everY
ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 1 #นิยายวาย
บทที่ 1
ยอดเขาปั้นปู้ (ครึ่งก้าว) ชื่อสื่อความหมาย บนยอดเขามีพื้นที่คับแคบ เดินหน้าไปเพียงครึ่งก้าวก็เป็นหน้าผาสูงหมื่นจั้ง บนนั้นมีหินรูปร่างประหลาดตั้งตระหง่าน พรรณไม้พิลึกแตกกิ่งก้านสาขา ด้านล่างยังปกคลุมด้วยไอทะเลหมอกกว้างสุดสายตา ฟ้าดินราวกับแยกขาดจากกัน สภาพแวดล้อมแปลกประหลาดดูน่าพรั่นพรึง
อีกฟากของผาสูง ยังมียอดเขาอีกลูกหนึ่งนามว่ายอดเขาอิงหุ่ย (จักต้องเสียใจ) ความสูงชันทัดเทียมกับยอดเขาปั้นปู้ สันผาตั้งตรงเรียบดิ่งดั่งมีดเหลา บนยอดเขาราวกับไม่มีที่ให้เหยียบยืน แม้มีพืชเขียวขจีอยู่บ้างแต่ล้วนหยั่งรากตามศิลาไม่พึ่งพาดิน ทำให้ผู้ที่พบเห็นหวาดกลัวตัวสั่น คิดขึ้นโดยพลันว่าไม่ควรขึ้นมาบนยอดเขานี้ นามอิงหุ่ยจึงถือกำเนิดมาด้วยเหตุนี้
ระหว่างยอดเขาทั้งสองมีคูน้ำตามธรรมชาติสายหนึ่ง มองลงไปจะเห็นทะเลเมฆลอยเอื่อย ไม่รู้ว่าตื้นลึกเท่าใด ยังแว่วเสียงสิงสาราสัตว์ได้รางๆ กับเสียงน้ำที่หลั่งไหลไม่ขาดสาย คนตัดไม้และนายพรานทั่วไปมิกล้าปีนขึ้น กระทั่งยอดฝีมือก่อนกำเนิด หากได้มาเยือนที่นี่ เกรงว่าจะบังเกิดความรู้สึกสะทกสะท้อนใจอยู่หลายส่วนที่มนุษย์ไม่อาจเอาชนะธรรมชาติได้
ทว่าภายใต้เมฆหมอกนั้นเอง ระหว่างสายน้ำกับหน้าผามีทางหินขรุขระแคบยาวสายหนึ่งที่ก่อขึ้นด้วยหินประหลาด ยามนี้กลับมีสองคนเดินอยู่ด้านบนหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง
สายน้ำเชี่ยวกราก มีฟองคลื่นม้วนขึ้นมาตลอดเวลา กระทบบนก้อนหินที่ทั้งเปียกและลื่น ขณะก้าวเดินอยู่ด้านบน หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อย ไม่ตกลงในแม่น้ำก็จะถูกสายน้ำกระเด็นใส่เสื้อผ้า หรือหากพยายามเอนร่างกายไปด้านใน ก็จะติดกับผาหินลาดชันที่มีหินแหลมคมยื่นออกมา สรุปแล้วต้องรักษาสมดุลไม่ได้เป็นแน่ เป็นไปไม่ได้ที่จะเดินผ่าเผยล่องลอยอย่างสบายใจเหมือนสองคนตรงหน้า
“ได้ยินว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน ผู้บรรลุฉีแห่งเขาเสวียนตูขับไล่หูลู่กู ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งทูเจวี๋ย ที่ยอดเขาปั้นปู้แห่งนี้ บีบให้เขาสาบานว่าจะไม่เข้าสู่จงหยวน ในยี่สิบปี น่าเสียดายเพียงในปีนั้นศิษย์ยังเยาว์วัย ไร้วาสนาได้เห็น ศึกนั้นต้องยอดเยี่ยมอย่างยิ่งเป็นแน่”
คนหนุ่มที่กล่าวคำตามอยู่ด้านหลัง คนทั้งสองฝีเท้าไม่ช้าไม่เร็ว แต่กลับรักษาระยะห่างสามก้าวอยู่ตลอด
ฝีเท้าของคนด้านหน้าเบาหวิว ท่วงท่าผ่อนคลาย เหมือนเดินบนพื้นราบโดยแท้จริง คนหนุ่มด้านหลังฝีเท้าหนักกว่าอยู่บ้าง มองด้วยตาเปล่าแม้ล่องลอยเหมือนเซียน แต่หากเทียบกันแล้วจะพบรายละเอียดและความแตกต่างได้ไม่ยาก
เยี่ยนอู๋ซือเยาะเย้ยหนึ่งเสียง “ทอดมองใต้หล้า ในปีนั้นฉีเฟิ่งเก๋อคืออันดับหนึ่งจริง หูลู่กูไม่รู้จักประมาณตน รนหาความอัปยศ มิอาจโทษคนรอบข้าง เพียงแต่ฉีเฟิ่งเก๋อต้องวางท่าสูงส่งบริสุทธิ์ของสำนักพรต ไม่ยอมลงมืออย่างโหดเหี้ยม แต่กลับตั้งสัญญายี่สิบปีอะไรนั่น นอกจากเพื่อกลบปัญหาที่จะตามมาของเขาเสวียนตูแล้วจะมีประโยชน์อันใดอีก”
อวี้เซิงเยียนกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ท่านอาจารย์ หรือวรยุทธ์ของหูลู่กูจะสูงยิ่งดังว่า”
เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “ข้าสู้กับเขาตอนนี้ ก็ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสชนะ”
“ร้ายกาจเช่นนี้เชียว?!” สีหน้าอวี้เซิงเยียนแปรเปลี่ยนอย่างหวาดหวั่น เขาย่อมเข้าใจว่าทักษะของอาจารย์สูงล้ำเพียงใด แต่หูลู่กูผู้นั้นได้รับคำวิจารณ์ประโยคนี้ของเยี่ยนอู๋ซือ ต้องเป็นระดับที่ใกล้เคียงกันอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจได้จัดอยู่ในสามอันดับแรกในใต้หล้า
เยี่ยนอู๋ซือกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ไม่เช่นนั้นไยข้าจึงกล่าวว่าฉีเฟิ่งเก๋อทิ้งผลพวงไม่จบสิ้นไว้ให้ศิษย์ลูกศิษย์หลานของตนเอง แม้ยี่สิบปีก่อนหูลู่กูจะเป็นรองฉีเฟิ่งเก๋อหนึ่งขุม แต่ระยะห่างเช่นนี้ ในระยะเวลายี่สิบปี ใช่ว่ามิอาจทำลาย บัดนี้ฉีเฟิ่งเก๋อตายแล้ว เขาเสวียนตูก็ไม่มีฉีเฟิ่งเก๋อคนที่สองอีกต่อไป”
อวี้เซิงเยียนระบายลมหายใจเบาๆ “ใช่แล้ว ผู้บรรลุฉีล่วงลับเมื่อห้าปีก่อน!”
เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “เจ้าสำนักคนปัจจุบันของเขาเสวียนตูคือใคร”
“เป็นศิษย์ของฉีเฟิ่งเก๋อ นามว่าเสิ่นเฉียว” อวี้เซิงเยียนตอบ
เยี่ยนอู๋ซือหาได้มีท่าทีต่อนามนี้ไม่ เขากับฉีเฟิ่งเก๋อเคยไปมาหาสู่กันเพียงครั้งเดียว นั่นคือเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน และในตอนนั้นฉีเฟิ่งเก๋อเพิ่งรับเสิ่นเฉียวมาเป็นศิษย์สำนัก
แม้เขาเสวียนตูจะมีฉายาว่า ‘สำนักพรตอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ แต่ดูจากเยี่ยนอู๋ซือที่เพิ่งจะออกจากการเก็บตัวสิบปี นอกจากฉีเฟิ่งเก๋อแล้วบนเขาเสวียนตูก็ไม่มีใครที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อีกแล้ว
น่าเสียดายที่ฉีเฟิ่งเก๋อตายแล้ว
เมื่อเห็นอาจารย์ไม่ค่อยสนใจ อวี้เซิงเยียนจึงกล่าวอีกว่า “ได้ยินว่าจั่วเสียนอ๋องคุนเสีย ศิษย์ของหูลู่กู ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งทูเจวี๋ยในตอนนี้ นัดประลองกับเสิ่นเฉียวที่ยอดเขาปั้นปู้วันนี้ บอกว่าจะลบล้างความอัปยศในปีนั้น ท่านอาจารย์จะรุดหน้าไปมองดูสักหน่อยหรือไม่”
เยี่ยนอู๋ซือไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ “ตลอดเวลาสิบปีที่ข้าเก็บตัว นอกจากการตายของฉีเฟิ่งเก๋อแล้ว ยังเกิดเรื่องใหญ่อันใดอีก”
อวี้เซิงเยียนครุ่นคิดก่อนเอ่ย “หลังท่านเก็บตัวไม่นาน เกาเหว่ยก็ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่แห่งแคว้นฉี คนผู้นี้ลุ่มหลงในราคะ ฟุ่มเฟือยเกินเหตุ เพียงสิบปีอำนาจแคว้นฉีก็ลดลงอย่างฉับพลัน ได้ยินว่าอวี่เหวินยง ฮ่องเต้แห่งแคว้นโจวกำลังวางแผนปราบฉี เกรงว่าอีกไม่นาน ทางเหนือก็จะควบรวมกับแคว้นโจวแล้ว
หลังฉีเฟิ่งเก๋อตาย อันดับของสิบยอดฝีมือในใต้หล้าก็เปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง อี้ปี้เฉินจากอารามฉุนหยางแห่งเขาชิงเฉิง หลวงจีนเสวี่ยถิงแห่งแคว้นโจว และเจ้าอารามหรู่เยียนเค่อฮุ่ยแห่งอารามศึกษาหลินชวน คือสามอันดับแรกในใต้หล้าที่ได้รับการยอมรับ สามคนนี้ยังเป็นตัวแทนของเต๋า พุทธ และหรู พอดี”
“…”
“เพียงแต่ก็มีคนกล่าวว่า ผู้ทรงภูมิจวี้เส่อแห่งถู่อวี้หุน สมควรจัดอยู่ในสามอันดับแรก แต่หากในยี่สิบปีนี้หูลู่กูมีความก้าวหน้าอยู่บ้าง เข้าสู่ยุทธภพจงหยวนอีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจได้อันดับหนึ่งในใต้หล้าเช่นกัน…น่าเสียดาย เขาเป็นชาวทูเจวี๋ย ยุทธภพจงหยวนเองยังเกรงกลัวอยู่บ้าง”
เมื่อกล่าวสิ่งเหล่านี้จบ อวี้เซิงเยียนเห็นอาจารย์ยังเดินไปข้างหน้าต่อก็อดเตือนอีกมิได้ “ท่านอาจารย์ วันนี้คุนเสียนัดประลองกับเสิ่นเฉียว คงเป็นการต่อสู้อันยอดเยี่ยมที่หาชมได้ยากอย่างแน่นอน เสิ่นเฉียวผู้นี้ไม่ค่อยปรากฏตัวสู่ภายนอก ตั้งแต่รับช่วงดูแลตำหนักเสวียนตูก็ประมือกับผู้คนน้อยยิ่งนัก เพียงเพราะฉีเฟิ่งเก๋ออาจารย์ของเขาชื่อเสียงเลื่องลือ เขาเองก็ถูกจัดอยู่ในสิบอันดับแห่งใต้หล้า หากท่านอาจารย์อยากเห็นเบื้องลึกของเขาเสวียนตู ก็มิอาจพลาดการต่อสู้ในวันนี้ ตอนนี้ที่นั่นคงมียอดฝีมือที่รุดหน้ามาชมการต่อสู้เบียดกันเต็มไปหมดแล้ว”
“เจ้าคิดว่าข้ามาที่นี่วันนี้ เพียงเพื่อชมการต่อสู้หรือ” เยี่ยนอู๋ซือหยุดฝีเท้าลง
อวี้เซิงเยียนกระวนกระวายอยู่บ้าง “เช่นนั้นเจตนาของท่านอาจารย์คือ…?”
ตอนที่กราบเข้าสำนักของเยี่ยนอู๋ซือนั้น อวี้เซิงเยียนมีอายุเพียงเจ็ดขวบ สามปีให้หลัง เยี่ยนอู๋ซือพ่ายแพ้ชุยโหยววั่ง ปรมาจารย์แห่งนิกายมาร จึงเก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บ การเก็บตัวครั้งนั้นกินเวลาสิบปี
สิบปีที่ผ่านมาแม้อวี้เซิงเยียนจะฝึกปรือสืบต่อตามคำสั่งของเยี่ยนอู๋ซือ ไปที่ต่างๆ มาไม่น้อย แต่ความก้าวหน้ามิอาจนำอดีตมาเปรียบเทียบ เขาไต่เต้าสู่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในยุทธภพนานแล้ว ทว่าศิษย์อาจารย์ไม่ได้พบกันสิบปี ย่อมมีความแปลกหน้าห่างเหินกันอยู่บ้าง กอปรกับบัดนี้ระดับของเยี่ยนอู๋ซือยิ่งสูงล้ำยากหยั่งคาด ความเกรงกลัวในใจของอวี้เซิงเยียนก็ยิ่งลึกล้ำ พฤติการณ์อันผ่าเผยองอาจต่อหน้าคนรอบข้างในยามปกติ เมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์กลับเปลี่ยนเป็นสงบเสงี่ยมเจียมตัว
เยี่ยนอู๋ซือเอามือไพล่หลัง กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา “การต่อสู้ของฉีเฟิ่งเก๋อกับหูลู่กูข้าเคยเห็นมาก่อนแล้ว เสิ่นเฉียวกับคุนเสียล้วนเป็นลูกศิษย์ของพวกเขา ซ้ำยังเยาว์วัย แม้จะร้ายกาจก็ไม่สามารถเหนือกว่าสภาวะสมบูรณ์ของฉีเฟิ่งเก๋อกับหูลู่กูในปีนั้นได้ ข้าพาเจ้ามาที่นี่ เป็นเพราะที่นี่น้ำไหลเชี่ยว ลักษณะพื้นที่สูงชัน บนเชื่อมท้องฟ้า ล่างทะลุพื้นดิน ง่ายต่อการฝึกวรยุทธ์ที่สุด ขณะข้าเก็บตัว ไม่มีเวลาว่างดูแลเจ้า บัดนี้ในเมื่อออกจากการเก็บตัวแล้ว ก็ไม่สามารถปล่อยปละละเลยให้เจ้าวนเวียนอยู่ในระดับปัจจุบันได้ ระหว่างที่ยังไม่สำเร็จขั้นห้าของคัมภีร์หงส์กิเลน เจ้าอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”
อวี้เซิงเยียนพลันรู้สึกไม่เป็นธรรมอยู่บ้าง สิบปีมานี้แม้เขาจะเอาแต่ท่องไปในที่ต่างๆ แต่ในการฝึกวรยุทธ์นั้นก็มิกล้าหย่อนยานแม้แต่วันเดียว ตอนนี้อายุเพียงแค่ยี่สิบต้นๆ ก็ฝึกคัมภีร์หงส์กิเลนถึงขั้นสี่แล้ว นับว่าเป็นยอดฝีมือเยาว์วัยที่หาได้ยากในยุทธภพ ใครจะไปรู้ว่าเมื่อฟังจากปากอาจารย์กลับคล้ายไม่มีค่าแม้แต่น้อย
เยี่ยนอู๋ซือคล้ายสังเกตเห็นอารมณ์ของอีกฝ่าย มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้าก็ทะลวงขั้นหกแล้ว เจ้ามีอะไรให้น่าภูมิใจ เทียบกับปลาเล็กปลาน้อยเหล่านั้น มิสู้เทียบกับข้า?”
แม้จอนผมทั้งสองจะขาวประปราย แต่หาได้บดบังเสน่ห์ของเขาไม่ รูปโฉมงามสง่ากลับยิ่งชวนให้มองดูตาไม่กะพริบ
ชุดคลุมยาวสีขาวถูกลมพัดจนสะบัดพึ่บพั่บ คนกลับยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง เพียงแค่เอามือไพล่หลังยืนอยู่ตรงนั้น มีบุคลิกที่หมางเมินใต้หล้ากับความน่าเกรงขามไร้รูปลักษณ์ ก็ชวนให้รู้สึกกดดันมากกว่าเดิม
อวี้เซิงเยียนยืนอยู่ตรงข้ามเขา ยามนี้จึงรู้สึกว่ามีความรู้สึกอึดอัดปะทะใบหน้า บีบจนเขามิอาจไม่ถอยหลังสองก้าว กล่าวอย่างตกประหม่า “ท่านอาจารย์เป็นยอดคนโดยกำเนิด ศิษย์จะกล้าเทียบได้อย่างไร”
เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “แสดงอุบายร้ายกาจที่สุดที่เจ้าคิดได้ออกมา ข้าอยากเห็นความก้าวหน้าในหลายปีนี้ของเจ้า”
หลังอีกฝ่ายออกจากการเก็บตัว อวี้เซิงเยียนยังไม่เคยถูกทดสอบวรยุทธ์มาก่อน เมื่อได้ยินจึงมีความกระหายใคร่อยากไม่น้อยแต่ก็ยังคงลังเลอยู่บ้าง ทว่าทันทีที่มองเห็นความหงุดหงิดแวบผ่านบนหน้าเยี่ยนอู๋ซือ ความลังเลเล็กน้อยที่เหลือนั้นก็สลายหายไปจนสิ้น
“เช่นนั้นขออภัยที่ศิษย์ไร้มารยาท!” เพิ่งขาดคำ ร่างกายของเขาก็ขยับตามความคิด แขนเสื้อชูขึ้น ไม่ทันเห็นท่าทาง เรือนร่างก็มาถึงเบื้องหน้าเยี่ยนอู๋ซือแล้ว
อวี้เซิงเยียนยกแขนออกฝ่ามือ ในสายตาคนรอบข้าง ท่าทางของเขาไม่มีพลังแม้แต่น้อย เฉกเช่นเด็ดบุปผายามวสันต์ ปัดฝุ่นคืนคิมหันต์ เบาหวิวเหนือสามัญ
ทว่ายืนอยู่ตรงนั้นกลับรู้สึกได้ถึงกระแสฝ่ามืออวี้เซิงเยียนอย่างชัดเจน ในระยะสามเชียะ โดยยึดเขาเป็นศูนย์กลาง ต้นไม้ใบหญ้าล้วนขยับเขยื้อน สายน้ำไหลกลับ คลื่นยักษ์ถั่งโถม ฟองอากาศพุ่งทะยาน กระแสอากาศซัดโหมขึ้นมา ทั้งหมดโถมไปยังเยี่ยนอู๋ซือ!
แต่เมื่อกระแสอากาศอันทรงพลังนี้บรรลุถึงเบื้องหน้าเยี่ยนอู๋ซือ กลับแยกเป็นสองฝั่งข้างราวกับถูกฉากกำบังล่องหนสกัดเอาไว้
เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้น ร่างไม่ไหวเอนแม้แต่น้อย รอเพียงฝ่ามือของอวี้เซิงเยียนบรรลุถึงเบื้องหน้า จึงยื่นนิ้วหนึ่งออกอย่างเรียบเฉย
เพียงนิ้วเดียว มิอาจเพิ่มอีก
นิ้วเดียวนี้เอง ก็หยุดยั้งการโจมตีของอวี้เซิงเยียนไว้กลางอากาศ
อวี้เซิงเยียนรู้สึกเพียงกระแสฝ่ามือที่ตนฟาดออกไปนั้นพลันไหลกลับทั้งหมด สิ่งที่ปะทะกลับมาหาใบหน้าคือการสวนกลับที่ร้ายแรงกว่าที่ตนปล่อยออกเมื่อครู่หลายเท่า เขาอดรู้สึกตกใจไม่ได้ ถอนกายถอยหลังอย่างเร่งร้อน
การถอยนี้ ถอยติดต่อกันสิบกว่าก้าว!
กระทั่งยืนนิ่งบนก้อนหิน เขายังคงหวาดหวั่นไม่คลาย “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ลงมือไว้ไมตรี!”
เมื่อมองไปในยุทธภพ น้อยคนนักที่จะสามารถรับฝ่ามือนี้ของเขาไว้ได้ ฉะนั้นก่อนหน้านี้อวี้เซิงเยียนจึงรู้สึกพอใจในตนเองไม่น้อย
ทว่าเยี่ยนอู๋ซืออาศัยเพียงนิ้วเดียว ก็บีบจนเขามิอาจไม่รั้งฝ่ามือป้องกันตัว
เคราะห์ดีที่อาจารย์เพียงทดสอบความก้าวหน้าของเขา มิได้ฉวยโอกาสติดตามซ้ำเติม หากเปลี่ยนเป็นศัตรู…
คิดถึงตรงนี้ อวี้เซิงเยียนตกใจจนผุดเหงื่อกาฬออกมาทั่วร่างอย่างเลี่ยงมิได้ มิกล้าภาคภูมิใจอีกแล้ว
เมื่อบรรลุเป้าหมาย เยี่ยนอู๋ซือรู้ว่าเขาตื่นตัวแล้ว จึงไม่อยากมากความอีก “อย่าให้สิ้นเปลืองปัญญาอันเลิศล้ำของเจ้า อีกไม่กี่วันข้าจะมุ่งหน้าไปทูเจวี๋ยสักรอบ หลังเจ้าสำเร็จขั้นห้า หากอยู่ที่นี่แล้วไม่มีอะไร ก็ไปหาศิษย์พี่เจ้า ห้ามเอ้อระเหยอยู่ภายนอก”
อวี้เซิงเยียนรับคำอย่างเคารพนอบน้อม “ขอรับ”
เยี่ยนอู๋ซือจึงกล่าวต่อ “ทิวทัศน์ที่นี่สร้างโดยธรรมชาติ ไม่ค่อยมีผู้ใดมาถึง ข้าหมายท่องเที่ยวสักรอบ เจ้าก็อย่าได้…”
มิทันขาดคำ เหนือศีรษะขึ้นไปไม่ไกลนักก็มีเสียงความเคลื่อนไหววูบหนึ่งดังมา คนทั้งสองมองไปตามเสียง จึงเห็นคนผู้หนึ่งราวกับตกลงมาจากเบื้องบน ชนกิ่งไม้หักหลายชั้น สุดท้ายร่วงดิ่งลงสู่ก้นผา เสียงทุ้มขณะตกสู่พื้น แม้กระทั่งอวี้เซิงเยียนเองก็อดอุทานมิได้
ตกลงมาจากบนยอดเขาสูงเช่นนั้น แม้เป็นยอดฝีมือก่อนกำเนิด ก็เกรงว่าจะยากรักษาชีวิตไว้ได้กระมัง
อนึ่ง คนผู้นี้คงไม่มีทางตกหน้าผาอย่างไร้สาเหตุ ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่
“ท่านอาจารย์?” เขามองไปยังเยี่ยนอู๋ซือ พลางกล่าวขอคำชี้แนะ
“เจ้าลองไปดูสักหน่อย” เยี่ยนอู๋ซือกล่าว
ชุดถือพรตที่คนผู้นั้นสวมขาดวิ่นหลายจุด คงถูกกิ่งไม้และหินผาบาดขณะตกลงมา รอยขาดและหยดเลือดตัดสลับซับซ้อน มีชีวิตอยู่เลือนราง แม้กระทั่งโฉมหน้าแต่เดิมก็มองไม่ออกนัก