เปิดสำนักศึกษาสอนหนังสือในชนบท

เขาเป็นศิษย์สายตรงคนโตของซูถิงหยวน ขณะเดียวกันก็เป็นผู้รับผิดชอบตรวจกระดาษคำตอบของซูเพียนจื่อในการสอบย่อยวันนี้

ผู้อาวุโสรองซูถามซ้ำอีกหนอย่างไม่อาจข่มทนไหว “โจทย์ข้อสุดท้ายถามว่าอะไรกันแน่” ความรู้ของหลานชายมีหรือที่ตนผู้เป็นปู่จะไม่รู้ชัดแจ้ง ความรู้ทั้งหมดที่ศิษย์ระดับต้นจะต้องร่ำเรียนนั้นเทียนหวาของตนเข้าใจทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว ตนคิดไม่ออกจริงๆ ว่ายังมีคำถามอะไรสามารถล้มเทียนหวาได้

และที่น่าแค้นใจก็คือ…ซูเพียนจื่อศิษย์ใหม่ที่มาจากนอกถ้ำพันจิ้งจอกและเข้าสอบสนามเดียวกับเทียนหวากลับตอบได้ถูกต้องเสียนี่

ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสรองซู ทั้งผู้อาวุโสใหญ่หานกับซูป๋ออวิ๋นสองศิษย์อาจารย์ต่างก็อยากรู้ยิ่งนัก

โจวโม่มองซูถิงหยวนผู้เป็นอาจารย์ เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าจึงได้เอ่ยปาก “โจทย์ข้อสุดท้ายถามว่า…คำพูดใดหลอกผู้อื่นสำเร็จได้ง่ายที่สุด”

ซูถิงหยวนลูบเคราถอนหายใจก่อนกล่าว “นี่ไม่ใช่เนื้อหาจากบรรดาตำราในถ้ำพันจิ้งจอก แต่เป็นคำถามที่ประมุขรุ่นก่อนเคยถามข้า ตอนนั้นข้าเค้นสมองขบคิดอยู่สามเดือนเต็มๆ กว่าจะคิดออกในท้ายที่สุด นึกไม่ถึงเลยว่า…”

กระทั่งซูถิงหยวนยังต้องเค้นสมองขบคิดถึงสามเดือน คำตอบนี้จะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ ผู้อาวุโสรองซู ผู้อาวุโสใหญ่หาน และซูป๋ออวิ๋นต่างก็มองหน้ากันไปมา สุดท้ายผู้อาวุโสรองซูก็เป็นผู้เอ่ยถามโจวโม่ “เทียนหวาเขาตอบว่าอย่างไร”

“บนกระดาษคำตอบของเทียนหวาเขียนว่า…คำพูดที่อีกฝ่ายอยากจะได้ยินมากที่สุด” ในดวงตาของโจวโม่เผยแววชื่นชม ซูเทียนหวาในฐานะศิษย์ระดับต้นคนหนึ่งสามารถรู้ซึ้งได้ถึงขั้นนี้นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว

ผู้อาวุโสรองซูผงกศีรษะติดๆ กันพลางกล่าว “เทียนหวาตอบได้ไม่เลวเลย แล้วเด็กสาวนั่นตอบว่าอย่างไร” ชั่วขณะสั้นๆ เขาเองก็คิดหาคำตอบที่ดียิ่งกว่านี้ไม่ออกเช่นกัน

โจวโม่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “คำตอบของคุณหนูเพียนจื่อคือ…ความจริง” หากไม่ใช่เพราะซูเพียนจื่อสามารถให้คำตอบนี้ออกมาได้ภายในเวลาอันสั้นเช่นนั้น ด้วยฐานะศิษย์สายตรงคนโตของประมุข อีกทั้งเป็นศิษย์ระดับสูงที่อยู่เหนือกว่าซูเพียนจื่อถึงสองระดับเต็มๆ โจวโม่ย่อมจะไม่เรียกขานนางว่า ‘คุณหนูเพียนจื่อ’ อย่างเกรงอกเกรงใจถึงเพียงนี้เป็นอันขาด

นี่คือการยอมรับอย่างหนึ่ง ยอมรับกับศักดิ์อันสูงส่งในฐานะบุตรหลานสกุลซูสายหลักของซูเพียนจื่อ

ซูป๋ออวิ๋นมีสีหน้างุนงง ความถนัดของเขาคือการฝึกวิชายุทธ์ หากเปรียบฝีมือในวิชากลลวงกับศิษย์สกุลซูคนอื่นๆ เขาก็เพียงแต่กล้อมแกล้มแตะถึงขั้นของศิษย์ระดับกลาง ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจสักนิดว่าที่แท้การพูดความจริงจะหลอกคนสำเร็จไปได้อย่างไรกัน

ผิดกับผู้อาวุโสใหญ่หานและผู้อาวุโสรองซูที่เป็นยอดฝีมือตัวจริงในวิชากลลวง เมื่อไตร่ตรองคำตอบที่ชวนให้คาดไม่ถึงนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ทั้งสองก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างไม่อาจควบคุม

“อัจฉริยะ! เป็นอัจฉริยะจริงๆ ด้วย!” ผู้อาวุโสใหญ่หานเอ่ยด้วยความตื่นเต้นยินดี

ผู้อาวุโสรองซูมีสีหน้าไม่ค่อยชวนมอง ทว่าก็มิอาจไม่พยักหน้ายอมรับ “เด็กสาวคนนี้เจ้าเล่ห์ใช้ได้ทีเดียว”

‘เจ้าเล่ห์’ คำประเมินสองพยางค์นี้สำหรับตระกูลสิบแปดมงกุฎสกุลซูแล้วเป็นคำที่มีความหมายเชิงบวกอย่างแน่นอน

“พวกเรารับนางขึ้นมาสอนวิชาด้วยตนเองเลยดีหรือไม่” ผู้อาวุโสใหญ่หานชักทนรอไม่ไหวแล้ว

ผู้อาวุโสรองซูแค่นเสียงฮึก่อนจะพูดสาดน้ำเย็นใส่ “นางไม่มีพรสวรรค์เชิงยุทธ์สักนิด ท่านตั้งใจจะสอนอะไรนาง แล้วจะสอนด้วยวิธีใด”

ผู้อาวุโสใหญ่หานพลันอับจนถ้อยคำ

ซูถิงหยวนเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “ช่างเถอะ ปล่อยไปตามธรรมชาติก็แล้วกัน หากนางเป็นดาวช่วยชีวิตของสกุลซูจริงก็จะต้องมีวาสนาเป็นของตนเองแน่ หวังว่าเทพเจ้าแห่งกลลวงจะคุ้มครองสกุลซูของพวกเรา”

ในสายตาของซูถิงหยวน ซูเพียนจื่ออายุน้อยๆ ก็เข้าใจแก่นแท้ของวิชากลลวงได้อย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้แล้ว สิ่งที่นางขาดบนเส้นทางการฝึกวิชากลลวงก็เหลือแค่ประสบการณ์จริงกับทักษะฝีมือเท่านั้น

สำหรับสิ่งแรก นางจะต้องออกจากถ้ำพันจิ้งจอกไปเผชิญโลกภายนอกด้วยตนเอง ส่วนความรู้เบื้องต้นสำหรับสิ่งหลัง นางก็ได้ทำความเข้าใจจากตำราแล้ว เหลือแต่ทักษะขั้นสูงที่ล้วนต้องมีพลังวัตรร่วมด้วยจึงจะสำแดงออกมาได้ ดังนั้นต่อให้เขามีใจจะสอน นางในตอนนี้ก็ไม่อาจเรียนรู้ได้อยู่ดี

ซูเพียนจื่อไม่รู้ว่าตนเองกลายเป็นผู้ที่บุคคลระดับสูงในสกุลซูให้ความสนใจเป็นพิเศษไปแล้ว นางยิ่งไม่รู้เรื่องที่พวกเขาสนทนากันเกี่ยวกับหัวข้อที่ว่าควรจะบ่มเพาะนางอย่างไรดี

หากสาวน้อยได้รู้ล่ะก็ นางจะต้องเต้นผางอย่างแน่นอน…‘ปล่อยไปตามธรรมชาติ’ อะไรกัน พวกเขาให้นางเข้าไปเสาะหาของวิเศษในคลังสมบัติบนยอดเขาสิ นี่ต่างหากคือการบ่มเพาะที่ดีที่สุดสำหรับนาง และก็เป็น ‘วาสนา’ ที่จำเป็นที่สุดสำหรับนางในช่วงเวลานี้!

นางยังกลุ้มใจอยู่เลยว่าจะผ่านการสอบย่อยห้าสนามสุดท้ายของศิษย์ระดับต้นไปได้อย่างไร

นางสอบถามจากฝูอวิ๋นมาแล้วว่าสิ่งที่จะทดสอบในอีกห้าสนามที่เหลือก็คือ…ความสามารถเฉพาะตัวในการเอาชีวิตรอดที่สิบแปดมงกุฎจำเป็นต้องมีรวมห้าแขนง ได้แก่ ความไวของสองมือ ฝีมือในการแปลงโฉมปลอมตัว พลังสายตากับการได้ยิน ความเร็วในการหลบหนี และความสามารถในการซ่อนตัว

สำหรับผู้ที่มีพลังวัตร ความเร็วในการเคลื่อนไหวย่อมจะสูงส่งกว่าคนธรรมดาไม่ต่ำกว่าสิบเท่า อีกทั้งหากใช้ทักษะวิชายุทธ์บางอย่าง การจะเปลี่ยนแปลงรูปโฉมและสุ้มเสียงในเวลาอันสั้นก็ไม่ได้ยากเย็นแต่อย่างใด ระดับความเฉียบคมของสายตาและการได้ยินยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง แม้แต่การเก็บงำลมหายใจหรือหดพับร่างกายเพื่อซ่อนเร้นร่องรอยก็เป็นเรื่องที่แสนจะง่ายดาย

ทว่าสำหรับคนธรรมดาอย่างซูเพียนจื่อ ไม่ว่าจะเอ่ยถึงความสามารถแขนงใดก็ล้วนแต่ยากเข็ญดุจไต่ขึ้นสวรรค์

กระนั้นนางก็ไม่คิดจะยอมแพ้ อย่างน้อยดูจากตอนนี้แล้ว การเลื่อนขึ้นเป็นศิษย์ระดับสูงก็คือวิธีการเพียงหนึ่งเดียวที่นางจะได้เข้าใกล้คลังสมบัติ ไปเสาะหา ‘ไร้นาม’ มาคลายผนึก และได้รับเบาะแสร่องรอยของบิดามารดา นางอยากจะพบหน้าบุพการีของตนยิ่งนัก อีกทั้งใจนางก็ไม่ยินยอมที่จะเป็นผู้อ่อนแอให้คนอื่นมาดูแคลนด้วย

ตั้งแต่ตอนที่เพิ่งจะมาถึงถ้ำพันจิ้งจอกได้ไม่นาน นางก็เคยหยิบยืมตำราวิชายุทธ์จากซูเจินเจินมาอ่านจำนวนหนึ่งแล้ว และก็เคยทดลองฝึกปรือตามวิธีที่ระบุในตำรามากกว่าหนึ่งหน ทว่าร่างกายของนางถูกปิดผนึกโดยสิ้นเชิงอย่างแท้จริง เฉพาะการรวบรวมลมปราณซึ่งเป็นขั้นตอนแรก นางเสียเวลามาเกือบครึ่งปีแล้วก็ยังไม่อาจทำได้เสียที ไม่ว่านางจะเพียรพยายามอย่างไรก็ตาม

ในเมื่อเส้นทางนี้เป็นทางตัน นางจึงนึกถึงเส้นทางอีกสายแทน…

การสอบย่อยสนามที่สิบหกทดสอบเรื่องความแคล่วคล่องว่องไวของสองมือ นางสอบถามมาอย่างละเอียดรอบคอบแล้วว่าปกติโจทย์ก็คือการจุดเทียนไข…ภายในเวลาชั่วหนึ่งอึดใจหากจุดเทียนไขในตำหนักที่วางอยู่ใกล้ไกลแตกต่างกันได้ถึงหกสิบเล่มก็จะนับว่าสอบผ่าน หากจุดได้ถึงหนึ่งร้อยเล่มจึงจะได้คะแนนเต็ม

เวลาชั่วหนึ่งอึดใจ? นี่มันเกินขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ชัดๆ!

“ขอเพียงจุดเทียนไขได้หกสิบเล่มขึ้นไปภายในเวลาชั่วหนึ่งอึดใจก็ใช้ได้แล้ว? มีกฎหรือข้อจำกัดอื่นอีกหรือไม่” ซูเพียนจื่อถามย้ำกับซูเจินเจินและฝูอวิ๋นเพื่อความแน่ใจ

หนึ่งคนกับหนึ่งม้าต่างส่ายหน้าพร้อมๆ กัน

“เยี่ยม! ถ้าอย่างนั้นอีกสิบวันข้างหน้า พวกเจ้าก็รอฉลองให้กับคะแนนเต็มอีกครั้งของข้าได้เลย!” ซูเพียนจื่อมั่นอกมั่นใจเต็มที่

ซูเจินเจินกับฝูอวิ๋นมองหน้ากันไปมา ต่างรู้สึกว่านางกำลังฝันกลางวัน

 

ไม่ช้าสิบวันก็ผ่านพ้นไป วันสอบย่อยของศิษย์ระดับต้นมาถึงตามกำหนดอีกครั้ง

การสอบสนามนี้ซูเจินเจินรู้ตัวว่าอาศัยพลังวัตรในปัจจุบันของตนไม่มีทางจะสอบผ่านเป็นอันขาด เดิมทีจึงคิดว่าจะไปชมความครึกครื้นและสัมผัสบรรยากาศอยู่ที่นอกตำหนักเท่านั้น สำหรับนางหากคิดจะสอบให้ผ่าน อย่างน้อยก็ยังต้องฝึกปรืออีกสองสามเดือน

ทว่าสุดท้ายนางก็ตื่นแต่เช้าเป็นพิเศษเพื่อไปเข้าสอบเป็นเพื่อนซูเพียนจื่อ เพียงเพราะต้องการจะแสดงออกว่าตนสนับสนุนสหาย แม้ในใจจะรู้สึกว่าซูเพียนจื่อไม่อาจผ่านด่านนี้ได้ก็ตาม

ซูเจินเจินคิดเช่นนี้…หากอาจื่อสอบย่อยไม่ผ่าน ตนก็ยังปลอบใจนางได้ การสอบย่อยซึ่งแม้แต่ตนที่มีพรสวรรค์เชิงยุทธ์ก็ยังสอบตก อาจื่อสอบไม่ผ่านก็ไม่ต้องเสียใจไปนัก

เมื่อเด็กสาวทั้งสองปรากฏตัวที่นอกสนามสอบ สิ่งที่ต้อนรับพวกนางก็คือเสียงสูดหายใจที่ดังขึ้นลงต่อเนื่องระลอกหนึ่ง…

คนทั้งหมดล้วนนึกว่าซูเพียนจื่อจะไม่เข้าร่วมการสอบย่อยของศิษย์ระดับต้นต่อจากสนามที่สิบห้าแล้วเสียอีก เพราะนี่คือการหาความอัปยศใส่ตัวชัดๆ!

ทว่านางกลับปรากฏตัวเสียได้ ทั้งยังมีท่าทางมั่นอกมั่นใจเต็มที่อีกด้วย

ซูเทียนหวาที่มาเข้าสอบเช่นกันก็ตกตะลึงไม่ใช่น้อย

เนื่องจากปราชัยในการสอบย่อยเมื่อสิบวันก่อน หลายวันมานี้เขาจึงรู้สึกคาใจมาตลอด ผู้อาวุโสรองซูหวังจะให้เขาพัฒนาโดยอาศัยการตระหนักรู้ด้วยตนเอง ดังนั้นจึงไม่ได้เอ่ยชี้แนะว่าที่แท้เขาพ่ายแพ้ในจุดใด

ในใจเขาแสนจะไม่ยอมรับนับถือ ทั้งที่รู้อยู่ว่าข้อสอบนั้นท่านประมุขออกโจทย์เอง และผู้ที่ตรวจข้อสอบก็คือโจวโม่ศิษย์สายตรงคนโตของท่านประมุข ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องยุติธรรมเคร่งครัดในกฎระเบียบ ไม่มีลำเอียงเข้าข้างใครแม้สักนิดแน่นอน ทั้งหมดนี้ล้วนบ่งชี้ว่าตนได้พ่ายแพ้ให้แก่ซูเพียนจื่อจริงๆ

ความภาคภูมิใจของเขาในฐานะอัจฉริยะแถวหน้ารุ่นหนุ่มสาวจึงถูกทิ่มแทงอย่างลึกล้ำ เครื่องปลอบใจเพียงอย่างเดียวก็คือซูเพียนจื่อไม่มีพรสวรรค์เชิงยุทธ์ ความสำเร็จในวันข้างหน้าไม่มีทางที่จะเทียบเขาได้

“นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้ายังกล้ามา” ซูเทียนหวาเดินขึ้นหน้าไปพร้อมสีหน้าอันเรียบเฉย เขารู้ว่าศิษย์ระดับต้นจำนวนมากกำลังลอบพิจารณาเขาอยู่ ยิ่งในเวลาเช่นนี้เขาก็ยิ่งต้องรักษาบุคลิกอันผ่าเผยไว้

ก็แค่เด็กสาวที่ถูกลิขิตให้ต้องหยุดฝีเท้าอยู่ที่การเป็นศิษย์ระดับต้นเท่านั้น เหตุใดเขาจะต้องเสียกิริยาเพราะนางด้วยเล่า

ซูเพียนจื่อยักไหล่ตอบ “เรื่องที่เจ้านึกไม่ถึงยังมีอีกเยอะไป”

นางพูดจบก็ไม่รอดูท่าทีตอบสนองของเขา เพียงจูงมือซูเจินเจินเดินก้าวยาวผ่านเลยเขาไปยังตำหนักที่ตั้งของสนามสอบอย่างสง่างาม

ซูเทียนหวากัดฟันแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ สนทนายิ้มหัวกับศิษย์คนอื่นที่อยู่ข้างกายสองประโยค จึงค่อยเดินตามเข้าไปอย่างเนิบช้า

วันนี้คนที่มาชมความครึกครื้นอยู่นอกสนามมีจำนวนมาก ทว่าคนที่เข้าร่วมการสอบย่อยสนามที่สิบหกจริงๆ นั้นมีน้อยยิ่ง

กระทั่งรวมซูเพียนจื่อ ซูเจินเจิน กับซูเทียนหวาสามคนเข้าไปแล้วก็ยังมีทั้งสิ้นเพียงห้าคน

เมื่อทั้งห้ามาจับหมายเลขกำหนดลำดับ ผลก็ปรากฏว่าซูเทียนหวาจับได้ลำดับที่หนึ่ง ถัดจากนั้นเป็นศิษย์ระดับต้นอีกสองคนที่พวกเขาล้วนไม่รู้จัก ตามด้วยซูเพียนจื่อเป็นลำดับที่สี่ และซูเจินเจินเป็นลำดับสุดท้าย

ซูเพียนจื่อขบคิดเล็กน้อย ก่อนจะหารือกับซูเจินเจินเพื่อสลับลำดับให้ตนลงสนามเป็นคนสุดท้ายแทน

ซูเทียนหวาเห็นความเคลื่อนไหวเล็กๆ ของพวกนางก็กระตุกมุมปากอย่างเหยียดหยาม ไม่ว่าซูเพียนจื่อจะลงสนามเป็นคนที่เท่าไร ไร้ฝีมือก็คือไร้ฝีมือ ไม่มีทางจะเปลี่ยนแปลงผลความพ่ายแพ้ของนางได้อยู่ดี

เมื่อผู้คุมสอบพบว่าซูเพียนจื่อผู้ซึ่งระยะนี้มีชื่อเสียงลือลั่นถึงกับอยู่ในสนามสอบด้วย เขาก็ประหลาดใจอย่างยิ่งเช่นกัน สายตาจึงมองไปหานางซ้ำสองหนก่อนจะหันกลับมาประกาศว่า “เริ่มสอบได้!”

ซูเทียนหวายื่นมือไปฉวยคบไฟขนาดเล็กสองอันที่เสียบอยู่ข้างสนามสอบ จากนั้นก็ปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอแล้วเดินไปยังกึ่งกลางของโถงตำหนัก บนชั้นซึ่งเรียงรายอยู่รอบตัวเขาในรัศมีราวสามฉื่อมีเทียนไขบ้างสูงบ้างต่ำเสียบปะปนกันอยู่เต็มชั้นครบหนึ่งร้อยเล่มพอดี

เหง่ง!

สิ้นเสียงย่ำระฆัง สองแขนของซูเทียนหวาก็สะบัดวูบ ซูเพียนจื่อเพียงรู้สึกว่าเบื้องหน้าสายตามีประกายไฟกับแสงสีขาวหมุนควงจนเป็นกลุ่มก้อน ยังไม่ทันจะเห็นชัดถนัดตาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทุกสิ่งก็ยุติลงแล้ว สองมือของซูเทียนหวาถือคบไฟข้างละหนึ่งอันพลางถอยไปที่ด้านข้าง

ผู้คุมสอบมองดูแสงเทียนที่วูบไหวอยู่ในโถงตำหนักแล้วผงกศีรษะเอ่ยชม “เยี่ยม! เยี่ยม! เยี่ยม! ชั่วเวลาหนึ่งอึดใจจุดเทียนไขได้ถึงเก้าสิบสองเล่ม ข้าไม่ได้เห็นศิษย์ระดับต้นที่โดดเด่นเช่นนี้มานานมากแล้ว”

ซูเพียนจื่อกับซูเจินเจินหันมามองหน้ากัน สิ่งที่ได้เห็นจากในดวงตาของกันและกันก็คือ ‘ความตื่นตะลึง’

โดยเฉพาะซูเพียนจื่อ นางอดไม่ได้ที่จะพึมพำอยู่ในใจ

นี่มันความเร็วระดับไหนกันนี่ คนที่เคยฝึกวิชายุทธ์เก่งกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ ได้ยินว่าเจ้านี่เพิ่งจะทะลวงสู่ขั้นเปลี่ยนกระดูกเท่านั้นนี่นา

นางมิอาจไม่ยอมรับว่าตนอิจฉาคนที่สามารถฝึกวิชายุทธ์เหล่านี้ยิ่งนัก ขณะเดียวกันในใจก็ยิ่งใฝ่หา ‘ไร้นาม’ ที่จะคลายผนึกพรสวรรค์ให้นางได้…ขอเพียงคลายผนึกออกแล้ว สักวันนางก็จะเปลี่ยนเป็นเก่งกาจได้เช่นซูเทียนหวา หรือถึงขั้นเก่งกาจยิ่งกว่า!

เหล่าศิษย์ระดับต้นที่ล้อมชมการสอบย่อยอยู่นอกประตูตำหนักพากันโห่ร้องยินดีเสียงกระหึ่มราวฟ้าผ่า ซูเทียนหวาพึงพอใจกับผลงานของตนในเบื้องต้น จึงคลี่ยิ้มน้อยๆ ไปยืนชมการสอบของคนที่เหลืออยู่อีกด้านหนึ่ง

ศิษย์ที่ลงสนามเป็นคนที่สองเดินหน้าซีดเผือดไปฉวยคบไฟ สองมือสั่นเทิ้มอยู่พักใหญ่กว่าจะนิ่งลงได้ จากนั้นจึงเดินช้าๆ ไปยังใจกลางของชั้นวางเทียนไข

การแสดงออกอันล้ำเลิศของซูเทียนหวาทำให้ผู้อื่นกดดันเหลือเกินจริงๆ

เหง่ง!

สิ้นเสียงย่ำระฆังอีกครั้ง คราวนี้สิ่งที่ซูเพียนจื่อมองเห็นก็ยังคงเป็นเงาแสงกลุ่มหนึ่ง รอจนศิษย์ระดับต้นผู้นั้นถอยออกไปแล้ว นางก็กวาดมองไปที่เทียนไขบนชั้นวาง

แม้จะไม่สว่างโชติช่วงเท่าของซูเทียนหวา ทว่าก็จุดสว่างได้กว่าครึ่งค่อน

ผู้คุมสอบแค่นเสียงฮึก่อนประกาศผล “จุดเทียนไขได้หกสิบห้าเล่ม อืม! ก็นับว่ากล้อมแกล้มผ่านด่านได้ ต่อไปเจ้าต้องขยันฝึกฝนให้มากกว่านี้”

ศิษย์ผู้นั้นเสมือนได้รับการอภัยโทษ รีบปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากแล้วแย้มยิ้มอย่างเบิกบานใจ

ศิษย์ที่เข้าสอบเป็นคนที่สามไม่มีโชคอย่างเขา เพียงจุดเทียนไขได้ห้าสิบแปดเล่มเท่านั้น

ขาดอีกแค่เพียงสองเล่มก็จะผ่านด่านอยู่แล้ว ดวงอาภัพอับโชคไปหน่อยจริงๆ เขาถอยไปที่ข้างสนามสอบด้วยสีหน้าอันห่อเหี่ยว

“จงกลับไปมุมานะให้เต็มที่” ผู้คุมสอบเอ่ยเรียบๆ ประโยคเดียวแล้วให้เขาหลบไป

เมื่อถึงคราวของซูเจินเจิน นางก็หน้าม่อยมองไปทางซูเพียนจื่อ แล้วคลี่รอยยิ้มที่ขี้เหร่ยิ่งกว่าตอนร้องไห้

“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าคราวนี้ไม่ไหว คราวหน้าก็ค่อยเอาใหม่” ซูเพียนจื่อเอ่ยให้กำลังใจ

ซูเจินเจินนึกได้ว่าเดิมทีที่ตนมาครั้งนี้ก็ไม่ได้คิดว่าจะสอบผ่านอยู่แล้ว ตนมาเพื่อให้กำลังใจอาจื่อต่างหาก เหตุใดสุดท้ายกลายเป็นอาจื่อให้กำลังใจตนไปเสียได้ ซูเจินเจินแลบลิ้น โยนเอาความหนักใจทิ้งไปแล้วเดินตรงไปข้างหน้า

เหง่ง!

สิ้นเสียงย่ำระฆัง ซูเจินเจินในสายตาของซูเพียนจื่อก็ยังคงเป็นเงาแสงกลุ่มหนึ่งที่ไม่อาจเห็นท่าทางได้ชัดเจน ทว่ารอจนซูเจินเจินถอยออกไป ความแตกต่างก็ปรากฏเด่นชัดยิ่ง…นางจุดเทียนไขได้อย่างมากสามสิบกว่าเล่มเท่านั้น

เสียงหัวเราะครืนระลอกหนึ่งดังมาจากนอกตำหนัก

ผู้คุมสอบไม่กล่าวแม้คำประเมินและคำกระตุ้นปลุกใจ เขามองเมินซูเจินเจินแล้วเบนสายตาไปที่ร่างของซูเพียนจื่อโดยตรง แววตาเปี่ยมด้วยความฉงนสงสัย… เจ้าจะลงสนามไปเปิดโปงข้อด้อยของตนเองจริงๆ น่ะหรือ

ซูเพียนจื่อกระแอมแห้งๆ เดินไปข้างหน้าซูเจินเจินแล้วรับคบไฟมาหนึ่งอัน นางไม่แม้แต่จะมองคบไฟอีกอันก็หมุนตัวเดินตรงไปทางชั้นวางเทียนไขทันที

“เจ้าจะใช้คบไฟเพียงอันเดียวอย่างนั้นหรือ” ผู้คุมสอบโพล่งถามอย่างอดไม่ได้

ท้าสู้กับการสอบย่อยนี้ด้วยมือเดียว นี่มันผยองจนไร้ขอบเขตไปแล้ว!

ไม่เฉพาะแต่ศิษย์ด้านนอกตำหนักที่เอะอะมะเทิ่ง กระทั่งสีหน้าของซูเทียนหวาที่อยู่ในตำหนักก็ดูไม่จืด

“อันเดียวก็เพียงพอเจ้าค่ะ อีกอย่าง…ข้าคงไม่จำเป็นต้องไปยืนตรงใจกลางกระมัง” ซูเพียนจื่อสอบถาม

สีหน้าของผู้คุมสอบพลันเขียวคล้ำอยู่บ้าง หากไม่ไปยืนตรงใจกลางของชั้นวางเทียนไข นางคิดจะจุดเทียนไขด้วยการวนอ้อมชั้นวางหนึ่งรอบหรืออย่างไรกัน วิธีแบบนั้นยังหวังจะจุดเทียนไขหกสิบเล่มขึ้นไปในเวลาชั่วหนึ่งอึดใจอีก นี่มันเด็กโง่งมที่กำลังฝันเฟื่องอยู่ชัดๆ เว้นก็แต่นางคือผู้ฝึกวิชาขั้นชำระไขกระดูกระดับสูงสุด!

ทุกคนล้วนมองพิจารณาซูเพียนจื่อด้วยสายตาที่ใช้มองคนวิกลจริต จริงดังคำที่ว่า ‘สมองของอัจฉริยะล้วนมีปัญหาอยู่บ้าง’

“ซูเพียนจื่อ ข้าขอเตือนเจ้าว่าที่นี่คือสนามสอบย่อยของศิษย์ระดับต้น ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาทำตัวเหลวไหล” ผู้คุมสอบถลึงตากล่าว

“ข้ารู้เจ้าค่ะ ก็คือการจุดเทียนไขทั้งหนึ่งร้อยเล่มภายในเวลาชั่วหนึ่งอึดใจไม่ใช่หรือ ข้าจริงจังมากนะเจ้าคะ” ซูเพียนจื่อเอ่ยด้วยสีหน้าเช่นผู้บริสุทธิ์

ผู้คุมสอบหางตาเต้นตุบๆ พลางตอบหน้าขรึม “มิผิด เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมตัวเริ่มได้”

ซูเพียนจื่อยกแขนทำท่าเตรียมพร้อม ขณะที่ทุกคนกลั้นหายใจรอนางเริ่มต้น นางก็พลันหดมือหันกลับมาถามผู้คุมสอบว่า “ขอเพียงข้าจุดเทียนไขได้ทั้งหนึ่งร้อยเล่ม การสอบย่อยครั้งนี้ก็จะได้คะแนนเต็มถูกต้องหรือไม่”

“ถูกต้อง!” ผู้คุมสอบถูกท่าทางอวดดีของนางยั่วโทสะจนเกือบจะคว่ำโต๊ะเดินจากไปแล้ว

“เช่นนั้นพวกท่านก็ช่วยไปยืนไกลหน่อย อย่าได้รบกวนข้าสำแดงฝีมือ” ซูเพียนจื่อเรียกร้องอย่างหนักแน่นเยือกเย็น

ผู้คุมสอบแค่นหัวเราะติดกันอย่างเย็นชา เขาเพียงโบกมือครั้งเดียวก็ถอยไปที่มุมตำหนักพร้อมกับคนอื่นๆ กระทั่งซูเทียนหวาก็จำต้องกัดฟันถอยตามไปด้วย

พวกเขาจะดูซิว่าซูเพียนจื่อมีปัญญาจุดเทียนไขหนึ่งร้อยเล่มนี้ด้วยมือเดียวในเวลาชั่วหนึ่งอึดใจได้อย่างไร

เหล่าศิษย์ที่ล้อมชมอยู่นอกตำหนักต่างก็เงียบเสียงรอดูเด็กสาวที่โอหังอวดดีนี้ปล่อยไก่ตัวโต

ซูเพียนจื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันหลังให้คนทั้งหมด มือข้างหนึ่งของนางล้วงหยิบ ‘อาวุธลับ’ ออกจากแขนเสื้อกว้างอย่างระมัดระวัง ส่วนมืออีกข้างก็ชูคบไฟขึ้นสูง…

เหง่ง!

สิ้นเสียงย่ำระฆัง ซูเพียนจื่อก็ใช้ท่วงท่าที่ได้มาตรฐานขว้างสิ่งของในสองมือไปทางชั้นวางเทียนไขแล้วหันขวับออกวิ่งในทันที

เพล้ง!

เปรี้ยง!

ถัดจากเสียงกังวานใสของโถกระเบื้องที่ตกพื้นแตกละเอียด ก็คือเสียงที่ดังกัมปนาทกับแสงเพลิงที่พวยพุ่งขึ้นฟ้า ตำหนักทั้งหลังถึงกับสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงวูบหนึ่ง

คนทั้งหมดเห็นเพียงแสงเพลิงลุกโพลงอยู่ตรงทิศทางของชั้นวางเทียนไข และสัมผัสได้ถึงคลื่นความร้อนระลอกแล้วระลอกเล่าที่แผ่พุ่งมาปะทะใบหน้า จึงพากันร้องอุทานเสียงดังอย่างไม่อาจข่มกลั้น

เคราะห์ยังดีที่ในตำหนักไม่มีข้าวของเครื่องใช้ที่เกินจำเป็น อานุภาพและขอบเขตของแรงระเบิดที่มาอย่างกะทันหันนี้ล้วนไม่นับว่ารุนแรงเกินไป ไม่ช้าเพลิงก็ถูกจำกัดควบคุมเอาไว้ได้

ผู้คุมสอบทุ่มสุดแรงซัดหลายฝ่ามือออกไปติดๆ กัน เพลิงจึงถูกสะกดลงไปในที่สุด

เขาโกรธจัดจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วง ดวงตาถลึงจ้องซูเพียนจื่อเขม็ง สาวน้อยไม่รอให้เขาปริปากดุด่าก็ชิงพูดสยบก่อน “ท่านบอกว่าขอเพียงข้าจุดเทียนไขหนึ่งร้อยเล่มนี้ในเวลาชั่วหนึ่งอึดใจก็จะได้คะแนนเต็มนี่เจ้าคะ!”

นางพูดพลางชี้มืออย่างกระตือรือร้นไปยังทิศทางที่เกิดการระเบิด เพื่อขอให้ผู้คุมสอบตรวจยืนยันผลสำเร็จ

ผู้คุมสอบจ้องมองตอเทียนไขที่เหลืออยู่ไม่กี่ท่อน กับชั้นวางเทียนไขที่แทบจะไหม้เป็นซาก ในสมองอับจนถ้อยคำไปพักใหญ่

ซูเพียนจื่อจุดเทียนไขทั้งหนึ่งร้อยเล่มภายในเวลาชั่วหนึ่งอึดใจได้แล้วจริงๆ และก็ยังวางเพลิงเผาชั้นวางเทียนไขไปพร้อมกันเสียเลย!

นี่คือการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของกฎกติกามาโกงสอบอย่างโจ่งแจ้ง!

แต่ว่า…แต่ว่าย่ามันเถอะ! เขาถึงกับไม่อาจหาเหตุผลไปปฏิเสธผลการสอบของนางได้

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ สามหนเพื่อข่มเพลิงโทสะลงไป จู่ๆ ก็พลันบังเกิดอารมณ์วู่วามอยากจะแหงนหน้าหัวเราะขึ้นฟ้ายิ่งนัก…ย่ามันเถอะ! ยายหนูผู้นี้ช่างน่าสนใจเหลือเกิน! นับแต่สกุลซูตรากฎสำหรับการสอบย่อยชุดนี้ออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนใช้วิธีการนี้ผ่านด่าน ทำให้ผู้อื่นไม่รู้ควรจะพูดว่านางอย่างไรดี

ท่ามกลางอาการปากอ้าตาค้างของคนทั้งหมด ซูเพียนจื่อผู้คว้าคะแนนเต็มในการสอบย่อยสนามที่สิบหกได้สมดังใจหมายก็นำพาซูเจินเจินที่ยังไม่ได้สติคืนมาเดินส่ายอาดๆ จากไป

ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม วีรกรรมที่ซูเพียนจื่อคว้าคะแนนเต็มในการสอบย่อยด้วยวิธีที่เกินคาดนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วถ้ำพันจิ้งจอก บางคนชมเปาะเลื่อมใสในความเฉลียวฉลาดของนาง แต่บางคนก็เป็นเดือดเป็นแค้นด่าว่านางใช้กลโกง บ่ายวันนั้นผู้คุมสอบทุกสนามต่างก็เห็นพ้องต้องกันที่จะเพิ่มกฎใหม่อีกข้อ นั่นก็คือห้ามใช้สิ่งที่ติดไฟง่ายจำพวกโถดินระเบิดมาช่วยในการจุดไฟอีก

ทว่าเหล่านี้ไม่ได้มีผลข้องเกี่ยวอะไรกับซูเพียนจื่อแล้ว

เมื่อประมุขซูถิงหยวน ผู้อาวุโสใหญ่หาน และผู้อาวุโสรองซูได้รับข่าวต่างก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาล้วนสังหรณ์ใจว่าธรรมเนียมที่ผู้ไร้พรสวรรค์เชิงยุทธ์จะต้องหยุดฝีเท้าอยู่ที่การเป็นศิษย์ระดับต้นนั้นเกรงว่าอาจถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงโดยซูเพียนจื่อผู้นี้นี่เอง…

พวกเขาถึงขั้นเริ่มเฝ้ารอว่าต่อจากนี้ซูเพียนจื่อจะใช้วิธีพิสดารอะไรมาผ่านการสอบย่อยที่เหลืออีกสี่สนามสุดท้าย

ซูเทียนหวากลับถึงที่พักของตนโดยไม่พูดจาแม้สักคำ เขาขังตนเองอยู่ในห้องไม่ออกจากประตูตลอดหนึ่งวันเต็มๆ

ซูม่านม่านมาเยี่ยมเขาแล้วพูดโน้มน้าวอยู่เป็นนานก็ยังไม่เห็นญาติผู้น้องมีสีหน้ายิ้มแย้มขึ้นสักนิด ในใจนางจึงยิ่งคั่งแค้นซูเพียนจื่อมากกว่าเดิม

“เทียนหวา เจ้าไม่อาจกล้ำกลืนโทสะนี้ลงไปได้ ข้าเองก็เช่นกัน แค่เด็กขยะที่ไร้พรสวรรค์เชิงยุทธ์คนหนึ่งเท่านั้น ข้าจะไปสั่งสอนนางแทนเจ้าเอง!” ซูม่านม่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จงเกลียดจงชังอย่างมาก

นางยิ่งคิดก็ยิ่งกล้ำกลืนโทสะนี้ไม่ได้ ถือสิทธิ์อะไรให้เด็กขยะที่เพิ่งมาใหม่ได้เชิดหน้าชูคออยู่เหนือศีรษะของศิษย์แถวหน้าเช่นพวกตน

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 ก.พ. 64

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 14

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: