everY
ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 1 #นิยายวาย
ตัวหลักที่อยู่ใจกลางวังวนกลับนอนอยู่บนเตียงตลอด ทุกวันมีอวี้เซิงเยียนและคนในหมู่บ้านคอยทายาเปลี่ยนเสื้อให้เขา ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่สุขไม่โศก ไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างสิ้นเชิง
กระทั่งครึ่งเดือนให้หลัง เขาจึงมีความเคลื่อนไหวเป็นครั้งแรก
อวี้เซิงเยียนถูกบ่าวรีบเชิญมามองดูเสิ่นเฉียวที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกหักยังไม่ประสาน อย่าขยับส่งเดชจะดีกว่า”
ฝ่ายตรงข้ามขมวดคิ้วเล็กน้อย ริมฝีปากเปิดปิด คล้ายอยากกล่าวอะไร ซ้ำยังมีสีหน้างงงวยทันที
คงไม่ได้ศีรษะกระแทกจนเป็นคนโง่ไปแล้วกระมัง
อวี้เซิงเยียนครุ่นคิด พลางถาม “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าเจ้าชื่ออะไร”
ฝ่ายตรงข้ามกะพริบตาด้วยท่าทางเชื่องช้า จากนั้นค่อยๆ ส่ายหน้า วงโค้งแผ่วเบาจนแทบไม่สามารถสังเกตได้
สูญเสียความทรงจำแล้ว? แต่ก็เป็นปกติ ถึงอย่างไรศีรษะได้รับบาดเจ็บร้ายแรงเพียงนั้น อวี้เซิงเยียนยังจำวันที่เสิ่นเฉียวเพิ่งถูกแบกกลับมาได้ ปากแผลที่ทั้งลึกทั้งยาวรอยหนึ่งตรงท้ายทอยแทบจะมองเห็นกระดูกขาวอันน่าสยดสยองด้านล่างได้
“สหายท่านนี้…” ฝ่ายตรงข้ามกล่าวเสียงเบายิ่ง เขาต้องเขยิบเข้าไปใกล้จึงฟังได้อย่างถนัดถนี่ “เบื้องหน้าข้ามืดสนิท มองไม่เห็นสิ่งของ…”
อวี้เซิงเยียนตกใจอย่างเลี่ยงมิได้ ที่แท้มิได้กลายเป็นคนโง่ กลับกลายเป็นคนตาบอดไปแล้วอย่างนั้นหรือ
“เจ้ามีนามว่าเสิ่นเฉียว เดิมเป็นศิษย์ในนิกายฮ่วนเยวี่ย เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เคราะห์ดีข้าผ่านทางมาพบเข้า ช่วยเจ้ากลับมาได้ทันเวลา ศัตรูเหล่านั้นที่ทำร้ายเจ้าเป็นคนนิกายเหอฮวน ข้าเองก็สู้ไม่ได้ ได้แต่พาเจ้าหนีก่อน รอหลังเจ้ารักษาแผลหายดี ฟื้นฟูวรยุทธ์ค่อยไปแก้แค้นพวกเขาแล้วกัน”
อวี้เซิงเยียนกล่าวส่งเดช เสิ่นเฉียวกลับฟังด้วยสีหน้าจริงจัง
สุดท้ายก็เอ่ยถามว่า “เช่นนั้น…ข้าสมควรเรียกขานเจ้าว่า?”
“ข้าแซ่อวี้ อวี้เซิงเยียน เป็นศิษย์พี่เจ้า” อวี้เซิงเยียนตอบ
คำพูดนี้กล่าวได้ละอายใจโดยแท้จริง ปีนี้อวี้เซิงเยียนอายุยี่สิบต้นๆ แม้รูปโฉมเสิ่นเฉียวไม่แสดงอายุชัดเจน แต่เขาคือศิษย์ของฉีเฟิ่งเก๋อ ซ้ำยังกุมอำนาจเขาเสวียนตูมาห้าปี อย่างไรก็ไม่มีทางเด็กกว่าอวี้เซิงเยียน
นี่เห็นได้ชัดว่าอวี้เซิงเยียนรังแกผู้อื่น จงใจเอาเปรียบจากการเรียกขาน
เสิ่นเฉียวเองก็เรียกคนอย่างว่านอนสอนง่ายจริงๆ “สุขสวัสดิ์ศิษย์พี่”
“…” เห็นสีหน้าจริงใจของอีกฝ่าย อวี้เซิงเยียนก็รู้สึกร้อนตัวเล็กน้อยสุดบรรยาย
เขาหัวเราะฮ่าๆ “เด็กดี ในเมื่อเจ้ายังมิอาจลุกขึ้นก็นอนพักฟื้น รอแผลหายดีแล้วข้าค่อยพาเจ้าไปคารวะอาจารย์”
เสิ่นเฉียวกล่าว “ประเสริฐ”
เขาหลับตาลง ไม่ถึงครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้นอีก สองตาเลื่อนลอยอย่างเห็นได้ชัดเพราะสูญเสียจุดรวมศูนย์ไป แววตาเองก็ไม่มีชีวิตชีวาเหมือนเก่าก่อน “ศิษย์พี่…?”
“ยังมีอันใดอีก” อวี้เซิงเยียนคิดว่าเสิ่นเฉียวอ่อนโยนน่าทะนุถนอม ยิ่งได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ยังลอบกล่าวว่าน่าเสียดายอีกหนึ่งคำ คิดในใจว่าเป็นถึงเจ้าสำนักผู้นำของสำนักเต๋าในใต้หล้ากลับตกต่ำเช่นนี้ก็นับว่าน่าสงสาร หากเปลี่ยนเป็นขณะฝ่ายตรงข้ามวรยุทธ์เฟื่องฟู ควบคุมดูแลสำนักในวันวาน ก็ไม่รู้ว่าบุคลิกเช่นไร
เสิ่นเฉียวกล่าว “ข้าอยากดื่มน้ำสักหน่อย…”
อวี้เซิงเยียนกล่าว “อย่าเพิ่งดื่มน้ำ ประเดี๋ยวยาก็ต้มเสร็จแล้ว ตอนนี้เจ้าดื่มยาแทนน้ำไปก่อน”
มิทันขาดคำสาวใช้ก็ยกยาเข้ามา และไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมื่อครู่แต่งประวัติส่งเดชให้เสิ่นเฉียวหรือไม่ ความรู้สึกผิดที่หาได้ยากของอวี้เซิงเยียนกลับถูกกระตุ้นขึ้นมา เขารีบก้าวเข้าไปรับชาม ให้สาวใช้หนุนหมอนตรงท้ายทอยของเสิ่นเฉียว จากนั้นป้อนยาให้อีกฝ่ายดื่มด้วยตัวเองทีละช้อน
แม้กระดูกทั่วร่างเสิ่นเฉียวมิได้แหลกละเอียดทั้งหมด แต่ก็แทบไม่ต่างกัน กอปรกับชีพจรได้รับบาดเจ็บสาหัส โอกาสรอดชีวิตแทบจะสูญสิ้น สามารถฟื้นขึ้นมาได้ภายในหนึ่งเดือน ก็นับว่าเป็นบุญวาสนาแต่เก่าก่อนของเขาแล้ว บัดนี้หากมิได้นอนพักอย่างน้อยสามเดือน อย่าหวังว่าจะขยับเขยื้อนได้
อวี้เซิงเยียนกราบอาจารย์เข้าสำนักเยี่ยนอู๋ซือ แม้ได้รับความลำบากจากการฝึกวรยุทธ์ แต่พรรคมารใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมาตลอด ดังนั้นเมื่อเทียบกับคุณชายตระกูลขุนนางแล้ว เสื้อผ้าของกินและค่าใช้จ่ายของเขาก็หาได้เป็นรองไม่ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงป้อนยาให้คนด้วยตัวเอง ต่อให้ท่วงท่าระมัดระวังเท่าใด บางครั้งก็หกลงบนอกเสื้อของเสิ่นเฉียวอยู่บ้าง แต่เสิ่นเฉียวกลับยังคงดื่มช้าๆ ทีละช้อน มิได้เผยสีหน้าไม่พอใจใดๆ ออกมา ดื่มยาเสร็จยังเผยรอยยิ้มซาบซึ้งออกมาให้เขา “ขอบคุณศิษย์พี่”
สุภาพเชื่อฟัง รูปงามน่าคบหา
แม้ว่ามุมโค้งของรอยยิ้มนี้หาได้ใหญ่ไม่ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ใบหน้าขาวซีดย้อมติดสีสันแห่งความอบอุ่น สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างหน้าแดงอยู่เงียบๆ รีบเคลื่อนสายตาออกจากใบหน้างดงาม
เขาไม่ถามอะไรทั้งสิ้น อวี้เซิงเยียนกลับประหลาดใจเล็กน้อย หากเปลี่ยนเป็นตนเองพอฟื้นขึ้นมาจำอะไรไม่ได้ ทั้งตาบอดและได้รับบาดเจ็บจนไม่อาจลงจากเตียง แม้มิได้เสียสติ เกรงว่าก็ไม่สามารถสงบเสงี่ยมเช่นนี้
“เหตุใดเจ้าไม่ถามข้าว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าจะกลับสู่ปกติเมื่อใด”
“มีอาจารย์กับศิษย์พี่อยู่ พวกท่านต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว ยอมเหนื่อยกายเหนื่อยใจเพื่อเรื่องของข้าอย่างแน่นอน” เสิ่นเฉียวกระแอมไอหลายเสียง ขมวดหัวคิ้วขึ้นเพราะปากแน่นตึง “หากข้าถามแล้ว มิใช่ยิ่งทำร้ายจิตใจของพวกท่านหรือ”
คล้ายไม่เคยเห็นคนที่เอาใจใส่และนึกถึงคนอื่นเช่นนี้มาก่อน บางทีอาจเป็นเพราะต้องประจันหน้ากับเขาจึงทำให้ร้อนตัวเล็กน้อย อวี้เซิงเยียนเงียบเสียงชั่วขณะ ไม่รู้จะกล่าวอะไรดี พักหนึ่งจึงกล่าวขึ้น “เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนให้เต็มที่ ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาทายาให้เจ้า”
“ขอบคุณศิษย์พี่ ศิษย์พี่โปรดทักทายท่านอาจารย์แทนข้าสักคำ”
“ข้าจะบอกให้” อวี้เซิงเยียนพลันรู้สึกว่าหากอยู่ต่อไปจะยิ่งเก้อเขินเปล่าๆ จึงลูบจมูก ทิ้งคำพูดประโยคนี้แล้วจากไป
เดิมเขายังสงสัยอยู่บ้างว่าเสิ่นเฉียวสูญเสียความทรงจำคือการแสร้งบ้าใช่หรือไม่ แต่นับจากวันนั้นเขาไปเยี่ยมเยียนเสิ่นเฉียวแทบทุกวัน อีกฝ่ายยังคงเหมือนเมื่อตอนได้สติครั้งแรก มีความอ่อนโยน มองโลกในแง่ดี และเปี่ยมด้วยความซาบซึ้งต่ออวี้เซิงเยียน
อวี้เซิงเยียนกล่าวอะไร เขาล้วนรับฟังทุกอย่าง ไม่สงสัยแม้แต่น้อย บริสุทธิ์ดุจกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง
หลังสามารถลงจากเตียงก้าวเดินได้เล็กน้อย เสิ่นเฉียวยังเสนอจะไปขอบคุณ ‘อาจารย์’ เยี่ยนอู๋ซือด้วยตัวเอง
หากอวี้เซิงเยียนไม่ตักเตือน เยี่ยนอู๋ซือก็เกือบลืมการดำรงอยู่ของเสิ่นเฉียวไปแล้ว
เก็บตัวสิบปี ใต้หล้าเปลี่ยนแปลงมากหลาย มิใช่สิ่งที่บรรยายได้ด้วยคำพูดประโยคสองประโยคจากปากคนรอบข้าง
สำนักในใต้หล้ามีจำนวนมาก แต่ละแห่งมีอำนาจในการสนับสนุนและอำนาจทางการเมือง
สกุลเกาแห่งแคว้นฉีเหลวแหลก ฮ่องเต้แต่ละยุคสมัยก็โปรดที่จะใกล้ชิดพรรคมาร เมื่อถึงยุคของเกาเหว่ยนี้ พระองค์กับนิกายเหอฮวนใกล้ชิดกันอย่างมาก นิกายเหอฮวนเองก็มีอำนาจในแคว้นฉีเพิ่มขึ้นด้วยเหตุนี้
ที่ราชวงศ์โจว (ราชวงศ์เหนือ) ขณะอวี่เหวินฮู่กุมอำนาจเมื่อกาลก่อนนับถือพุทธ ด้วยเหตุนี้หลวงจีนเสวี่ยถิงเองก็ถูกเคารพนับถือเป็นราชครูแห่งต้าโจว แต่ต่อมาอวี่เหวินยงกุมอำนาจ ลมเปลี่ยนทิศ ฮ่องเต้พระองค์นี้ไม่นับถือเต๋าและไม่นับถือพุทธ ถึงขั้นมีบัญชาห้ามนับถือทั้งพุทธและเต๋า อำนาจสำนักพุทธเองก็ไม่ใหญ่เหมือนแต่ก่อน
ส่วนเฉินโจวทางใต้ ยึดอารามศึกษาหลินชวนของลัทธิหรูเป็นหลัก เจ้าอารามหรู่เยียนเค่อฮุ่ยตั้งใจช่วยเหลือประมุขเฉิน จนได้รับความไว้วางใจ
ขณะเยี่ยนอู๋ซือยังมิได้เก็บตัว เคยใช้อีกสถานะหนึ่งเป็นขุนนางที่แคว้นโจว…ช่วยเหลืออวี่เหวินยงดำรงตำแหน่งหลู่กั๋วกง ในตอนนั้น ต่อมาเขาสู้กับชุยโหยววั่ง ได้รับบาดเจ็บจนต้องหนีไปไกล ก่อนจากไปได้กำชับเปียนเหยียนเหมยผู้เป็นศิษย์เอกให้อยู่ข้างกายอวี่เหวินยง
บัดนี้เขาออกจากการเก็บตัวอีกครั้ง ย่อมต้องไปแคว้นโจวสักรอบ เพื่อเข้าเฝ้าอวี่เหวินยงที่ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ อีกทั้งชิงอำนาจในมืออวี่เหวินฮู่กลับมาแล้ว
หลายปีนี้เป่ยโจวเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่มิใช่แคว้นอื่นจะเห็นดีเห็นงาม มิเพียงเท่านี้ แม้กระทั่งหรู พุทธ และเต๋าเองก็หาได้ใกล้ชิดกับฮ่องเต้แคว้นโจวพระองค์นี้ไม่ เพียงเพราะอวี่เหวินยงห้ามนับถือพุทธและเต๋า และไม่อนุญาตให้ก่อตั้งเวทีบรรยายที่ต้าโจวเพื่อขยายสำนักรับศิษย์
ภายใต้เบื้องหลังเช่นนี้ นิกายฮ่วนเยวี่ยใกล้ชิดสนับสนุนอวี่เหวินยง ส่วนอวี่เหวินยงเองก็ต้องการให้นิกายฮ่วนเยวี่ยมารักษา
หลังพบหน้ากับอวี่เหวินยง เยี่ยนอู๋ซือออกจากเป่ยโจว ถือโอกาสไปเขาเสวียนตูสักรอบ ซ้ำยังไปเยี่ยมคุนเสียยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งทูเจวี๋ยที่ว่ากันว่าเอาชนะเสิ่นเฉียวผู้นั้น
ต่างฝ่ายต่างประมือกันคราหนึ่ง คุนเสียพ่ายแพ้ ฉายา ‘ราชันมาร’ ของเยี่ยนอู๋ซือปรากฏในยุทธภพอีกครั้ง ใต้หล้าสั่นคลอน ล้วนกล่าวว่าหลังจากชุยโหยววั่ง นิกายมารก็ปรากฏผู้แข็งแกร่งที่ชวนให้เกรงกลัวอีกคนหนึ่งแล้ว
เพียงแค่ครั้งนี้ไม่มีฉีเฟิ่งเก๋อแล้ว เกรงว่าผู้ที่จะต่อกรกับเขาได้หายไปหนึ่งคน
ในสายตาของเยี่ยนอู๋ซือ ฝีมือของคุนเสียยังคงสูงส่ง คุณสมบัติก็ดีเพียงพอ แต่ยังมิสู้หูลู่กูในปีนั้น ต่อให้เทียบกับคนอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงในสิบอันดับแห่งใต้หล้าตอนนี้ ก็มิอาจนับได้ว่าเด่นล้ำ คนเช่นนี้สามารถโจมตีเจ้าสำนักเขาเสวียนตูจนบาดเจ็บสาหัสได้ คือเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างมากเรื่องหนึ่ง
แต่นี่หาใช่จุดสำคัญที่เขากังวลไม่ เสิ่นเฉียวได้รับบาดเจ็บมีเรื่องราวเบื้องลึกอะไรกันแน่ เกี่ยวข้องกับคุนเสียอีกหรือไม่ เยี่ยนอู๋ซือไม่มีความสนใจที่จะทำความเข้าใจเท่าใดนัก เขาต่อสู้กับคุนเสีย เพียงเพื่อให้คนอื่นรู้ข่าวการปรากฏตัวในยุทธภพอีกครั้งของตนเอง ช่วงนี้คุนเสียเพิ่งเอาชนะเจ้าสำนักเขาเสวียนตู กำลังอยู่ในช่วงร้อนแรง คือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
กำไรที่มากที่สุดในการออกมาครั้งนี้ของเยี่ยนอู๋ซือ มิได้อยู่ที่สร้างชื่อในยุทธภพหรือเอาชนะคุนเสีย แต่คือการได้รู้เบาะแสของชิ้นส่วนคัมภีร์ส่วนในของคัมภีร์สุริยัน
เมื่อห้าสิบปีก่อน ลือกันว่าเถาหงจิ่งปรมาจารย์แห่งยุคได้พบเซียนบนเขาเหมาซาน และได้รับเคล็ดสำเร็จเซียน คัมภีร์นี้มีทั้งสิ้นสี่ส่วน เถาหงจิ่งแบ่งสามส่วนในนั้นจัดทำเป็นหนังสือ ตั้งชื่อว่า ‘เคล็ดลับสำเร็จเซียน’
อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเนื้อหาซับซ้อนยากเข้าใจ และเกี่ยวข้องกับการฝึกปรือของเทวะเสียมาก เถาหงจิ่งจึงเรียบเรียงมันเป็นหนังสือโดยลำพัง ค่อยเพิ่มแก่นสารและความเห็นที่ตนเองเรียนรู้ชั่วชีวิตเข้าไปในนั้น นี่จึงเป็นคัมภีร์สุริยันอันเลื่องชื่อในเวลาต่อมา
เถาหงจิ่งร่ำเรียนเป็นเทวะ ตัวเขาเองแม้เป็นนักพรต แต่กลับเชี่ยวชาญเต๋า พุทธ และหรู ซ้ำยังได้รับความรู้ชั่วชีวิตของซุนโหยวเยวี่ยเซียนแห่งเขาตานหยาง วรยุทธ์ยอดเยี่ยม แม้กระทั่งฉีเฟิ่งเก๋อก็ต้องยอมรับด้วยใจจริง อันดับหนึ่งในใต้หล้ามิอาจถกเถียง
ในเมื่อมีประวัติความเป็นมาเช่นนี้ คัมภีร์สุริยันย่อมเป็นสมบัติล้ำค่าที่ผู้คนแย่งกันอ่าน ว่ากันว่าหากแตกฉานคัมภีร์สุริยันทั้งห้าเล่ม ก็สามารถมองขั้นสุดท้ายของผู้ฝึกยุทธ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ได้เข้าสู่สภาวะใหม่ จะเหาะเหินตอนกลางวันก็มิใช่ไม่สามารถ
น่าเสียดายหลังเถาหงจิ่งดับขันธ์เป็นเซียน สำนักซั่งชิงแห่งเขาเหมาซานจึงมีส่วนพัวพันเพราะราชสำนักเข้ามาก้าวก่าย ศิษย์ในสำนักต่างมีจุดยืน กอปรกับต่อมาราชวงศ์เหลียงเกิดความวุ่นวายภายใน คัมภีร์สุริยันทั้งห้าเล่มกระจายไปยังแต่ละพื้นที่ ไม่รู้ร่องรอย
กระทั่งหลายสิบปีให้หลัง ฉีเฟิ่งเก๋อยอมรับเองกับปากว่าวรยุทธ์ของตนเอง นอกจากสืบทอดจากเขาเสวียนตูแล้ว ยังมีส่วนจากคัมภีร์สุริยัน จึงทำให้เบาะแสของคัมภีร์สุริยันถ่ายทอดออกมาอย่างต่อเนื่อง ว่ากันว่าเล่มหนึ่งในนั้นซ่อนอยู่ที่แคว้นโจว เล่มหนึ่งอยู่ที่นิกายเทียนไถ เล่มหนึ่งซ่อนอยู่ที่เขาเสวียนตู อีกสองเล่มจวบจนบัดนี้เบาะแสยังคงเป็นปริศนา หลายสิบปีต่อมาไม่มีข่าวคราว เสาะหาไปทั่วแต่ไม่พบ
คัมภีร์สุริยันเล่มนั้นที่ซ่อนอยู่ในราชวังแคว้นโจว ก่อนนี้เยี่ยนอู๋ซือมีโอกาสได้เห็นครั้งหนึ่ง หลังเขาเก็บตัวฝึกปรือจนก้าวหน้า ยิ่งเหนือกว่าเมื่อก่อน ในนั้นมีส่วนมาจากคัมภีร์สุริยันเล่มนั้นด้วย
มีเพียงเรียนรู้ด้วยตัวเอง จึงรู้ได้ว่าคัมภีร์สุริยันวิเศษเพียงใด เห็นเพียงครั้งเดียวมีคุณอนันต์ คัมภีร์สุริยันผนวกความทุ่มเททั้งชีวิตของเถาหงจิ่ง รวบรวมวรยุทธ์ของหรู พุทธ และเต๋า ต่างหลอมรวมเติมเต็มซึ่งกันและกัน เรียกได้ว่าสมบูรณ์ไร้ช่องโหว่ หากได้เห็นอีกสี่เล่มที่เหลือ อย่าว่าแต่ช่วงชิงตำแหน่งราชาวิถียุทธ์ ต่อให้แตกฉานมรรคาสวรรค์ คนฟ้ารวมหนึ่ง ก็มิใช่เป็นไปไม่ได้
เยี่ยนอู๋ซือออกไปรอบนี้ เดิมทีคิดฉวยโอกาสขณะเขาเสวียนตูเป็นเหมือนฝูงมังกรไร้เศียร ผู้คนแตกตื่นลนลาน ลอบเข้าไปเสาะหาชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยัน แต่คิดไม่ถึงว่าระหว่างที่ประมือกับคุนเสีย เขาบังเอิญพบว่าแม้ฝีมือของฝ่ายตรงข้ามจะสืบทอดจากแถบตะวันตก แต่กำลังภายในและลมปราณกลับไม่ชัดเจน ราวกับมาจากที่เดียวกับเขา เยี่ยนอู๋ซือจึงสงสัยในใจว่าในปีนั้นหูลู่กูเทียบเคียงกับฉีเฟิ่งเก๋อได้ ซ้ำยังพ่ายแพ้เพียงครึ่งกระบวน อาจมีสาเหตุมาจากคัมภีร์สุริยัน
คุนเสียเป็นยอดฝีมือยุคใหม่แห่งทูเจวี๋ย เมื่อถึงเวลา หูลู่กูในปีนั้นต้องเทียบไม่ได้เป็นแน่ การผสมผสานของเคล็ดวิชาแดนตะวันตกกับคัมภีร์สุริยัน ในเมื่อสามารถสร้างหูลู่กูคนหนึ่งออกมาได้ ก็สามารถสร้างหูลู่กูคนที่สองออกมาได้เช่นกัน
เรื่องนี้สะกิดความสนใจของเยี่ยนอู๋ซืออย่างยิ่งยวด ฉะนั้นช่วงเวลาต่อมา เขาติดตามคุนเสียอยู่ตลอด พอนึกสนุกก็ให้ผู้อื่นต่อสู้กับเขา คุนเสียจะสู้ก็สู้ไม่ได้ จะหนีก็ยิ่งหนีไม่ได้ ทั้งร่างใกล้จะพังทลายแล้ว สุดท้ายถือโอกาสตรงกลับไปยังทูเจวี๋ย
เยี่ยนอู๋ซือยังไม่มีแผนการไล่ตามไปยังทูเจวี๋ย จึงกลับมายังหมู่บ้านอย่างสบายใจ