บทที่ 4 สับสน
ทั้งคำว่ารัก ทั้งคำขอโทษที่ไม่เคยหลุดจากกลีบปากหนาสีแดงสด ทั้งพฤติกรรมต่างๆ ที่ผิดแผกจากหน้ามือเป็นหลังมือของอัตรคุปต์สร้างความสับสนให้กับนิสรีนอย่างลึกล้ำ
การตัดใจจากผู้ชายที่เฝ้ารักมานับสิบปีไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่เพราะเธอยังรู้จักรักตัวเองอยู่บ้าง นิสรีนถึงได้พยายามกัดฟันก้าวออกมาจากเขา จากเงามืดของโชคชะตาอันเลวร้ายที่รออยู่ในอนาคต ทั้งที่เธอก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าหากถอยออกมาจากวังวนรักสามเส้านั้นสำเร็จ ชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป
แต่ในขณะที่เธอพยายามจะหนีให้พ้นจากเส้นทางเดิม อัตรคุปต์ที่เคยเย็นชาไร้หัวใจใส่กันกลับเป็นฝ่ายก้าวเข้ามาหาจนถึงขั้นวิ่งไล่ตามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แน่นอนว่าหัวใจซึ่งยังอัดแน่นไปด้วยความรักที่มีต่อเขาย่อมเต้นระรัวด้วยความยินดีอย่างบ้าคลั่ง มันบอกให้เธอลองเสี่ยงอีกสักหน ฉวยโอกาสนี้คว้าหัวใจอัตรคุปต์มาครองเอาไว้ให้อยู่หมัด แต่สมองกลับพยายามฉุดกระชากเธอให้หลุดจากภวังค์รักลวงตาที่ไม่มีวันเป็นไปได้นั้น
ทุกความขัดแย้งย่อมสร้างความสูญเสีย โดยเฉพาะความขัดแย้งในตัวเองที่ทำให้คนแทบจะทนแบกรับไว้ไม่ไหว
สัมผัสแผ่วเบาบนแก้มทำให้หญิงสาวสะดุ้ง วงหน้าสวยสะบัดกลับไปมองทางซ้ายมือของตัวเอง จึงเพิ่งเห็นว่าอดีตคนรักลุกจากฝั่งตรงข้ามมายืนโน้มตัวอยู่ใกล้ๆ ด้วยแววตาแฝงความห่วงใย
“นีซ เป็นอะไรรึเปล่า”
ดวงตาสวยเฉี่ยวกวาดมองใบหน้าหล่อเหลาซึ่งชาวเน็ตต่างเอ่ยแซวกันเล่นๆ ว่า ‘เบ้าหน้าพระราชทาน’ ตั้งแต่โครงหน้าคม สันกรามชัด เหนือโหนกแก้มสูงขึ้นไปคือดวงตาโตคมกริบในเบ้าตาลึก แพขนตาบนล่างดกหนาไม่ต่างจากคิ้วเข้มได้รูป จมูกโด่งปลายงุ้มรับกันกับริมฝีปากหนาสีแดงสด ผิวขาวราวหิมะตัดกับผมทรงคอมม่าสีดำสนิท ห่วงสีเงินสวยสะท้อนแสงจากรูล่างสุดของใบหู
ดูจากลักษณะภายนอกทั้งรูปร่างที่สูงใหญ่ โหนกแก้มสูง หรือเบ้าตาลึกก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มไม่ใช่คนเชื้อสายไทยเต็มร้อย เพราะ ‘คุณอลิเซีย’ มารดาของเขาเป็นสาวลูกเสี้ยวผู้มีทั้งเชื้อสายกรีก ตะวันออกกลาง และไทยปะปนอยู่ในร่าง ดีเอ็นเอที่ผสมผสานระหว่างลูกเสี้ยวคนสวยกับหนุ่มไทยเชื้อสายจีนผู้หล่อเหลาจึงออกมาเป็นประติมากรรมชิ้นเอกอย่างอัตรคุปต์ มหัสวัต
และตอนนี้ผู้ชายที่หล่อเหลาจนพระเอกหลายคนยังเทียบไม่ติดก็กำลังใช้ดวงตาคมดุสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำคู่นั้นมองเธอด้วยสายตาห่วงใย
นิสรีนเม้มปาก แม้จะรู้สึกดีแค่ไหน เธอก็ยังปัดมือเขาออกจากไหล่ ปฏิเสธด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
“เปล่า นีซไม่ได้เป็นอะไร พี่คุปต์กลับไปนั่งเถอะ”
จ้องหน้าเธออยู่อึดใจหนึ่งอัตรคุปต์ก็พยักหน้ารับ
“โอเค”
ขณะที่เธอกำลังจะผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เขายอมกลับไปนั่งที่เดิม นิสรีนก็แทบสะดุ้งเมื่อร่างสูงใหญ่เลือกทิ้งตัวลงบนเบาะข้างๆ เธอ
“พี่คุปต์! ทำอะไรเนี่ย!” นางเอกสาวคนดังถลึงตาใส่ แต่ชายหนุ่มที่วาดแขนพาดกับพนักเก้าอี้ตัวยาวจนคล้ายจะโอบเธออยู่กลายๆ กลับเลิกคิ้วใส่ ตอบรับหน้าตาย
“ก็นั่งตามที่นีซบอกไง”
“ไม่ เดี๋ยว! นีซหมายถึงให้พี่กลับไปนั่งที่ตัวเองโน่น”
“เปลี่ยนใจแล้ว อยากนั่งกับนีซ”
“แต่นีซอึดอัด”
“อึดอัดอะไร นีซชอบให้พี่กอดจะตาย” อัตรคุปต์ยักไหล่ “ชู่ ไม่ต้องงอแงแล้ว ดูโน่นเร็ว พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้วนะ”
ชายหนุ่มพยักพเยิดให้คนรักมองไปยังพระอาทิตย์ดวงโตที่ใกล้จะตก
แม้ในเมืองหลวงของประเทศซึ่งอัดแน่นไปด้วยตึกรามบ้านช่อง พระอาทิตย์ดวงโตจะไม่ได้หล่นวูบหายไปในพื้นน้ำเจ้าพระยา ทว่าฉากหลังที่เป็นวัดชื่อดังก็ดูสวยงามไปอีกแบบ
นิสรีนเผลอหันไปตามสายตาของอดีตคนรัก กลีบปากเคลือบสีแดงตามแบบฉบับนางร้ายขบแน่น แววตาสั่นไหวเมื่อจำได้…ว่าครั้งหนึ่งเธอเคยบอกอัตรคุปต์ว่าอยากมากินอาหารร้านนี้ อยากดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันกับเขา
แต่ก็เป็นอัตรคุปต์ไม่ใช่หรือที่บ่นว่าไร้สาระ พระอาทิตย์ตกในเมืองมีอะไรให้น่าดูกัน ครั้งนั้นเขาไม่ยอมมาดินเนอร์กับเธอ แล้วเลือกชดเชยด้วยการพาไปล่องเรือยอชต์ดูพระอาทิตย์ตกทะเลที่ภูเก็ตแทน
ผืนฟ้าค่อยๆ ถูกแต่งแต้มด้วยสีของอาทิตย์อัสดงจนแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูเจือส้มคล้ายสีแซลมอน ก้อนเมฆสีขาวยามกลางวันถูกอาบย้อมจนบางส่วนกลายเป็นสีทอง ไม่ช้าไม่นานพระปรางค์องค์ใหญ่ก็ค่อยๆ เปล่งแสงเรืองรองออกมา
“สวยจัง”
หญิงสาวหลุดอุทาน ชั่วขณะนั้นเธอเผลอหลงลืมความขัดแย้งระหว่างตัวเองกับอดีตคนรัก เฝ้ามองความงดงามอันกลมกลืนกันระหว่างธรรมชาติกับสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาด้วยแววตาเป็นประกาย ขณะที่อัตรคุปต์นั้น…ดวงตาคู่คมได้เลื่อนจากพระปรางค์องค์ใหญ่มาอยู่ที่คนข้างตัวนานแล้ว
ยิ่งวันเวลาผ่านไปชายหนุ่มก็ยิ่งแน่ใจว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยมือจากนิสรีนแล้วไปรักผู้หญิงที่ถูกลิขิตไว้ให้เป็นนางเอกของตัวเองเด็ดขาด
การต่อสู้กับโชคชะตาที่ถูกขีดเขียนไว้มันอาจจะยาก แต่อัตรคุปต์มั่นใจว่าเขาสามารถสู้กับมันได้
…ขอเพียงแค่นิสรีนเลือกจะสู้ไปกับเขาก็พอ
“ทำไมถึงมาที่นี่”
ทันทีที่รู้สึกตัวตื่น นิสรีนซึ่งเผลอหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า ความเครียด ผสมกับฤทธิ์ของไวน์สองแก้ว…และความรู้สึกปลอดภัยยามอยู่ใกล้อัตรคุปต์จนกล้าปล่อยตัวตามสัญชาตญาณซึ่งบ่มเพาะมาสิบปี ก็ร้องถามเสียงดัง ร่างที่เพิ่งถูกวางลงบนโซฟาตัวใหญ่ไปไม่นานนักก็เด้งตัวลุกขึ้นนั่ง กวาดมองสถานที่อันคุ้นเคยด้วยแววตาสับสน
“นีซ อย่าทำเหมือนพี่มอมเหล้าแล้วหลอกพาเธอมาทำมิดีมิร้ายสิ” อัตรคุปต์ดุอย่างทนไม่ได้กับท่าทีแบบนั้น “นี่มันก็บ้านเราเอง ไม่ใช่ที่อื่นสักหน่อย”
มือใหญ่เริ่มปลดกระดุมเม็ดบนและพับแขนเสื้อขึ้นไปจนถึงข้อศอก ชายหนุ่มลอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าตึงเครียดของคนรัก ร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบสามเซนติเมตรเดินเข้าไปทิ้งตัวลงข้างๆ หญิงสาว รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยที่นิสรีนไม่รังเกียจกันถึงขั้นสะดุ้งตกใจจนโอเวอร์อะไร
“พี่คุปต์บอกจะพานีซกลับบ้าน”
หลังกินข้าวเสร็จชายหนุ่มให้สัญญากับเธอแบบนั้น นิสรีนที่รู้ดีว่าเขาเป็นคนรักษาคำพูดจึงคลายใจจนเผลอหลับไป
“นี่ก็บ้าน” เขาย้ำ ร่างสูงเท้าแขนข้างหนึ่งกับพนักโซฟา โน้มตัวเข้าหาคนรัก นัยน์ตาสีเข้มเป็นประกายยามประกาศ “บ้านของเรา”
‘บ้านของเรา’
อีกแล้ว…
ปลายเล็บที่เพิ่งผ่านการตกแต่งมาวันนี้จิกอุ้งมือจนเป็นรอย ริมฝีปากถูกขบแน่น
…คำที่เธอเคยอยากได้ยินจากปากอัตรคุปต์ มาในวันที่สายเกินไปอีกแล้ว
นางเอกคนดังละสายตาจากอดีตคู่หมั้น ดวงตาสวยเฉี่ยวที่เคลือบคลอด้วยม่านน้ำตาบางเบากวาดมองไปทั่วเพนต์เฮ้าส์ ทั้งห้องนั่งเล่นที่พวกเธอกำลังนั่งอยู่ โต๊ะอาหารขนาดหกที่นั่งติดผนังกระจกซึ่งมองเห็นวิวของแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างชัดเจน ไกลออกไปหน่อยคือทางไปห้องครัว มุมสุดฝั่งซ้ายคือบันไดขึ้นสู่ชั้นบนของเพนต์เฮ้าส์ราคาเกือบสองร้อยล้านของโครงการคอนโดมิเนียมสุดหรูซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จาก MA Property
สถานที่ที่ตลอดสามปีมานี้เธอใช้ชีวิตอยู่มากกว่าบ้านของตัวเอง
“ปกติ…พี่คุปต์เรียกมันว่า ‘บ้านพี่’ ไม่ใช่เหรอ”
นิสรีนย้อนถามทั้งที่ไม่ยอมสบตาเขา จึงไม่เห็นแววตารู้สึกผิดของชายหนุ่ม ริมฝีปากหนาเม้มแน่นก่อนจะค่อยๆ ตอบออกไป
“พี่ก็ไม่เคยบอกว่ามันไม่ใช่บ้านของนีซ”
“เหรอคะ” เธอแค่นหัวเราะ ดวงตาซึ่งหลบเลี่ยงเขามาครู่หนึ่งหันกลับไปสบตากัน นิสรีนมองเห็นความรู้สึกผิดในหน่วยตาคม…เช่นเดียวกับที่อัตรคุปต์มองเห็นความเจ็บปวดในดวงตาสีน้ำตาลวาวรื้น “แต่ปกติ…พี่ชอบไล่นีซกลับบ้านนี่ นั่นไม่ได้หมายความว่า…ที่นี่ไม่ใช่บ้านนีซหรอกเหรอ”
“…นีซ”
หัวใจของอัตรคุปต์หดเกร็งด้วยความรู้สึกผิดระคนเจ็บปวด
รู้…ไม่ใช่ไม่รู้ว่าพฤติกรรมตลอดสิบปีที่ผ่านมาของเขาทำให้คนรักต้องเสียใจจนกลายเป็นการสร้างบาดแผลบนหัวใจดวงน้อย แต่ที่ผ่านมาไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน…อัตรคุปต์ก็ไม่เคยทลายกำแพงที่ขวางกั้นพวกเขาลงได้เลย
นั่นคงเพราะหัวใจดวงนี้ของเขา…ถูกลิขิตมาให้ใช้มันเพื่อรักผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่นิสรีน
แต่ไม่ใช่วันนี้และตอนนี้…ที่อัตรคุปต์พร้อมจะควบคุมและเลือกทุกสิ่งด้วยตัวเอง
ไม่ใช่เพราะปลายนิ้วของใครบังคับให้ต้องเป็น!
รองประธานบริหารแห่ง MA Property เม้มริมฝีปาก สายตาทอดมองสีหน้าเจ็บร้าวของคนรักด้วยความปวดใจ ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นจากโซฟา พระเอกซึ่งถูกออกแบบมาให้เย่อหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีค่อยๆ คุกเข่าสองข้างลงบนพื้นพรมโดยที่ยังไม่ละสายตาจากหญิงสาว เขาเลยได้เห็น…ดวงตาซึ่งเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจของเธอ
“พี่คุปต์! ทำอะไรน่ะ! ลุกขึ้นมา…”
น้ำเสียงของนิสรีนขาดห้วงเมื่อคนที่คุกเข่าลงตรงหน้าเธอโน้มตัวเข้ามาใกล้ ก่อนใช้สองมือโอบรัดรอบเอวคอด วงหน้าหล่อเหลาราวเทพเจ้าแนบลงกับหน้าท้องแบนราบ น้ำเสียงซึ่งเคยแข็งกระด้างเย็นชาคล้ายจะสั่นเครือ
“ถ้าพี่ขอโอกาส…นีซจะให้พี่ได้มั้ย” สองมือหนากระชับร่างที่สวมกอดอยู่ให้แน่นขึ้น ดวงหน้าหล่อเหลาช้อนขึ้นมองเธอจากด้านล่าง มันคือสัญญาณบอกให้นิสรีนรับรู้…
…ว่าในความสัมพันธ์ครั้งนี้ พระเอกผู้เย่อหยิ่งถือดีอย่างเขาพร้อมจะตกเป็นรองอยู่ใต้อาณัติของเธอ
นิสรีนเฝ้ารักอัตรคุปต์มาสิบปี
สิ่งที่นางร้ายนิสัยเสียอย่างเธอตั้งใจรอมาตลอดคือวันหนึ่งที่ดวงตาคู่นั้นจะหันกลับมาเห็นเธออยู่ในสายตามากกว่าการเป็นคู่รักจากผลประโยชน์ทางธุรกิจ วันที่อัตรคุปต์จะเต็มใจทำสิ่งต่างๆ ให้เธอด้วยความรักไม่ใช่เพราะหน้าที่ วันที่เขาจะมองเธอด้วยสายตาเจือแววรักใคร่อ่อนโยนบ้างสักเสี้ยวก็ยังดี
และมันก็มาถึง…ในวันที่เธอตัดสินใจเลิกรอแล้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา…มันเป็นตลกร้ายจริงๆ ด้วย
เพราะอัตรคุปต์ไม่ยอมปล่อยและนิสรีนในตอนนี้ก็เหนื่อยล้าเกินกว่าจะผลักไส หญิงสาวจึงปล่อยให้เขากอดซุกซบอยู่ตรงหน้าท้องของเธอ ซ้ำมือไม่รักดียังทรยศสมองไปลูบไล้กลุ่มผมหนานุ่มของเขาอย่างที่เคยอยากสัมผัสมาตลอดนอกจากตอนอยู่บนเตียงด้วยกัน
รอจนอารมณ์ของทั้งคู่เริ่มสงบลง นางเอกสาวก็ถอนหายใจยาว ดวงตาที่แฝงแววบอบช้ำหลุบมองคนที่ไม่ได้ถูกลิขิตให้เป็นของเธอ แล้วค่อยๆ เอ่ยขึ้นอย่างมีสติ
“พี่คุปต์จะทำแบบนี้ไปทำไม ตลอดมาพี่ก็ไม่ได้…รักหรือแคร์นีซสักเท่าไหร่”
“ใครว่าพี่ไม่รัก ไม่แคร์นีซ”
ชายหนุ่มที่หลับตาซุกซบใบหน้าอยู่กับหน้าท้องแบนราบลืมตาขึ้นมาเถียง วงหน้าหล่อเหลาแหงนขึ้นสบตาคนรัก อธิบายเสียงแข็งหนักแน่น
“พี่รักนีซมาตลอดนั่นแหละ”
“ไม่จริง” นิสรีนเถียง หัวใจเผลอเต้นระรัวไปกับคำบอกรักนั้นจนกลัวว่าเขาจะได้ยิน หญิงสาวพยายามผลักไสคนที่กอดกันไว้ออก ทว่าอัตรคุปต์ก็ยังเป็นอัตรคุปต์
ถ้าเขาไม่อยากปล่อย…อย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยเด็ดขาด
“พี่คุปต์ ปล่อยนีซแล้วลุกขึ้นมาคุยกันดีๆ”
นางร้ายผู้ถูกวางคาแร็กเตอร์ให้อารมณ์ร้อนอยู่ตลอดพยายามเกลี้ยกล่อมเขาอย่างใจเย็น
“นี่ก็ดีแล้ว”
“ดีตรงไหน นีซอึดอัดนะมากอดกันแบบนี้ แล้วคุกเข่าอยู่อย่างนี้เดี๋ยวเหน็บก็กินหรอก อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะ ลุกขึ้นมาเถอะ”
พอถูกทักเรื่องอายุ คนที่แก่กว่าสองปีก็คิ้วกระตุกจนเผลอเถียงกลับ
“กอดแค่นี้จะอึดอัดอะไร ตอนที่กอดมากกว่านี้นีซยังไม่เห็นบ่น”
วงหน้าสวยซ่านสีเลือดทันทีเพราะรับรู้ได้ว่าเขาหมายถึงอะไร นิสรีนเม้มปาก ฟาดผัวะเข้าที่บ่าหนา
“พี่คุปต์! ถ้าไม่ลุก นีซไม่คุยแล้วนะ”
อัตรคุปต์เม้มปาก พอเห็นความแน่วแน่ในดวงตาสีน้ำตาลก็ถอนหายใจ เป็นฝ่ายยอมแพ้ก่อน
ก็ได้ ถือว่าชดเชยให้กับที่ผ่านมาแล้วกัน
ชายหนุ่มยอมลุกจากพื้นพรมตามคำสั่ง ทว่าตอนนั้นเองร่างสูงใหญ่กลับโซเซทำท่าจะล้มทับจนนิสรีนต้องรีบรับเขาไว้ด้วยสีหน้าตกใจ
“พี่คุปต์! เป็นอะไร! เหน็บกินเหรอ”
ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของคนรักทำให้ริมฝีปากแดงจัดเม้มแน่น พยายามกลั้นรอยยิ้ม นัยน์ตาคมพราวระยับอย่างใจชื้นเมื่อมั่นใจยิ่งกว่าเดิมว่าหัวใจของกุหลาบขาวดอกนี้ยังไม่เปลี่ยนไป
ยังคงมีแต่เขาอัดแน่นอยู่ในนั้น
“อือ เหน็บกิน” ผู้ชายที่เกลียดการเสแสร้งอย่างเขา ในเวลานี้กลับแกล้งเหน็บกินจนไม่อยากขยับ ทว่าดูท่าแล้วฝีมือการแสดงของท่านรองฯ แห่ง MA Property คงย่ำแย่ หรือไม่อย่างนั้นก็คงเป็นสายตาของนางเอกสาวฝีมือฉกาจที่ดีเกินไป ไม่นานนิสรีนก็มองออก ริมฝีปากรูปกระจับเม้มแน่น มือเรียวปราศจากแหวนหมั้นผลักร่างสูงใหญ่ออกห่างโดยไม่ออมแรง
“ไม่ต้องมาทำแบบนี้เลย” คนที่เคยยอมมาตลอดถลึงตาใส่ หญิงสาวถอนหายใจซ้ำก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามใจเย็นอีกรอบ “พี่คุปต์ มาคุยกันดีๆ สักทีเถอะ”
เพราะเห็นท่าทีที่จริงจังของคนรัก ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเลิกวอแวคลอเคลียเธอชั่วคราวโดยไม่ลืมทดไว้ในใจ
รอวันที่นิสรีนยอมกลับมาเป็นของเขาก่อนเถอะ ได้มีการทบต้นทบดอกกันแน่
มือใหญ่รวบมือเรียวขึ้นมาเกาะกุม ปลายนิ้วด้านลูบไล้นิ้วนางข้างซ้ายซึ่งยังหลงเหลือรอยแหวนหมั้นอยู่จางๆ ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มฝาด หมายมาดในใจว่าอีกไม่นาน…เขาจะทำให้นิ้วนางข้างนี้ไม่ว่างเปล่าอีกครั้ง
“พี่รักนีซ” อัตรคุปต์ตัดสินใจเปิดประเด็นด้วยสิ่งที่เขาคิดว่าสำคัญกับความรู้สึกของนิสรีนมากที่สุด เพราะสบตากันอยู่ตลอด…ชายหนุ่มจึงมองเห็นดวงตาคู่สวยสั่นไหว เขาเห็นทั้งความคาดหวัง ความดีใจ รวมไปถึงความขลาดกลัวระคนไม่อยากจะเชื่อ
“นีซก็รู้ว่าพี่เป็นคนยังไง สิ่งที่ผู้ชายอย่างอัตรคุปต์ มหัสวัต เกลียดที่สุดคือการถูกบังคับ ถนัดที่สุดคือการเอาแต่ใจ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ชอบนีซ รักนีซ มีเหรอที่พี่จะยอมให้ผู้ใหญ่คลุมถุงชน มีเหรอที่เจ็ดปีก่อนพี่จะยอมเป็นแฟนกับนีซแค่เพราะเรื่องธุรกิจ แล้วมีเหรอ…” ริมฝีปากหนาคลี่ยิ้ม นัยน์ตาคมเข้มเป็นประกาย “ที่ตลอดเจ็ดปีมานี้พี่จะมีแค่นีซ ซื่อสัตย์กับนีซคนเดียว”
มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย
นั่นคือสิ่งที่นิสรีนรู้อยู่แก่ใจ เจ็ดปีมานี้เธอจึงใช้ความเชื่อนั้นหล่อเลี้ยงหัวใจว่าภายใต้ท่าทางเย็นชา อัตรคุปต์คงมีใจให้เธอบ้างไม่มากก็น้อย
เพราะไม่เคยมีเลยสักครั้ง…ที่ผู้ชายสมบูรณ์แบบและมีผู้หญิงมากมายเข้าหาอยู่ตลอดอย่างเขาจะเผลอว่อกแว่กไปกับใครอื่น
“แล้วทำไมตลอดมาพี่คุปต์ถึงทำแบบนั้นกับนีซ ทำไมถึงคอยแต่ผัดวันไม่ยอมแต่งงานกับนีซ”
“พี่ไม่รู้เหมือนกันนีซ” ชายหนุ่มส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้พี่ก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าทั้งที่พี่มั่นใจว่าตัวเองรักนีซ และไม่เคยคิดว่าคู่ชีวิตของพี่จะเป็นคนอื่นนอกจากนีซ แต่ทำไมพี่ถึงไม่สามารถแสดงออกให้นีซหรือใครรับรู้ได้เลยว่าพี่รักเธอมากขนาดไหน ทำไมหัวใจพี่ถึงว้าวุ่นกังวลคอยแต่จะหลีกเลี่ยงการแต่งงานของเราอยู่ตลอด จนวันที่เธอกับพี่ได้รู้เรื่องนั้น พี่ถึงเข้าใจ…”
ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มหยัน แววตาซึ่งเคยทอดมองเธออย่างรักใคร่แปรเปลี่ยนเป็นแห้งแล้งเย็นชาอย่างที่นิสรีนคุ้นชิน
“เพราะพี่เป็นแค่ตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาและถูกกำหนดให้รักคนอื่นที่ไม่ใช่นีซ”
ประโยคนั้นทำให้หัวใจทั้งของคนพูดและคนฟังบิดร้าวไปพร้อมๆ กัน
แม้จะพยายามทำใจยอมรับความจริงที่ว่าเขาและเธอเป็นเพียงแค่ตัวละครซึ่งถูกใครบางคนสร้างขึ้นมา ทว่าลึกลงไปหัวใจสองดวงยังคงต่อต้าน ทั้งยังแฝงไปด้วยความเจ็บแค้นอย่างไม่อยากยอมรับมัน
นิสรีนสูดลมหายใจลึกเข้าปอด เธอกล้ำกลืนก้อนความรู้สึกที่ตีขึ้นมาลงไป เอ่ยปากอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้สงบนิ่งที่สุด
“ทั้งที่รู้แบบนี้แล้ว ทำไมพี่คุปต์ถึงทำแบบนี้ ทำไมถึงไม่ยอมปล่อยนีซไป…”
“เพราะพี่ทำไม่ได้!” ชายหนุ่มขัดขึ้นเสียงดัง “พี่ปล่อยนีซไปไม่ได้ พี่จะปล่อยผู้หญิงที่พี่รักไปได้ยังไง”
“แต่นีซไม่ใช่นางเอกของพี่! นีซเป็นแค่นางร้ายที่ผ่านเข้ามาเป็นอุปสรรคระหว่างพี่กับผู้หญิงคนนั้น!” นิสรีนขึ้นเสียงกลับ ความกดดันอัดอั้นถูกระเบิดออกมาในรูปแบบของน้ำตา
“พี่คุปต์เป็นพระเอก! แต่นีซเป็นนางร้าย! เราไม่ได้ถูกลิขิตให้เกิดมาคู่กัน!!!” ดวงตาสวยเฉี่ยวมองผู้ชายที่เธอรักด้วยแววตาปวดร้าว ความจริงที่ถูกกำหนดไว้ทำให้หัวใจทั้งดวงคล้ายจะถูกควักออกไปบดขยี้
“แต่พี่ไม่สน!” อัตรคุปต์แผดเสียงดังลั่น สองมือประคองวงหน้าเปื้อนน้ำตาของคนรักเอาไว้ จ้องลึกเข้าไปในดวงตาแหลกร้าว “พี่ไม่สนว่าเราจะถูกกำหนดมาให้เป็นอะไร พี่ไม่สนว่านีซจะเป็นนางร้ายหรือพี่จะเป็นพระเอกบ้าบออะไรนั่น! ถ้าการเป็นพระเอกมันทำให้พี่รักเธอไม่ได้ พี่ก็พร้อมจะเป็นตัวร้ายที่ได้คู่กับนีซ!”
ชายหนุ่มแนบหน้าผากลงกับหน้าผากมน บอกเธอด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“นี่มันชีวิตของเรานะนีซ เราต้องเลือกเองได้สิว่าจะใช้มันแบบไหน”
และอัตรคุปต์เลือกแล้ว…ว่าเขาจะใช้มันเพื่อรักนิสรีน
บทที่ 5 ด้วยสัตย์สาบาน
ความรักอันเข้มข้นที่ฉายชัดในดวงตาคมกริบทำให้หัวใจของนิสรีนสั่นคลอน
เธอเองก็ไม่อยากเลิกกับเขา
ไม่อยากเลิกกับอัตรคุปต์ทั้งที่วันนี้เขาอุตส่าห์รักเธอแล้ว แต่ว่า…
“เราเอาชนะเขาไม่ได้หรอกพี่คุปต์ มนุษย์เอาชนะพระเจ้าไม่ได้”
ต่อให้ในโลกภายนอกนักเขียนคนนั้นจะเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งไม่ต่างจากพวกเธอ แต่สำหรับโลกใบนี้…หล่อนไม่ต่างอะไรจากพระเจ้าผู้สร้างและลิขิตทุกอย่าง
“ถ้าไม่ลองแล้วนีซจะรู้ได้ไงว่ามันไม่ได้”
“พี่คุปต์…”
“ทำไมนีซถึงเอาแต่ผลักไสพี่ ทั้งที่จริงๆ แล้วเธอเองก็ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าการที่เราเลิกกันตั้งแต่ตอนนี้มันจะทำให้เธอหนีพ้นจากโชคชะตาบัดซบนั่นได้”
คำถามแทงใจดำจากผู้ชายที่เธอรักทำให้นิสรีนเม้มปากแน่น
ใช่ เธอไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าการเลิกรากับอัตรคุปต์จะทำให้ตัวเองหนีพ้นจากเส้นทางที่ถูกลิขิตไว้
มันเป็นเพียงทางออกเดียวเท่านั้นที่นิสรีนซึ่งกำลังมืดแปดด้านมองเห็น
“ในเมื่อนีซเองก็ไม่มั่นใจว่านั่นคือทางเดียวที่จะเปลี่ยนโชคชะตาได้ แล้วทำไมเธอไม่ลองเสี่ยงไปด้วยกันกับพี่…” นัยน์ตาคมดุมองลึกเข้าไปในแววตาที่สับสน “…ลองเสี่ยงไปด้วยกันเถอะนีซ พี่เชื่อว่าถ้าเราจับมือกันแน่นพอ เราจะพากันผ่านเรื่องบ้าๆ พวกนี้ไปได้”
ความเชื่อมั่นอันเปี่ยมล้นของเขาทำให้หญิงสาวเริ่มลังเล ทว่า…
“เราไม่เหมือนกันพี่คุปต์” ริมฝีปากได้รูปค่อยๆ คลี่ยิ้มเฝื่อน ประกายแห่งความหวังที่พาดผ่านอย่างบางเบาตอนได้ยินอัตรคุปต์พูดดับวูบลงไป เพราะความจริงที่แตกต่างกันระหว่างเขากับเธอ “พี่คุปต์เป็นพระเอก ต่อให้พยายามสู้แล้วพ่ายแพ้ต่อโชคชะตาที่ถูกลิขิตไว้ พี่คุปต์ก็จะได้เจอกับรักแท้ ได้พบกับบทสรุปอันสวยงาม แต่นีซ…” หญิงสาวกล้ำกลืนความเจ็บช้ำลงในอก แววตาแหลกร้าวกับโชคชะตาที่ถูกลิขิตไว้ให้นางร้ายอย่างเธอ “แต่นางร้ายอย่างนีซ…มีบทสรุปคือความตาย”
และที่น่ากลัวกว่านั้นคือเส้นทางก่อนจะเดินไปถึงบทสรุป นิสรีนได้กลายร่างจากคุณหนูไฮโซนิสัยเสียไปเป็นนางมารร้ายซึ่งไม่รู้ผิดชอบชั่วดี คิดแต่จะทำลายผู้หญิงคนหนึ่งให้ย่อยยับทั้งๆ ที่เด็กคนนั้น…มีสายเลือดเดียวกับตัวเอง
“นีซไม่อยากถูกความริษยาชิงชังเปลี่ยนให้ปีศาจ ไม่อยากถูกเวรกรรมตามทันจนชีวิตย่อยยับ ไม่อยากต้องจบชีวิตตัวเองลงเพราะไม่เหลืออะไรอีกแล้ว และที่สำคัญ…”
นิสรีนกัดริมฝีปากกลั้นสะอื้น มือเรียวเลื่อนขึ้นมาลูบขอบตาของผู้ชายที่เธอรักมาตลอดอย่างแผ่วเบา
“…นีซไม่อยากถูกพี่คุปต์เกลียด”
เธอไม่อยากให้ความรักซึ่งปรากฏในดวงตาของเขาวันนี้ถูกแทนที่ด้วยความเกลียดแค้นชิงชัง
เพราะนั่นคงเป็นสิ่งที่ทำให้นางร้ายอย่างเธอรู้สึกแหลกสลายจนต้องตัดสินใจลั่นไกปืนจบชีวิตตัวเองลง
อัตรคุปต์รู้…ว่าเดิมพันของนิสรีนสูงกว่าเขามาก เขารู้ว่าเธอพูดถูกว่าถ้าหากการต่อต้านของพวกเขาล้มเหลว เขาก็แค่ถูกบังคับให้เริ่มต้นรักผู้หญิงคนนั้น มีชีวิตอันแสนสุขรออยู่ปลายทาง แต่บทสรุปของนิสรีนมีแต่ความพินาศย่อยยับจนต้องจบชีวิตตัวเอง
แต่เขาก็ยังเห็นแก่ตัว…อยากขอร้องให้เธอเสี่ยงไปด้วยกัน
ชายหนุ่มลดมือลงจากวงหน้าสวยมากอบกุมมือเรียวเอาไว้ แล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาแหลกร้าวของเธอ
“นีซ พี่รู้ว่ามันไม่มีอะไรเป็นหลักประกันให้เธอมั่นใจได้เลยว่าเราจะต่อต้านโชคชะตาบ้าๆ นั่นได้ แต่นีซ…” ริมฝีปากแดงจัดระบายรอยยิ้มเชื่อมั่นในตัวเองขณะเรียกชื่อเธอ
กุหลาบดอกเดียวที่เลือกด้วยตัวเองว่าจะปลูกไว้ในหัวใจดวงนี้
“ชื่อของพี่คือ ‘อัตรคุปต์’ อัตรคุปต์แปลว่า ‘ปกครองตนเอง’ พี่จะไม่ยอมปล่อยให้ชีวิตของตัวเองตกอยู่ใต้อำนาจจากปลายนิ้วของใครทั้งนั้น” ดวงตาคมกริบเป็นประกายวาวโรจน์ “และนีซเรียกพี่ว่า ‘พี่คุปต์’…คุปต์ซึ่งหมายถึง ‘คุ้มครองรักษา’…”
มือใหญ่ดึงมือเรียวเล็กมาวางทาบบนแผ่นอกตรงตำแหน่งของหัวใจ ให้คำมั่นสัญญาที่เขาสาบานว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้มันเป็นจริง
“…พี่สัญญาว่าจะทำทุกอย่างเพื่อคุ้มครองนีซและรักษาความรักของเราเอาไว้” เขากระชับมือเธอซึ่งถูกดึงไปแนบไว้กับหัวใจ “แล้วถ้าวันไหนหัวใจดวงนี้มันจะเปลี่ยนไปรักคนอื่น…พี่จะเป็นคนจบชีวิตของพี่เอง”
สัตย์สาบานจากปากของผู้ชายที่เธอรัก พระเอกผู้ถูกสร้างมาให้ยึดมั่นต่อคำสัญญาเทียบเท่าชีวิต ทำให้ดวงตาของนิสรีนเบิกกว้าง หัวใจซึ่งเคยบิดร้าวด้วยความเจ็บปวดค่อยๆ เต้นกระหน่ำแรง เปลวไฟแห่งความหวังที่เคยดับมอดไปแล้วครั้งหนึ่งลุกโชนขึ้นอีกครั้งอย่างบางเบา
นัยน์ตาคมกริบซึ่งมักมองกันอย่างเฉยชาอยู่เสมอ บัดนี้กำลังมองเธอด้วยสายตาเว้าวอนอย่างที่นิสรีนไม่เคยเห็นมาก่อน
“ถ้านีซยังรักพี่อย่างที่พี่รักเธอ…เราเสี่ยงไปด้วยกันได้มั้ย”
นิสรีนรู้สึกว่าหัวใจของเธอช่างโลเล ไม่หนักแน่น หวั่นไหวไปกับลมปากของอัตรคุปต์เอาง่ายๆ
ดวงตาสวยเฉี่ยวหลุบมองท่อนแขนแข็งแรงที่โอบกอดเธอจากด้านหลัง ปกติหญิงสาวมักจะชอบนอนมองเวลาอัตรคุปต์หลับ ทว่าเวลานี้เธอกลับไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองเขา
ทั้งที่เธอยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะกลับไปคบกับอดีตคนรักและสู้กับโชคชะตาบ้าๆ นั่นไปด้วยกัน แต่หญิงสาวก็ใจอ่อนมากพอจะยอมนอนค้างที่เพนต์เฮ้าส์แห่งนี้ บนเตียงที่เคยคลอเคลียกับเขามานับครั้งไม่ถ้วน
แล้วแบบนี้…เขาจะไม่คิดว่าเธอใจง่ายตอบตกลงไปแล้วหรอกหรือ
นิสรีนถอนหายใจแผ่วเบา เมื่อนอนไม่หลับเพราะเรื่องมากมายที่คั่งค้างอยู่ในหัว ร่างระหงก็ขยับตัวตั้งใจจะดึงมือหนาออกแล้วลุกไปนั่งใช้ความคิดเงียบๆ ตอนนั้นเองจึงได้รู้ว่าคนที่คิดว่าหลับไปแล้วไม่ได้หลับอย่างที่เข้าใจ เมื่อชายหนุ่มออกแรงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อยกัน
“จะไปไหน”
น้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความงัวเงียดังขึ้นในความมืด อัตรคุปต์ขยับวงหน้าหล่อเหลาวางลงบนไหล่บาง ลมหายใจอุ่นร้อนจึงรดแผ่วอยู่ตรงลำคอระหง
“นีซจะทิ้งพี่เหรอ”
“หึ” นิสรีนแค่นหัวเราะ พยายามเมินเฉยต่อความรู้สึกวาบหวามที่เกิดจากลมหายใจของเขา ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ใช่นีซเหรอ ปกติมีแต่พี่คุปต์ไม่ใช่หรือไงที่ชอบทิ้งนีซไว้คนเดียว”
เหตุผลที่หญิงสาวชอบนอนมองเวลาเขาหลับก็เพราะกลัวว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาจะพบเพียงที่นอนอันว่างเปล่าปราศจากเงาร่างของคนรัก
ดวงตาคนฟังไหววูบ สองมือกอดกระชับร่างระหงให้แน่นขึ้น ริมฝีปากหนากดลงบนผิวแก้มนุ่ม
“ขอโทษ” เขากระซิบด้วยถ้อยคำที่ไม่ค่อยได้เอ่ยนัก แต่อัตรคุปต์ค่อนข้างแน่ใจ…ว่าต่อไปนี้เขาคงได้ใช้มันบ่อยขึ้น
ทุกครั้งที่ทำผิดกับนิสรีน ไม่ว่าจะเรื่องเล็กแค่ไหน ต่อจากนี้เขาจะไม่ลังเลที่จะเอ่ยขอโทษอีก
“พี่จะไม่ทิ้งนีซไว้คนเดียวอีกแล้ว เพราะอย่างนั้น…” เขาสูดลมหายใจลึก พร่ำกระซิบขอ “นีซไม่ทิ้งพี่ไปได้มั้ย”
คำเว้าวอนของคนที่ยังรักอยู่เสมอทำให้หัวใจไหววูบ นิสรีนหลับตาลง ใจหนึ่งเธออยากจะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในอ้อมกอดของอัตรคุปต์ตลอดไปโดยไม่ต้องคิดอะไรอีก ทว่าเพียงแค่หลับตา…ภาพบทสรุปสุดท้ายของชีวิตก็ฉายชัดขึ้นจนทั้งร่างสั่นเทา
“นีซ?”
อัตรคุปต์เรียกชื่อคนรักเมื่ออยู่ดีๆ เธอก็ตัวสั่นขึ้นมาจนน่ากลัว ชายหนุ่มโน้มตัวไปเปิดโคมไฟหัวเตียงพลางพลิกร่างระหงให้นอนหงาย แสงสว่างสีส้มทำให้เห็นใบหน้าซีดขาวของนิสรีนที่กำลังหลับตาสนิท หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเช่นเดียวกับริมฝีปากที่ถูกขบแน่น
“นีซ นีซเป็นอะไรรึเปล่า พี่…ขอโทษ” คำที่ไม่ค่อยได้ใช้กลับถูกเอ่ยออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน มือใหญ่ดึงร่างในชุดนอนสีไวน์ขึ้นมากอดไว้แนบอก จุมพิตขมับพร้อมลูบไล้เรือนผมยาวสีน้ำตาลหม่นอมเทา “นีซ พี่ไม่บังคับเธอแล้ว อย่าเป็นแบบนี้เลยนะ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำสั่นเครือของอดีตคนรักฉุดกระชากให้นิสรีนหลุดจากภาพจุดจบที่ถูกลิขิตไว้ นัยน์ตาวาวรื้นมองสีหน้าร้อนรนของอัตรคุปต์ หญิงสาวสูดหายใจลึกพยายามสะกดกลั้นก้อนสะอื้น
ใจหนึ่งเธออยากยื่นมือไปคว้าเขาไว้ กอดเกี่ยวความรักที่โหยหามาตลอดไว้แนบอก แต่อีกใจ…
เธอก็กลัวอนาคตเกินกว่าจะเสี่ยง
ระยะนี้เรื่องสำคัญที่วนเวียนอยู่ในหัวอัตรคุปต์ก็คือทำอย่างไรเขาถึงจะสามารถทำให้นิสรีนกลับมารักและเชื่อมั่นในตัวเขามากพอจะยอมจับมือฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน แต่เพราะรู้ดีว่าการเสี่ยงในครั้งนี้เดิมพันของเธอสูงกว่าเขามาก หลังจากเช้าวันนั้นที่หญิงสาวบอกว่าขอเวลาเป็นส่วนตัว…ซึ่งหมายถึงให้เขาเลิกวอแวเธอสักพัก ชายหนุ่มก็ไม่กล้ารุกคืบจนไม่ได้เจอหน้าคนรักมานานนับสัปดาห์แล้ว
แฟ้มเอกสารที่กำลังอ่านถูกโยนทิ้งลงบนโต๊ะ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะทิ้งแผ่นหลังลงบนเก้าอี้ทำงาน พอหลับตาลงก็เห็นเพียงสีหน้ารวดร้าวสับสนเปื้อนน้ำตาของคนรัก อัตรคุปต์รู้ซึ้งแก่ใจแล้วว่าเขาแพ้น้ำตาของเธอมากเพียงใด
ถ้าไม่ใช่เพราะแพ้น้ำตาของเธอ มีหรือที่คนเอาแต่ใจอย่างเขาจะยอมถอยห่างออกมาตามที่เธอต้องการง่ายๆ
“ไงล่ะมึง อยากห่างกันสักพักนักนี่ ได้ห่างสมใจอยากเลยมั้ย” ริมฝีปากหนาแสยะยิ้มพูดแดกดันตัวเอง มือใหญ่ข้างที่ยังสวมแหวนหมั้นถูไถหน้าผาก พ่นลมหายใจอุ่นร้อนออกมาหนักๆ กว่าจะนึกออกว่าภายในห้องทำงานไม่ได้มีแค่ตนเพียงลำพังก็ตอนที่สายตาคู่หนึ่งมองตรงมาอย่างแรงกล้า
“มองอะไร” รองประธานฯ แห่ง MA Property ถลึงตาใส่คนที่นอนตัวยืดตัวยาวอยู่บนโซฟาหนังสีดำอย่างไม่เกรงใจเจ้าของห้อง แสงเหนือจึงไหวไหล่พลางถามกลับด้วยสีหน้ากวนๆ
“ให้ตอบจริงดิ”
เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วอัตรคุปต์ก็นิ่วหน้า ตัดสินใจเมินเพื่อนสนิทผู้ที่ทำตัวว่างเสียยิ่งกว่าว่าง จนมีเวลาบึ่งรถมาป่วนประสาทกันถึงที่นี่
“โรงแรมเจ๊งแล้วหรือไง”
ประโยคที่แยกไม่ออกว่าเป็นคำถามหรือคำแช่ง ทำให้ทายาทเจ้าของโรงแรมชื่อดังหัวเราะหึ ร่างสูงในเสื้อแจ็กเก็ตหนังสีแดงสดสะท้านสายตายันตัวลุกขึ้นนั่ง เมื่อพิจารณาความหงุดหงิดภายใต้สีหน้าเย็นชาของเพื่อน ริมฝีปากได้รูปจึงคลี่ยิ้มที่ล่อลวงใจสาวมานักต่อนักพลางเอ่ย
“ปากหมาสมควรให้น้องนีซทิ้งจริงๆ”
เท่านั้นเองแฟ้มที่โยนทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ก็เปลี่ยนเป้าหมายเป็นเพื่อนรักเพื่อนร้ายตรงโซฟา ‘แสงเหนือ’ หลบวูบได้เฉียดฉิว หนุ่มหล่อจอมแพรวพราวหัวเราะร่วน
“ว้าววว ระวังหน่อยสิคะ ถ้าโดนหน้าหล่อๆ ของพี่เรย์เข้าจะทำยังไง”
“ก็ส่งไปเย็บหน้าที่โรง’บาลน่ะสิ”
คนตอบไม่ใช่อัตรคุปต์ แต่เป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่เดินยิ้มละมุนเข้ามา เพียงแค่เห็นผู้มาใหม่เจ้าของห้องก็พ่นลมหายใจหนักๆ อีกรอบ
ชายหนุ่มที่เมื่อครู่ยอมขยับลุกขึ้นยืนเพื่อปาแฟ้มใส่เพื่อนทิ้งตัวลงนั่งพิงเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่อีกครั้ง ก่อนเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” อัตรคุปต์ทักคนมาใหม่ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่คุยกันอีกฝ่ายยังทำงานอยู่ที่ประเทศเกาหลีใต้
“วะ ไอ้นี่ไม่เคยสนใจเพื่อนฝูงเลย ไอ้ชายน์มันกลับมาจะครบวีกแล้วมั้ง เห็นช่วงนี้มันมีเวลาเบรก หม่อมแม่เลยเรียกตัวลูกชายสุดที่รักกลับมาเนี่ย”
ถามแฝดคนน้อง แต่คนที่เสนอหน้ามาตอบพร้อมให้ข้อมูลเสร็จสรรพกลับเป็นแฝดคนพี่ ‘แสงแรก’ จึงหันไปมองแบบปากยิ้มตาไม่ยิ้ม
“ที่แม่เรียกฉันกลับมาก็เพราะนายไม่ยอมไปทำงานไม่ใช่หรือไง”
“โหย ใครว่าพี่เรย์ไม่ทำคะ ไม่เชื่อน้องชายน์สุดที่รักลองไปถามที่โรงแรมได้เลย…”
“ว่ามึงไม่เคยไปทำ เพราะเอาเวลามากวนตีนกูอยู่ที่นี่แทน” เจ้าของห้องทำงานพูดแทรกขึ้น มองฝาแฝดสุริยฉัตรที่ปรากฏตัวในห้องทำงานเขาอย่างพร้อมเพรียง แล้วก็ถามแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดระคนอ่อนใจ “นี่พวกมึงไม่มีงานมีการทำกันหรือไงวะ”
“ไม่ใช่ไม่มีงาน” คนมาใหม่มีน้ำใจโน้มตัวลงเก็บแฟ้มเอกสารเอาไปวางให้ถึงโต๊ะทำงาน ริมฝีปากหยักแย้มยิ้ม “แต่เขาเรียกใช้เวลาเป็น” ปลายนิ้วชี้เคาะบนหน้าปัดนาฬิกาหลักล้านบนข้อมือซ้าย “เที่ยงแล้วครับ ถึงเวลากินข้าวแล้ว”
“แล้ว?” อัตรคุปต์เลิกคิ้ว สองแขนยกขึ้นกอดอกมองแสงเหนือที่ขยับลุกมายืนข้างคู่แฝด
“ก็เห็นเรย์ว่านายดูเหงาๆ ว้าเหว่ซึมเศร้าเหมือนคนอกหัก ในฐานะเพื่อนที่ดี ฉันเลยเจียดเวลามาชวนไปกินข้าวด้วยกันไง”
“ไอ้ชายน์!” คนอกหักถลึงตาใส่อย่างดุดัน เขาล่ะอยากจะหาอะไรขว้างใส่ใบหน้ายิ้มแย้มของแสงแรกเสียเหลือเกิน
เกลียดนักไอ้หน้ายิ้มๆ ทำตัวเหมือนคนดีแต่กัดเจ็บไม่แพ้ไอ้เรย์น่ะ
“ไอ้แฝดนรก”
“โห เพื่อนคุปต์ พูดงี้ได้ไงคะ หัวใจพี่เรย์ล่ะเจ็บร้าว” แสงเหนือแสร้งยกมือขึ้นกุมหน้าอก โอดครวญด้วยท่าทางเจ็บปวดก่อนจะยืดตัวยักไหล่ทับถมเพื่อนด้วยสีหน้าเบิกบานผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ “แต่คงไม่เท่ามึงหรอกเนอะ ‘โดน-ทิ้ง’ มานี่นา”
“ไอ้เชี่ยเรย์!” พอโดนตอกย้ำมากๆ เข้าอัตรคุปต์ก็ชักทนไม่ไหว ร่างสูงใหญ่ถลาจะไปซัดหน้าเพื่อนรักเพื่อนร้ายสักทีสองที ร้อนถึงกรรมการห้ามศึกที่รับจ็อบบ่อยจนแทบจะเป็นมืออาชีพอย่างแสงแรกต้องเข้าไปห้าม
“พอๆ เลิกตีกันได้แล้ว จะขึ้นเลขสามกันแล้วยังตีกันอยู่ได้”
“ถ้าพวกกูจะสามสิบ มึงก็สามสิบนะคะเผื่อลืม” แสงเหนือรีบย้ำเตือนคู่แฝด ซึ่งแสงแรกก็เพียงแค่ไหวไหล่
“นายมั้ยเรย์ที่ลืม ฉันเกิดคนละปีกับพวกนาย”
เป็นเรื่องจริงอันน่าเจ็บใจจนแสงเหนือเถียงไม่ออก เพราะแม้เขากับแสงแรกจะเป็นฝาแฝดที่เกิดห่างกันเพียงสิบเจ็ดนาที…แต่สิบเจ็ดนาทีที่ว่าดันกลายเป็นคืนข้ามปี ดังนั้นตามกฎหมายแล้วน้องชายฝาแฝดไข่คนละใบจึงเกิดคนละปีกับเขาและอัตรคุปต์
มองฝาแฝดที่รักกันดีตีกันทุกวันแล้วอัตรคุปต์ก็ถอนหายใจ คลึงขมับอีกรอบ
“พวกมึงมาทำไมนะ”
“กวนตีนมึง”
“ชวนกินข้าว”
คำตอบที่ออกมาพร้อมกันแต่ความหมายห่างกันคนละโยชน์ทำให้ชายหนุ่มมองใบหน้าคล้ายคลึงของคู่แฝดสลับไปมา สุดท้ายก็อดพูดประโยคเดิมที่พูดมาหลายครั้งหลายคราไม่ได้
“ทำไมแกไม่เอาสายรกรัดคอไอ้เรย์ให้ตายตั้งแต่ในท้องวะชายน์”
แสงแรกหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นที่สุด
“ฉันก็ถามตัวเองอยู่ทุกวันเหมือนกัน”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.