X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม

ทดลองอ่าน หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม เล่ม 10 บทที่ 753-754

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 753

ในกลุ่มนายหญิงตราตั้งเกิดเสียงฮือฮาเบาๆ ระลอกหนึ่ง

เชื้อพระวงศ์อย่างองค์หญิงใหญ่ฉางหรงจะถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าก่อนใครก็ช่างเถิด แต่คนที่ได้เข้าเฝ้าลำดับต่อมาเป็นฮูหยินของกวนจวินโหวได้อย่างไร

ทุกคนชำเลืองมองไปทางพวกฮูหยินของท่านกั๋วกงอย่างช่วยไม่ได้

เรื่องนี้ชักน่าสนุกแล้วสิ ที่ผ่านมาไทเฮาให้องค์หญิงใหญ่ฉางหรงกับชายาอ๋องเข้าเฝ้า จากนั้นแล้วจะเรียกตัวฮูหยินของท่านกั๋วกงเข้าเฝ้าต่อทันที

อย่าลืมว่าก่อนจะถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าพวกนางต้องรออยู่ในโถงตำหนักกันหมด คนที่ยิ่งอยู่ด้านหลังของแถวก็ยิ่งรอนาน อีกทั้งเป็นไปไม่ได้ที่ไทเฮาจะให้เข้าเฝ้าทุกคน ส่วนใหญ่มักรอเก้ออยู่หนึ่งถึงสองชั่วยามแล้วออกจากวังหลวงกลับไปเลย

ท่ามกลางสายตาที่ฉายแววความรู้สึกต่างๆ กันไปของผู้คน สีหน้าเหล่าฮูหยินของท่านกั๋วกงเริ่มเปลี่ยนไปและแฝงนัยบางอย่าง

“หลีฮูหยิน เชิญเถอะ” ไหลสี่ส่งเสียงเรียกคำหนึ่ง

เฉียวเจาพยักหน้าแล้วเดินตามไหลสี่เข้าไปในด้านใน นางลอบทอดถอนใจ

ไทเฮาต้องไม่ชมชอบนางอย่างที่สุดเป็นแน่ถึงผลักนางลงกองไฟเช่นนี้ เพียงสลับลำดับการเข้าเฝ้าเล็กน้อยนางก็ล่วงเกินฮูหยินของท่านกั๋วกงไปแล้วโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น

ภายในตำหนักด้านในจุดเครื่องหอมไว้ เฉียวเจาเดินผ่านม่านกั้นผ้าโปร่งบางซ้อนกันหลายชั้นก็เห็นไทเฮานั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนแท่นประทับพร้อมถือถ้วยน้ำชาดื่มอยู่ คนที่นั่งถัดลงมาทางซ้ายคือองค์หญิงใหญ่ฉางหรง ส่วนทางขวาคือมู่หวังเฟย นอกจากสองคนนี้ยังมีสตรีออกเรือนแล้ววัยราวสามสิบนางหนึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กอย่างพินอบพิเทา

เฉียวเจาอดมองสตรีนางนั้นซ้ำอีกครามิได้

นางมุ่นผมเป็นมวยกลมอย่างสุภาพเรียบร้อย รูปโฉมงามแฉล้ม กิริยาท่าทางนุ่มนวล สีหน้าแววตาอ่อนน้อมถ่อมตน พอเห็นเฉียวเจาเข้ามาดวงตาของนางก็ทอแวววาดหวังแกมตื่นเต้นผิดแผกจากสายตาพินิจของหยางไทเฮา

ถึงแม้ประกายความหวังนั้นจะผุดขึ้นเพียงวูบเดียวก็เลือนหายไป แต่เฉียวเจายังจับสังเกตได้ทัน

นางจดจำสตรีนางนี้ได้ว่าเป็นหนึ่งในบรรดาอนุมากมายของรุ่ยอ๋อง

ตอนนางตรวจชีพจรให้อนุของรุ่ยอ๋อง สตรีผู้นี้ยืนอยู่หัวแถวของเหล่าอนุมากหน้าหลายตากลุ่มนั้น น่าเสียดายที่ตรวจแล้วไม่ได้ตั้งครรภ์

นี่หาใช่เรื่องแปลก ดูจากท่าทางมุ่งมั่นอยากมีทายาทอย่างแรงกล้าของรุ่ยอ๋องแล้วจะต้องนอนค้างคืนอยู่ในห้องอนุวัยเยาว์มีบุตรได้ง่ายมากกว่า แต่อายุของสตรีตรงหน้าผู้นี้ไม่มีโอกาสมากสักเท่าไรอย่างเห็นได้ชัด

เฉียวเจาคาดคะเนว่าสตรีนางนี้น่าจะเป็นอนุที่ดูแลการงานในเรือนหลังของวังอ๋องหลังจากชายาของรุ่ยอ๋องล่วงลับไป ด้วยเหตุนี้ถึงมีโอกาสได้เข้าเฝ้าไทเฮา

ในเวลานี้หยางไทเฮากำลังพูดคุยกับสตรีนางนั้น “เจ้าก็รู้ว่าทายาทของวังอ๋องล้ำค่าปานใด ตอนนี้มีอนุสามคนในวังอ๋องใกล้คลอดแล้ว เจ้าต้องดูแลพวกนางให้ดีๆ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นข้าจะเอาผิดกับเจ้าคนเดียว”

นางก้มหน้าหลุบตา กล่าวขึ้นทันทีว่า “โปรดวางพระทัย หม่อมฉันจะคอยดูแลพวกน้องสาวเป็นอย่างดีเพคะ”

หยางไทเฮาถึงพยักหน้าแล้วมองไปทางเฉียวเจาที่เดินเข้ามา

นางถวายคำนับต่อไทเฮา “เนื่องในโอกาสวันตรุษนี้หม่อมฉันขอถวายพระพรต่อองค์ไทเฮาเพคะ”

หยางไทเฮามองสตรีในเครื่องแต่งกายเต็มยศที่คุกเข่าอยู่บนพื้นนิ่งๆ อึดใจหนึ่งถึงกล่าวด้วยรอยยิ้มเรียบเรื่อย “ลุกขึ้นเถอะ”

เฉียวเจายังแสดงคารวะต่อมู่หวังเฟยและองค์หญิงใหญ่ฉางหรง

มู่หวังเฟยแย้มปากยิ้มพลางพูด “ตอนข้าได้พบกับฮูหยินของกวนจวินโหวในงานเลี้ยงฉลองวันฤดูใบไม้ผลิก็รู้สึกแล้วว่าสตรีน้อยที่โฉมงามมากความสามารถเยี่ยงนี้ สอดส่ายสายตาไปทั่วหล้าก็หาไม่พบเป็นคนที่สองแล้ว”

องค์หญิงใหญ่ฉางหรงกล่าวต่อเสียงเรียบ “นั่นสิ ฮูหยินของท่านกั๋วกงที่อายุน้อยเพียงนี้ ข้าเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก”

หากหยางไทเฮาไม่ชมชอบเฉียวเจาอยู่เจ็ดส่วน เช่นนั้นองค์หญิงใหญ่ฉางหรงก็ไม่ชมชอบนางเต็มสิบส่วนแล้ว

องค์หญิงใหญ่ฉางหรงชิงชังนางจิ้งจอกที่ยั่วยวนให้บุรุษลุ่มหลงมัวเมาเป็นที่สุด แล้วสตรีอ่อนเยาว์เบื้องหน้าผู้นี้เคยหว่านเสน่ห์ให้บุตรชายนางติดใจ แต่สุดท้ายกลับก้าวข้ามขั้นไปเป็นภรรยาของกวนจวินโหว ถ้าบอกว่าไม่มีเล่ห์กลซ่อนอยู่เบื้องหลังคงจะน่าแปลก

กวนจวินโหวกับชั่นเอ๋อร์เป็นสหายรักกัน สตรีผู้หนึ่งอย่างนางได้รู้จักกับกวนจวินโหวจะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากบุตรชายนางเป็นแน่

ดีเหลือเกินนะ ทอดสะพานให้บุตรชายนางหลงรักก่อน ค่อยสานไมตรีกับกวนจวินโหวผ่านทางเขาอีกที นางเพิ่งเคยพบเจอหญิงสาวที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก

ชั้นเชิงเหนือกว่านางแพศยาที่รู้จักแต่ยั่วยวนสามีของนางผู้นั้นหลายขั้นนัก

หางคิ้วของเฉียวเจากระตุกเบาๆ ทีหนึ่ง

ถ้าบอกว่าถ้อยคำของมู่หวังเฟยเป็นการโอภาปราศรัยตามมารยาท คำกล่าวขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงก็แฝงนัยเหน็บแนมอย่างชัดเจนเหลือเกิน เฉียวเจาจะฟังไม่ออกได้เช่นไร

นางเหลือบมองใบหน้าขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงแวบเดียวแล้วเลื่อนสายตาลงไปมองบริเวณท้องของอีกฝ่ายอึดใจหนึ่ง จากนั้นดึงสายตากลับ

องค์หญิงใหญ่ฉางหรงขมวดคิ้ว “เหตุใดหลีฮูหยินถึงมองข้าเช่นนี้”

เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “หม่อมฉันขอถวายความยินดีกับองค์หญิงเพคะ”

พิลึกคน!

องค์หญิงใหญ่ฉางหรงชายตามองอย่างเฉยเมย ไม่ลดตัวเอ่ยปากพูดอะไรกับนางอีก

หยางไทเฮาซึ่งมองดูอยู่ด้านข้างกลับสะดุดใจวูบหนึ่ง

นับแต่แรกเจอแม่เด็กน้อยผู้นี้ หยางไทเฮาก็พบว่านางแตกต่างจากใครๆ ต่อมานางรักษาใบหน้าของเจินเจินจนหายดีได้ยิ่งเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายมากขึ้น

ได้ยินว่าหมอเทวดาหลี่เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้หลีซื่อด้วยตนเอง…

หากเป็นเช่นนี้ หรือว่าสายตาที่นางมองฉางหรงแวบนั้นมีความหมายอื่นซ่อนอยู่

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในใจหยางไทเฮา นางเผยรอยยิ้มเมตตาส่งให้เฉียวเจา “หลีฮูหยิน ข้าอยากพบเจ้ามานานแล้ว”

นางพูดพลางกวักมือเรียก “มานั่งลงข้างๆ ข้าสิ”

เฉียวเจาสืบเท้าขึ้นหน้า “ไทเฮาทรงพระเมตตา หม่อมฉันมิอาจเอื้อมเพคะ”

หยางไทเฮาจับมือของเฉียวเจามาตบเบาๆ “ข้าต้องขอบใจเจ้าด้วยนะ ได้ยินว่าเจ้าเป็นคนตรวจพบว่าอนุในวังรุ่ยอ๋องตั้งครรภ์สามคน”

“หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ สตรีตั้งครรภ์ช้าเร็วก็ต้องล่วงรู้ เปลี่ยนเป็นหมอคนอื่นก็สามารถตรวจพบได้ดุจเดียวกัน”

หยางไทเฮาแย้มยิ้ม “ถึงกระนั้นก็ตามตรวจพบได้แต่เนิ่นๆ ถึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับสตรีเรานี้สามเดือนแรกที่มีครรภ์เป็นช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุด จะประมาทมิได้แม้สักนิด”

เฉียวเจาคลายยิ้มตาม ไม่เอื้อนเอ่ยคำใดอีก นางไม่จำเป็นต้องประจบเอาใจไทเฮา เพียงระวังตัวไม่ให้ทำผิดพลาดเท่านั้นเป็นพอ

“หลีฮูหยินได้ตรวจให้นางหรือไม่” หยางไทเฮาชี้ไปทางอนุของรุ่ยอ๋อง “นางเป็นคนเจ้าระเบียบ หลายปีมานี้ดูแลวังรุ่ยอ๋องได้อย่างเรียบร้อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะมีข่าวดีเรื่องบุตรเมื่อไร”

สำหรับพี่สาวจอมมารยาของหลีซานผู้นั้น ต่อให้เป็นผู้ให้กำเนิดบุตรสาวเพียงผู้เดียวในวังอ๋องนางก็ยังคงไม่เห็นอยู่ในสายตา

เมื่อหยางไทเฮากล่าวเช่นนี้แล้ว เฉียวเจาจะบอกปัดก็ไม่เป็นการดี นางจับชีพจรให้อนุของรุ่ยอ๋องแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ร่างกายของอี๋เหนียงแข็งแรงดี ดูทีว่าไม่ช้าก็เร็วคงได้สมดังใจหวังเจ้าค่ะ”

ในดวงตาอนุของรุ่ยอ๋องเปี่ยมไปด้วยความหวัง นางฝืนยิ้มกล่าวว่า “ขอให้สมพรปากฮูหยินท่านโหว”

สีหน้าของหยางไทเฮากลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ถึงแม้นางมีความรู้สึกที่ดีให้กับอนุนางนี้ไม่น้อย แต่ก็แค่นี้เท่านั้น จะอย่างไรก็ไม่ใช่หลานสะใภ้อย่างถูกต้องตามธรรมเนียมที่ต้องให้ความเอาใจใส่เป็นพิเศษแต่อย่างใด

หลังจากนั้นหยางไทเฮายังไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกับเฉียวเจาอีกหลายคำถามเป็นต้นว่า ‘อยู่จวนโหวคุ้นเคยหรือไม่’ ถึงได้อนุญาตให้นางออกไป

เมื่อเห็นเฉียวเจาออกมา พวกนายหญิงตราตั้งที่รอคอยด้วยความร้อนใจมีท่าทางคึกคักขึ้นทันใด

ออกมาได้เสียที ไม่รู้ว่ารอหลังจากไทเฮาเรียกตัวฮูหยินของท่านกั๋วกงหลายคนนี้แล้วยังมีใครได้เข้าเฝ้าอีก

“วันนี้ไทเฮาทรงเหนื่อยล้าแล้ว เชิญฮูหยินทุกท่านกลับไปเถอะ” ไหลสี่บอกพร้อมรอยยิ้ม

เฉียวเจาพลันรู้สึกได้ว่ามีสายตามองมานับไม่ถ้วน ถ้าหากพวกมันกลายเป็นลูกธนูได้จริงๆ เกรงว่าขณะนี้นางคงมีรูพรุนไปทั่วร่างแล้ว

ด้านในตำหนักหยางไทเฮาบอกให้มู่หวังเฟยกับอนุของรุ่ยอ๋องออกไป รั้งตัวองค์หญิงใหญ่ฉางหรงไว้ผู้เดียว

“เสด็จแม่ทรงมีเรื่องใดหรือเพคะ” องค์หญิงใหญ่ฉางหรงเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ

หยางไทเฮาไม่สนใจนาง หันไปเอ่ยสั่งไหลสี่ “ไปเชิญแพทย์หลวงหยางมา”

บทที่ 754

องค์หญิงใหญ่ฉางหรงได้ยินหยางไทเฮาออกคำสั่งให้ไหลสี่ไปตามแพทย์หลวงก็ย่นหัวคิ้วเข้าหากันเบาๆ “เสด็จแม่ทรงไม่สบายพระวรกายหรือเพคะ”

เพื่อความเป็นสิริมงคลแล้ว ปกติจะไม่หาหมอกันในวันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง

หยางไทเฮามองนางด้วยแววตาแฝงนัย “ข้าสบายดี”

“แล้วเสด็จแม่ทรงตามหมอหลวงมาด้วยเหตุใดเพคะ”

“ตามมาตรวจเจ้าน่ะสิ”

องค์หญิงใหญ่ฉางหรงทำสีหน้าแปลกใจ “ตรวจหม่อมฉัน? หม่อมฉันไม่ได้ไม่สบายตรงที่ใดนะเพคะ”

“กันไว้ดีกว่าแก้ ตรวจดูสักหน่อยเถอะ” หยางไทเฮาคิดบางอย่างอยู่ในใจแต่ไม่อยากพูดมากเลยหลับตาลง

“เสด็จแม่ทรงหมายความว่าอะไรกันแน่เพคะ” นับแต่พระสวามีสร้างบาดแผลไว้ในใจ นิสัยขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงก็เปลี่ยนไปกลายเป็นคนขวางโลก กระทั่งอยู่เบื้องหน้าไทเฮาที่ใครๆ ล้วนยำเกรง นางก็ทำตามความพอใจเช่นเดียวกับเวลาอยู่ในวังของตนเอง

นางเป็นพระธิดาเพียงพระองค์เดียวของหยางไทเฮา ได้รับความโปรดปรานตามใจทุกอย่างตั้งแต่วัยเยาว์

หยางไทเฮาลืมตาขึ้น ก่อนกล่าวเสียงเนิบนาบว่า “เมื่อครู่นี้หลีซื่อมองเจ้าด้วยสายตาแปลกๆ”

องค์หญิงใหญ่ฉางหรงนิ่งขึงไปเล็กน้อย ถึงกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ “เสด็จแม่ทรงวิตกเกินไปแล้วกระมังเพคะ นางก็แค่ฟังออกว่าถูกหม่อมฉันพูดเสียดสี นางยังอายุน้อยเลือดร้อนก็เลยไม่ยอมจำนนเท่านั้นเอง”

“แต่ถ้อยคำที่นางเอ่ยกับเจ้าก็แปลกๆ อยู่บ้าง”

“นางพูดอะไรหรือเพคะ” องค์หญิงใหญ่ฉางหรงนิ่งทบทวนความจำครู่หนึ่ง “นางเพียงกล่าวคารวะทักทายและอวยพรวันตรุษกับหม่อมฉัน มิได้พูดอะไรเป็นพิเศษ ก็เช่นเดียวกับที่พูดกับเสด็จแม่มิใช่หรือเพคะ”

หยางไทเฮาส่ายหน้า “ไม่เหมือนกัน เจ้าคิดทบทวนถ้อยคำของนางให้ดีๆ”

“นางทูลต่อเสด็จแม่ว่า ‘หม่อมฉันขอถวายพระพร’ ต่อองค์ไทเฮา แล้วก็กล่าวประโยคนี้กับหม่อมฉันเช่นกันเพคะ” องค์หญิงใหญ่ฉางหรงยิ่งรู้สึกว่าพระมารดาเป็นกระต่ายตื่นตูมเกินไปแล้ว

“ไม่เหมือนกัน นางพูดกับข้าว่าขอถวายพระพร แต่พูดกับเจ้าว่าขอถวายความยินดี”

“นี่มีอันใดต่างกันหรือเพคะ” องค์หญิงใหญ่ฉางหรงย้อนถามโดยไม่ทันคิด แต่จู่ๆ นางก็นึกไปถึงสายตาของเฉียวเจาซึ่งมองที่ท้องของตนแล้วอดสะดุ้งโหยงในใจไม่ได้ จึงพาให้หน้าเปลี่ยนสีไปถนัดตา

จังหวะนี้เองเสียงของไหลสี่ดังลอยมา “ไทเฮา แพทย์หลวงหยางมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เรียกเขาเข้ามา”

แพทย์หลวงวัยชราผมสีดอกเลาผู้หนึ่งหิ้วหีบยาย่างเท้าเข้ามาอย่างว่องไว เขาก้าวเข้าประตูก็กล่าวคำอวยพรวันตรุษต่อหยางไทเฮาและองค์หญิงใหญ่ฉางหรงทันที

“เนื่องในโอกาสวันตรุษกระหม่อมขอถวายพระพรแด่องค์ไทเฮา ขอถวายพระพรแด่องค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”

แพทย์หลวงหยางเป็นคนสกุลเดิมของหยางไทเฮา จึงได้รับความไว้วางใจจากนางเป็นอันมาก

หยางไทเฮาได้ยินคำอวยพรแล้วชักปวดขมับตุบๆ “แพทย์หลวงจับชีพจรให้องค์หญิงใหญ่ที”

พอได้รับคำสั่งให้ตรวจชีพจรให้องค์หญิงใหญ่ในวันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง แพทย์หลวงหยางไม่ถามมากความอย่างรู้กาลเทศะ เดินไปตรงหน้าองค์หญิงใหญ่ฉางหรงพลางกล่าวขออนุญาตคำหนึ่งก่อนเริ่มจับชีพจร

เมื่อตรวจลักษณะชีพจรออกแล้ว มือของแพทย์หลวงหยางกระตุกคราหนึ่ง

ในวันปีใหม่อย่างนี้มิใช่ล้อเล่นกระมัง ชีพจรขององค์หญิงใหญ่บ่งบอกว่าทรงตั้งพระครรภ์ชัดๆ

“ว่าอย่างไร” หยางไทเฮาจับสังเกตสีหน้าของแพทย์หลวงหยางอยู่ตลอด เห็นเขาทำหน้าเสียก็ใจคอไม่ดีอย่างช่วยมิได้

แพทย์หลวงมองหยางไทเฮาด้วยสีหน้าเครียดขรึม

“แพทย์หลวงบอกมาตามตรงได้เลย”

นอกจากหยางไทเฮากับองค์หญิงใหญ่ฉางหรงแล้วก็มีแต่ไหลสี่ที่รอรับใช้อยู่ภายในตำหนัก ซึ่งไหลสี่นั้นเป็นคนสนิทของไทเฮา

“ทูลไทเฮา องค์หญิงใหญ่ทรงตั้งพระครรภ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” แพทย์หลวงหยางก้มหน้างุด ไม่กล้าเงยศีรษะขึ้นดูสีหน้าของไทเฮา

ชั่วพริบตาที่ได้ยินผลการตรวจชีพจรองค์หญิงใหญ่ฉางหรงลุกพรวดขึ้นยืนกล่าวเสียงหลง “เป็นไปได้เช่นไร!”

สีหน้าของหยางไทเฮาก็มิได้ดีไปกว่ากันเท่าใด

พระธิดาที่ครองตัวเป็นม่ายของนางกลับมีครรภ์แล้ว นี่เป็นเรื่องเชิดหน้าชูตาอะไรได้

หยางไทเฮาฝืนข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่านตรงกลางอกไว้และเอ่ยถามขึ้น “กี่เดือนแล้ว”

“ยังไม่ครบหนึ่งเดือนครึ่ง เป็นช่วงที่เพิ่งตรวจพบได้พ่ะย่ะค่ะ”

“เอาล่ะ แพทย์หลวงออกไปก่อนเถอะ” หยางไทเฮาทำมือบอกไหลสี่ให้พาเขาออกไป

ภายในตำหนักเหลือเพียงไทเฮากับพระธิดาตามลำพัง

พอเห็นองค์หญิงใหญ่ฉางหรงทำสีหน้าเหลือเชื่อแล้ว หยางไทเฮาก็ตบโต๊ะน้ำชาด้วยความโมโห “เป็นบุตรของผู้ใด”

พอพระมารดามีน้ำโห องค์หญิงใหญ่ฉางหรงกลับเยือกเย็นลง นางกล่าวเสียงเนือยๆ “หม่อมฉันจะรู้ได้อย่างไรเพคะ”

นางชุบเลี้ยงชายบำเรอไว้ตั้งมากมาย มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเป็นคนใด

เพียงแต่ว่าหลังนางคลอดชั่นเอ๋อร์ก็ไม่เคยมีครรภ์อีกเลยแท้ๆ ไฉนถึงวัยนี้แล้วจู่ๆ ก็ตั้งครรภ์ได้เล่า

องค์หญิงใหญ่ฉางหรงหวนนึกถึงสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มตอนเฉียวเจามองนางเมื่อครู่นี้กะทันหัน

แม่เด็กน้อยผู้นั้นพูดว่าอะไรนะ

ขอถวายความยินดีกับองค์หญิง

ยินดีกับองค์หญิง…

ไร้เหตุผลสิ้นดี แม่เด็กน้อยนั่นถึงกับประชดประชันข้าเช่นนี้!

องค์หญิงใหญ่ฉางหรงอยู่อย่างทรงเกียรติห้อมล้อมด้วยข้าทาสบริวารมาเนิ่นนาน ไหนเลยจะเคยถูกคนหยามน้ำหน้าโดยไม่รู้ตัวเฉกนี้ นางแจ่มแจ้งแล้วก็โมโหจนมือสั่น

หยางไทเฮาเห็นแล้วเจ็บแน่นหน้าอกด้วยความโกรธเกรี้ยว “นี่คือท่าทีของเจ้ารึ! ข้าบอกกับเจ้ามาตั้งนานแล้วให้สำรวมตนบ้าง ถ้าบุตรชายเจ้าตบแต่งภรรยาเร็ว ป่านนี้เจ้าคงมีหลานวิ่งเล่นทั่ววังแล้ว เจ้ากลับไม่รู้ฟัง! ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า มีมารหัวขนอยู่ในท้องแล้ว เจ้าจะให้ชั่นเอ๋อร์เอาหน้าไปวางไว้ที่ใด”

องค์หญิงใหญ่ฉางหรงเชิดหน้า ไฟโทสะจุดวาบขึ้นในดวงตานาง “หน้าของเขาหรือ หม่อมฉันไม่เคยผิดต่อเขาเพคะ”

“เจ้า…” หยางไทเฮาตั้งท่าบันดาลโทสะ แต่เห็นท่าทางหยิ่งผยองดื้อดึงของพระธิดาแล้วคับใจจนเอื้อนเอ่ยวาจาไม่ออก

หากพระธิดายอมรับฟังคำเตือน คงไม่ประพฤติตนเหลวไหลมานานหลายปีเช่นนี้

“ช่างเถิด เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วพูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ รอสองวันนี้ผ่านไปให้แพทย์หลวงหยางต้มยาให้เจ้าดื่ม ค่อยหาคนที่เชื่อใจได้มาคอยดูแลเจ้าเถอะ”

องค์หญิงใหญ่ฉางหรงนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วพยักหน้า

นางให้กำเนิดบุตรผู้นี้ออกมาไม่ได้อย่างแน่นอน แม้ว่าที่นางชุบเลี้ยงชายบำเรอจะมิใช่ความลับอันใด แต่อย่างไรก็ไม่ได้กระทำอย่างออกหน้าออกตา พอประตูวังองค์หญิงใหญ่ปิดลง ผู้ใดจะมายุ่งเรื่องของนางเล่า

แต่ทันทีที่คลอดบุตรออกมาก็ไม่เหมือนกันแล้ว นางคงกักขังบุตรผู้นี้ไว้ในวังองค์หญิงใหญ่ไม่ให้เห็นแสงเดือนแสงตะวันไปชั่วชีวิตไม่ได้

“ยังมีทางฮูหยินของกวนจวินโหว…”

องค์หญิงใหญ่ฉางหรงทำหน้าขรึมมองพระมารดา

หยางไทเฮาทอดถอนใจ “ในเมื่อถูกนางจับผิดได้แล้ว อย่างไรก็ต้องเอาอกเอาใจนางให้ดีๆ”

สีหน้าขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงบึ้งตึงไปหมด

อะไรกัน ข้ายังต้องเอาใจคนที่ประชดประชันข้าอีกหรือ

องค์หญิงใหญ่ฉางหรงเจ็บใจสุดจะกล่าว จนใจที่จุดอ่อนอยู่ในมือคนอื่น ท้ายที่สุดนางจำต้องยอมลดราวาศอก

แต่ก่อนคนที่ขวางหูขวางตานางล้วนโดนนางเล่นงานทันที ตอนนี้กลับตาลปัตรเสียได้ คิดๆ แล้วก็น่าคับแค้นใจนัก!

 

ด้านเฉียวเจากลับถึงจวนได้ไม่นานทางวังหลวงก็ส่งของพระราชทานสวยๆ งามๆ มาให้มากมาย

เซ่าหมิงยวนเอ่ยยิ้มๆ “เจาเจา เจ้าเข้าวังคราเดียวได้รับของพระราชทานมากกว่าของพระราชทานเดือนสิบสองของข้าอีกนะ”

อืม ภรรยาของข้าเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของใครๆ ดังคาด กระทั่งไทเฮาก็มิใช่ข้อยกเว้น

เฉียวเจาอมยิ้ม “ข้าก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน”

นี่เห็นทีว่าไทเฮาเชิญแพทย์หลวงมาตรวจอาการขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงแล้วเลยมอบค่าปิดปากให้สูงลิ่ว

“เจาเจา พรุ่งนี้จะไปอวยพรวันตรุษที่เรือนท่านพ่อตา พวกเราหารือกันสักหน่อยว่าควรนำของขวัญอะไรไปถึงเหมาะสมเถอะ”

ในห้องหนังสือวางอ่างไฟตั้งไว้หลายใบ ถ่านไหมเงินติดไฟลุกโชน สองสามีภรรยาหนุ่มสาวนั่งเคียงข้างกันที่ข้างโต๊ะหนังสือ คนหนึ่งฝนหมึก คนหนึ่งถือพู่กัน ช่วยกันร่างรายชื่อของขวัญตอนกลับไปเยี่ยมสกุลเดิม

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: